Sign-In form

ลืม password | สมัครสมาชิก


Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
  • หน้าแรก
  • ลงชื่อเข้าใช้
  • สร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
Arjan Pong
เจ้าของ:
ArjanPong
 
จำนวนสินค้า
12
เยี่ยมชม
699652
เยี่ยมชมวันนี้
6
ขอเป็นสมาชิก
  • ใบทะเบียนพาณิชย์
Radio Online
  • ผังรายการ Radio Online
สุขภาพ
  • ยาธรณีสันฑะฆาต
  • ยาบำรุงร่างกาย ถ่ายของเสีย
  • น้ำมันไพลคลายเส้น
  • น้ำสมุนไพร สพาร์ค
  • ยาเเก้ ริดสีดวงทวาร
  • หญ้าหวาน Organic
  • ยาสีฟันสมุนไพร
  • ยาหอมบำรุงหัวใจ
  • ข้าวผงไรซ์เบอรี่
  • ยาน้ำวัยทอง ยาดองมะกรูด
  • พลังภูผา ยาเเก้ Office Syndrome
Garment
  • ภูผา ถุงผ้านำสมัย
มุมสบายๆ
  • ข่าว
  • เรื่องเก่าเล่าตำนาน
  • เบื้องหลังบันเทิง
  • เพลงหวานเมื่อว้นวาน
  • ข้อคิด-คำคม
  • นิยาย ตำนานนักรบกรุงศรี
  • Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง
Member
  • ประเด็นร้อน
  • สาระรอบโลก
  • ความรู้ทั่วไป
  • สูตรยาสมุนไพร
สอบถามเพิ่มเติม
  • ถามมา ตอบไป
วิธีการชำระเงิน
ติดต่อเรา
เกี่ยวกับเรา
  Site Home  |  บทความล่าสุด
guest
ArjanPong

Post : 2014-04-04 18:50:48.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ไม่มีอะไรเป็นของฉันมันก็ไม่ทุกข์

 

                                   ไม่มีอะไรเป็น "ของฉัน" มันก็ไม่ทุกข์

 

 

 

พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)

 

 

อากาศตอนนี้ญาติโยมก็บ่นว่าร้อนๆไปตามๆกัน ซึ่งความจริงมันก็ร้อนนั่นแหละ เหงื่อไหลไคลย้อยตลอดวัน แต่ว่าความร้อนนี่มันก็ไม่เที่ยง คือไม่เท่าใดก็หมดร้อน แล้วก็ถึงหน้าฝนต่อไป เพราะอันนี้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติของดินฟ้าอากาศ เราจะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราก็ต้องทนอยู่กันไปตามเรื่องตามราวจนกว่าจะหมดเรื่องนั้นไป การที่จะอยู่ได้ตามปกตินั้น จะต้องหมุนจิตใจของเราให้เข้ากับสิ่งที่เกิดอยู่เป็นอยู่ คือให้พอใจแค่นั้นเอง ถ้าพอใจแล้วมันก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่พอใจแล้วก็เกิดความเดือดร้อน

เคยพบพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ในห้องเหงื่อท่วมตัว อาตมาก็ไปถามว่าไม่ร้อนหรือ ท่านก็บอกว่ามันเรื่องธรรมดา ท่านตอบว่าอย่างนั้น แล้วท่านนั่งทำงานไปตามปกติ ไม่รู้สึกว่ากระวนกระวาย จิตใจมันเป็นปกติ เหงื่อมันออกมาเป็นเรื่องของร่างกาย แต่ว่าใจนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นั่งทำงานได้ปกติตลอดเวลา อันนี้แสดงว่าท่านผู้นั้นรู้จักหมุนจิตใจต้อนรับสถานการณ์นั้น แล้วก็ไม่เป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น

คนเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม เราควรจะอยู่ให้เบาใจสบายใจ อย่าอยู่ให้มีความทุกข์ความหนักใจ เพราะเมื่อมีความหนักใจขึ้นเมื่อใดแล้ว เราก็ไม่สบายทั้งกายทั้งใจ ถ้าเราไม่มีความหนักใจ แม้ว่าร่างกายเราจะหนักเพราะการเปลี่ยนแปลง แต่ตัวเราก็ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนเพราะเรื่องอย่างนั้น อันนี้แหละเป็นเรื่องสำคัญ

คราวหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพระเทวทัตทุ่มหินลงมา แต่ว่าหินนั้นไม่ถูกพระองค์ เพราะไปชนต้นไม้ สะเก็ดนิดหนึ่งมากระทบถูกพระชงฆ์ คือหน้าแข้งของพระพุทธเจ้า เลือดไหลซิบๆออกมา หมอโกมารภัจจ์ก็ทำยาไปปะแผลให้ยาที่ปะนั้นเป็นยาร้อนก็คล้ายๆกับทิงเจอร์ที่เราใช้กัน แต่ว่าใช้ใบไม้ประเภทหนึ่งเอามาพอกไว้แล้วหมอก็กลับบ้าน หมอก็นอนไม่หลับตลอดคืนมีความเป็นห่วง เพราะนึกในใจว่า ยาที่พอกนั้นเป็นยาที่ร้อน พระผู้มีพระภาคคงจะไม่ได้บรรทม เพราะความร้อนของยาที่ผิวหนัง ตื่นแต่เช้ามืดมาเฝ้าดูพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วก็ถามไปด้วยอาการร้อนรนกระวนกระวายใจว่า "เมื่อคืนนี้พระองค์บรรทมหลับเป็นปกติหรือเปล่า"

 

พระผู้มีพระภาคกลับตอบว่า "เราบรรทมหลับเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น" หมอก็บอกว่า "ข้าพระองค์นอนไม่หลับเมื่อคืนนี้ เพราะมีความกังวลที่ยาปะแผลของพระองค์ว่ามันร้อน" พระผู้มีพระภาคกลับตรัสตอบแก่หมอนั้นว่า "ความร้อนทั้งหลายเราได้ดับมันหมดแล้วที่ใต้ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้ เวลานี้ความร้อนเหล่านั้นไม่มี ท่านจึงไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องมีความทุกข์ในเรื่องเกี่ยวกับความร้อนต่อไป" อันนี้เป็นเครื่องแสดงถึงด้าน ความสงบเย็นของจิตใจของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระองค์ไม่มีความร้อน มีแต่ความสงบเย็น ความร้อนนั้นได้ดับไปตั้งแต่วันตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ใต้ต้นโพธิ์แล้ว ต่อจากนั้นก็ไม่มีความร้อนอะไร จะนั่งอยู่ในที่ร้อนก็ไม่ร้อน จะนั่งอยู่ในที่เย็นก็ไม่เย็น จะอยู่ในที่ใดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจของท่าน

อันนี้เป็นเรื่องพิเศษที่จะเกิดมีเฉพาะบุคคลที่มีจิตหลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง หรือพ้นแล้วจากการยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวเรื่องตน ที่เราเรียกในภาษาธรรมะว่า "อัตตวาทุปาทาน" คือ การยึดมั่นถือมั่นในตัวฉันในของของฉัน ถ้ายังมีความยึดมั่นอยู่ตราบใด ความทุกข์ก็ยังมีอยู่ ความร้อนก็ยังมีอยู่ อะไรๆที่มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันก็มีอยู่กับผู้นั้น แต่ว่าถ้าถอนความยึดมั่นถือมั่นได้เมื่อใด สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่มี มันมีของมันอยู่ตามธรรมชาติไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ว่าจิตไม่ได้เป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น เช่น ว่าความร้อนทางกายก็มีอยู่ เจ็บปวดมันก็มีอยู่ แต่ว่าจิตไม่ปวดในเรื่องนั้น ไม่ได้เจ็บไปกับเรื่องนั้น ดูอาการมันเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นในใจ อันนี้เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ

แต่ว่าจิตของพระอริยเจ้านั้น ท่านไม่มีเหมือนเรา จิตท่านแตกต่างจากเรา เพราะท่านปฏิเสธหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นของท่าน อะไรๆมันเกิดขึ้นท่านก็เฉยๆคล้ายๆกับเรื่องอย่างนี้ เหมือนกับว่ามีอะไรของใครเขาหาย เราไม่ได้เป็นทุกข์กับเขา เช่นว่า คนหนึ่งเขามีของหายไป เรารู้เราก็เฉยๆ ที่เฉยๆ ก็เพราะว่าของนั้นมันมิใช่ของเรา บ้านคนอื่นถูกไฟไหม้อยู่ห่างไกลจากบ้านเรา เราก็ไม่ได้เป็นทุกข์ ไม่ได้เดือดร้อนใจ ที่ไม่ได้เป็นทุกข์ก็เพราะว่าเราไม่ได้นึกว่าเป็นบ้านของเราอยู่นั่นเอง แต่ถ้าว่าบ้านของเราถูกไฟไหม้ เราก็ร้อนอกร้อนใจมีความทุกข์ความเดือดร้อน ความทุกข์ความเดือดร้อนตัวนี้เกิดขึ้นเพราะจิตเข้าไปยึดถือว่าเป็นบ้านของฉัน เงินทองของฉัน อะไรๆ ของฉัน พอเอาคำว่า “ของฉัน” เข้าไปใส่ไว้ไม่ว่าในเรื่องอะไร ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นทันที เพราะเรื่องเข้าไปยึดถือในสิ่งนั้น อันนี้แหละเป็นเรื่องที่มีอยู่ในจิตใจของ มนุษย์ทุกคนที่เราพอมองเห็นได้ คือมองเห็นได้ว่า ถ้าเมื่อใดใจเราปล่อยวางเสียได้ เราก็สบายใจ แต่เมื่อใดเรา เข้าไปยึดถือมันไว้ เราก็มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ

อันนี้สังเกตได้ง่าย ขอให้เราสังเกตคือการศึกษาธรรมะน่ะ เรารู้หลักทางหนังสือแล้วต่อไปก็ต้องเอามาค้นคว้าจากพฤติการณ์ของเราเอง จากความคิด จากการกระทำของเรา แล้วคอยสังเกตว่า เวลาที่เกิดทุกข์นี่มันทุกข์เพราะอะไร เวลาทุกข์ที่หายไป มันหายไปเพราะอะไร เพื่อจะค้นหาสมุฏฐานของความทุกข์ที่เกิดขึ้นภาย ในจิตใจของเรา ถ้าหากเราสังเกตจะพบว่า สิ่งที่ทำให้เราเกิดความทุกข์นั้น ก็คือการยึดมั่นถือนั่นเอง เราจึงเรียกว่า “อุปาทาน” ตามภาษาธรรมะ พอมีอุปาทานขึ้นมาเมื่อใด ใจมันก้ไปติดอยู่กับสิ่งนั้น ไปยึดอยู่กับสิ่งนั้น พอสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนใจไม่สมใจเราก็มีความทุกข์ขึ้นมาทันที

อันนี้เป็นเครื่องชี้อยู่ในตัวแล้วว่า เราเป็นทุกข์เพราะ มีความยึดมั่นถือมั่น ถ้าจะไม่ให้เกิดทุกข์ก็ต้องผ่อนคลาย ความยึดมั่นถือมั่นออกไปจากใจของเราเสียบ้าง


เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรม วันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553 โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ". ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเองคงไม่รู้สึกว่าเป็นอย่างไร ดิฉันรับความรู้สึกนี้มานานแล้ว เหมือนกับที่เคยบอกไว้ว่าจะไม่ให้มีที่ยืนเลยหรือ ที่ดิฉันอยู่วันนี้ก็เพื่อรักษาประชาธิปไตย การที่หลายคนออกมาเรียกร้องให้ดิฉันลาออก จึงอยากถามกลับไปว่า การลาออกคือคำตอบหรือ เพราะถ้าดิฉันลาออกเพื่อเปิดทางให้เกิดสูญญากาศ ฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นประชาธิปไตย จะทำได้อย่างไร ..

.. ดิฉันในฐานะประชาชนและผู้นำรัฐบาล ต้องรักษาประชาธิปไตย ประคับประคองไปให้ถึงรัฐบาลใหม่ แม้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ดิฉันขอทำหน้าที่ของตนเองจนถึงนาทีสุดท้าย ถึงเวลาแล้วค่ะที่ทุกฝ่ายควรหันหน้ามาพูดคุยกัน เพื่อให้เกิดความลงตัวเร็วที่สุดสำหรับทางออกของประเทศที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ.."

 

 

 

 

 

 

 

 กปปส. ยอดรวม 3,630 คน :
สวนลุม 2,500 คน
ปปช.400 คน
แจ้งวัฒนะ 200คน
คปท.400คน
มท 80 คน
กรมทดแทนพลังงาน 50 คน
.....
นปช.ที่ บริเวณ ถ.อักษะ เขตทวีวัฒนา ยอดรวม 30,000 คน ทยอยเข้าอย่างต่อเนื่อง

Red Heart,Today at 7:38 AM
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ซึ้ง เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ก่อนตาย

 

 


 

ซึ้ง เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ก่อนตาย
 




ขอขอบคุณภาพประกอบจาก news.ifeng.com

เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ป่วยหนัก รักษาชีวิตแม่หลังตัวตาย

เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2557 เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษ เปิดเผยเรื่องราวสุดซาบซึ้งที่เกิดขึ้นในประเทศจีน เมื่อเด็กชายวัยเพียง 7 ขวบ ที่ป่วยเป็นมะเร็งสมอง ได้ตัดสินใจบริจาคไตให้กับแม่ที่ป่วยหนัก เพื่อรักษาชีวิตแม่ไว้

เหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน เฉิน เสี่ยวเทียน เด็กชายที่มีอายุเพียง 5 ขวบในตอนนั้น ได้พบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งในสมอง ซึ่งแม้จะสามารถเยียวยาได้ในช่วงแรก ๆ แต่ต่อมาแพทย์ก็จำใจต้องบอกว่า เฉินอาจมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวัยรุ่น

หลังจากนั้นไม่กี่เดือน นางโจว หลู่ แม่วัย 34 ปี ของเฉินก็ป่วยเป็นโรคไต ทำให้ทั้งแม่ลูกกลายเป็นคนป่วยหนัก แต่ทั้งคู่ก็ต่อสู้และต่างเป็นกำลังใจให้กันมาโดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ถึงอย่างนั้นอาการป่วยก็แย่ลงเรื่อย ๆ นางโจวต้องฟอกไตเป็นประจำ ขณะที่เฉินเองก็ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ตลอด 24 ชั่วโมง มะเร็งในสมองได้ทำให้เขาอ่อนแอมาก ตาบอดทั้งสองข้าง และเข้าใกล้ภาวะอัมพาตเข้าไปทุกที

กระทั่งล่าสุด หลู่ หยวนเสี้ยว แม่วัย 57 ปี ของนางโจว ก็ได้พูดคุยกับแพทย์ และแพทย์ได้บอกเธอว่า หลานชายของเธออาจมีชีวิตรอดได้อีกไม่นาน แต่ไตของเฉินสามารถช่วยชีวิตแม่ของเขาได้ ซึ่งหลังจากที่นางหลู่ได้ฟังดังนั้น จึงไปบอกนางโจวในสิ่งที่แพทย์คุยกับเธอ แต่นางโจวได้ปฏิเสธที่จะทำอย่างนั้น และขอให้หยุดพูดเรื่องนี้ให้เธอได้ยินอีก

ระหว่างนั้นเอง เฉินก็บังเอิญได้ยินในสิ่งที่แม่กับยายของเขาคุยกัน จึงตัดสินใจขอร้องแม่ว่า ในเมื่อเขาจะไม่รอดจากมะเร็งในสมองแล้ว ขอให้เขาได้บริจาคไตให้แม่เถิด ทำให้นางโจวน้ำตาไหลออกมาและยอมรับคำขอร้องของลูกชาย เธอคิดว่าแม้ว่าลูกชายจะเสียชีวิตในอีกไม่นาน อย่างน้อยไตของลูกชายก็ยังคงอยู่ในตัวเธอ

ทั้งนี้ การผ่าตัดเปลี่ยนไตจากลูกสู่แม่ ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ทันทีที่เฉินเสียชีวิตลงอย่างสงบ ศพของเขาก็ถูกนำไปผ่าตัดไตทั้งสองข้างและตับออกมา เพื่อนำไตข้างหนึ่งไปเปลี่ยนให้นางโจว ส่วนไตอีกข้างและตับถูกนำไปเปลี่ยนให้กับผู้ป่วยอีก 2 ราย นับว่าเฉินได้ช่วยชีวิตคนถึง 3 คนเลยทีเดียว



 

ซึ้ง เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ก่อนตาย
 


 

ซึ้ง เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ก่อนตาย
 


 

ซึ้ง เด็กจีน 7 ขวบ ป่วยมะเร็งสมอง ขอบริจาคไตให้แม่ก่อนตาย
 

 


 

           

 

 

 

                          อาการเนื้องอกในสมอง

 

เนื้องอกในสมองเป็นภาวะที่มีการเติบโตอย่างผิดปกติของเซลล์ในสมอง เนื้องอกในสมองอาจเป็นเนื้องอกธรรมดา (Benign) หรือเป็นมะเร็ง (Malignant) ทั้งสองชนิดสามารถลุกลามในสมองเองจนเป็นอันตรายหรือทำให้เกิดความพิการต่อผู้ป่วยได้ พบได้ประมาณร้อยละ 1.67 ของโรคมะเร็งทั้งหมด พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ส่วนใหญ่จะพบมากใน 2 ช่วงอายุคือ อายุ 5 – 9 ปี และ 50 – 55 ปี ซึ่งถ้าในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นเด็กเนื้องอกในสมองถือเป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุด ส่วนในผู้ใหญ่หรือคนสูงอายุ อาจเป็นเนื้องอกที่เกิดขึ้นภายในกะโหลกศีรษะ หรือเป็นเนื้องอกที่แพร่กระจายมาจากที่อื่น (เช่น ปอด เต้านม ไต ต่อมไทรอยด์ กระเพาะลำไส้)

 

 

อาการเนื้องอกในสมอง

รูปภาพประกอบจาก : http://inside919.ning.com/profiles/blogs/will-you-need-surgery-for-your-headache

 

 

 

 

สาเหตุการเกิดเนื้องอกในสมอง

 

เนื้องอกสมองส่วนใหญ่นั้นปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากอะไร แต่มีเนื้องอกในสมองส่วนน้อยบางส่วนที่ทราบสาเหตุว่าเกิดขึ้นจากความผิดปกติของสารพันธุกรรมในเซลล์เนื้องอกสมองของผู้ป่วย นอกจากนี้อาจมีปัจจัยภายนอกบางอย่างที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเนื้องอกในสมองได้ เช่น เคยได้การได้รับการฉายรังสีบริเวณศีรษะมาก่อน ทำให้มีโอกาสเป็นโรคเนื้องอกสมองได้มากกว่าคนทั่วไป เป็นต้น

 

อาการเนื้องอกในสมอง

 

เนื้องอกในสมองจะมีอาการได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตำแหน่งเนื้องอกในสมองนั้น จะทำให้สมองส่วนใดผิดปรกติไปจากเดิม เช่น ถ้าเกิดในตำแหน่งที่ควบคุมการทรงตัว ในเด็กจะมีอาการเดินเซ และหกล้มบ่อย ในรายอื่นๆอาจจะมีอาการแขนขาอ่อนแรงหรือชาครึ่งซีก, อาการตาเข, ตากระตุก, ปากเบี้ยว หรืออาการชักเกร็งหรือกระตุก อาการจะมีมากขึ้นถ้าก้อนเนื้องอกโตมากหรือโตเร็ว เป็นต้น

 

อาการเนื้องอกในสมองโดยทั่วไป

 

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว โดยมีลักษณะเฉพาะคือ ปวดมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอสายๆอาการจะดีขึ้น หรืออาจปวดมากเวลาล้มตัวลงนอน หรือเวลาไอ จาม หรือเบ่งอุจจาระ อาการปวดศีรษะจะรุนแรงขึ้นทุกวันจนผู้ป่วยต้องสะดุ้งตื่นตอนเช้ามืด ต่อมาจะมีอาการอาเจียนร่วมกับอาการปวดศรีษะ อาจมีลักษณะอาเจียนพุ่งรุนแรง โดยไม่มีอาการคลื่นไส้นำมาก่อน นอกจากนี้ยังอาจมีอาการตามัวลงเรื่อยๆ เห็นภาพซ้อน หูอื้อ ตาเหล่ ตากระตุก วิงเวียน เดินเซ มือเท้าทำงานไม่ถนัด แขนขาชาหรืออ่อนแรง และอาการชัก ซึ่งอาจชักทั้งร่างกายหรือเฉพาะส่วนของร่างกาย ความจำเสื่อม มีบุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิม ในรายที่เป็นเนื้องอกของต่อมใต้สมอง (Pituitary tumor) นอกจากจะมีอาการดังกล่าวแล้ว ถ้าพบในผู้หญิงอาจทำให้เป็นประจำเดือนไม่มา มีน้ำนมออกผิดธรรมชาติ (Galactorrhea) หรือมีอาการของโรคคุชชิงร่วมด้วย

 

การรักษาเนื้องอกในสมอง

 

การรักษาเนื้องอกในสมองมีอยู่ 3 วิธีหลักๆคือ การผ่าตัด การฉายรังสี และการให้ยา ในบางครั้งอาจจะต้องใช้หลายๆวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด

 

1. การผ่าตัด

เป็นวิธีหลักของการรักษาเนื้องอกในสมองส่วนใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นเพียงการเจาะดูดเอาเนื้องอกมาตรวจวินิจฉัย ผ่าตัดเนื้องอกออกบางส่วนหรือผ่าตัดเนื้องอกออกทั้งหมด ถ้าเนื้องอกอยู่ในตำแหน่งที่สามารถทำผ่าตัดออกได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย

 

ในปัจจุบันมีการทำผ่าตัดโดยจุลศัลยกรรม (Microneurosurgery) ทำให้สามารถมองเห็นจุดเล็กๆในสมองส่วนที่อยู่ลึกได้ มีการนำเครื่องนำวิถี (Navigation) มาใช้เพื่อช่วยให้การผ่าตัดสมองมีความแม่นยำมากขึ้น มีการทำผ่าตัดร่วมกับเอกซเรย์แม่เหล็กในห้องผ่าตัด (Intraoperative MRI) เพื่อช่วยให้ผ่าตัดเนื้องอกออกมาได้มากขึ้น หรือมีการทำผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง (Neuroendoscopic surgery) เพื่อช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก และในบางครั้งเนื้องอกในสมองอาจอยู่ในตำแหน่งที่มีอันตรายต่อการทำผ่าตัด และอาจมีการผ่าตัดโดยที่ผู้ป่วยยังคงรู้ตัวไม่สลบระหว่างผ่าตัด เพื่อที่แพทย์จะสามารถหาตรวจหาตำแหน่งการทำงานของสมองไปได้ด้วยระหว่างการผ่าตัด (Awake craniotomy and brain mapping)

 

ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาในอนาคตอาจจะมีอุปกรณ์และเทคนิคใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อช่วยให้การผ่าตัดมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากขึ้น

 

2. การฉายรังสี

 

การฉายรังสีมักจะใช้เป็นการรักษาเพิ่มเติมหลังการผ่าตัดเนื้องอกในสมองแล้ว และบางอย่างที่ไม่สามารถผ่าตัดออกได้หมด ในบางกรณีสามารถใช้เป็นวิธีการรักษาหลักได้อีกด้วย การฉายรังสีรักษาเนื้องอกในสมองนั้นปัจจุบันมีการพัฒนาไปอย่างมาก มีการนำเทคนิคการฉายรังสีวิธีใหม่ที่เรียกว่า การฉายรังสีรักษา 3 มิติมาใช้ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างของลำรังสีได้ตามรูปร่างของก้อนเนื้องอก ทำให้ได้ปริมาณรังสีรวมสูงสุดอยู่ที่ก้อนเนื้องอกเพียงตำแหน่งเดียว โดยที่สมองส่วนอื่นๆ ได้ปริมาณรังสีน้อยมาก เทคนิคนี้ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณรังสีที่ก้อนเนื้องอกได้สูงขึ้นมาก ซึ่งในบางครั้งอาจจะสามารถฉายรังสีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น (Radiosurgery) และนับเป็นความก้าวหน้าทางรังสีรักษาในการรักษาเนื้องอกในสมองในขณะนี้

 

3. การให้ยา

 

เนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงบางชนิดสมควรได้รับการรักษาโดยการให้ยาเคมีบำบัด และเนื้องอกในสมองของต่อมใต้สมองบางชนิดสามารถรักษาโดยการให้ยาควบคุมการสร้างฮอร์โมน ปัจจุบันยาเคมีบำบัดบางตัวมีราคาแพงมากและไม่สามารถเบิกจ่ายได้ในผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสังคมหรือบัตรทอง จึงเป็นอุปสรรคทำให้ภาระค่าใช้จ่ายไปตกอยู่ที่ผู้ป่วย หรือทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้

 

 

 

 

 

 

 

                      [​IMG]
                                                               ภาพหายาก ..ทรงพระเจริญ

 
 [​IMG]
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 [​IMG]

 

 

 

 [​IMG]
[​IMG]
[​IMG]

 

 [​IMG]
[​IMG]
[​IMG]

 

 [​IMG]
[​IMG]
[​IMG]

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                             [​IMG]

 

[​IMG]
 

 


[​IMG]
 

 

 *** Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์

นี่เป็นการแสดงบัตรประชาชนโดยพร้อมเพรียงที่สุด เพื่อให้พวกประชาธิปัตย์ กปปส. และคนในกองทัพ ให้ได้เห็นว่า ณ ถนนอักษะแห่งนี้ มีแต่คนไทยที่มีหัวใจรักประชาธิปไตย


[​IMG]

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                ไขปริศนา ทำไมนอนในรถถึงตาย?

 

 

  

              

   

 

การนอนในรถนั้น เป็นเรื่องที่มีหลายคนมักไม่รู้เท่าไม่ถึงอันตรายและอาจนะไปสู่การเสียชีวิตได้ การจอดรถนอนนั้นเป็นเรื่องที่เราแนะนำให้คนจำนวนมากทำ โดยเฉพาะในหมู่นักเดินทางที่เหนื่อยล้าจากการขับรถทางไกลเป็นเวลานานๆ อาการดังกล่าวนั้น อาจส่งผลให้เกิดการหลับในและก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้

 

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการจอดรถหลับพักผ่อนสักหน่อยก่อนจะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ดูผิวเผินการจอดรถนอน คงไม่ใช่เรื่องอะไรที่ซับซ้อน จนอาจเป็นอันตรายถึงขนาดทำให้เราสามารถเสียชีวิตคารถสุดที่รัก อย่างกรณีของคุณพ่อของนางเอกวิก 7 สี แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า หากเรานอนในรถโดยไม่เข้าใจอย่างถูกต้องแท้จริง นี่อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิตก็เป็นได้

 

อันตรายจากการจอดรถนอนหลับนั้นความจริงแล้วเป็นภัยใกล้ตัวที่เราอาจวิตกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตมากกว่าคิดถึงเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพ ที่เรามักจะอ่านข่าวพบว่า มีคนเสียชีวิตจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้แล้วเปิดแอร์นอน สิ่งที่ผิดที่สุดของแนวคิดการนอนในรถนั้นไม่ใช่ระบบปรับอากาศ แต่มันคือการสตาร์ทเครื่องยนต์เดินเบาทิ้งเอาไว้ เพื่อให้ระบบปรับอากาศนั้นสร้างความเย็นสบายตลอดเวลา ความคิดที่รักสบายนี่เอง ทำให้หลายคนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ เพราะ แม้เครื่องยนต์และระบบปรับอากาศในห้องโดยสารจะไม่เกี่ยวข้องกัน ทว่าความจริงนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความตาย โดยปกติแล้วระบบปรับอากาศภายในรถยนต์นั้น จะทำงานคล้ายๆกับระบบแอร์ทั่วไป คือ แลกเปลี่ยนอุณภูมิผ่านน้ำยาที่เป็นตัวนำไประบายความร้อนออก แล้วกลับมาวนปรับอุณภูมิต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ จนได้อุณหภูมิตามต้องการ

 

แม้เราจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าระบบปรับอากาศในห้องโดยสาร เป็นพื้นที่ปิดเพื่อใช้กักเก็บอุณหภูมิ แต่สิ่งที่อยู่ในระบบกับการดูดอากาศภายนอกบางส่วนมาหมุนเวียนในห้องโดยสารนั้นกลับเป็นชนวนต้นเหตุความตาย นี่เองที่เป็นสาเหตุหลักที่อาจทำให้คุณตายได้โดยไม่รู้ตัว เพราะ เมื่อคุณติดเครื่องยนต์รถทิ้งไว้ไอเสียบางส่วนก็จะถูกพัดลมแอร์ดูดเข้ามาในห้องโดยสาร ซึ่งถ้าหากมันมาเป็นจำนวนมากคุณจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงและตื่นขึ้นเหมือนสัญญาณเตือนของร่างกาย ซึ่งในรถยนต์บางรุ่นจะติดตั้งตัวดักไอเสียสู่ห้องโดยสาร เพื่อป้องกันคนนอนในรถเป็นเวลานานๆ แต่กลับกันเมื่อเจ้าก๊าซพิษค่อยๆย่างกรายเข้ามาทีละนิด ในขณะที่กำลังฝันหวานก็ไม่ทางรู้สึกเลยว่ากำลังชะตาขาดขณะพักผ่อน

 

หลายคนคงเคยรู้สึกปวดหัวเวลาขับรถไปเจอการการจราจรขัดติด โดยมากคงนึกว่าเรากำลังผจญภาวะความเครียด แม้เหตุผลดังกล่าวจะถูกต้องในส่วนหนึ่ง แต่ความจริงแล้วอีกด้านเรากำลังสูดดมก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ที่มีส่วนผสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสารพิษเข้าสู่ร่างกาย และจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์ ได้กล่าวถึง อันตรายของการสูดดมก๊าซคาร์บอนไซด์ว่า อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง ปวดศีรษะ เซื่อมซึม เคลิบเคลิ้ม สั่นกระตุก หายใจติดขัด หมดสติไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นปิดปกติ เนื่องจาก มีฮีโมโกลบินน้อยกว่าปกติ และมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต

 

มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพบว่า ถ้าเราสูดดมไอเสียทีละน้อยเป็นเวลากว่า 5-6 ชั่วโมง อาจส่งเราสู่สุคติได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้หากคุณมีความจำเป็นจริงๆในการนอนในรถระหว่างเดินทางเราก็มีวิธีที่ถูกต้องมาแนะนำให้ปฏิบัติตามกัน 1.หาที่เหมาะสม เมื่อเริ่มรู้สึกง่วงพยายามหาที่เหมาะสมในการจอดรถ เราแนะนำให้จอดในสถานีบริการ ถ้าเป็นไปได้ หรือถ้าไม่มีก็พยายามหาจุดที่เป็นชุมชน ป้อมตำรวจทางหลวง หรือ ไม่ก็มีแสงไฟสลัวๆดีกว่า เพื่อป้องกันโจรไปด้วยในตัว 2.ดับเครื่องยนต์ เมื่อจอดแล้วดับเครื่องยนต์ทันทีแม้อาจจะเริ่มรู้สึกอึดอัดบ้าง หากคิดว่าไม่สบายตัวก็แง้มกระจกลงสักนิด 2-3 เพื่อระบายอากาศและรับลมจากภายนอก 3.ปรับเบาะเอนเบาะนอนให้เหมาะสม

 

การนอนในรถไม่ใช่การที่คุณเอนนอนทั้งหมด เพราะ แต่ละคนมีท่านอนที่ชอบไม่เหมือนกัน ให้คุณปรับเอนนอนให้พอดีเพียงพอ เพราะการเอนนอนมากไปจะทำให้คุณเมื่อล้าได้ภายหลัง 4.ใช้พัดลมแอร์ช่วยให้หลับ เมื่อพร้อมจะหลับก็ให้บิดกุญแจไปที่จังหวะออนเพื่อให้ระบบไฟฟ้าทำงาน แล้วจึงบิดเปิดสวิทช์แอร์ เมื่อเปิดแล้วให้หาปุ่มที่เขียนว่า A/C หรืออาจะเป็นรูปรถที่มีลูกศรชี้เข้ามาในตัวรถจากภายนอกให้เลือกกดปุ่มดังกล่าว ซึ่งพัดลมแอร์จะดูดอากาศมาหมุนเวียนในห้องโดยสารแม้จะไม่เย็นเหมือนแอร์แต่ก็พอให้คุณเคลิ้มหลับได้สบาย ซึ่งบางคนอาจเกรงว่าแบตจะหมด แต่เราแค่ต้องการพักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งแบตเตอร์รี่ขนาด 60 แอมป์ สามารถใช้ได้นานกว่า 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว นี่เป็นวิธีการนอนในรถที่ถูกต้องและเราไม่แนะนำให้ใช้รถเป็นโรงแรมคลื่อนที่ เนื่องจากแม้จะนอนได้แบบพอทน แต่มันก็ไม่ดีต่อสุขภาพกระดูกสันหลัง เช่นเดียวกับความไม่ปลอดภัยในชีวิต หากจำเป็นควรนอนพอให้หายอ่อนเพลียประมาณ 30-40 นาที เมื่อพร้อมแล้วจึงเดินทางต่อให้ถึงจุดหมายปลายทางครับ

ภาพประกอบจาก Gettyimages.com

 

 

 

 

 

 

 

ป้าธิดาแถลงข่าวที่ช่องเชียอั้พเดท...ผ่านมาประมาณครึ่งชั่วโมง

ป้าธิดาพูดว่า...ขณะนี้คุณปึ๊ง สุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศ

ได้มีหนังสือถึง ICC...ว่าประเทศไทยพร้อมลงนามกับ ICC

ขณะเดียวกันนี้ทางซาอุ...จะนำคดีของคุณไอลูว่ารีไปฟ้องศาลโลกด้วย

Clapping......Clapping.....Great Idea

 

 

 

'สุรพงษ์'ทำหนังสือถึง'ไอซีซี'คดี90ศพ

 

 

สุรพงษ์"รองนายกฯ ทำหนังสือถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือไอซีซี ดูคดี 90ศพ หากกระบวนการยุติธรรมไทยไม่คืบ

 

ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า

ตนได้ทำหนังสือไปถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี)เรียบร้อยแล้ว

เพื่อสอบถามกรณีที่ประเทศไทยจะรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ

ในเหตุการณ์การชุมนุมปี2553 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง

เบื้องต้นที่อัยการของไอซีซีมาพบตนเมื่อปลายปี 2555 ตนได้สอบถามว่ากรณีใดบางที่ไอซีซีจะเข้ามาดำเนินการได้

ซึ่งก็มีกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือการทำลายมนุษยชาติ โดยเฉพาะกรณีที่กระบวนการยุติธรรมในประเทศไม่ทำงาน

แต่วันนี้กระบวนการยุติธรรมในประเทศยังเดินอยู่ เช่น ศาลอาญามีคำสั่งให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.มามอบตัว

 

 

และให้นายอภิสิทธิ์ ไปขึ้นศาล ทั้งนี้หากในอนาคตมีหลายฝ่ายเรียกร้องเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม

ก็ต้องมีการเตรียมการว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เรื่องนี้มีหลายประเทศที่เกิดการฆ่ากันตายจากเหตุการณ์การชุมนุมจนเกิดความวุ่นวาย

 

 

เพราะผู้นำใช้ความโหดร้ายทำลายมนุษยชาติ ซึ่งเราต้องเตรียมการไว้ในกรณีเกิดอำนาจนอกระบบ อำนาจเผด็จการ

และกระบวนการยุติธรรมไม่มีแล้ว ก็ต้องใช้อำนาจระหว่างประเทศเอาคนผิดมาลงโทษ

ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

 

 

นายสุรพงษ์ กล่าวถึงกรณีการเชิญนายบัน คี มุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)

มาเป็นตัวกลางในการเจรจาปัญหาทางการเมืองภายในประเทศไทยว่า กำลังอยู่ระหว่างรอคำตอบ

ซึ่งน่าจะได้คำตอบเร็วๆนี้ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว ไม่ได้เป็นการดึงชาวต่างชาติเข้ามาแทรกแซงปัญหาในประเทศไทย

เพราะไอซีซีมาพบตน และมีความเห็นว่าถ้ากระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปจนแล้วเสร็จ

ญาติพี่น้องของผู้สูญเสียไม่ได้รับความเป็นธรรม และมีการเรียกร้อง ไอซีซีก็สามารถพิจารณาได้เป็นกรณีๆไป

 

 

เมื่อถามว่า หากการดำเนินคดี 90 ศพ ไม่เดินหน้าเรื่องจะถึงไอซีซีหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า

ตนไม่คิดที่จะไปก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรมในไทย แต่เป็นการเตรียมความพร้อมในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น

ตนเป็นคนทำงานโดยคิดทางออกไว้หลายๆทาง เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเข้าสู่ทางตันหรือเกิดอันตราย

ในอดีตที่ผ่านมาเราอธิบายการที่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนถูกยุบได้อย่างยากเย็นมาก

แต่วันนี้เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยเป็นเรื่องที่สามารถอธิบายให้สังคมเข้าใจได้มากขึ้น

คนที่เป็นกลางได้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทย อย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากกระบวนการต่างๆ

ได้เห็นความแตกแยกทางสังคมจากกระบวนการเหล่านี้ วันนี้ทั้งโลกหูตาสว่างขึ้น

สำนักข่าวต่างประเทศรู้กระบวนการต่างๆ ในการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย

วันนี้ถ้าประเทศไทยไม่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยลำบาก สังคมโลกไม่ยอมรับ

อย่างไรก็ตามสังคมโลกรู้หน้าที่ ไม่ได้เข้ามากดดัน แต่พวกเขาพยายามเสนอทางออกและเรียกร้องโดยสงบตามกระบวนการประชาธิปไตย

ไม่เช่นนั้นเราอาจจะเป็นเหมือนเมียนมาร์ที่ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

 

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20140404/573339/สุรพงษ์ทำหนังสือถึงไอซีซีคดี90ศพ.html

 

'สุรพงษ์' ชี้ญาติ 'อัลรูไวลี่' ฟ้องศาลโลกเป็นสิทธิ
 
 
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ
กล่าวถึงกรณีที่อุปทูตซาอุดีอาระเบียจะนำคดีอุ้มฆ่านายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่
นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียยื่นต่อศาลโลก ว่า เป็นสิทธิที่เขาสามารถทำได้
หากเขาไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
 
ทั้งนี้ เรื่องที่ตนไปพูดคุยกับอุปทูตซาอุดีอาระเบียก็ไม่มีใครทำมาก่อน
แต่ตนเป็นคนกล้าที่จะพูดเป็นครั้งแรก เพราะเห็นว่าความจริงก็คือความจริงจะไปหลบเขาทำไม
อย่างไรก็ตาม หากประเทศซาอุดีอาระเบีย เอาเรื่องนี้ไปพูดให้พันธมิตรประเทศมุสลิมของเขาฟัง ประเทศไทยก็เสียหายแน่นอน
 

http://www.komchadluek.net/detail/20140404/182283.html

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

     

 

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-04-01 19:51:56.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  วิธีการป้องกันแก้ไขการถูกข่มขืน

 

                             การป้องกันตนเองจากการตกเป็นเหยื่อในคดี "ข่มขืน"

 

 

   

                                          


 

พล.ต.ต.โสภณ พิสุทธิวงษ์ วปอ.51

ในสภาพสังคมปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในยุคโลกาภิวัฒน์ ทำให้สังคมไทย ที่ส่วนใหญ่เคยเป็นสังคมชนบท ต้องกลายมาเป็นสังคมเมือง การเอื้อเฟื้ อ ช่วยเหลือ อาทร ภายในชุมชนสังคมมีน้อยลงในขณะที่ชุมชน สังคมมีค่านิยมทางวัตถุเพิ่มมากขึ้น นำไปสู่ความเสื่อมของศีลธรรมมากขึ้นไปด้วยปัญหาของผู้หญิงหรือแม้กระทั่งเด็ก ถูกล่วงละเมิดทางเพศในสังคมไทย เป็นปัญหาที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจจะเป็นเพราะก้าวหน้าของการสื่อสารติดต่อกันด้วยระบบอินเตอร์เน็ต มีการเล่นเกมส์บนอินเตอร์เน็ตคล้ายของจริง ทำให้ภาพลามกปรากฏ เผยแพร่ได้ง่าย ทั้งในรูปของอินเตอร์เน็ตและแผ่นซีดี ซึ่งมีขายไปทั่วทุกตลาดหรือการนำภาพโป๊ ที่แอบถ่ายเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ตเผยแพร่สู่สาธารณชนทำได้ง่ายขึ้น เช่น เมื่อเดือนกันยายน 2551 นักร้องสาวโฟร์และมดถูกแอบถ่ายคลิปวิดีโอขณะเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น

 

แล้วถูกนำเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ตทำให้เด็กและเยาวชนถูกมอมเมา และเป็นตัวเร่งให้เกิดการล่วงละเมิดทางเพศทั้งในแง่ของผู้ถูกกระทำและผู้กระทำการล่วงละเมิดทางเพศที่พบมากและเป็นภัยสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้หญิงทั่วไปมากที่สุดก็คือการข่มขืนกระทำชำเรา แต่เดิมนั้น ความผิดฐาน ข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญานั้นหมายความถึง การที่ชายได้ใช้อวัยวะเพศของตน ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของฝ่ายหญิงโดยที่ฝ่ายหญิง(ที่ไม่ใช่ภรรยาของตน) ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือสำคัญผิดว่าชายนั้นเป็นบุคคลอื่น (แต่เติมผู้ชายข่มขืนกระทำชำเราภรรยาของตนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย)

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2550 ได้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 275 ซึ่งเป็นความผิด ข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา ให้กว้างขวางกว่าเดิม การข่มขืนกระทำชำเราตามความผิดที่แก้ไขใหม่นี้หมายถึงการกระทำของหญิงหรือชายก็ได้ ที่ได้ทำต่อเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน โดยฝ่ายที่ถูกกระทำไม่สามารถขัดขืนได้หรือเข้าใจผิดว่าเป็นคนอื่น เพื่อเป็นการสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำ กระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่นแต่ในบทความนี้ จะจำกัดการเสนอการป้องกันตนเองของผู้หญิง จากการถูกชายข่มขืนกระทำชำเรา ด้วยการใช้อวัยวะเพศ ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของหญิงผู้ถูกกระทำ ซึ่งเป็นปัญหาของการล่วงละเมิดทางเพศ ที่พบมากที่สุด ในสังคมไทย โดยตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือน กันยายน 2551ทั่วทั้งประเทศไทย มีผู้หญิงที่ถูกข่มขืนกระทำชำเรามาแจ้งความกับตำรวจ เป็นจำนวนถึง 3,575 คน



ผลการวิจัย และทฤษฎีการเกิดอาชญากรรม

จากผลการวิจัยและผลงานทางวิชาการทางด้านอาชญาวิทยา ที่ได้ศึกษาความผิดเกี่ยวกับข่มขืนการกระทำชำเรานั้น จะเกิดขึ้นได้ ก็โดยใช้หลักทฤษฎีการเกิดอาชญากรรมตามสถานการณ์ มาเป็นแนวทางในการศึกษา จะทำให้สามารถวิเคราะห์สาเหตุการเกิด และนำไปสู่การหาทางป้องกันแก้ไข ไม่ให้เกิดการกระทำความผิดได้อย่างเป็นหลักทางวิทยาศาสตร์

ทฤษฎีอาชญากรรมตามสถานการณ์ (SITUATION THEORY) นั้น มีหลักการว่า การจะเกิดอาชญากรรมได้ จะต้องมีองค์ประกอบสามประการ คือ เหยื่อ (ผู้ถูกกระทำ) คนร้าย และ โอกาส ที่มีความเหมาะสม ถูกตามเวลา หากปัจจัยของ เหยื่อ คนร้าย และโอกาส ไม่มีความเหมาะสมกันทางด้าน ศักยภาพ และเวลาแล้ว การกระทำผิดหรืออาชญากรรมก็จะไม่เกิดขึ้นในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรานั้น ได้มีผลการวิจัยผู้หญิง ที่มีโอกาสจะเป็นเหยื่อในการถูกข่มขืนกระทำชำเราไว้ว่า มีลักษณะอย่างไร โดยส่วนมากทั้งการวิจัยในประเทศไทย และการวิจัยในต่างประเทศ มักจะใช้แบบสัมภาษณ์ผู้ต้องขังในเรือนจำ ที่ถูกตัดสินให้จำคุกในความผิดฐานข่มขืน และมักจะสอบถามควบคู่ไปกับ โอกาส หรือเวลาที่เหมาะในการกระทำการข่มขืนกระทำชำเรา

 

โดยสถาบันวิจัยสังคม แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ได้วิจัยค้นพบว่า การที่ผู้หญิงแต่งกายยั่วยุอารมณ์ทางเพศ อยู่ในที่เปลี่ยว มีโอกาสถูกข่มขืนถึง 70% ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยสำรวจของ Robert R Hazelwood แห่งสถาบันฝึกอบรมแห่ง FBI สหรัฐอเมริกา ได้ทำร่วมกับ Janet Warren แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียร์ ตีพิมพ์ในหนังสือ DEVIANT AND CRIMINAL SEXUALITY ตีพิมพ์เมื่อปี 1993 ได้ผลการวิจัยสำรวจว่าสถานที่ และอายุ ของเหยื่อ มีผลต่อโอกาสการที่คนร้ายจะเลือกข่มขืนกระทำชำเราถึง 55%



ประเภทของคนร้ายที่กระทำการข่มขืนกระทำชำเรา

จากการแยกแยะลักษณะของคนร้ายที่เป็นชาย ได้ข่มขืนกระทำชำเราหญิงที่เป็นเหยื่อทางเพศ สามารถแบ่งได้ตามแรงจูงใจและลักษณะการทำผิดในการข่มขืนกระทำชำเราได้ดังนี้

1 ) ทำผิดหลังหรือก่อนข่มขืน (Felony rape) คือมีการทำผิดอย่างอื่นด้วยเช่น ปล้นทรัพย์แล้วข่มขืน
2 ) พวกโรคจิตก่อกวน (Nuisance offence) คือพวกที่ชอบเข้าไปข่มขืนในบ้าน หอพักเป็นต้น
3 ) ข่มขืนคนในครอบครัว (Domestic sexual assault) เช่นพ่อข่มขืนลูก เป็นต้น
4 ) บุคคลที่คุ้นเคย (Social acquaintance rape) ซึ่งมักเป็นคนที่รู้จักกัน เมื่อสบโอกาส จึงทำการข่มขืน เช่น คนข้างบ้านที่ไว้ใจกัน ปล่อยให้เข้ามาในบ้านแล้วอยู่ตามลำพัง จึงข่มขืน เป็นต้น
5 ) สมภารกินไก่วัด (Subordinate rape) เช่นข่มขืนชำเราผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกศิษย์ เป็นต้น
5 ) ซาดิสซ์ (Sadistic rape) เป็นพวกโรคจิต ที่เห็นความเจ็บปวดในทางเพศแล้วมีความสุข
7 ) ลักพาแล้วข่มขืน (Abduction rape) เป็นกรณีคนร้ายฉุดพาขึ้นรถแล้วนำไปข่มขืน เช่นรถตู้
8) แก๊งค์ข่มขืน (Formal gang sexual assault) เป็นลักษณะองค์กรอาชญากรรมในการค้าประเวณีข้ามชาติหรือค้ามนุษย์
9) กลุ่มวัยรุ่นฉุดคร่า (Informal gang sexual assault) เป็นกลุ่มวัยรุ่น ที่อาจคึกคะนอง หรือมั่วสุมสิ่งเสพติดแล้วสบโอกาส เห็นเหยื่อที่เหมาะโอกาส จึงลงมือฉุดคร่า ข่มขืนกระทำชำเรา

การป้องกันแก้ไขปัญหาการถูกข่มขืนกระทำชำเรา

การป้องกันแก้ไขปัญหาการถูกข่มขืนกระทำชำเรา แยกพิจารณาได้ 2 ขั้นตอน คือ

1) ขั้นตอนการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุข่มขืนกระทำชำเรา
2) ขั้นตอนการเผชิญเหตุการณ์จะถูกข่มขืนกระทำชำเรา

จากบทความทางวิชาการทางด้านอาชญาวิทยาหลายเรื่อง ได้แนะนำว่า การแก้ไขปัญหาในขั้นตอนเผชิญเหตุการณ์จะถูกข่มขืนนั้น เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยง และมักไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการที่จะป้องกันแก้ไขให้ผู้หญิงรอดพ้นจากเหตุการณ์นั้นได้อย่างปลอดภัย เนื่องจาก มีปัจจัยที่ต้องนำพิจารณาในการแก้ไขปัญหาภายใต้ภาวะวิกฤติบีบคั้น ซึ่งผู้ที่ไม่เคยฝึกมาก่อน จะไม่มีความสามารถหรือทักษะที่จะจัดการแก้ไขปัญหาได้ โดยมีปัจจัยหรือตัวแปรที่จะต้องดำเนินการให้เหมาะสมเมื่อจะถูกข่มขืนกระทำชำเราคือ

1 ) เวลาและสถานที่ การจะถูกข่มขืนในห้องน้ำโรงภาพยนตร์ กับในซอยเปลี่ยว ย่อมมีความแตกต่างกันในการใช้วิธีการแก้ไข เช่นในห้องน้ำอาจใช้การตะโกนร้องให้คนช่วย แต่ในซอยเปลี่ยวแม้ใช้นกหวีดที่ผู้หญิงเตรียมติดตัวไว้เป่ายามฉุกเฉิน ก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสเป่ าหรือไม่ หรือถ้าเป่ าได้แล้วจะมีใครได้ยินหรือไม่

2 ) ความแข็งแรงของผู้หญิงที่เป็นผู้จะถูกข่มขืน หากผู้หญิงที่ถูกข่มขืนมีความสามารถในการวิ่งเร็วหลบหนีได้ หรือเป็นนักยูโด ทีมชาติหรือเป็นมือปื น ที่มีความชำนาญในการยิงต่อสู้ ก็น่าเชื่อว่าจะแก้สถานการณ์ การจะถูกข่มขืนได้

3) ลักษณะจำนวน และอาวุธคนร้าย หากผู้หญิง เพียงคนเดียว เดินในซอยเปลี่ยว ไปพบคนร้ายแบบแก็งค์วัยรุ่น มีหลายคน และมีอาวุธปืน แม้ผู้หญิงที่จะเป็นเหยื่อการจะถูกข่มขืนจะเก่งเพียงใด มีอาวุธปืนที่ใช้ได้ดีเพียงใด ก็เป็นเรื่องที่จะแก้ไขปัญหาลำบาก

จากตัวแปรข้างต้น การจะแก้ไขปัญหาในสถานการณ์การจะถูกข่มขืน ว่าจะใช้วิธีการใด จึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงตัวแปรดังกล่าว และใช้ให้เหมาะสม ซึ่งในทางวิชาการทางด้านอาชญาวิทยาแล้ว ไม่แนะนำที่จะเสนอแนะวิธีการใด ที่เป็นสูตรสำเร็จ หรือวิธีการสำเร็จรูป ที่แก้ไขปัญหาหรือสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างครอบจักรวาล หรือที่สามารถเผชิญหน้ากับคนร้ายได้ทุกรูปแบบ หรือประเภทของคนร้ายที่จะมาข่มขืน ดังนั้นในทางวิชาการทางด้านอาชญาวิทยา จึงเน้นในการป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดสถานการณ์การจะถูกข่มขืนขึ้น โดยใช้ทฤษฎีสถานการณ์ (SITUATION THEORY) เป็นแนวทางป้องกันปัญหา คือ

1 ) การลดช่องโอกาส เช่น ไม่ไปในที่เปลี่ยว หากจำเป็นต้องไป ก็ต้องมีเพื่อนร่วมทางที่พอเหมาะกับเหตุร้ายที่อาจเกิดขื้น การแต่งกายของผู้หญิงไม่ยั่วยุ มีความรัดกุม ถอดยาก หรือถ้าหากคนร้ายที่มีศักยภาพที่จะข่มขืน เป็นคนรู้จักคุ้นเคย วิธีการป้องกันก็ไม่ควรไปในที่ลับตากับบุคคลดังกล่าวตามลำพังหรือการที่จะไม่นั่งรถแท็กซี่เพียงคนเดียว เป็นต้น

2 ) เพิ่มความแข็งแรงให้กับผู้หญิงที่จะเป็นเหยื่อ เช่น ให้ผู้หญิงพกอุปกรณ์ป้องกันตัวเมื่อคราวจำเป็น เช่นนกหวีด สเปรย์พริกไทย กรรไกร ร่มกันแดด หรือฝึกการต่อสู้ป้องกันตัว

3 ) การควบคุมคนร้ายผู้เสี่ยงต่อกระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา เป็นหน้าที่ของชุมชน และสังคมทุกส่วน ในการกวดขันไม่ให้วัยรุ่นจับกลุ่มมั่วสุม รวมถึงเสนอกฎหมายในการ จัดทำฐานข้อมูลผู้กระทำผิดทางเพศ (SEX OFFENDER REGISTRATION ACT) แบบในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการจัดทำฐานข้อมูลผู้เคยกระทำผิดทางเพศ ไว้ ให้สาธารณชนเข้าถึงข้อมูล เพื่อช่วยกันระมัดระวังจับตาดูเพราะว่าผู้กระทำผิดทางเพศส่วนใหญ่ ได้รับโทษจำคุกไม่นาน เมื่อพ้นโทษมาแล้วมักกระทำผิดอีกและมักทำผิดไม่ไกลจากที่พักอาศัย โดยเฉพาะคนร้ายโรคจิต

สรุปวิธีการป้องกันแก้ไขการถูกข่มขืน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แนะนำ วิธีการป้องกันแก้ไขปัญหาการถูกข่มขืนไว้ 10 ประการ คือ

1 ) อย่านุ่งกระโปรงสั้น การแต่งกายต้องรัดกุม ไม่โป๊ เกินไป
2) อย่าดื้อรั้นลองยา หมายถึงกรณี ยาเสพติด หากเพื่อนนำมาให้ลองแล้วใจอ่อนจะเป็นปัญหา
3 ) อย่าพึ่งพาคนแปลกหน้า คนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนมาเกี้ยวพาราสีหรือ ทำทีเป็นแนะนำช่วยเหลือ
4 ) อย่าคบหาเพื่อนไม่ดี ส่วนมาก เพื่อนที่ไม่ดี มักจะนำสิ่งที่ไม่ดีมาให้
5 ) อย่าหลีกหนีพ่อแม่ ยุคนี้เด็กสาวมักจะ "โตเกินวัย” กับพ่อแม่ก็มักจะไม่ได้มีเวลาใกล้ชิด
6 ) อย่าพ่ายแพ้ความฟุ่มเฟือย หญิงจำนวนมากอาจต้องจำใจ "ขายตัว-ขายยาเสพติด” เพื่อแลกเงิน
7 ) อย่าเฉื่อยแฉะเที่ยวเตร่ ควรมีผู้ใหญ่ในครอบครัวร่วมไปด้วย ยิ่งเป็นการ เที่ยวกลางคืน
8 ) อย่าเกเรไม่กลับบ้าน การที่หญิงสาวไปนอนค้างอ้างแรมเป็นเรื่องเสี่ยงอย่างยิ่ง
9 ) อย่าเผาผลาญเงินทอง
10) อย่ามัวแต่มองเพื่อนชาย เด็กสาวที่ให้ความสำคัญกับเพื่อนชาย มักเสียตัวโดยไม่เต็มใจ คุณผู้หญิงหรือผู้ปกครอง ควรนำมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ จะได้ป้องกันแก้ไขปัญหาการถูกข่มขืนกระทำชำเรา เพื่อที่จะได้ไม่เป็นรอยแผลใจไปตลอดชีวิต เพราะถูกคนร้ายข่มขืนกระทำชำเรา 

 

 

 

 

 

 

 

แนวทางปฏิบัติ ในคดีข่มขืน

 

 

 

 

 

ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเรา และหากเราเกิดโชคร้ายต้องพบกับเรื่องแบบนี้ เราจะทำอะไรได้บ้าง ศึกษาไว้ไม่เสียหายค่ะ...



การช่วยเหลือตนเองเบื้องต้นก่อนตัดสินใจดำเนินคดี


๐ ในระหว่างเกิดเหตุควรพยายามตั้งสติให้ได้ หากไม่มีทางเลือก ที่ดีไปกว่าการรักษาชีวิตไว้ก่อนแล้ว จำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ก็ควรจะยอมไปก่อน เพื่อหาทางหลบหนีเอาตัวรอดเมื่อมีโอกาส
พยายามหาทางออกจากจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด (โดยเฉพาะกรณีที่ถูกขัง) เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องต่อไป

๐ เมื่อออกจากจุดเกิดเหตุสิ่งแรกที่ควรทำคือ หาผู้ช่วยเหลือที่ ใกล้ชิดที่สุด โดยเฉพาะถ้าคิดว่าตนเองไม่อาจทำอะไรต่อไปได้เอง เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือมีอาการบาดเจ็บมาก

๐ รีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาบาดแผล, ตรวจเชื้อกามโรค, โรค เอดส์, ป้องกันการตั้งครรภ์ และเพื่อตรวจหาหลักฐาน เช่น น้ำเชื้ออสุจิ, ร่องรอยการร่วมประเวณี, ขน, ผม, เป็นต้น รวมทั้งการหาสารประเภทยานอนหลับ หรือแอลกอฮอล์ในร่างกายสำหรับรายที่ถูกวางยาหรือมอมเหล้า เบียร์ ดังนั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์ในการเก็บพิสูจน์หลักฐาน จึงไม่ควรเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ หรือชำระล้างสิ่งใด ๆ จากร่างกายก่อนพบแพทย์

๐ รีบแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที เพราะยังสามารถบอก รูปร่างหน้าตา จดจำลักษณะของผู้กระทำผิด ในกรณีเป็นคนแปลกหน้า เพื่อจะจับตัวผู้กระทำผิดให้ได้เร็วก่อนจะหลบหนีไป และต้องแจ้งความ ณ สถานีตำรวจซึ่งอยู่ในท้องที่เกิดเหตุ และจดจำชื่อ-ที่อยู่ของพยานในเกตุการณ์ให้ได้มากที่สุด เพื่อประโยชน์ในการติดตามมาเป็นพยานและในการดำเนินคดี


การร้องเรียนทางวินัย

ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดรับราชการ ลูกจ้างประจำ หรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ อาจารย์มหาวิทยาลัย กิจการเอกชนต่าง ๆ รวมทั้งผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ ที่มีองค์กรดูแลควบคุมจรรยาบรรณ เช่น แพทย์สภา, สภาทนายความ, ทันตสภา, วิศวกรสภา เป็นต้น ผู้เสียหายสามารถร้องเรียนต่อหน่วยงานเหล่านี้ได้ ซึ่งอาจจะมีผลให้ต้องไล่ออก, ปลดออก, ลดขั้นเงินเดือน, ตัดเงินเดือน หรือภาคทัณฑ์ความประพฤติไว้


เพราะนอกจากจะเป็นการลงโทษผู้กระทำความผิดได้ทางหนึ่งแล้ว ยังเป็นประโยชน์ในด้านพยานหลักฐานต่าง ๆ เมื่อผู้เสียหายนำคดีขึ้นสู่ศาล หรือแม้ในชั้นศาล พยานหลักฐานจะอ่อนจนไม่อาจลงโทษผู้กระทำผิดได้ เช่น คดีขาดอายุความ มีการถอนคำร้องทุกข์ยอมรับค่าเสียหาย การข่มขืนผู้เสียหายจริง จะมีผลในด้านความก้าวหน้าของหน้าที่การงาน ของผู้กระทำผิดได้ทางหนึ่ง


การแจ้งความร้องทุกข์


นอกจากจะมีการลงบันทึกประจำวันแล้ว สำหรับกรณีที่รู้ตัวผู้กระทำผิด ผู้เสียหายจะต้องระบุตัวผู้กระทำผิด ว่าต้องการให้เอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษด้วย มิใช่แจ้งไว้เพื่อมิให้คดีขาดอายุความ หรือแจ้งไว้เป็นหลักฐาน จะไปตกลงค่าเสียหายกันก่อน เพราะเท่ากับยังไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์ และควรขอคัดลอกบันทึกประจำวันการแจ้งความไว้ด้วย เพื่อป้องกันได้ว่ามีการลงบันทึกประวันจำไว้จริง

ในกรณีที่เป็นผู้เยาว์ คือ อายุต่ำกว่า 20 ปี ต้องให้พ่อหรือแม่เป็นผู้พาไป ถ้าพ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียน ต้องให้แม่เป็นผู้พาไป ถ้าเด็ก ๆ ไม่มีพ่อแม่ต้องให้ญาติพาไป


อายุความ


สำหรับคดีที่ผู้ถูกข่มขืนอายุเกิน 15 ปี จะต้องมีการแจ้งความหรือฟ้องคดีภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันเกิดเหตุ มิฉะนั้นจะถือว่าคดีขาดอายุความ

กรณีต่อไปนี้ ไม่อยู่ในอายุความ 3 เดือน สามารถแจ้งความได้แม้เกิน 3 เดือน
- ผู้ถูกข่มขืน ได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือตาย
- ผู้ข่มขืนมีมากกว่า 2 คน อันเป็นการโทรมหญิง
- มีอาวุธปืน ใช้ขู่บังคับ หรือแสดงให้เห็นในขณะกระทำความผิด
- ผู้ข่มขืนเป็นพ่อ ปู่ ตา ทวด หรือ ครูอาจารย์


อย่างไรก็ตามสำหรับรายที่สามารถแจ้งความได้แม้เกิน 3 เดือน แต่อาจจะมีปัญหาในเรื่องของพยานหลักฐานที่หาไม่ได้แล้ว หรือการจดจำพยานหลักฐานต่าง ๆ เช่น วันเวลาที่เกิดเหตุ หรือรูปพรรณสัณฐานคนร้ายในกรณีที่เป็นคนแปลกหน้า ฯลฯ


ทางที่ดีที่สุด จึงควรแจ้งความในทันทีที่เกิดเหตุ เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของผู้ถูกข่มขืน และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้



การยอมความ


คดีข่มขืนที่ต้องแจ้งความ หรือฟ้องคดีภายใน 3 เดือน เป็นคดีที่สามารถตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ ซึ่งการยอมความนั้นจะมีบันทึกหรือเป็นหนังสือหรือไม่ก็ได้ ฉะนั้นการที่จะตกลงรับเงินชดใช้ค่าเสียหายและมีพยานบุคคลเห็น ก็ถือว่าเป็นการยอมความแล้ว ไม่สามารถจะเปลี่ยนใจภายหลังได้อีก จึงต้องคิดให้รอบคอบเพราะค่าเสียหายเพียงน้อยนิดก็ถือว่าเป็นการยอมความแล้ว


ทางที่ดีเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในภายหลัง จึงควรไปตกลงต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และรับค่าเสียหายก่อนทำบันทึกตกลงยอมความ หากยังไม่ได้เงินค่าเสียหายครบถ้วนที่ตกลงกันไว้ ไม่ควรทำบันทึกไว้ก่อน เพราะในคดีข่มขืน แม้ผู้เสียหายไม่ตกลงยอมความ ผู้เสียหายก็ยังมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหาย โดยฟ้องเรียกในทางแพ่ง ได้อยู่แล้ว


ในกรณีที่ผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปีและยินยอมให้กระทำชำเราโดยความเต็มใจ เช่น การหนีตามผู้ชาย หรือหลงเชื่อว่าผู้ชายจะพาไปอยู่กินฉันผัวเมีย หากพ่อแม่ไปพบและเอาตัวเด็กผู้หญิงกลับมาบ้าน และแจ้งความดำเนินคดีกับชายที่มาหลอกลูกสาวไป ในข้อหากระทำชำเราโดยเด็กหญิงยินยอม และข้อหาพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร แม้จะมีช่องทางช่วยเหลือฝ่ายชาย ให้ไม่ต้องโทษในคดีอาญา โดยการร้องขอต่อศาลคดีเด็กและเยาวชน ขอจดทะเบียนสมรส ถ้าหากเด็กอนุญาต ฝ่ายชายสามารถนำทะเบียนสมรสมาแสดงต่อศาลอาญาจะทำให้ไม่ต้องถูกลงโทษในคดีกระทำชำเราได้ ส่วนข้อหาพรากผู้เยาว์ในกรณีที่ได้ความว่า ฝ่ายชายไม่มีภริยามาก่อน ศาลมักจะใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษ เป็นการช่วยให้ฝ่ายชายไม่ต้องรับโทษในการพาเด็กหญิงหนีตาม


ดังนั้นหากพ่อแม่ฝ่ายหญิงเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่า ฝ่ายชายไม่ได้จริงใจในการจะรับผิดชอบเด็กหญิง แต่ทำไปเพื่อให้หลุดพ้นจากคดีอาญาไปก่อน แล้วค่อยหาทางเลิกกับเด็กในภายหลัง และตัวเด็กหญิงเองก็ยังอยู่ในวัยต้องศึกษาเล่าเรียน เพื่อหาความรู้ในการประกอบอาชีพของตัวเองในวันข้างหน้า ทั้งยังด้อยวุฒิภาวะในการที่มีครอบครัวในขณะนั้น แม้จะมีกฎหมายเปิดช่องให้ฝ่ายชายทำเช่นนั้นได้ก็ตาม พ่อแม่ก็สามารถที่จะคัดค้านแถลงต่อศาลที่ฝ่ายชายไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสที่ศาลเด็กได้ รวมทั้งแถลงต่อศาลในคดีอาญาว่าประสงค์จะให้ฝ่ายชายได้รับการลงโทษ เพื่อให้การคุ้มครองแก่เด็กหญิง ซึ่งยังไม่มีวุฒิภาวะ พอปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2879/2540 ที่มีความเห็นออกมาคุ้มครองเด็กหญิง


หากยังมีข้อสงสัยหรือต้องการความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ติดต่อไปที่ คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี 2822690, 2825296

 

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

น้ำเต้าหู้ 1ถุง ไม่ใส่น้ำตาล ไม่เย็น ไม่ร้อน บวกกับมะนาว1ลูกแล้วคนให้ เข้ากัน ลักษณะของ น้ำเต้าหู้จะเปลี่ยนไปเป็นไขขุ่น คล้ายซีลีแลค หรือ คล้ายๆ วุ้นเละๆ หรือ โจ๊ก
หน้าตาจะไม่สวยแต่คุณค่าสูง นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย จักษุแพทย์ โรงพยาบาลเอกชัย จ.สมุทรสาคร ได้แนะนำคนไข้ดื่มน้ำนมถั่วเหลือง + ผสมน้ำมะนาวอาหารเสริมอายุวัฒนะสรรพคุณโดยรวม..เป็นอาหารเสริมที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพของร่างกายสมอง และสายตา หากดื่มเป็นประจำทุกวัน มีสรรพคุณที่โดดเด่นดังต่อไปนี้ คือ


1.ช่วยให้ระบบเส้นเลือดฝอยทั่วร่างกาย มีความยืดหยุ่นดี ไม่เปราะหรือแตกง่าย ดังนั้น คนที่มีปัญหาเส้นเลือดฝอยเปราะ แตกง่าย และมีเลือดออกตามร่างกาย เช่น เลือดออกที่ใต้เยื่อบุตาขาว หรือในผู้หญิงที่มักจะเกิดรอยจ้ำ เขียวช้ำเวลาถูกกระทบกระแทก หรือในผู้สูงอายุที่มักจะมีเลือดออกใต้ผิวหนัง ก็ช่วยให้ดีขึ้น และยังเชื่อว่าสามารถป้องกัน
โรคเส้นเลือดในสมองตีบตัน
หรือแตกได้เช่นกัน
(ป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต)


2.ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรง ต้านทานโรคติดเชื้อได้ดี ไม่เจ็บป่วยง่าย เช่น ในคนที่เป็นโรคเริมที่ริมฝีปากหรือบริเวณอวัยวะเพศ จะช่วยลดหรือหยุดการกำเริบซ้ำได้ หรือในรายที่ภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี เป็นไข้ ไอ เจ็บคอบ่อยๆ ก็จะช่วยให้อัตราการป่วยลดลงได้เช่นกัน


3.ช่วยส่งเสริมระบบไหลเวียน
เลือด ทำให้อวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานได้เต็มที่ สมองแจ่มใส ไม่มึนงง ร่างกายสดชื่น
(ผู้สูงอายุที่มีอาการมึนงง เซื่องซึม และเดินเซ จะเห็น การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นชัดเจน ) สามารถทนต่อการทำงานตรากตรำที่ต้องอดหลับอดนอนได้ดี
ขึ้น เช่น นักเรียน นิสิต
นักศึกษา ที่ต้องคร่ำเคร่ง ใช้สมองทบทวน ตำราใกล้สอบ หรือ ผู้ที่ต้องทำงาน หรือขับรถทางไกลในเวลาค่ำคืนเป็นประจำ


4.ช่วยให้เนื่อเยื่อต่างๆของร่างกาย แข็งแรง สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดี บาดแผลทุกชนิดจะหายเร็วขึ้น และช่วยให้รากผมแข็งแรง บรรเทาปัญหาผมร่วงในหญิง
วัยทองได้


5.เมื่อสุขภาพโดยรวมดีขึ้น ก็จะทำให้สมรรถภาพทางเพศดี ตามไปด้วย


6.จากคุณสมบัติต่อต้านอนุมูล
อิสระ (Antioxidant) ของวิตามินซีในมะนาว และสารไอโซฟลาโวนในถั่วเหลือง ทำให้เชื่อได้ว่า การดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้เป็นประจำ อาจจะป้องกันโรคมะเร็ง ได้อีกด้วย
หมายเหตุ...>>>


สูตรอาหารเสริมอายุวัฒนะ
ดังกล่าว ผ่านการเก็บข้อมูล และพิสูจน์จากผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปีมีความประสงค์ที่จะเผยแพร่
เป็นวิทยาทาน เพื่อสุขภาพที่ดีของมวลมนุษย์ชาติได้จดอนุสิทธิบัตรกับกรมทรัพย์ สินทางปัญญาเอาไว้แล้ว หากผู้ใดนำสูตรดังกล่าวไปทำ
ประโยชน์ทางธุรกิจ โดยไม่ได้
รับอนุญาติ จะต้องถูกดำเนินคดี ตามกฎหมาย...⭕

⭕.....Be Healthy.....
7 ข้อคิด พลิกชีวิตให้เป็นสุข

1.อดีตเป็นอย่างไรไม่สำคัญ อย่าปล่อยให้มันมาทำร้าย
ปัจจุบันก็พอ
2.คนอื่นจะมองคุณอย่างไรก็
ช่างเขา ไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย
3.เวลารักษาทุกสิ่ง ให้เวลาซักนิด แล้วมันจะผ่านไป
4.ความสุขไม่ใด้เกิดจากใคร คุณสุขได้เพราะใจคุณเอง


5.อย่าได้เปรียบเทียบชีวิตของ
คุณกับคนอื่น เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าชีวิตเค้าผ่านอะไรมาบ้าง
6.อย่าคิดมากไป เพราะบางครั้งการไม่รู้อะไรอาจดีกว่า
7.ยิ้ม ยิ้ม และ ยิ้ม ทุกปัญหาบนโลกใบนี้ไม่ใช่ปัญหาของคุณเพียงคนเดียว หลับตา
ขยันทำสมาธิทุกต้นชั่วโมงครั้งระ 2 นาที ทำให้ได้ทุกชั่วโมงเราจะอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุข...รักนะ
แชร์ไปให้คนที่คุณรักได้นะ
(love..love...love...love)(glad)

 

 

 

 

 

 

 

นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีไปแล้ว ใครจะมาสั่งให้พ้นอีกไม่ได้

 

 

ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวันกับคณะไว้พิจารณา เพราะ


1.นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยได้อีกว่านายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีเพราะเหตุได้กระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 268...

 

2. การที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นการใช้อำนาจบริหารในการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงได้ทุกตำแหน่ง แต่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนและกระบวนการตามที่กฎหมายว่าด้วยข้าราชการพลเรือนและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้ การที่นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งโยกย้ายนายถวิล จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงฯมาเป็นที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นตำแหน่งระดับเดียวกัน จึงมีอำนาจกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

 

3. การใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีออกคำสั่งย้ายนายถวิล จึงมิใช่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายของผู้อื่นซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ประกอบกับมาตรา 266 แต่อย่างใด เพราะเป็นการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีเอง หาได้ก้าวก่ายแทรกแซงอำนาจตามกฎหมายของบุคคลอื่นแต่อย่างใดไม่

 

4. ตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่ให้เพิกถอนคำสั่งย้ายนายถวิล มิได้เป็นการเพิกถอนเพราะเหตุนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจก้าวก่ายหรือแทรกแซงอำนาจการสั่งแต่งต้ังโยกย้ายของบุคคลอื่นซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 แต่เป็นการวินิจฉัยว่าการออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรีให้โยกย้ายนายถวิลมาประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นการใช้ดุลพินิจในการใช้อำนาจโยกย้ายที่ไม่ชอบด้วยกระบวนการและขั้นตอนตาใที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยข้าราชการพลเรือนและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากมิได้แสดงเหตุผลให้ชัดแจ้งว่าทำไมจึงมีความจำเป็นต้องโยกย้ายนายถวิลออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงฯ

 

5. คำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในเรื่องนี้มีปัญหาเกี่ยวกับความถูกต้องชอบธรรมของกระบวนการชี้ขาดตัดสินคดี เพราะประธานศาลปกครองสูงสุดใช้อำนาจสั่งให้นำคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ และตุลาการซึ่งเป็นองคณะและเจ้าของสำนวนรวม 8 คน มีความเห็นแย้งกับความเห็นของที่ประชุมใหญ่ และได้ทำความเห็นแย้งคัดค้านไว้
สรุป การที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีไม่เข้าข่ายเป็นการต้องห้ามตาม รธน. มาตรา 268 ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีจึงไม่สิ้นสุดลงตาม รธน. มาตรา 182(7) ดังที่นายไพบูลย์ นิติตะวันกับพวกอ้างในคำร้อง และไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่มีอำนาจตามมาตรา 182 วรรคสาม ที่จะวินิจฉัยได้ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 182 วรรคสามดังกล่าว


เพราะความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ได้มีการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 9 ธันวาคม 2556 นั้นแล้ว (รธน.มาตรา 180(2)) จึงไม่มีความเป็นรัฐมนตรีที่จะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าได้สิ้นสุดลงตามมาตรา 182 วรรคสามอีกหรือไม่แต่อย่างใด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                             Zhuge Liang.jpg

 

     

เสนาธิการแห่งจ๊กก๊ก
เกิด พ.ศ. 724
ถึงแก่กรรม พ.ศ. 777 (อายุ 53 ปี)
สถานที่ถึงแก่กรรม ทุ่งอู่จั้งหยวน
ผู้ดำรงตำแหน่งคนถัดไป

 

 

จูกัดเหลียง (อังกฤษ: Zhuge Liang; จีนตัวเต็ม: 諸葛亮; จีนตัวย่อ: 诸葛亮; พินอิน: Zhūge Liàng) หรือ ขงเบ้ง (孔明, พินอิน: Kǒngmíng) เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก นอกจากนี้ยังมีฉายาอื่นเช่น มังกรหลับ (臥龍先生) หรือ (伏龍) เป็นนักการเมืองสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นของจีน หรือในสมัยหลังราชวงศ์ฮั่นหากกล่าวอ้างอิงตามประวัติศาสตร์

 

จูกัดเหลียงดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านการยุทธนาการของพระเจ้าเล่าปี่ในตำแหน่งสมุหนายกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งจ๊กก๊ก รวมทั้งมีความสามารถในด้านการเมือง การทูต นักปราชญ์ วิศวกรและได้ชื่อว่าเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นที่สำคัญ โดยคิดค้นหมั่นโถว หน้าไม้กล โคมลอยและระบบชลประทาน

 

ศิลปินมักวาดภาพให้จูกัดเหลียงสวมชุดยาวแบบนักปราชญ์ สวมหมวก และถือพัดขนนกกระเรียน (บ้างก็ว่า ขนนก ขนห่าน) อยู่ในมือเสมอ

 

 

 

 

                                             

 

 

หมั่นโถวสีขาว

 

กล่าวกันว่าในประเทศจีนยุคสมัยสามก๊ก เมื่อคราวเบ้งเฮ็ก ผู้ปกครองทางตอนใต้ของจ๊กก๊กคิดกบฏ ขงเบ้งจึงต้องยกทัพลงมาปราบ ขงเบ้งรบกับชาวม่านมีชัยแต่ก็เสียใจมากเพราะได้เข่นฆ่าชีวิตมนุษย์ไปจำนวนมาก วิญญาณเหล่านั้นร้องครำครวญและสำแดงลมวิปริตขณะที่ทัพขงเบ้งจะข้ามสะพานลกซุย

 

เบ้งเฮ็กจึงแนะนำขงเบ้งให้ทำพิธีเซ่นไหว้ตามธรรมเนียมม่าน แต่ต้องฆ่าคน 50 คนมาทำการเซ่นไหว้ ขงเบ้งไม่อยากฆ่าคนเพิ่มจึงปั้นแป้งสาลีเป็นรูปหัวคนยัดไส้ด้วยเนื้อวัวเนื้อม้าแล้วเอาไปนึ่ง ขงเบ้งแนะนำชาวม่านว่าเซ่นไหว้ครั้งต่อไปให้ใช้แป้งยัดไส้นี้เถิดอย่าได้ฆ่าคนอีกต่อไปเลย

 

 


ตำราพิชัยสงครามขงเบ้ง ว่าด้วยแม่ทัพ


"การดูคน ว่าด้วยกลวิธีในการดูคนเจ็ดประการ" ดังนี้


อันการที่จะรู้ลักษณะนิสัยของคนนั้น หาได้ยากในการพิจารณาไป

เพราะความดีชั่วมีความแตกต่าง ส่วนลักษณะท่าทางก็มีความผิดแผกกันอย่างมากมาย


โดยบางคนภายนอกดู อ่อนโยน ... แต่ความจริงเป็น คนกลิ้งกลอก

โดยบางคนภายนอกดู สุภาพ ... แต่ความจริงเป็น คนหลอกลวง

โดยบางคนภายนอกดู กล้าหาญ ... แต่ความจริงเป็น คนขี้ขลาด

โดยบางคนภายนอกดู ทุ่มเท ... แต่ความจริงเป็น คนไม่มีความภักดี




ทว่า การดูคนจะมีอยู่ เจ็ด วิธี คือ

หนึ่ง ... ยุแหย่ด้วยเรื่องดีร้าย แล้วสังเกตดูซึ่ง "ปณิธาน" (ปณิธาน หมายถึง ความตั้งใจจริงที่จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ จนไม่เห็นสิ่งอื่นมีค่าควรแก่การสนใจอีก และอีกความหมายหนึ่ง ปณิธาน คือ จุดมุ่งหมาย อุดมการณ์ เป้าหมาย ความคาดหวัง ที่เรากำหนดและต้องการให้เกิดขึ้น )

สอง ... บริภาษให้อับจน แล้วสังเกตดูซึ่ง "ปฏิภาณ"

สาม ... สอบถามซึ่งกลยุทธ์ แล้วสังเกตดูซึ่ง "ปัญญา"

สี่ ... บอกกล่าวซึ่งเคราะห์ภัย แล้วสังเกตดูซึ่ง "ความกล้า"

ห้า ... มอมเมาด้วยสุรา แล้วสังเกตดูซึ่ง "อุปนิสัย"

หก ... ผูกมัดด้วยอามิส แล้วสังเกตดูซึ่ง "ความสุจริต"

เจ็ด ... มอบหมายภารกิจให้ทำในเวลาที่จำกัด แล้วสังเกตดูซึ่ง "สัจจะ"




คนหลายคนมีบุคลิกภาพภาคนอกดีเลิศประเสริฐศรี แต่จิตใจกลับคับแคบ เน่าเฟะ

ผู้นำหลายคนดูคนเหล่านี้ไม่เป็น จะเป็นอันตรายในอนาคต

ท่านขงเบ้งเขียนไว้หลายพันปีแล้วสำหรับกลวิธีดูคน

ปัจจุบันกลวิธีเหล่านี้ก็ยังใช้ได้อยู่ไม่เสื่อมคลาย




ขอบคุณหนังสือดีดีๆ
ขงเบ้ง. (อมร ทองสุก, ผู้แปล). ตำราพิชัยสงครามขงเบ้ง. ปทุมธานี : ชุณหวัตร, 2550.

 

 

 

                   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                ตำนานน่ากลัวในนิยายที่กลายเป็นเรื่องจริง

 

 

 

 

 

 

 

 

เฟรดดี้ ครูเกอร์ เป็นสัตว์ประหลาดสมมุติที่ปรากฏตัวในภาพยนตร์สยองขวัญครั้งแรกในชื่อนิ้วเขมือบ A Nightmare on Elm Street (1984) โดยรูปร่างของมันเป็นปีศาจ ที่ร่ายกายที่เห็นเนื้อหนังไหม้ไฟ ใส่ชุดสีแดง ลายทางสีดำ ใส่หมวกเหมือนขอทาน มาพร้อมกับกรงเล็บเหล็กยาวแหลมเหมือนใบมีดโกนที่นิ้ว มีนิสัย อารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา และเกลียดที่จะเห็นคนอื่นมีความสุข โดยมันมีความสามารถพิเศษคือมันสามารถ เข้าไปในความฝันของคนอื่นได้ และมันจะหลอกหลอนหรือฆ่าเจ้าของฝันจนตาย หากเจ้าของความฝันหนี มันไม่พ้นจะไม่มีโอกาสตื่นในโลกแห่งความจริงอีกเลย โดยวิธีป้องกันมีทางเดียวเท่านั้นคือการถ่างตาไม่ ให้นอนหลับ

 

เฟรดดี้มีประวัติไม่แน่นอนเพราะเปลี่ยนไปเรื่อย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเขาตายเพราะถูกเผาทั้ง เป็น และเฟรดดี้ได้กลายเป็นตัวร้ายในภาพยนตร์ตลอดกาลในจิตใจของคนอเมริกันและคน ทั่วโลกติด อันดับต้นๆ และภาพยนตร์ที่มีเฟรดดี้ปรากฏก็มีมากมายหลายภาค จนมันได้กลายเป็น “แฟรนไชส์” ที่ฮิตติด อันดับเรื่อยมา เฟรดดี้เป็นผลงานของ เวส คราเวน(Wes Craven) โดยแรงบันดาลใจของเขานั้นคือเขาไปเจอ บทความหนึ่งเกี่ยวกับโรคชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในแถบบ้านเรานั่นก็คือ “โรคไหลตาย” ซึ่ง มันเป็นโรคลึกลับ ชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นที่คนถึงแก่ความตายอย่างปัจจุบันทันด่วน

 

คือก่อนเข้านอนปกติ พอเช้ากลับพบว่าเสีย ชีวิตโดยไม่ลืมตาตื่นดูโลกอีกเลย โรคนี้เป็นที่ฮือฮามาก ในอเมริการู้จักโรคนี้เมื่อทศวรรษที่ 1970 ในกลุ่ม อพยพชาวกัมพูชาที่ลี้ภัยมายังประเทศสหรัฐเป็นจำนวนมาก และหนังสือพิมพ์ยุคนั้นได้ตีข่าวว่ากลุ่มชาว อพยพกัมพูชาปฏิเสธในการนอนหลับ เพราะไม่อยากเจอฝันร้ายที่เกิดจากประสบการณ์เขมรแดงเรือง อำนาจหลอกหลอน ไม่เพียงเท่านั้นหลายคนที่นอนหลับได้เสียชีวิตระหว่างนิทรา ซึ่งในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ การแพทย์ไม่เคยเจออาการชนิดนี้มาก่อน โดยสาเหตุของอาการชนิดนี้ไม่แน่ชัดว่าเกิดมาจากสาเหตุใดกันแน่ ทั้งๆ คนที่เกิดอาการยังเป็นคนหนุ่ม(อายุระหว่าง 19-57 ปี) ร่างกายแข็งแรง ไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆ มาก่อน

 

 

 

โรคไหลตาย...

 

ช่วงที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่องผีแม่ม่ายกำลังกระหึ่มนั้น การล้มตายโดยไม่ทราบสาเหตุยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในหลายจังหวัดของภาคอีสาน ผู้ตายทุกคนเข้านอนตามปกติก่อนเกิดเหตุ แต่พอเช้ามาพบว่าตายเสียแล้ว ชาวบ้านเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ไหลตาย

โรคหรืออาการไหลตายเป็นโรคที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเกิดจากเหตุลึกลับ และเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ แต่ความจริงแล้วมีสาเหตุทางการแพทย์สองอย่าง คือ

-การบริโภคอาหารที่มีสารพิษวันละเล็กละน้อยในทำนองสะสมจนเกิดเป็นพิษต่อกล้ามเนื้อหัวใจ

-การขาดสารอาหารที่เป็นวิตามินบี ๑ อย่างรุนแรงเฉียบพลันขนาดที่ทำให้คนแข็งแรงเกิดความอ่อนเพลียและอยากนอน พอหลับแล้วก็หัวใจวายตายเกือบจะทันที

โรคไหลตายจึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาวะทุพโภชนาการและสุขนิสัยการกินที่ผิด ความรู้ความเข้าใจแบบนี้จะช่วยให้เรากำหนดชะตาชีวิตของเราเองได้โดยไม่ต้องไปกลัวผีสางแม่นางโกงที่ไหนเลย

ที่มา วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)

 

 แหล่งของวิตามินบี 1

ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินบี 1 ได้ จำเป็นต้องได้จากอาหารแหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 1 มากได้แก่

จากสัตว์ : เนื้อหมู, ปลา, ไก่, ตับ, ไข่

จากพืช : ถั่วเมล็ด, เมล็ดข้าว ( whole grains)

ในอาหารจำพวกผักและผลไม้ ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณของไธอะมินน้อย แต่ถ้าคิดจากที่กินในแต่ละวันแล้ว ร่างกายก็จะได้รับไธอะมินพอประมาณ

 

ชนิดของอาหาร

ปริมาณวิตามินบี 1 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม

เนื้อหมู, สด

0.69

หมู, ตับ

0.40

เนื้อวัว, สด

0.07

วัว, ตับ

0.32

ไก่, เนื้อ

0.08

ไก่, ตับ

0.36

ปลาดุก

0.20

ปลาทู, นึ่ง

0.09

ไข่เป็ดทั้งฟอง

0.28

ไข่ไก่ทั้งฟอง

0.15

ข้าวกล้อง, หอมมะลิ

0.55

ข้าวเจ้า, ซ้อมมือ

0.34

ข้าวมันปู

0.46

ข้าวเหนียว

0.08

ข้าวเหนียวดำ

0.55

งาขาว, คั่ว

0.83

งาดำ, อบ

0.75

ถั่วเหลือง, ดิบ

0.73

ถั่วเขียว, ดิบ

0.38

ถั่วแดง, ดิบ

0.73

ถั่วแระ, ต้ม

0.31

 

 

การเก็บรักษาคุณค่าทางอาหาร

 

ไธอะมินจะสูญเสียคุณค่าทางอาหารได้ ถ้าขณะที่ปรุงอาหารด้วยการให้ความร้อนเมื่อมีน้ำอยู่ด้วย พบว่า ในการหุงข้าวที่ซาวน้ำทิ้งหลายๆ ครั้ง แล้วหุงโดยไม่เช็ดน้ำ จะทำให้สูญเสียไธอะมินประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำจะยิ่งทำให้การสูญเสียไธอะมินมากขึ้นอาจสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการหุงข้าวโดยไม่มีการซาวน้ำทิ้งเลยและหุงแบบไม่เช็ดน้ำจะช่วยเก็บรักษาไ ธ อะมินไว้ในเมล็ดข้าว ได้ดี

 

• การย่างหรืออบ ( broiled or roasted) พวกเนื้อสัตว์อาจสูญเสียไธอะมินไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การต้มหรือลวกเนื้อแล้วทิ้งน้ำไปจะทำให้เสียวิตามินสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ากินทั้งเนื้อและน้ำด้วยจะสูญเสียวิตามินไปประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น

 

• การต้มผักในน้ำน้อยๆ ให้สุกโดยเร็ว จะสูญเสียวิตามินน้อยกว่าการต้มนานๆ ในน้ำมากๆ ไม่ว่า จะเป็นวิตามินบี หรือ ซี

 

 

                          

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

[​IMG]

 

 

 

 

สำนักพระพุทธศานาลั่น "พุทธะอิสระ" ไม่ใช่พระอุปัชฌาย์ บวชเณรไม่ได้ มีความผิดถึงต้องสึกจากพระ




[​IMG]

 
 

[​IMG]
 

การเลือกข้างก็บ่งบอกแล้วว่าคุณคือใคร...เพราะหัวใจขององค์กรกลางคือความถูกต้อง ควาจริง ความสงบและยุติธรรมในสังคม

 

 

 

[​IMG]

 

 

 

 

 

แดงปะทะเดือดกปปส.หน้ารพ.นางรอง เจ็บ 1



เครือข่ายแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)บุรีรัมย์ และกลุ่มขบวนการคนอีสาน ปกป้องประชาธิปไตยจ.บุรีรัมย์กว่า 300 คน ได้เคลื่อนขบวนรถติดเครื่องขยายเสียงพร้อมถือป้ายที่มีข้อความต่อต้านเผด็จ การ การปฏิวัติรัฐประหารและป้ายสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไปตามถนนสายต่าง ๆในเขตเทศบาลเมืองนางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์

อย่างไรก็ตามเมื่อขบวนมวลชนของนปช.เคลื่อนมาถึงบริเวณหน้าโรงพยาบาลนางรอง ตั้งอยู่ถนนทางหลวงหมายเลข 24 สายโชคชัย- เดชอุดม ในเขตเทศบาลเมืองนางรอง ก็ได้เผชิญหน้ากับเครือข่าย กปปส.บุรีรัมย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่ แพทย์พยาบาลในโรงพยาบาลนางรอง ประมาณ 50 คนที่ออกมาแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์โดยการเป่านกหวีด และโบกธงชาติไทยเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ และสนับสนุนการปฏิรูปที่หน้าโรงพยาบาลเป็นประจำจนเกิดการตะโกนด่าทอ และโต้เถียงกันไปมาขึ้น

จากนั้นได้มีกลุ่มวัยรุ่นชายฉกรรจ์ 2-3 คน ใช้ผ้าปิดบังอำพรางใบหน้าตา ซึ่งมากับกลุ่ม นปช.ได้เข้าไปปลดรื้อป้ายสนับสนุนการปฏิรูปการเมือง ก่อนการเลือกตั้ง และป้ายที่มีข้อความว่า"คนนางรอง คนไทยหัวใจไทย ไม่ยอมให้ใครมาแบ่งแยกแผ่นดินไทยเด็ดขาด"ที่กลุ่มแพทย์ พยาบาล และ กปปส.ได้ติดไว้ริมรั้วด้านหน้าโรงพยาบาลนางรองสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่ม กปปส.ที่ไม่ยอมให้รื้อปลดป้าย จนเกิดการยื้อยุดฉุดกระชากกับกลุ่ม นปช.ทั้งได้เกิดการชกต่อยใช้ด้ามธงฟาดตี พร้อมทั้งปาขวดน้ำ และขวดแก้วใส่กัน เป็นเหตุให้กลุ่มกปปส.ที่เป็นผู้หญิงถูกเศษขวดแก้วกระเด็นใส่ขาได้รับบาด เจ็บ 1 ราย ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นางรองจะเข้ามาระงับเหตุและกันคนทั้งสองกลุ่มแยกออกจากไป

ทั้งนี้กลุ่ม นปช.ยังได้อ่านแถลงการณ์พร้อมนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีเผาโลงศพขององค์กรอิสระ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการต่อต้านองค์กรอิสระดังกล่าวด้วย

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างความสนใจให้กับประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาบนถนน สายดังกล่าวรวมถึงประชาชนและผู้ป่วยที่เดินทางมาใช้บริการที่โรงพยาบาล นางรองต่างพากันมายืนดู ทั้งสองฝ่ายได้เกิดการเผชิญหน้ากันประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนต่อมากลุ่ม นปช.ก็ได้เคลื่อนขบวนกลับ จึงไม่มีเหตุรุนแรงบานปลายขณะที่ กปปส.ก็ได้นำป้ายที่ถูกปลดรื้อไปกลับมาติดไว้หน้าโรงพยาบาลเหมือนเดิม



[​IMG]


[​IMG]
 

 

 

 


 

guest
ArjanPong

Post : 2014-03-28 18:31:22.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ลูกถูกหมาคนอื่นกัด

 

 

                                               ลูกถูกหมา (คนอื่น)กัด

 

 

 

                                           

 

 

โดย พี่โจ  http://kodmaychawban.blogspot.com/



 
เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนเห็นคนเดินจูงสุนัขเกลื่อนไปหมด บางคนเอาสุนัขไปแปลงโฉมตัดขนเล็มขน บางคนจับมันแต่งตัวใส่กระโปรงนุ่งกางเกง ถึงกับมีร้านตัดชุดสำหรับสุนัขโดยเฉพาะ แถมเวลาเจ้าของมีธุระต่างจังหวัดไม่ส่ามารถเอาสุดที่รัก(สุนัข) ไปด้วย ยังเอาสุดที่รัก(สุนัข) ไปเข้าโรงแรมสำหรับสุนัขได้ด้วย
 

แต่ก่อนหาคนอยากเรียนหมอรักษาสัตว์หรือสัตวแพทย์ลำบากเหลือเกินเดี๋ยวนี้สัตวแพทย์รายได้ดีมาก ต่างคนต่างแย่งกันเรียน เปิดคลีนิครักษาสัตว์เฉพาะสุนัขก็รวยไม่เลิกอยู่แล้ว ท่านผู้อ่านลองสังเกตดูว่า เดี๋ยวนี้โลกมันกลับตาละปัตร สายอาชีวะแต่ก่อนว่าด้วย แต่เดี๋ยวนี้จบสายอาชีวะสามารถทำเงินได้มากกว่าสายสามัญ ขนมพื้นบ้าน อาหารพื้นบ้านที่คนจนเขากินกัน เดี๋ยวนี้ขึ้นภัตตาคาร ราคาแพง น้ำพริกกุ้งเสียบแต่ก่อนชาวบ้านกินกัน เศรษฐีต้องกินหูฉลาม เดี๋ยวนี้ น้ำพริกกุ้งเสียบชุดละ 60 บาท ดังนั้น หากท่านผู้อ่านคิดจะทำอะไร ลองนึกถึงเรื่องเก่า ๆ แล้วหยิบของเก่า ๆ สมัยโบราณมาทำขายดูซิ ดีไม่ดีอาจจะเป็นเศรษฐีในพริบตา
 

คุยนอกเรื่องไปเยอะแลย เรากลับมาเรื่องสุนัขของเราต่อนะครับ การเลี้ยงสุนัขบางคนเลี้ยงลูกสุนัขขนาดใหญ่ดูท่าทางน่ากลัว บางคนก็เลี้ยงสุนัขพันธุ์ล่าเนื้อ เอาดุ ๆ เข้าว่า ขโมยโจรได้ยินเสียงต้องถอยฉากก่อนว่างั้นเหอะ บางคนเลี้ยงขนาดกระเป๋า บางคนเลี้ยงขนาดรูปร่าง พันธุ์เห่ามั่งไม่เห่ามั้ง ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่
 

วันดีคืนดี ถ้าเราเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ มันจะเข้ามาถ่ายในสนามหน้าบ้านเป็นประจำ ถ้าไม่เปิดประตูมันัก็ไม่มายุ่ง จนวันหนึ่งทนไม่ได้จึงปักป้ายว่า "ถ้าหมายเข้ามาขี้อีก หมาตาย" ปรากฎว่าน่าแปลกที่สุนัขบ้านเพื่อนบ้านมันฉลาดมาก มันอ่านป้ายรู้เรื่อง ตั้งแต่นั้นมามันไม่เคยเข้ามาถ่ายในสนามหน้าบ้านอีกเลย
 

ท่านผู้อ่าน เมื่อนึกถึงลูกอันเป็นดวงใจของเราจะตัวเล็ก ตัวใหญ่ขนาดไหน ก็ตามอาจจะเคยถูกหมาไล่งับมาบ้าง ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็ถูกหมาเห่า เพียงแค่นั้นไม่เกิดปัญหามาให้เราคุยกันแน่ แต่ที่เรามาคุยกันวันนี้ เป็นกรณีที่หมามันกัด แต่ถ้าเป็นหมาของคนที่ไม่ค่อบชอบขี้หน้ากันอยู่ คงจะปรึกษาว่าทำอย่างไรที่จะเอามันเข้าคุกให้ได้ อย่าเพิ่งถึงขนาดนั้นเลย
 

ก่อนอื่นเรามาดูหลักกฎหมายกันก่อน เพราะเรื่องนี้มีกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ในทางอาญา กฎหมายเขาบอกว่า " ผู้ใดควบคุมสัตว์ดุหรือสัตว์ร้ายปล่อยปละละเลยให้สัตว์นั้นเที่ยวไปโดยลำพังในประการที่อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินครึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
 

เห็นไหม ยังไม่ต้องถึงไม่กัดใครเข้านะ เพียงแค่เดินไปคำรามแฮ่ ใส่คนโน้น คนนี้ เจ้าของก็นโดนแจ๊คพอต เข้าให้แล้ว คำว่าสัตว์ดุหรือสัตว์ร้าย หมายถึง สัตว์อะไรก็ได้ที่มันดุร้ายหรือมันร้าย รวมถึงหมาที่เห็นคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่เจ้าของแล้วกระโจนใส่ แต่ไม่หมายรวมถึงลูกเกเรของใครที่พอออกนอกบ้านแล้วชอบเที่ยวไปตีหัวหรือชกต่อยลูกคนอื่น เพราะเขาเป็นมนุษย์ไม่ใช่สัตว์
 

ในทางแพ่ง กฎหมายเขาบอกไว้ว่า "ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยง รับรักษาไว้แทนเจ้าของ จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหาย เพื่อความเสียหายอย่าง ใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะได้พิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยง การักษาตามชนิด และวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้น ย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น
 

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่น อันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้
 

ดังนั้น หากเกิดกรณีลูกของท่านถูกหมากัดคนอื่นกัด ก็คงจะต้องพูดคุยเจรจากันก่อน หากหัวหมอก็ไปแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับเจ้าของหมา แต่เนื่องจากเป็นความผิดลหุโทษ ตำรวจอาจเปรียบเทียบปรับได้ แต่หากท่านในฐานเป็นผู้เสียหายไม่ยอมให้เปรียบเทียบปรับ ตำรวจก็จะส่งเรื่องไปที่อัยการ แล้วอัยการก็จะไปยื่นฟ้องเจ้าของหมาที่ศาล
 

ส่วนในเรื่องการเรียกร้องค่าเสียหายหากตกลงกันได้เองก็จบกันไป แต่ขอแนะนำว่าน่าจะตกลงอะไรกันให้ทำบันทึกไว้ หากตกลงกันไม่ได้ก็ต้องไปยื่นฟ้องที่ศาลเรียกร้องค่าเสียหาย
 


แต่ก่อนจะดำเนินการตามกฎหมาย อย่าลืมล้างแผลให้ลูกด้วยสบู่ก่อนนะ แล้วพาไปหาหมอ จากนั้นก็ต้องคอยสังเกตพฤติกรรมหมาที่มากัดลูกเรา ว่ามีอาการโรคกลัวน้ำหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องรีบดำเนินการให้หมอจัดการฉีดยาแก้โรคกลัวน้ำเสียนะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                 แรมโบ้กร้าว"ปู"หลุดเก้าอี้ เเดงลุย!!

 

 

 

 

                        

      

      

 วันที่ 31 มี.ค. 57 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า หากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในคดีโครงการจำนำข้าว และหากส.ว.รับลูกถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกจากตำแหน่ง กลุ่มคนเสื้อแดงจะลุกขึ้นโต้ตอบทันที

โดยขณะนี้กำลังรับกลุ่มอาสาสมัคร ใช้ชื่อว่า กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) มีผู้เข้าร่วมประมาณ 1 พันคน และส่งไปฝึกแบบทหาร เรียนรู้การต่อสู้ เพื่อมาดูแลความปลอดภัยให้กับการชุมนุมของคนเสื้อแดง

จากนี้ทางแกนนำจะประกาศแผนดำเนินการในวันที่ 3 เม.ษ.นี้ คาดว่าการชุมนุมจะเริ่มวันที่ 5 เม.ษ. อาจเป็นที่กรุงเทพฯ และอาจปิดถนนสายหลัก ที่เชื่อมไปยังภาคอีสาน

 

  ยุทธศาสตร์...หลายกลยุทธ์
เท่าที่เห็นตอนนี้ยุทธศาสตร์...
**สู้เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย**

มีการเดินหมาก...หลายกลยุทธ์
ถือว่าเป็นเรื่องที่...แนวร่วมต้องสนับสนุนและให้กำลังใจ

รัฐบาลและนายก...ใช้กลยุทธ์ช้าๆได้พร้าเล่มงาม
แกนนำ นปช.หมอเหวง ป้าธิดา สมชาย ไพบูลย์...ฯลฯ
ใช้กลยุทธ์...ตะโกนด่าหน้าค่าย ท้าทายยั่วยุ


แกนนำ นปช.
อย่างตู่ เต้นสมชาย ไพบูลย์ ฯลฯ...ใช้กลยุทธ์
ถลกหนังคนดี ตีโอบค่าย ร่ายคาถายั่วยุ...ปลุกเร้า


ส่วนแรมโบ้...ใช้กลุยุทธ์
เตรียมพร้อมล้อมอำมาตย์...การ์ดนับพัน เพื่อเตรียมประจัญบาน


นอกจากนี้...ยังมีกลยุทธ์อื่นๆอีกหลายวิธีการ
ที่เห็นๆก็คือ...มือกฎหมาย ฝ่ายประสัมพันธ์ ลั่นกลองรบ

โดย ป้าใหญ่97
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

กลัวซะที่ไหน .......

 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

 

!!! นายกรัฐมนตรี ควรใช้สิทธิ
ฟ้องคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นจำเลย
ต่อศาลแพ่ง ฐานละเมิดสิทธิที่รวบรัด
และรีบเร่งและไม่ยอมขยายเวลาให้สิทธิ
นายกรัฐมนตรีนำพยานหลักฐาน
มาหักล้างข้อกล่าวหา ทั้งๆที่
ขยายเวลาเพียง 45 วัน


การกระทำของคณะกรรมการ ปปช.
ถือว่า เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของ
ผู้ถูกกล่าวหาตามบทบัญญัติแห่ง
รัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง
@@@

พ.ต.อ.อุดร ชาญนุวงศ์

 
 
 
 
 

“ ดิฉันเอง ก็ตั้งข้อสงสัย แต่ก็หวังว่า ป.ป.ช.คงมีคำตอบให้เรา ในเรื่องของกระบวนการความยุติธรรมต่าง ๆ ว่าได้ปฏิบัติกับเราเหมือนกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ๆ หรือไม่ เพราะเราเห็นว่าหลาย ๆ คดีที่เราขอเร่งไป บางคดีก็เกือบจะขาดอายุความ หรือบางเรื่องขาดไปแล้ว และบางเรื่องใช้เวลานานเอกสารไม่ครบ ในขณะที่ของเราให้เวลาเพียง 15 วัน และการที่ตั้งข้อกล่าวหาก็เพียง 21 วัน และจะพยายามปฏิบัติตามกลไกกฎหมายที่มีอยู่ แต่จะได้รับความยุติธรรมตามสมควรที่จะได้รับเหมือนคนอื่นๆ คงทำให้มีความสบายใจมากขึ้น

 

กรณีคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่ดิฉันถูกกล่าวหาโดยการยื่นคำร้องถอดถอนจากพรรคฝ่ายค้านส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเป็นการกล่าวหาโดยตรงจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งที่โดยกระบวนการปกติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ควรจะเป็นคนกลางในการพิจารณาคดีคำร้องถอดถอน

 

และเมื่อคดีนี้มีความพิเศษกว่าปกติ คือ การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กลับมาเป็นคู่กรณีเสียเองเช่นนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมิใช่คนกลางที่จะอำนวยความยุติธรรม ดังนั้น ในเบื้องต้นดิฉันขอตั้งข้อสังเกต ดังนี้

 

1. มาตรฐานของการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติให้ไต่สวนคดีโดยเร็ว
และยึดหลักนิติธรรมนั้น ใช้กับบุคคลทุกกลุ่มในบรรดาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อยู่ในระดับบริหารด้วยกันอย่างเท่าเทียม หรือมีเงื่อนไขที่จะใช้กับบุคคลหรือคณะบุคคลบางกลุ่มอย่างไม่เท่าเทียมกัน เท่านั้น ดังจะเห็นได้จากหลายเรื่อง เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถูกกล่าวหา จะมีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนก่อน ซึ่งปัจจุบันแต่ละคดีไม่มีความคืบหน้า แต่ประการใด เช่น คดีสลายการชุมนุมที่ทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เมื่อปี พ.ศ.2553หรือคดีทุจริตอื่น ในปี พ.ศ.2553 ก็ไม่ปรากฏว่า มีความคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วเหมือนคดีของดิฉัน

 

2. ตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาที่มีต่อดิฉัน ซึ่งใช้เวลาเพียง 21 วัน ในการจัดเตรียมข้อกล่าวซึ่ง
มีมากมายหลายประเด็นที่อ้างว่า มีการทุจริตและมีความเสียหาย ซึ่งหากคำนึงถึงความเป็นธรรมแล้ว จำเป็นที่ดิฉันจะได้ใช้สิทธิตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองเพื่อตรวจสอบว่า มีพยานหลักฐานใดที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้ในการกล่าวหา หรือมีข้อสงสัยที่ไม่ชัดเจน เพื่อดิฉันจะได้ชี้แจงได้ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้ ทำให้สรุปได้ชัดเจนว่า “การตรวจพยานหลักฐานในคดีนี้ ดิฉันไม่ได้รับการอำนวยความยุติธรรม” ตามสมควร

 

3. การขอเลื่อนคดีของดิฉัน มีความสมเหตุสมผลหรือไม่ และการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ไม่ให้ดิฉันเลื่อนคดีมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด ในเรื่องนี้เมื่อตรวจสอบจากบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาว่า “โครงการรับจำนำข้าว” เกิดความเสียหาย โดยดิฉันรับรู้ รับทราบแล้วทำไมไม่ระงับ ยับยั้ง เพื่อยุติโครงการรับจำนำเสีย

 

เรื่องที่ดิฉันถูกกล่าวหานี้ มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพยานเอกสาร และพยานบุคคลจำนวนมากที่ดิฉันต้องรวบรวม บางรายการต้องสืบค้นจากหลายหน่วยงาน เพื่อหักล้างข้อกล่าวหา แต่หน่วยงานต่างๆมีระยะเวลาไม่เพียงพอ จึงแจ้งเหตุขัดข้องมาหลายหน่วยงาน ซึ่งดิฉัน ได้ให้ทนายความนำไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบถึงเหตุขัดข้อง เพื่อขอเลื่อนคดีสักระยะหนึ่ง ซึ่งจากที่ให้แล้ว 15 วัน และดิฉันขอขยายอีก 45 วันตามที่ได้ร้องขอไป

 

แต่คำขออำนวยความยุติธรรมดังกล่าว แม้สักวันเดียวยังไม่ได้รับ ทั้งๆที่ฝ่ายกรรมการ ป.ป.ช. ที่ถือเป็นคู่กรณีอ้างว่า ได้ใช้เวลาตรวจสอบเรื่องของดิฉันมาปีเศษแล้ว ทั้งๆ ที่คณะกรรมการ ปปช. ชุดใหญ่ มีมติภายใน 21 วันเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา แต่เมื่อดิฉันจะใช้เวลาตามสมควรบ้าง กลับถูกปฏิเสธความยุติธรรมจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ไต่สวน

 

ดิฉันเห็นว่า คดีนี้เมื่อตัวดิฉันมีสถานะเป็นนายกรัฐมนตรี การถูกดำเนินคดีเป็นเรื่องที่สาธารณะชนทั่วไปควรต้องการรับรู้และถือเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะที่จะรับรู้ทั้งฝ่ายดิฉัน และเหตุผลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเสมือนมิใช่คนกลางไต่สวนพิจารณาคดี หากแต่ถือเป็นคู่กรณีที่กล่าวหาดิฉันด้วยว่า ระหว่างการไต่สวนพิจารณาคดีของกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ไต่สวนกับดิฉันในฐานะผู้ถูกกล่าวหา มีการปฏิบัติต่อกันในการดำเนินคดีโดยถูกต้อง เที่ยงธรรมหรือไม่ มิใช่มีเจตนามากล่าวหาต่อกันว่าใครผิดใครถูก ซึ่งไม่ถูกต้อง และกรณีของดิฉันคงเป็นบทเรียนของการใช้อำนาจของแต่ละฝ่ายว่า เป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือไม่

 

แต่กรรมการ ป.ป.ช. กลับชี้แจงโดยกล่าวหาดิฉันว่า เป็นเพราะดิฉันไม่มารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตนเองซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก เพราะการรับทราบข้อกล่าวหา ดิฉันตรวจสอบจากบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาที่เป็นลายลักษณ์อักษรได้อยู่แล้ว

 

เอกสารหลายรายการที่นำไปใช้กล่าวอ้าง และพาดพิงดิฉันรวมถึงบทสัมภาษณ์ ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจของ นายวิชา มหาคุณ ที่อ้างว่าดิฉันต้องรับผิดนั้น ทำไมไม่ให้ดิฉันตรวจพยานหลักฐานก่อน เพื่อให้ดิฉันได้มีโอกาสชี้แจงให้ถูกต้องและตรงประเด็น แต่กลับอ้างว่า ไม่สามารถให้ดูเอกสารหลักฐานได้เนื่องจากเป็นเอกสารสำคัญกลัวจะเสียรูปคดีซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของดิฉันตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิคุ้มครอง ซึ่งดิฉันได้รับเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาในครั้งแรก 49 แผ่น และในภายหลังเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาได้รับเอกสารเพิ่มเติมอีก 280 แผ่น ซึ่งนั่นหมายความว่า ดิฉันจะต้องแก้ข้อกล่าวหาหลังได้รับเอกสารทั้ง 280 แผ่นนั้นภายในเวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น" Yingluck Shinawatra

 

 

 

 

 

Unofficial Translation

In consideration of the fact that the allegations made against me by both the opposition party and the NACC regarding the Rice Pledging Scheme, even though according to the Constitution the members of the NACC have the duty to act objectively when considering such a case, and given that the members of the NACC by implication (as a party which has made said allegations) can no longer act impartially while ruling on this case, I wish to submit the following observations:


1. As it is set forth in the Constitution, the stipulation that proceeding with investigations of this kind must be based on the rule of law and without any unnecessary delay applies to every group, including for those who hold the position of political executive, unless specified due to special circumstances. Thus when considering other cases in the past when past political executive have been accused, there has normally been the established of investigative sub-committees first before hearings. However progress has not been made in any of the cases made against the previous government: such as the case for causing causalities and injuries to citizens while dispersing protests in 2010, as well as other corruption cases that were filed against the government that same year.


2. According to the accusations that have been filed against me, which have only taken 21 days to prepare and file (including a substantial number of corruption allegations which require detailed evidence and supportive data), and given that it is a Constitutional right for those being accused to be treated fairly and given equal access to examine the evidence used against them, which in the end serves only to add credibility to the evidence used by prosecuting party or in this case the NACC; I have no alternative but to conclude that as far as the examination of evidence and witness in this case is concerned, I have not been treated equitably or received any justice.


3. On the charges of negligence of duty in the rice pledging scheme that I have been accused of, there are a large number of witnesses and documents that need to be collected from many different agencies. These documents and witnesses are vital for my defense of the case. However, the agencies that I need to acquire the documents could not produce and release the documents in time. Therefore, I asked my lawyers to liaise with the NACC to request for the postponement of the date in which I have to defend the case for another 45 days in addition to the 15 days that have been given.


But my request for the postponement was rejected by the NACC and not even one day extension was given, on the other hand the NACC claimed that it had over a year to examine the documents to press ahead with the charges against me. It seems to me like a denial of justice by the NACC.


As I am the Prime Minister, the public will need to be fully informed of all details of the legal case related to me. The public will also need to be informed of evidence and substance of both sides. The NACC, which is not the intermediary to the case, but the NACC and I are in fact the opposing parties in this case. Therefore, the case should proceed in a fair manner and according to due process, whereby each of the parties should refrain from accusing other parties of wrongdoing out of the boundaries of legal procedure. It would be a good example whether the stakeholders conduct their act in accordance to the rule of law and due process.

The NACC also suggested that by not attending the hearing of the legal charges in person, it is not possible for me to understand the details of the case. This is incorrect as I can examine the accusation through the written documents.


The documents that were used to file accusations against myself also included the interview by Mr. Vicha Mahakhun, given to the Than Sethakit newspaper, which mentioned that I have to take the responsibility in the rice pledging scheme. I should have been given access to necessary documents so that I can be able to present my side of the case more accurately. The NACC denied my request, suggesting that it is an important document and could affect the legal procedure. This should be seen as infringing my basic rights of a Thai citizen as stipulated in the constitution. The documents that I was initially given was only 49 pages long and last Thursday I was given additional 280 pages. This means that I will only have 3 days to examine the additional 280 pages before I must defend my case on Monday.

 

 

 

 

  •  
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 [​IMG]
[​IMG]

[​IMG]

    

[​IMG]

 

 

 

[​IMG]

 

 

 

 

     วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2557 เป็นวันแรม 15 ค่ำ เดือน 4

 

 

                                             

 

 

 


  

 

 

 

 

 

           พระโพธิญาณมุนี (เมือง พลวฑฺโฒ) วัดป่ามัชฌิมวาส อยู่ที่ บ้านดงเมือง ต.ลำพาน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์

 

 

 

 

 

 

 

                     

 

 

 

 

 

 

 

             สมุนไพรรักษาโรคเกาต์ เพื่อล้างกรดยูริก

 

 
 
สมุนไพรรักษาโรคเกาต์ เพื่อล้างกรดยูริก หาง่าย ทำง่าย กินง่าย ไม่ต้องทรมานกับโรคเก๊าต์ ไม่ต้องเสียเงินซื้อยา
 
สูตร 1 ใบรางจืด 5 ใบ + ใบเตย 5 ใบ ต้มน้ำ 2 ลิตร ดื่มทุกวัน จะช่วยลดการเป็นเก๊าต์ – รูมาตอยด์ สูตรนี้ลดหินปูนได้ดีที่สุด
 
สูตร 2 ... มะละกอดิบ 1 ลูก เอาเมล็ดออก ไม่ต้องปลอกเปลือก ล้างให้สะอาด หั่นเป็นทอนๆ ต้มน้ำ 3 ลิตร ดื่มทุกวันอาการปวดลดลงจนหาย
 
สูตร 3 ใบมะรุมสดๆ 3 ยอด ต้มน้ำ 2 ลิตร ดื่มทุกวัน ลดอาการเก๊าต์ได้
 
สูตร 4 ใบยอ 4 ใบ + มะตูมแห้ง 1 แว่นย่างไฟให้เหลือง นำมาต้มกับน้ำ 3 ขวด เคี่ยวให้เหลือ 2 ขวด ดื่มกินต่างน้ำทุกวันจนกว่าจะหาย
 
สูตร 5 น้ำมะกรูด ผสมน้ำผึ้งนิดหน่อย แล้วเอาน้ำอุ่นเติมใส่ไม่ต้องมาก หรือน้ำเย็น ผสมแล้วนำมาดื่ม ใช้เวลาประมาณเดือนครึ่ง ดื่มทุกวันช่วยบรรเทาอาการ

อาหารที่ช่วยลดอาการเก๊าต์
 
1.ใบมะรุมสด ลวกจิ้มน้ำพริก
2.ลูกเดือยต้มกับข้าวเจ้า แบบข้าวต้ม ทานบ่อย ๆ
3.ใบรางจืด + ใบเตย ต้มน้ำดื่มประจำ 4.ใบย่านางสดวันละ 10 ใบ (คั้นน้ำดื่ม) ดื่มบ่อย ๆ แต่ไม่ต้องทุกวัน

เครดิต ขอบคุณเรื่อง-ภาพ : โดย หมอปรียาภา แฟนเพจ (แพทย์แผนไทย)
 
 
 
 
 
 
                     

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เฮ้ยยยย! จ๊ากกก!

 

 

 

 

 

 ...ปริศนา “ล้มแบบไหน ?ไหถึงหัก” ! ...

ผมเอาหัวแม่เท้าก่ายหน้าผากนอนคิดมาสองวันแล้ว เรื่องเกี่ยวกับที่น้องมาร์คของผมล้มไหปลาร้าหัก เพราะปกติผมเป็นคนขี้สงสัย และค่อนข้างคิดมากเอาการอยู่แล้ว เรื่องเล็กเรื่องน้อยเป็นสงสัยไปหมด แล้วนี่ เป็นเรื่องของอดีตผู้นำฝ่ายค้าน มีประวัติบอยคอตการเลือกตั้งถึง 2 ครั้งเชียวนะ ..ทำไมจะไม่สงสัย หื๋มมมม์


ผมพยายามคิดแล้วคิดอีก เอ..ล้มยังไง อีท่าไหน ไหถึงหักได้หนอ ถึงขนาดลงทุนจำลองภาพ 3 มิติ มโนการล้มของน้องมาร์คดู เกือบทุกท่าก็แล้ว ..ไม่น่าไหหัก !

[Image: 1979532_573339759429802_397539081_n.jpg]

ปกติคนล้ม ส่วนใหญ่จะสะดุดล้มไปข้างหน้า และด้วยสัญชาตญาณแล้วขาหรือแขน จะเป็นผู้รับเคราะห์การล้มแทนร่างกายส่วนอื่น อาจแขน ขา หัวเข่าถลอกปอกเปิก หรือหักก็แล้วแต่ดวงซวยมากซวยน้อย ..ยังไงก็ไม่ถึงไห

ส่วนน้อยมาก ที่จะล้มแบบหงายตึงไปข้างหลัง ซึ่งนั่นต้องได้รับข่าวร้าย และตกใจอย่างสุดขีด ยกตัวอย่างเช่น พรเทพ ได้ข่าวว่าเพื่อนทรยศชื่อสุเทพแย่งเมียไปแล้ว แบบหน้าด้าน พรเทพ ตกใจสุดขีด..หงายหลังตึง !


การล้มของน้องมาร์ค ถึงขนาดไหหักเช่นนี้ ต้องเป็นการล้มที่รุนแรง และแปลกประหลาดที่สุดในโลก โดยที่ใบหน้า ปาก ซอกคอ หัว ไหล่ หลัง หน้าอกไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใดๆ ..ไหหักอย่างเดียว


หากวิเคราะห์แล้ว ต้องเป็นสภาพการที่รุนแรงมาก ลักษณะไหของมาร์คต้องพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า ทำมุม ดิ่งไปหายังวัตถุส่วนใดส่วนหนึ่ง กระทบเข้ากับวัตถุนั้น อย่างไม่ทันระวังตัว..ไหถึงหัก


แต่อะไรเล่า ที่เป็นสาเหตุให้ไหของน้องมาร์ค พุ่งดิ่งไปเบื้องหน้า อย่างปราศจากการบังคับ ซึ่งจะต้องมีการกระทบอย่างรุนแรงมหาศาล..จนไหหัก
และที่สำคัญสุดยอด สิ่งนั้นจะต้องอยู่เบื้องหลังน้องมาร์คอย่างแน่นอน เพราะไหปลาร้าของมนุษย์อยู่เบื้องหน้า มาร์คคงต้องกำลังก้มหน้า แล้วถูกดันกระแทกอย่างรุนแรง จึงพุ่งไปข้างหน้า กระทบกับวัตถุใดๆ..ไหจึงหัก


นี่คือปริศนาที่เราท่านยังคงหาคำตอบไม่ได้ ว่าทำไมน้องมาร์คของผม จึงล้มไหหัก โดยที่ร่างกายส่วนอื่นๆไม่ได้รับอันตรายใด มาร์คกำลังก้มทำอะไร อะไรคือแรงส่งให้มาร์คพุ่งไปข้างหน้า..ผมยังคิดไม่ออก !!!
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 [​IMG]
 

 

 

[​IMG]

 

พี่ สาวคนนี้ละคะ "ผู้ยิงฟรีคิก" วันนั้นที่หน้า ปปช" โดยให้เหตุผลว่า.. มาด่าตนเสียหาย เช่น ดอกทอง และคำหยาบอีกมากมาย ปาขวดน้ำใส่หัวและนำไม้ตะพดไล่ตี "ผิดวินัยสงฆ์" ตนเลยตัดสินใจถวาย "ซ้งติง" ทำบุญ ! 5555

 
 

 

 

 

 

[​IMG]
 

 

 

 

10:01 น. เคลื่อนแล้ว!! กปปส. จากสวนลุมฯ

[​IMG]


[​IMG]

นักข่าวอิสระเพื่อประชาธิปไตย

สรุปยอดผู้ชุมนุม กปปส. 29 มี.ค.57 เวลา 10.00 รวม 21,740 คน

1.กปปส.ผ่านฟ้า(กปท.) ยอด 400 คน
2.กปปส.สะพานชมัยฯ(คปท.) ยอด 1,200 คน
3.กปปส.มท.(นปป.) เฝ้า พท.40 คน
4.กปปส.แจ้งวัฒนะ เฝ้า พท.50 คน
5.แยกสวมลุมฯ ยอด 20,000 คน
6.กปท.ที่กรมพลังงานทดแทนฯ ยอด 50 คน


มวลชน กปปส.จุดอื่นๆรวม 2,440 คน
-อนุสาวรีย์ ปชต.ยอด 40 คน
-ลานพระบรมรูป ร.5 ยอด 1,000 คน
-ขบวนแจ้งวัฒนะหน้า ป.ป.ช.ยอด 1,000 คน
-ขบวน กปปส.มท.(นปป.) ยอด 400 คน
กลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มอื่นๆรวม 30 คน
-เครือข่ายชาวนาไทย 77 จว.ภายใน พณ.ยอด 30 คน
* ยอดรวมทั้งสิ้น 26,650 คน *

 

 [​IMG]
 

 

 

 [​IMG]

 

 

 

 

 

                 จุดจบ..MH370? ปล้นสะท้านโลก

 

 

 

ถ้าเป็นแบบนี้จริง...สุดโหด
สงสารผู้โดยสารมากๆ

ปฏิบัติการอุ้ม 236 ชีวิต MH370
จากข้อเท็จจริงที่มีหลักฐานชัดเจนตามที่ปรากฏเป็นข่าว

1. Transponder และ ACARS ตั้งใจปิดจากใครบางคน ในห้องนักบิน เพื่อไม่ให้จับตำแหน่งของ MH 370 ตอนประมาณ 1721 z (หลัง takeoff 40 นาที)

2. เครื่องเปลี่ยนทิศบินมาทางตะวันตก

3. มีการไต่ระดับขึ้นสู่ความสูง 45,000ฟุตซึ่งเกิน Limitation ของ B777 หลังจากนั้นได้ลดระดับมาที่ 23,000 ฟุต

4. เครื่องไม่ตกกระแทก เพราะ ELT ไม่ส่งสัญญาณฉุกเฉิน

5. เครื่องไม่ตกน้ำ (ในช่วงแรก) เพราะ Black box ไม่ส่งสัญญาณฉุกเฉิน

6. ดาวเทียม 1 ดวง รับรู้สัญญาณจาก MH370 เวลาประมาณ 0011z หลังจากเหตุในข้อ 1 แล้ว เกือบ 7 ชั่วโมง

7. มีผู้โดยสาร 2 คนใช้ passport ปลอม
เรื่องเริ่มจากชาวอิหร่าน 2 นายที่ใช้ passport ปลอมถูกอุ้มโดยมือพระกาฬจากหน่วยงานลับของอเมริกัน ปลอมตัวเดินทางมากับ MH370 ซึ่งต้องการของบางอย่าง จากใครบางคนบนเครื่องนี้ ที่อันตรายต่อสหรัฐเป็นอย่างยิ่ง

8.ลูกเรือคนหนึ่ง อยู่ในทีมนี้ด้วย ทำให้สามารถ Hijack เครื่องได้โดยง่าย หลัง Takeoff มาสัก 40 นาที นักบินมาเลย์ ทั้งสองถูกทำให้สลบในพริบตาจากมือพระกาฬที่เชี่ยวชาญด้านจารกรรม ทั้งอาวุธและมือเปล่า

9.Transponder ถูกปิดลง ตามมาด้วย ACARS โดย hijacker มือพระกาฬ ซึ่ง ATC มาเลย์ทวงถามว่า ตอนนี้รับตำแหน่งไม่ได้แล้ว เครื่องมีปัญหาอะไรหรือไม่ ซึ่ง Hijacker ตอบกลับว่า อยู่ในการควบคุมของเวียดนามแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง " All right Good night" เป็นข้อความสุดท้ายที่ส่งมาจากมือพระกาฬ หนึ่งในสองคน นี้ MH370 ถูกบังคับเลี้ยวด้วย hi bank angle มาทาง ทิศตะวันตก ไต่ขึ้น 45,000 ฟุต เพื่อหลบการชนกันกับเครื่องอื่นๆ ที่มีมากมายในบริเวณนี้ นอกจากนั้นทำให้ระบบ pressurization เกิด CABIN ALTITUDE warning ซึ่งผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดต้องนั่งกับที่ใส่หน้ากากอ๊อกซิเจน ไฟฟ้าในห้องโดยสาร ติดสว่างอย่างอัตโนมัติจากนั้น Hijacker ตัดระบบอ๊อกซิเจนของผู้โดยสารออก แล้วบังคับ outflow valve แบบ manual ให้ fully OPEN ปล่อยให้ cabin altitude ขึ้นไป 45,000 ฟุต ทำให้ผู้โดยสารทั้งหมดเสียชีวิตภายในไม่กี่วินาทียกเว้น ทีมพระกาฬ 3 คน ควบคุมเครื่องบินได้อย่างอิสระ จากนั้น ลดระดับลงมาที่ 23,000ฟุต เดินทางต่อมาอีก 4 ชั่วโมง เหนือมหาสมุทรที่ radar จับไม่ได้ จนถึงเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรอินเดีย

10.กองกำลังลับ อีกจำนวนหนึ่งรอรับอยู่ ณ เกาะแห่งนี้ เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ทีมช่างที่เตรียมไว้ ได้ถอด ทั้ง ELT , Flight recorder และ voice recorder ออกทั้งหมด ต่อจากนั้นเครื่องบินถูกติดเครื่องอีกครั้งหนึ่ง ใช้นักบินคนเดียวที่ใส่ชุดเตรียมพร้อมเพื่อจมเครื่องลำนี้ใต้มหาสมุทรลึก เป็นการอุ้มที่สมบูรณ์แบบ สะท้านโลกยุค 2014
ปฏิบัติการสมบูรณ์แบบตามแผน เครื่องถูก takeoff จากเกาะแห่งนั้น แล้วบินต่ออีกประมาณ 2 ชั่งโมง จนน้ำมันหมด ไม่มีล่องลอยจากน้ำมันที่กระจายตัวให้เห็น เมื่อเครื่องและผู้โดยสารอีก 236 คน ถูกจมลงใต้มหาสมุทรลึก
..
11.แต่วินาทีสุดท้ายที่ไฟฟ้าดับลง เข้าสู่ระบบ แบตเตอรี่สำรอง ปรากฏว่า GPS ของเครื่องกลับมาทำงาน ping สัญญาณ กับดาวเทียมดวงหนึ่ง (อย่างไม่ตั้งใจ) ทำให้รู้ว่าเครื่องบินทั้งลำถูกอุ้ม และหายไปหลังออกเดินทางจาก กัวลาลัมเปอร์ แล้ว 7 ชั่งโมง หลังเหตุการณ์นี้คอยดูว่าใครจะเป็นแบ๊ะ แบ๊ะ แบ๊......

การวิเคราะห์จากเสธคนนึ่ง...ขอบคุุณมากมายค่ะ.

 

 


[​IMG]

 

 

 

 

 

 

 

 

                    

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

          

                      โรงพยาบาลธรรมชาติ

 

 

 

                                  

 

 

 

 

 

  โดยคุณ Boy Bkk


 

๑. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพัง ก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ 10 กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว

 

๒. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีด และกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว (น้ำมันปลาลดการอักเสบได้) ... หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ

 

๓. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกิน กระเทียม หอม พริกให้มากเข้าไว้

 

๔. ภูมิแพ้ แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี)

 

๕. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน

 

๖. โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่ หอมแดงต้นหอม และเอาหอมซุก ไว้ใต้หมอน

 

๗. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย, ปลาแซลม่อน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง

 

๘. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)

 

๙. ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ

 

๑๐. ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะ และให้กินน้ำมะขามต้มติด เนื้อมาก เช้า เย็น

 

๑๑. โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือ กินผักกระหล่ำปลีให้มาก

 

๑๒. เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย

 

๑๓. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มาก และ กินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสง วันละ ๑ กำมือก็ได้

 

๑๔. หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทูน่า

 

๑๕. กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมมาก) มะม่วงจิ้มกะปิ และ สับปะรด ซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก( แมงกานีส)

 

๑๖. ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครง และหอยนางรม ซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้

 

๑๗. มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด

 

๑๘. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดใน ปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่

 

๑๙. ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย

 

๒๐. เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับ ตะกรันน้ำมัน เก่าออกถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย

 

๒๑. ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสี มากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น

 

๒๒. เบาหวานถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และ กินผักเขียวจัด อย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอ และฝรั่งเพราะ มีน้ำตาลอยู่น้อยมาก โรงพยาบาลธรรมชาติ หัวจรดเท้ารักษาเองได้ก่อนไปหาหมอ "ขอให้ทุกๆคนมีีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงๆน่ะครับ"

 

 

 

 

 

 

 

 [​IMG]
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  1. นายกฯ ตัดพ้อ ป.ป.ช.ไม่ยืดเวลาแจงจำนำข้าว ถามกลับ หากเห็นว่าผิดทำไมไม่สั่งระงับโครงการ ??

    วันนี้ (28 มี.ค. 57) ในเพจเฟซบุ๊ก @Yingluck Shinawatra ซึ่งเป็นของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อความแสดงความเห็น ถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เรียกตัวนายรัฐมนตรีไปชี้แจงเกี่ยวกับการทุจริตจำนำข้าวในวันที่ 31 มี.ค. นี้ โดยระบุว่า

    [​IMG]
  2.  

กราบเรียนพี่น้องประชาชนที่เคารพ

กรณีคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่ดิฉันถูกกล่าวหาโดยการยื่นคำร้องถอดถอนจากพรรคฝ่ายค้านส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเป็นการกล่าวหาโดยตรงจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งที่โดยกระบวนการปกติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ควรจะเป็นคนกลางในการพิจารณาคดีคำร้องถอดถอน

และเมื่อคดีนี้มีความพิเศษกว่าปกติ คือ การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กลับมาเป็นคู่กรณีเสียเองเช่นนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมิใช่คนกลางที่จะอำนวยความยุติธรรม ดังนั้น ในเบื้องต้นดิฉันขอตั้งข้อสังเกต ดังนี้

1. มาตรฐานของการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติให้ไต่สวนคดีโดยเร็ว
และยึดหลักนิติธรรมนั้น ใช้กับบุคคลทุกกลุ่มในบรรดาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อยู่ในระดับบริหาร ด้วยกันอย่างเท่าเทียม หรือมีเงื่อนไขที่จะใช้กับบุคคลหรือคณะบุคคลบางกลุ่มอย่างไม่เท่าเทียมกัน เท่านั้น ดังจะเห็นได้จากหลายเรื่อง เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถูกกล่าวหา จะมีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนก่อน ซึ่งปัจจุบันแต่ละคดีไม่มีความคืบหน้า แต่ประการใด เช่น คดีสลายการชุมนุมที่ทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เมื่อปี พ.ศ.2553 หรือคดีทุจริตอื่น ในปี พ.ศ.2553 ก็ไม่ปรากฏว่า มีความคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วเหมือนคดีของดิฉัน

2. ตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาที่มีต่อดิฉัน ซึ่งใช้เวลาเพียง 21 วัน ในการจัดเตรียมเอกสารแจงข้อกล่าวหาซึ่งมีมากมายหลายประเด็นที่อ้างว่า มีการทุจริตและมีความเสียหาย ซึ่งหากคำนึงถึงความเป็นธรรมแล้ว จำเป็นที่ดิฉันจะได้ใช้สิทธิตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองเพื่อตรวจสอบว่า มีพยานหลักฐานใดที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้ในการกล่าวหา หรือมีข้อสงสัยที่ไม่ชัดเจน เพื่อดิฉันจะได้ชี้แจงได้ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้ ทำให้สรุปได้ชัดเจนว่า “การตรวจพยานหลักฐานในคดีนี้ ดิฉันไม่ได้รับการอำนวยความยุติธรรม” ตามสมควร


3. การขอเลื่อนคดีของดิฉัน มีความสมเหตุสมผลหรือไม่
และการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ให้ดิฉันเลื่อนคดีมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด ในเรื่องนี้เมื่อตรวจสอบจากบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาว่า “โครงการรับจำนำข้าว” เกิดความเสียหาย โดยดิฉันรับรู้ รับทราบแล้วทำไมไม่ระงับ ยับยั้ง เพื่อยุติโครงการรับจำนำเสีย

เรื่องที่ดิฉันถูกกล่าวหานี้ มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพยานเอกสาร และพยานบุคคลจำนวนมากที่ดิฉันต้องรวบรวม บางรายการต้องสืบค้นจากหลายหน่วยงาน เพื่อหักล้างข้อกล่าวหา แต่หน่วยงานต่างๆมีระยะเวลาไม่เพียงพอ จึงแจ้งเหตุขัดข้องมาหลายหน่วยงาน ซึ่งดิฉัน ได้ให้ทนายความนำไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบถึงเหตุขัดข้อง เพื่อขอเลื่อนคดีสักระยะหนึ่ง ซึ่งจากที่ให้แล้ว 15 วัน และดิฉันขอขยายอีก 45 วันตามที่ได้ร้องขอไป

แต่คำขออำนวยความยุติธรรมดังกล่าว แม้สักวันเดียวยังไม่ได้รับ ทั้งๆที่ฝ่ายกรรมการ ป.ป.ช. ที่ถือเป็นคู่กรณีอ้างว่า ได้ใช้เวลาตรวจสอบเรื่องของดิฉันมาปีเศษแล้ว ทั้งๆ ที่คณะกรรมการ ปปช. ชุดใหญ่ มีมติภายใน 21 วันเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา แต่เมื่อดิฉันจะใช้เวลาตามสมควรบ้าง กลับถูกปฏิเสธความยุติธรรมจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ไต่สวน

ดิฉันเห็นว่า คดีนี้เมื่อตัวดิฉันมีสถานะเป็นนายกรัฐมนตรี การถูกดำเนินคดีเป็นเรื่องที่สาธารณะชนทั่วไปควรต้องการรับรู้และถือเป็น ประโยชน์ต่อสาธารณะที่จะรับรู้ทั้งฝ่ายดิฉัน และเหตุผลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเสมือนมิใช่คนกลางไต่สวนพิจารณาคดี หากแต่ถือเป็นคู่กรณีที่กล่าวหาดิฉันด้วย

ว่า ระหว่างการไต่สวนพิจารณาคดีของกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ไต่สวนกับดิฉันในฐานะผู้ถูกกล่าวหา มีการปฏิบัติต่อกันในการดำเนินคดีโดยถูกต้อง เที่ยงธรรมหรือไม่ มิใช่มีเจตนามากล่าวหาต่อกันว่าใครผิดใครถูก ซึ่งไม่ถูกต้อง และกรณีของดิฉันคงเป็นบทเรียนของการใช้อำนาจของแต่ละฝ่ายว่า เป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือไม่

แต่กรรมการ ป.ป.ช. กลับชี้แจงโดยกล่าวหาดิฉันว่า เป็นเพราะดิฉันไม่มารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตนเองซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ยาก เพราะการรับทราบข้อกล่าวหา ดิฉันตรวจสอบจากบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาที่เป็นลายลักษณ์อักษรได้อยู่แล้ว

เอกสารหลายรายการที่นำไปใช้กล่าวอ้าง และพาดพิงดิฉันรวมถึงบทสัมภาษณ์ ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจของ นายวิชา มหาคุณ ที่อ้างว่าดิฉันต้องรับผิดนั้น ทำไมไม่ให้ดิฉันตรวจพยานหลักฐานก่อน เพื่อให้ดิฉันได้มีโอกาสชี้แจงให้ถูกต้องและตรงประเด็น แต่กลับอ้างว่า ไม่สามารถให้ดูเอกสารหลักฐานได้เนื่องจากเป็นเอกสารสำคัญกลัวจะเสียรูปคดี

ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของ ดิฉันตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิคุ้มครอง ซึ่งดิฉันได้รับเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาในครั้งแรก 49 แผ่น และในภายหลังเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาได้รับเอกสารเพิ่มเติมอีก 280 แผ่น ซึ่งนั่นหมายความว่า ดิฉันจะต้องแก้ข้อกล่าวหาหลังได้รับเอกสารทั้ง 280 แผ่นนั้นภายในเวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น...............

 

 

 

 

" ปปช ก็ขึ้นชื่อได้ว่าเลือกปฏิบัติ เพราะคดีระบายข้าวของรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์เกิดก่อนนานมาก จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการบังคับคดีทำอะไรเลย ส่วนความผิดของอีกฝ่ายรีบทำอย่างเร็ว ซึ่งสิ่งนี้มันจะเป็นข้อครหาต่อไป เพราะท่านเป็นคนที่ต้องสะสางคนผิด ซึ่งไม่ว่าบุคคลหรือกลุ่มคนนั้นจะเป็นใคร กฎก็ต้องเป็นกฏ เเต่ท่านเลือกที่จะใช้กฏอย่างเร่งด่วนกับเเค่คนบางกลุ่ม เเถมบางทียังพูดใส่อารมณ์ยังกะเป็นคู่ความซะเอง ซึ่งไม่ใช่จรรยาบรรณที่ดีขององค์กรด้านการตรวจสอบระดับชาติ เมื่อประชาชนรู้สึกว่ามันเป็นสองมาตรฐาน ความเป็นเอกภาพก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เเล้วมันก็จะระอุเป็นเชื้อไฟต่อไป..........."

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 [​IMG]
 
 
 
 
 
 
 

 

 

 

 

 

 

 

[​IMG]

 

 

 

 

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-03-24 20:47:16.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ผู้หญิงเเบบไหนที่ผู้ชายกลัว ไม่กล้าจีบ

 

 

ผู้หญิง แบบไหนที่ ผู้ชายกลัว และ ไม่กล้าจีบ?


 

 

 

โดย ดีเจ เพชรจ้า…

เอาล่ะ ผมขอแตกแขนงออกเป็น 2 ด้าน จะดีกว่า 555 จะได้เข้าใจง่ายๆ คือ ด้านสว่างกับด้านมืด

เริ่มจากผู้หญิงด้านสว่าง หรือเป็นพวกวาสนาดีที่หนุ่มไม่กล้าจีบ หรือไม่แม้แต่จะคุยด้วยก่อนละกัน

1. ผู้หญิงสวย สวยในที่นี้คือสวยมากถึงมากที่สุด สวยแบบทุกคนต้องบอกว่าสวยขนาดผู้หญิงด้วยกันยังการันตี เพราะการจีบสาวสวยมากๆ ทำให้เราคิดว่าเขาจะคุยกับเราเหรอวะ ถ้าเราไม่หล่อมากเหมือนโดม ปกรณ์ลัม เราจะจินตนาการไปต่างๆ นานา เช่น เขาคงมีแฟนอยู่แล้วมั้ง แฟนเก่าแม่งโครตจะรวยเธอจะชอบแต่ผู้ชายรวยๆ หรือเปล่า (อันนี้ต้องบอกว่าเป็นความคิดของผู้ชายส่วนใหญ่เลยนะว่าคนสวยชอบผู้ชายรวย) หยิ่งหรือเปล่า อาจไม่ 100% แต่หนุ่มๆ ส่วนใหญ่คิดอย่างนั้นจริงๆ

 

2. ผู้หญิงรวย รวยระดับขั้นเทพ ไม่ใช่รวยธรรมดา อาทิเช่น บ้านใหญ่เป็นคฤหาสน์ ขับเบนซ์สปอร์ตคันละห้าล้าน จบเมืองนอก เป็นลูกนักการเมืองหรือนักธุรกิจระดับพันล้าน ตรงนี้ขอบอกไว้เลยว่าเรื่องจริง ผู้ชายอย่างเราๆ น่ะ ไม่ชอบสาวที่ดูดีกว่าเรามากเกินไป เพราะมันจะทำให้เราดูแย่ บางคนอาจมองว่าเราไปเกาะเขากิน หรืออยากรวยทางลัด หรือว่ากันง่ายๆ ไม่มีปัญญาเลี้ยง ตามสเต็ปของแพงมากๆ ค่าบำรุงรักษษมันก็จะสูง กินข้าวมื้อละสามพัน ปาร์ตี้คืนละหมื่น ถอดใจ 555

 

3. ผู้หญิงเก่งมากๆ เช่นระดับด็อกเตอร์ หมอ ผู้บริหาร CEO เหตุผลใกล้เคียงเมื่อกี้ แต่ต่างตรงที่ว่าสาวประเภทนี้จะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่กว่า เพราะสถานะทางการเงินและงานเธอสร้างขึ้นมาเอง ลองคิดดูว่า ถ้าคุณเป็นพนักงานบริษัทต๊อกต๋อยทั่วไป เป็นนายธนาคารเป็นอาจารย์สอนพิเศษ เป็นลูกจ้างชั่วคราวและอีกหลายอาชีพ คุณจะกล้าจีบไหม บอกตรงๆ ว่าส่วนใหญ่ไม่กล้าหรอกครับ นอกจากชายคนนั้นจะมีธุรกิจส่วนตัว ทำงานอิสระ จิตกร ศิลปิน ดารา พิธีกร แบบนี้มีลุ้น

 

เอาล่ะ เรามาต่อกันที่ด้านมืดเลยดีกว่า สาวๆ ด้านมืดคือ

 

 

1. ผู้หญิงที่ผ่านโลกมาเยอะ กร้าน ชีวิต กร้านแบบไม่มีใครรู้ไม่เป็น แต่ถ้าเป็นแบบเดินไปไหนก็มีแต่คนทักว่ายัยนี่เป็นแฟนเก่า ไอ้นั้นและไอ้นี่เคยโดนไอ้นั่น โอ๊ะเจอแบบนี้เราหนีก่อนแล้วล่ะครับ ว่าง่ายๆ คือ ผู้หญิงที่มีแฟนเยอะพวกเราไม่ชอบ อายครับ

 

2. ผู้หญิงเสียงดัง กิริยาเสียงดัง ในผู้ชายเราว่าแย่แล้ว ถ้ามันเกิดในผู้หญิง อันนี้บอกได้เลยว่าจบ เสียงดัง ชอบโวยวายเหมือนเจ๊กเมือ 50 ปีก่อนแถวเยาวราช แถมพูดจาหยาบคายอีก อันนี้บ่งบอกถึงชาติตระกูลเลย เป็นผู้หญิงอ่อนหวาน ได้เปรียบกว่าเยอะนะครับสาวๆ

 

3. ผู้หญิงที่… อันนี้อ่านแล้วอาจจะงง แต่เจอมากับตัวเองเลยครับพี่น้อง เช่นผู้หญิงคนหนึ่งสวยหุ่นดี แต่เวลาคุยกันแล้วมันโครตจะไม่ใช่เลย คุยไม่รู้เรื่อง อันนี้มีจริงๆ นะ เช่น

 

Q: “ไปดูหนังเรื่อง Transformers มาหรือยัง?”
A: “อะไรคือ Transformers? ….555″

 

Q: “ไปกิน Haagen-Dazs กัน”
A: “อะไรคือ Haagen-Dazs คะ? กรรมเวร”

 

Q: “ชอบ Whitney Houston ไหม?”
A: “ใครอ่ะ…เออ เราเพิ่งซื้อดีวีดีคอนเสิร์ต Celine Dion มา ดูกันไหม?”

 

4. ผู้หญิงมีปม อันนี้ว่ากันไม่ได้ พวกมีปมหลังนี่บางคนแก้ได้ บางคนไม่ยอมแก้ หรือบางเรื่องก็แก้ไมได้ ยอกตัวอย่างเช่น เป็นคนขาดความอบอุ่นมาตั้งแต่เล็ก มีแฟนก็โดนหักหลัง พวกสาวมีปมนี่ส่วนใหญ่จะขี้ระแวง ขี้หงุดหงิด ขี้น้อยใจ ใจร้อน อย่าคิดว่าผู้ชายอย่างเราไม่รู้ บอกได้เลยว่าถ้าเมื่อไหร่ที่พวกเรารู้หรือสังเกตได้ว่าคุณมีปมในอดีตแล้วคุณ ตัดมันไม่ขาด ในอนาคตอันใกล้ พวกเราก็อาจจะเลิกกับคุณ ถ้าคุณยึดติดกับมันและแก้ไม่ได้นะ แต่คนส่วนใหญ่มักแก้ปมกันได้ไม่ว่าจะปลงตกเข้าวัดเข้าวา เริ่มชีวิตใหม่

 

ขอบคุณที่มาบทความจาก COSMOPOLITAN

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                             ต้องทำตัวปลอมเชียวเร๊อะ?....

 

 

 

 [​IMG]

 

 [​IMG]

                          

                                                                  

  

                                                                                               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

.....ผู้สื่อข่าวถามว่า...เจ็บมากขึ้นหรือ ถึงได้เปลี่ยนอุปกรณ์..
..... นายกฯปู ตอบว่า .... พอดีช่วงนี้ใช้กำลังขาเยอะเกินไปเลยบวมมากขึ้น แพทย์เลยแนะนำให้ใช้อุปกรณ์อันใหม่ เมื่อเดินแล้วข้อเท้าจะไม่ขยับ ช่วยล็อค


.....ผู้สื่อข่าวถามว่า.... อาการช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง
.....นายกฯปู กล่าวว่า อย่างที่เรียนไว้ใช้กำลังขามากเลยบวม แพทย์เลยบอกว่าให้พัก ยิ่งพักมากก็จะหายเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                       

                                                                                      !!!! เคยใช้แล้ว.............

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ncence
: พฤ, 03/27/2014 - 14:09

 

เหลือเชื่อ....แต่ก็ดีที่ไม่เป็นไรมาก......

เหตุเกิด สภ.พระพุทธบาท
ได้สอบถามตำรวจจราจร
สภ.พระพุทธบาท ว่ารถคันแดงห้อย
พระนิรันตรายที่ สตช.
สร้างเมื่อเร็วๆนี้
รถที่ใช้เป็น โตโยต้า ยาริส
สภาพคนขับ ติดอยู่ในรถ
กู้ภัยต้องใช้เครื่องตัดถ่าง
นำตัวออกมา จากรถ
เดินหน้าตาเฉย มีบาดแผล
เล็กน้อย รถเละตุ้มเป้ะคนบาดเจ็บเล็กน้อย เก็บพระรุ่นนี้ไว้ให้ดีราคาดีแน่ๆ
ใครนิมนต์ไปช่วยราชการ ตามนิมนต์กลับด้วยนะครัฟ

 

 

 

 

 

 

 

 

รู้จักมณฑลซินเจียงและชาวอุยกูร์


บทความน่ารู้ : เรื่องรู้จักมณฑลซินเจียงและชาวอุยกูร์
ที่นี่คือศูนย์รวมบทความที่น่าสนใจและให้ความรู้จากทุกมุมโลก เพื่อเป็นแหล่งความรู้สำหรับคนไทยทุกคน

 


การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีนกับชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง ถือเป็นเหตุการณ์จลาจลที่มีความรุนแรงมากที่สุดของประเทศจีนนับแต่เหตุการณ์ปราบปรามนักศึกษาที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะยังไม่รู้จักมณฑลซินเจียงและชาวอุยกูร์มากนัก
 

 

 

     

 

 

                              

 

           เราขอเรียกว่าส่วนผสมที่ลงตัว เพราะมีส่วนผสมของเอเชีย ยุโรป รัสเซีย แถมคมแบบแขกขาว

 

 

     ผ่าเส้นทางใหม่ลี้ภัย"อุยกูร์"220ราย โยงใยนายหน้า"โรฮิงญา"

 

 

หลังจากเพิ่งครบรอบสองทศวรรษของเหตุการณ์ปราบปรามนักศึกษาที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เหตุการณ์การจลาจลที่รุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปีก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศจีนเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ณ เมืองอูรุมชี/อุรุมฉี เมืองเอกของมณฑลซินเจียง ทางตะวันตกของจีน


เหตุการณ์ความวุ่นวายเริ่มต้นขึ้นเมื่อชาวอุยกูร์/อุ้ยเก๋อราว 1,000-3,000 คน มาชุมนุมกันอย่างสงบที่เมืองเอกของมณฑลซินเจียง เพื่อประท้วงเรียกร้องให้ทางการจีนสอบสวนหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังเหตุปะทะกันระหว่างคนงานชาวอุยกูร์กับคนงานชาวฮั่น ณ โรงงานแห่งหนึ่งเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จนส่งผลให้มีคนงานชาวอุยกูร์เสียชีวิต 2 คน ทั้งนี้ก่อนหน้าเหตุการณ์ดังกล่าว ได้เกิดข่าวลือว่า มีหญิงสาวชาวฮั่น 2 คน ถูกข่มขืนโดยชายชาวอุยกูร์ในโรงงาน


แต่การชุมนุมอย่างสงบก็บานปลายกลายเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งใหญ่ โดยทางการจีนอ้างว่าผู้ชุมนุมชาวอุยกูร์เป็นฝ่ายสร้างความวุ่นวาย ทำลายทรัพย์สมบัติสาธารณะ รวมทั้งจุดไฟเผารถยนต์บนท้องถนน ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงชาวอุยกูร์ก็เห็นว่า ความรุนแรงดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นมาจากการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมโดยทางการจีน ล่าสุดรายงานข่าวแจ้งว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นจำนวน 156 คน และผู้มีบาดเจ็บ 828 คน


อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ณ เมืองอูรุมชี ไม่ได้บังเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญหรือฉับพลันทันใด ชนิดที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ ทว่าปมปัญหาเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียงนั้นดำรงคงอยู่มาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่จีนผนวกรวมดินแดนดังกล่าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเลยด้วยซ้ำไป


ดังนั้น การมาทำความรู้จักกับมณฑลซินเจียงและชาวอุยกูร์ จึงน่าจะทำให้เราเข้าใจถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมืองอูรุมชีได้ดียิ่งขึ้น


มณฑลซินเจียงเป็นพรมแดนที่กั้นระหว่างดินแดนเอเชียกลางกับประเทศจีน มณฑลแห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็น 3 เท่าของประเทศฝรั่งเศส ในประวัติศาสตร์แล้ว   ซินเจียงถือเป็นจุดนัดพบสำคัญทางการค้าและวัฒนธรรม เนื่องจากเคยเป็นพื้นที่หยุดพักผู้คนและสินค้าของ "เส้นทางสายไหม" ส่งผลให้ดินแดนแห่งนี้ได้รับมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างยิ่ง


กลุ่มชนพื้นเมืองของมณฑลซินเจียงคือ ชาว "อุยกูร์" ซึ่งเป็นกลุ่มคนมุสลิมที่มีลักษณะชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรม เป็นพวกเติร์ก อันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากชาวฮั่นที่เป็นผู้ปกครองและเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ที่ครอบครองดินแดนส่วนที่เหลือของจีน การดำรงอยู่ของชาวอุยกูร์นี่เองที่ทำให้  ซินเจียงกลายเป็นมณฑลเดียวของประเทศจีนที่มีชาวมุสลิมเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่


ซินเจียงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีนตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์สามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจีนได้สำเร็จในปี พ.ศ.2492 (ค.ศ.1949)  มณฑลซินเจียงก็มีสถานะเป็น "เขตปกครองตนเอง" ของสาธารณรัฐประชาชนจีน


ในมุมมองของรัฐบาลกลางพรรคคอมมิวนิสต์ที่ปักกิ่ง ซินเจียงถือเป็นส่วนหนึ่งของจีนตลอดมา โดยรัฐบาลได้มองข้ามความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ใหญ่โตมหาศาล อันเกิดขึ้นจากการที่มณฑลแห่งนี้ได้หลอมรวมตนเองเข้ากับดินแดนเอเชียกลางและรัฐต่าง ๆ ของชาวเติร์กมาโดยตลอด และจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่ในซินเจียงก็ยังรู้สึกว่าพวกเขามีความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมกับชาวเติร์กทางด้านตะวันตก มากกว่ารัฐบาลกลางที่ปักกิ่งทางด้านตะวันออก


แต่รัฐบาลกลางของจีนก็พยายามกลืนกลายชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง ด้วยนโยบายการส่งชาวฮั่นจำนวนมากเข้าไปอยู่อาศัยในมณฑลดังกล่าว  จากที่ในปี พ.ศ.2496 (ค.ศ.1953) มีชาวฮั่นอยู่ในซินเจียงเพียง 5 แสนคน แต่ในปี พ.ศ.2543 (ค.ศ.2000) กลับมีชาวฮั่นในมณฑลแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นเป็น 7.5 ล้านคน หรือถือเป็นร้อยละ 42 ของประชากรจำนวน 18 ล้านคนในมณฑล นอกจากนั้น ชาวฮั่นยังกลายเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของเมืองอูรุมชี เมืองเอกของเขตปกครองตนเองซินเจียง เสียด้วย
 

กลุ่มชนพื้นเมืองชาวอุยกูร์ไม่พอใจที่ผู้อพยพชาวฮั่นได้เข้ามาแย่งงานในอุตสาหกรรมน้ำมัน ปิโตรเคมี และในหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งควรเป็นแหล่งรายได้สำคัญของพวกตน ขณะที่ชาวฮั่นก็มองว่าพวกอุยกูร์เป็นคนเกียจคร้าน และไม่รู้จักสำนึกบุญคุณที่รัฐบาลกลางของจีนที่ปักกิ่งนำความทันสมัยและความเจริญรุ่งเรืองมาสู่มณฑลซินเจียง


และยิ่งชาวฮั่นในซินเจียงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเท่าใด ชาวอุยกูร์ก็ยิ่งพยายามขับเน้นอัตลักษณ์ของตนเองมากขึ้น ส่งผลให้เยาวชนชาวอุยกูร์รุ่นหลังเคร่งครัดในหลักการของศาสนาอิสลามยิ่งกว่าคนรุ่นพ่อแม่ นอกจากนี้พวกเขายังหันมาเรียนภาษาอารบิกกันมากขึ้น ซึ่งนี่อาจถือเป็นการประกาศว่าอัตลักษณ์ของชาวอุยกูร์นั้นมีความผิดแผกแตกต่างไปจากอัตลักษณ์ของชาวจีนฮั่นตั้งแต่ในระดับรากฐาน


แม้ชาวอุยกูร์ในเมืองเอกของมณฑลซินเจียงอย่างอูรุมชี อาจจะเริ่มมีวิถีชีวิตประจำวันคล้อยตามแบบชาวฮั่นอันเป็นคนกลุ่มใหญ่ของเมือง และหันมาหาเรื่องราวทางโลกย์ในสังคมสมัยใหม่มากขึ้น แต่สำหรับเมืองบริเวณชายแดนที่อยู่ติดกับดินแดนเอเชียกลางแล้ว รัฐบาลกลางของจีนยังต้องจัดส่งกำลังทหารเข้าไปควบคุมกิจกรรมทางการเมืองและบรรดาอิหม่ามในมัสยิดต่าง ๆ ของเมืองเหล่านั้นอย่างเข้มงวดกวดขัน เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เติบโตมากขึ้น   จนมีผู้ขนานนามว่าซินเจียงถือเป็นทิเบตอีกแห่งหนึ่งของจีน


ทั้งนี้ กิจกรรมทางการเมืองในการแบ่งแยกดินแดนของชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียงได้ถูกปลุกเร้าขึ้นในคริสต์ทศวรรษที่ 1990 เมื่อสหภาพโซเวียตแตกสลาย และรัฐมุสลิมเก่าแก่ทั้งหลายในเอเชียกลางได้มีโอกาสแยกตัวออกมาเป็นรัฐอิสระที่มีเอกราชเป็นของตนเอง เช่น คาซักสถาน คีร์กิสถาน และอุซเบกิสถาน เป็นต้น ชาวอุยกูร์จึงเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะแยกตนเองออกมาเป็นรัฐอิสระในนาม "อุยกูริสถาน" หรือ "เตอร์กิสถานตะวันออก" บ้าง อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนได้พยายามใช้มาตรการทางด้านเศรษฐกิจและการทูตอันชาญฉลาดมาหน่วงเหนี่ยวไม่ให้รัฐอิสระในเอเชียกลางต่าง ๆ ช่วยเหลือซินเจียงในการแยกตัวออกเป็นอิสระ กระทั่งขบวนการแบ่งแยกดินแดนในมณฑลแห่งนี้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของตนเองได้อย่างยากลำบากในที่สุด


ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกลางของจีนกับชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียงคงไม่ได้จบสิ้นลงในเร็ววัน อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวแสดงให้เราเห็นถึงปัญหาสำคัญของ "รัฐ-ชาติ" ในโลกสมัยใหม่ ที่ยากจะดำรงความเป็นเอกพันธุ์เอาไว้ได้ เมื่อโลกใบนี้ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ความทรงจำ และ "ชาติ" อันหลากหลาย ชนิดที่ไม่มีผู้มีอำนาจรายใดสามารถควบคุมหรือลดค่าความหลากหลายดังกล่าวให้กลายเป็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้อย่างง่ายดาย กระทั่งอาจมีเพียงการพยายามทำความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายเท่านั้นที่จะช่วยให้ผู้คนบนโลกใบนี้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความทุกข์น้อยลง

 

 

ปฎิบัติการคุมตัวต่างด้าวจำนวน 220 คน คน เป็นชาย 78 คน,หญิง 60 คน, เด็ก 82 คน เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา ภายในบริเวณสวนยางพารา ม.10 บ้านคลองต่อ ต.รัตภูมิ อ.รัตภูมิ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา พร้อมชาวโรฮิงยา อีกกว่า 10 คน กลายเป็นปมร้อนที่หลายฝ่ายให้ความสนใจขึ้นมาพลัน

 

ที่สำคัญกลุ่มคนเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถระบุสัญชาติให้ประจักษ์ เนื่องจากไร้เอกสารใดๆติดตัวยืนยันสัญชาติ

 

เรื่องนี้สุนัย ผาสุข ผู้ประสานงานที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์ ประจำประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า จากการตรวจสอบทราบว่าต่างด้าวกลุ่มนี้ไม่ใช่ชาวตุรกีที่จะลี้ภัยไปประเทศที่3 แต่กลุ่มนี้เป็นชาว อุยกูร์ จากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ประสงค์จะลี้ภัยทางการจีน เพื่อเดินทางไปยังประเทศที่ 3 สาเหตุเนื่องจากชาวอุยกูร์ มีปัญหากับทางการจีนมาเป็นเวลานาน

 

จากอัตลักษณ์ทางชาติพันธ์กลายเป็นปัญหาที่น่าสนใจ สุนัยชี้ว่า ทางการจีนมองว่าชาว อุยกูร์ เป็นกลุ่มคนมุสลิมที่มีลักษณะชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรมเป็นพวกเติร์ก อันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากชาวจีน และชาวอุยกูร์ ยังพยามหลอมรวมตนเองเข้ากับดินแดนเอเชียกลางและรัฐต่าง ๆ ของชาวเติร์กมาโดยตลอด

 

 

สำหรับความเป็นมาชาว "อุยกูร์" เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองของมณฑลซินเจียง ประเทศจีน ซึ่งเป็นกลุ่มคนมุสลิมที่มีลักษณะชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรม เป็นพวกเติร์ก อันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากชาวฮั่นที่เป็นผู้ปกครองและเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ที่ครอบครองดินแดนส่วนที่เหลือของจีน

 

การลี้ภัยครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการเข้าทำการควบคุมตัวเชื่อว่า กลุ่มคนต่างด้าวที่ยังไม่สามารถระบุสัญชาติได้นั้น น่าจะมีการเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการลักลอบนำเข้าและส่งต่อชาว "โรฮิงยา" ที่หลบหนีจากประเทศพม่าผ่านภาคใต้ เพื่อเดินทางต่อไปประเทศที่ 3 มาเลเซีย และออสเตรเลีย เพราะจากการสอบถาม "โรฮิงยา" ที่มารวมกับกลุ่มคนต่างด้าว ที่อ้างว่าเดินทางมาจากประเทศ ตุรกี

 

"ชาวโรฮิงญาบอกว่าได้รับคำสั่งให้เดินทางมาสมทบกับกลุ่มคนต่างด้าวกลุ่มนี้ เพื่อรอคนมารับตัวไปพร้อมๆกัน เนื่องจากมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาจับกุมตัวก่อนหน้าที่จะถูกจับกุม 2 วัน จึงมีความเป็นไปได้ว่ากลุ่มคนที่เป็นนายหน้านำพาคนต่างด้าวกลุ่มนี้ จะเป็นกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มขบวนการนำพา โรฮิงญา " เจ้าหน้ทาที่รายนี้ระบุ

 

 

ขณะเดียวกันน่า สังเกตุได้ว่า สถานที่กลุ่มคนต่างด้าวรวมตัว เพื่อรอคนมารับตัวออกจากพื้นที่ และเป็นพื้นที่ใกล้เคียงที่เคยมีการจับกุม "โรฮิงญา" หลบหนีเข้าเมืองกว่า 100 คน เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ภายในสวนยาง ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ และต.ฉลุง อ.หาดใหญ่

 

แม้ว่าในขณะนี้จะยังไม่สามารถตรวจสอบพบว่าพื้นที่ใกล้เคียงกับจุดที่พบคนต่างด้าวมีการก่อสร้างที่พักชั่วคราวหรือไม่ แต่ก็มีข้อสังเกตุในขณะที่เข้าควบคุมตัวมีภาชนะสำหรับรับประทานอาหารรวมอยู่ด้วย รวมถึงสภาพเนื้อตัวเด็กที่มีรอยยุงกัดเต็มใบหน้า แสดงว่ามีการมานอนพักค้างคืนในพื้นที่ก่อนเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัว

 

สอดรับกับการวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ ที่ได้เดินทางลงมาในพื้นที่เพื่อให้การช่วยเหลือ บอกว่า การเดินทางเข้ามาจำนวนครั้งนี้ จะต้องมีการบริหารจัดการที่ดี เพราะในกลุ่มจะมีเด็กและสตรีจำนวนมากกว่าผู้ชายด้วยซ้ำ โดยกลุ่มคนที่เป็นนายหน้าหรือผู้ประสานงานการเดินทางต้องมีเครือข่ายอยู่ในพื้นที่เพื่อดำเนินการพาตัวส่งต่อไปยังประเทศที่สาม

 

"แม้ว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่มีข้อมูลที่จะสาวไปถึงนายหน้าหรือผู้ประสาน อำนวยความสะดวกในการเดินทางก็ตาม แต่การที่คนต่างด้าวกลุ่มนี้ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการข้อมูลใดๆเป็นการบ่งบอกว่า ได้รับคำสั่งจากนายหน้าหากถูกจับกุมห้ามให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่โดยเด็ดขาด รวมถึงความไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นภาวะปกติของคนที่หนีออกจากประเทศของตัวเองในรูปแบบการลี้ภัยจะมีความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา"

 

 

น่าสนใจว่า"เป้าหมาย" ของกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ประสงค์จะอยู่ในประเทศไทศ แต่ต้องการจะลี้ภัยไปในประเทศที่สาม คือ มาเลเซีย และออสเตรเลีย ส่วนการเดินทางเข้ามประเทศไทยอย่างไรนั้น ก็ต้องรอให้คนที่สามารถสื่อสารกับกลุ่มคนต่างด้าวกลุ่มนี้ได้ และเขาพร้อมจะให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลทั้งหมด ซึ่งต้องใช้เวลา

 

ปรากฎการณ์ที่มีกลุ่มคนต่างด้าวใช้เส้นทางจ.สงขลาเป็นจุดพักและผ่องถ่ายไปยังประเทศที่ 3 จึงสะท้อนให้เห็นว่าการปราบปรามกลุ่มขบวนนายหน้าหาประโยชน์ในฐานะผู้นำพาและส่งต่อคนต่างด้าวในจ.สงขลา ยังไม่สิ้นซาก ไปจากพื้นที่ แต่กลับเติบใหญ่ขยายกลุ่มยิ่งขึ้น

 

เส้นทางเหล่านี้ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า นายหน้าที่เข้าไปหาประโยชน์กับการลักลอบนำเข้า-ส่งต่อคนต่างด้าวเหล่านี้ ล้วนมทีทั้งนักการเมืองท้องถิ่น ผู้มีอิทธิพล และเจ้าหน้าที่รัฐบางคนเข้าไปเกี่ยวพัน แต่การจับกุมหลายๆครั้ง กลับไม่สามารถสาวถึงผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังได้แม้แต่ครั้งเดียว

 

 

 

          

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  1. [​IMG]
    [​IMG]
    นะโม ตัสสะ



    ปี 53 หาทางกำจัดเสื้อแดงด้วย " ผังล้มเจ้า "
    ปี 57 หาทางกำจัดอีกครั้ง ด้วย " แบ่งแยกดินแดน "

    มรึง บร้า รึป่าว ??
    จะไปแบ่งทำไม ?

    เสื้อแดงเค้าเยอะ .. เค้าเอาทั้งหมด ไม่มีแบ่ง !!
    ...............................................................................
    กรู จะเอาทั้งหมด ไล่แม่งงงงง ออกไป.................
  2. [​IMG]
    [​IMG]
    นะโม ตัสสะ


    4 เมษายน
    วันที่ อำมาตย์ตั้งธง ฟัน เจ๊ปู
    *************************
    ก็ยังคงตอกย้ำ และ ท้าทาย ปปช. เช่นเดิม

    ว่า ... / ข้อมูลเชิงลึก ท่านไม่มี / ข้อมูลที่ท่านมี ก็ไม่ใช่ G2G
    และ ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ท่านมี ก็มาจาก คุณหมอวรงค์

    ก็เลย งงๆ ว่า ท่านจะเอาข้อมูลตรงไหน ? มาฟัน เจ๊ปู
    ในเมื่อ ข้อมูลที่ท่านมีทั้งหมด ยังฟัน " บุญทรง " ไม่ได้เลย

    ต่างคน ต่างทราบกันอยู่
    ท่านมีข้อมูลน้อยมากๆ เพียง 14 โกดัง จากทั่วประเทศ
    มีเรื่องโกดังข้าว ที่ เพชรบูรณ์ อีกนิดหน่อย
    ตอนที่ กรรมาธิการ เข้าตรวจโกดัง

    มีข้อมูลเรื่องข้าวหยอดหลุม ที่ นครสวรรค์
    อ้อ .. !! แล้วก็มีเผาข้าว ที่ พิด-โลก

    ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ยังไม่เห็นว่า ตรงไหน ?
    มันเกิดจากการทุจริตของรัฐบาล

    ที่สำคัญ .. ถ้า ปปช. และ แมงสาบ
    มีข้อมูล ทุจริตเรื่องข้าวจริงๆ
    เชื่อว่า .. ป่านนี้ เพื่อไทย หัวขาด ไปนานแล้ว เจ้าค่ะ !!

    ก็อยากดูเหมือนกัน ว่าวันที่ 4

    " ท่านจะมา .. ไม้ไหน ?? "

 

 

 

 

 

 

 

 

10 อาหารบั่นทอนพลังเพศ

10 อาหารบั่นทอนพลังเพศ ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (TESTOSTERONE) เป็นฮอร์โมนเพศที่สำคัญที่สุดของผู้ชาย ซึ่งจะกำหนดความรู้สึกและอารมณ์ของความเป็นชาย มีหน้าที่สำคัญคือกระตุ้นให้แสดงลักษณะความเป็นชาย ซึ่งรวมไปถึงเรื่องความต้องการทางเพศ, การสร้างเชื้ออสุจิ, ปริมาณของขนเพชรและขนตามร่างกาย กล้ามเนื้อและกระดูก การลดลงของระดับฮอร์โมนเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุและปัจจัย โดยเราได้ศึกษาบทความจากผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารหลายบทความ ถึงอาหารที่ช่วยเพิ่ม และทำลายฮอร์โมนเพศชายของคุณ แต่ก็มีอาหารบางประเภทที่ให้ผลตรงข้ามกับความต้องการทางเพศของคุณ จึงควรศึกษาด้วยว่ามีอาหารชนิดใดบ้างที่สามารถทำลายพลังการขับเคลื่อนทางเพศ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพการเจริญพันธุ์ของคุณด้วยเช่นกัน ในเมื่อตอนนี้คุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ต้องการจะกระตุ้นให้ความต้องการทางเพศของคุณร้อนแรงอยู่ตลอดเวลา มาดูกันว่ามีอาหารอะไรบ้างที่คุณควรตีตัวออกห่าง หรือตัดออกจากเมนูอาหารหลักของคุณไปตลอดกาล

 

 

 

 

10 อาหารบั่นทอนพลังเพศ

 

 

  10.มินต์ (Mint)

คิดสักนิดก่อนที่คุณจะหยิบหมากฝรั่งขึ้นมาเคี้ยว แม้ว่ามันจะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารและช่วยระงับกลิ่นปาก มินต์ อาจจะไม่ดีนักสำหรับอารมณ์ความใคร่ของคุณ หากรับประทานมากจนเกินไป มินต์หรือน้ำมันที่มีส่วนผสมของใบสะระแหน่ และเมนทอล สามารถลดระดับฮอร์โมนเพศชายได้ ดังนั้น หันไปพกแปรงสีฟันเพื่อลมปากสดชื่นจะดีกว่า

9.โมโนโซเดียมกลูตาเมต (MSG: Monosodium glutamate)

ผงชูรส มักจะถูกใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำเร็จรูป หรืออาหารตามร้านค้าต่างๆ ก็ตาม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารนั้นๆ แต่อาจก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า อาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า ส่งผลกระทบต่อภาวะอวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว และการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศตามมา

8.แอลกอฮอล์ (Alcohol)

การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะไม่เคยทำลายความต้องการทางเพศ แต่การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไปมีผลต่อตับ ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) ในร่างกายสูงขึ้นและอัณฑะทำงานผิดปกติ จนผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (ฮอร์โมนเพศชาย) ลดลง การดื่มจัดยังมีผลไปกดระบบประสาทส่วนกลาง อาจทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัวไปชั่วขณะได้

7.อาหารทอดและอาหารขยะ (Fried and junk food)

อาหารทอดและจังก์ฟูด เช่น เฟรนช์ฟาย มันทอด ไก่ทอด และแฮมเบอร์เกอร์ เรียกได้ว่าเป็นเพชฌฆาตตัวฉกาจเลยทีเดียว เมื่อตัวการร้ายที่สำคัญของอาหารทอดอย่างไขมันทรานส์ ที่แทรกอยู่กับอาหารทอดแทบทุกชนิด ที่ใช้น้ำมันพืชผ่านความร้อน ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศลดต่ำลง และยังเป็นสาเหตุให้คุณภาพในการผลิตสเปิร์มลดลง และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในที่สุด

6.อาหารกระป๋อง (Canned Foods)

อาหารกระป๋องจะเต็มไปด้วยโซเดียม การผลิตที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และปรุงแต่งด้วยสารสังเคราะห์เทียมต่างๆ เป็นอาหารที่มีโซเดียมในปริมาณที่สูงและปริมาณโพแทสเซียมต่ำ อาจนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง จะมีความดันโลหิตเลี้ยงไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่สม่ำเสมอ ลดการไหลของเลือดไปยังอวัยวะเพศชาย นอกจากนั้น ในอาหารกระป๋องยังพบสาร BPA ที่เคลือบภายในบรรจุภัณฑ์อาหารกระป๋อง และที่สำคัญคือ มีการทดลองในหนูพบว่า BPA เป็นสารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งในต่อมลูกหมาก โดยข้อมูลงานวิจัยระบุว่า เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ของเพศหญิง ทำให้สเปิร์มลดลง ปัญหาเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย รวมไปถึงปัญหาเกี่ยวกับการหลั่งอีกด้วย

5.สารให้ความหวานเทียม (Artificial Sweeteners)

สารให้ความหวานเทียมจะมีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดปัญหากับฮอร์โมนซีรีโทนิ (Serotonin) ในร่างกายคุณ หากคุณกำลังพยายามที่จะลดน้ำหนักและควบคุมอาหาร โดยใช้สารให้ความหวานเทียม โดยส่วนผสมนี้สามารถลดระดับฮอร์โมนซีโรโทนิ (hormone serotonin) ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหัว, ซึมเศร้า, หงุดหงิด, วิตกกังวล และนอนไม่หลับ “ซีโรโทนิ” (Serotonin) ถือเป็นฮอร์โมนแห่ง “ความสุข” หากฮอร์โมนตัวนี้ลดระดับลงย่อมมีผลต่ออารมณ์และความใคร่ ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพิสูจน์แล้วว่าสารให้ความหวานเหล่านี้มีผลต่อระบบประสาท เพื่อให้พฤติกรรมทางเพศของคุณปกติ ควรเลือกรับประทานความหวานจากธรรมชาติ เช่น น้ำผึ้ง และน้ำตาลทรายแดง จะดีกว่า

4.เครื่องดื่มน้ำอัดลม (Aerated Drink)

จากการศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกว่า 21,000 ชิ้น และได้ตีพิมพ์ในวารสารด้านการแพทย์“The New England Journal of Medicine” สรุปได้ว่า การบริโภคเครื่องดื่มที่มีรสหวาน น้ำตาล ซ่า สามารถก่อให้เกิดความผันผวนต่อน้ำหนักและอารมณ์ของคุณเอง รวมไปถึงปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่ตามมา เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคฟันผุ การดื่มมากเกินไป เครื่องดื่มเหล่านี้อาจกลายเป็นยาพิษรสหวาน ที่นอกจากจะทำให้คุณทุกข์ทรมานจากโรคภัยต่างๆ แล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพทางเพศของคุณได้อีกด้วย

3.กาแฟ (Coffee)

1 ถ้วยกาแฟในตอนเช้าสามารถกระตุ้นให้คุณมีความสุขได้ แต่หากคุณดื่มกาแฟเป็นประจำ และดื่มต่อวันมากเกินไปมีความเสี่ยงต่อการทำลายต่อมหมวกไตซึ่งมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเครียด (stress hormone) ถ้าคุณมีกาเฟอีนในร่างกายมากเกินไปอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนความเครียด ดังนั้น ถ้าหากตอนนี้คุณกำลังอยู่ในอารมณ์รักหรืออยากจะโรแมนติกกับคู่ของคุณแล้วล่ะก็ทางที่ดีที่สุดคือ ควรลดปริมาณการดื่มกาแฟลง

2.หอยนางรม (Oysters)

หอยนางรมได้รับการขนานนามว่าเป็นราชาแห่งยาโด๊ป เป็นแหล่งของแร่ธาตุสังกะสีซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างฮอร์โมนเพศชาย และความไวของคลิตอริส แต่มันยังเป็นอาหารให้โทษต่อร่างกายได้อีกด้วยหากรับประทานมากเกินไป เพราะหอยนางรม หรือหอยชนิดอื่นๆ จะดูดซับสารพิษและเชื้อปรสิตในท้องทะเลเอาไว้ ดังนั้นควรรับประทานแต่พอดี เพราะถ้าอาหารเป็นพิษขึ้นมา นอกจากจะไม่ปึ๋งปั๋ง หมดเรี่ยวแรงแล้ว ยังต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลอีกก็เป็นได้ หรือจะลองเปลี่ยนมาเพิ่มธาตุสังกะสีกับอาหารประเภทอื่นๆ อย่างเช่น ผักโขม ที่มีปริมาณสังกะสีสูง แต่ปริมาณแคลอรีต่ำ จะดีต่อสุขภาพมากกว่า

1.ถั่วเหลือง (soy)

ผลการวิจัยจากวารสาร “European Journal of Clinical Nutrition” พบว่า ผู้ชายที่บริโภคถั่วเหลืองวันละ 120 มิลลิกรัม มีผลทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ลดลง ทำให้เกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย เอสโตรเจนที่พบมากในถั่วเหลือง จะไปกดการทำงานของฮอร์โมนเพศชาย และในถั่วเหลืองยังมีสารไฟโตรเอสโตรเจน (phytoestrogens) อยู่มาก จะออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งสามารถลดจำนวนอสุจิในผู้ชายอีกด้วย หากว่าคุณรับประทานถั่วเหลืองในปริมาณที่มากเกินไป มีผลทำให้เต้านมของคุณใหญ่ขึ้น มีผิวพรรณเนียน สวย ดูดี แต่ข้อเสียที่ตามมาคือ ปัญหาผมร่วง ส่วนเรื่องของผู้ชาย 'จอดสนิท' อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัว

 

         

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                           พืชมหาเศรษฐี

 

 

 

                                          

 

 

 

มะละกอ พืชเศรษฐกิจมาแรงอีกชนิดหนึ่งของบ้านเรา ที่มาแรงแบบเงียบ ๆ ในชีวิตประจำวันของใครหลายคนมีมะละกอมาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน กับเรื่องอาหารการกิน อย่างส้มตำ ที่ต้องพึ่งพามะละกอเป็นหลัก มะละกอไม่ใช่แค่ทานดิบเท่านั้น ยังมีมะละกอทานสุกที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เช่นดังชาวสวน อ.แม่สอด โกยเงินกับมะละกอ 50 ไร่ วางแผนปลูกให้เก็บได้ในช่วงแพงรับเนื้อ ๆ วันละ 50,000 บาท
 


มะละกอ ไม้ผลกระแสแรงด้วยผลตอบแทนที่น่าทึ่งอย่างมาก ปลูกมะละกอพื้นที่เพียง 10 ไร่ สามารถสร้างเงินล้านได้ไม่ยากเลย เพราะมะละกอจะสามารถเก็บผลผลิตได้ทุก 3-4 วัน หรือประมาณอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ๆ ละ 2-3 ตัน รายได้ต่อครั้งประมาณ 2-4 หมื่นบาท ขึ้นอยู่กับราคามะละกอ ยิ่งถ้าวางแผนให้มีผลผลิตเก็บได้ในช่วงมะละกอขาดตลาดด้วยแล้วล่ะก็ เรียกว่าโกยเงินกระเป๋าตุงกันเลยทีเดียวเช่นเดียวกับชาวสวนหัวก้าวหน้ารายนี้ คุณเล็ก แห่งไร่กอทอง ที่ประสบความสำเร็จกับมะละกอ 50 ไร่ ที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตในวันที่มะละกอขาดตลาดหรือขาดคอ โกยเงินอยู่ตอนนี้จนสามารถตั้งราคาขายได้เลย แม่ค้ามะละกอวิ่งเข้าไปซื้อผลผลิตกันจนต้องต่อคิว เพราะช่วงนี้มะละกอทั่วไปมีผลผลิตน้อย ขณะที่ตลาดมีความต้องการสูง

คุณเล็กบอกว่า ปกติมะละกอจะขาดตลาดตั้งแต่เดือน ก.ค.-ต.ค. ของทุกปี ช่วงดังกล่าวราคาจะสูงถึง 18-30 บาท/กก.(จากสวน) ถ้าจะปลูกให้เก็บในช่วงนี้ได้ก็นับย้อนไป 8 เดือนแล้วปลูก อีกอย่างมะละกอที่จะเก็บได้ในช่วงนั้นจะต้องออก ดอกและติดผลในช่วง มี.ค.-เม.ย. ซึ่งอากาศค่อนข้างร้อน จึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการติดผล มะละกอดอกจะร่วงและติดผลน้อย ต้องมีตัวช่วย คือ การให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้ขาดน้ำ โชยน้ำช่วยเพื่อเพิ่มความชื้นพร้อมกับให้ปุ๋ยอย่างเพียงพอ ตรงกับความต้องการ โดยคุณเล็กจะให้ปุ๋ยเดือนละครั้ง ต้นละประมาณ 400 กรัม ช่วงมะละกอต้นเล็กใช้ 15-15-15 พอมะละกอเริ่มออกดอกเปลี่ยนมาใช้สูตร 8-24-24 เพื่อเตรียมความพร้อมในการออกดอกและติดผล จากนั้นใช้สูตรนี้อย่างต่อเนื่องจะทำให้มะละกอออกดอกติดผลต่อเนื่อง ส่วนทางใบพ่นปุ๋ยน้ำสูตร 13-3-43 พร้อมกับแคลเซียม-โบรอน จะช่วยส่งเสริมให้มะละกอมีผลผลิตตลอด

มะละกอคุณเล็กเพิ่งเริ่มเก็บผลผลิต ปริมาณยังไม่มาก เก็บวันละ 4 ตัน (1 คันรถ) ราคาตอนนี้จากสวน 13-14 บาท/กก. คาดว่าเดือนหน้าน่าจะเก็บผลผลิตได้มากขึ้นเป็นวันละ 8 ตัน (2 คันรถ) และราคามะละกอน่าจะขยับสูงขึ้นกว่านี้เพราะทุกปีช่วงนั้นราคามะละกอจะอยู่ที่ 20-25 บาท/กก. ลองกดเครื่องคิดเลขดูละกันว่าคุณเล็กจะมีรายได้วันละเท่าไหร่ นอกจากนี้คุณเล็กยังปลูกพริกแซมในแปลงมะละกออีก 20 กว่าไร่ เก็บพริกขายมาตั้งแต่ 3 เดือนหลังปลูกจนถึงตอนนี้ก็เหยียบล้านแล้ว

คุณเล็กบอกว่า มะละ กอเป็นไม้ผลที่น่าลงทุนที่สุดเพราะดูแลไม่ยาก ขอเพียงเข้า ใจและดูแลอย่างถูกต้องเท่านั้น มะละกอไม่กี่ไร่ก็สามารถสร้างเงินล้านได้ไม่ยากเลย.
 

 

ที่มาภาพและเนื้อหาจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

เทคนิคการปลูกมะละกอให้ลูกดก

 
 


 

คลิ๊กที่ภาพ

 

 

 

 

 

คุณ พ่อสมพงษ์ จ. ขอนแก่น แนะนำว่าควรมีการเตรียมดินอย่างดี เช่นก่อนที่จะปลูกต้องมีการไถพรวนดินแล้วใส่ปุ๋ยคอก ก่อนที่จะนำต้นกล้ามาปลูกลงดินที่เตรียมไว้ เด็ดรากแก้วออกแล้วนำปูนขาวทา จะทำให้มะละกอได้ผลดก สิ่งที่สำคัญ คือน้ำ อย่าให้ขาด เพราะจะทำให้ต้นมะละกอเฉาได้ วิธีการปลูก
มะละกอสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกสภาพ แต่ที่สำคัญจะต้องเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ ขัง แฉะ เพราะมะละกอเป็นพืชที่ไม่มีความ ทนทาน ต่อการถูกน้ำท่วม

ความเชื่อของคนอีสาน

ใช้ผ้าถุงห่มให้ต้นมะละกอตัว หรือ ใช้กระดูกสัตว์ตอกเข้ากลางลำต้น ... วิธีหลังมะละกอกลัวตายมากกว่า ก็จะให้ลูกดอก อิอิ


เพิ่มยอดมะละกอ....โดยตัดต้นมะละกอสูงประมาณ50เ็นต์และวบำรุงต้นจะเกิดยอดออกมาข้างๆหลายกิ่ง..ต้นเตี้ยด้วย

การทำให้มะละกอติดลูกดกนั้น อาจจะทำให้ต้นโทรมเร็วหากดูแลไม่ถูกวิธี แต่การทำให้มะละกอติดลูกติดต่อกันหลายปีนี่สิน่าสนใจนะครับ ขอแนะนำเทคนิคการทำสาวให้มะละกอของ คุณสนอง เศษโม้ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร จากศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จ.มหาสารคาม บอกว่าหลังจากที่เกษตรกรได้เก็บผลผลิตมะละกอรุ่นแรกไปแล้ว ควรจะทำสาวด้วยการตัดต้นมะละกอแล้วเลี้ยงยอดใหม่ ซึ่งหลังจากตัดต้นไปแล้วเพียง 3 เดือน ยอดใหม่ที่แตกออกมาจะเริ่มออกดอกและติดผลตรงตามสายพันธุ์เดิมและเก็บผล มะละกอดิบได้ในเดือนที่ 4 หลังจากตัดต้น เทคนิคในการทำสาวให้มะละกอให้ตัดต้นมะละกอให้สูงจากพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร (เผื่อลำต้นมะละกอจะต้องผุเปื่อยเน่าลงมาอีกประมาณ 1 คืบ) แต่เกษตรกรจะต้องช่วยเจาะรูให้น้ำมีทางระบายออกจากลำต้นด้วย ในการทำสาวเพื่อจะให้มีการแตกยอดใหม่ที่ดีควรทำในช่วงฤดูฝน หลังจากตัดต้นมะละกอเสร็จแล้ว


หลังจากตัดต้นมะละกอเพื่อทำสาวเสร็จเกษตรกรจะต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น 16-16-16 หรือสูตรตัวหน้าสูง เช่น 32-10-10 และใส่ปุ๋ยคอกเก่าร่วมด้วย มีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นจะมียอดมะละกอแตกออกมาใหม่หลายยอดให้คัดเลือกยอดที่สมบูรณ์ที่ สุดเหลือไว้เพียงยอดเดียวเท่านั้นเพื่อไม่ให้ยอดเจริญแข่งกัน
 

ต้นมะละกอที่มีการทำสาวทุกปีจะมีการติดดกเหมือนกับต้นมะละกอปลูกใหม่ซึ่งผิด กับต้นมะละกอที่ไม่เคยทำสาวเลยจะมีการออกดอกและติดผลน้อยลง สำหรับเกษตรกรที่ปลูกมะละกอในเชิงพาณิชย์ จะสามารถกำหนดการให้ผลผลิตด้วยวิธีการทำสาวกำหนดให้ต้นมะละกอมีผลผลิตขายได้ ในช่วงฤดูแล้ง ตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยมาจนถึงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งราคามะละกอดิบเพื่อใช้ ส้มตำในช่วงเวลาดังกล่าวจะเฉลี่ยสูง


ต้นไม้ก็เหมือนคนเรานั้นแหละค่ะ ถ้าต้องการให้พืชโตเร็วให้ผลผลิตมากๆเราก็ต้องมีวิธีบำรุงมันด้วย หรืออาจจะให้อาหารเสริมสำหรับพืชด้วย อย่างนี้เราต้องการให้มะละกอนั้นผลดกถ้าเร่งมะละกอมากเกินไปอาจจะทำให้มัน โทรมจนแก่ตายได้นะค่ะ ดังนั้นเราก็ต้องให้อาหารจานด่วนกับมะละกอด้วยแหละ หนูได้สูตรนี้มาจากอาจารย์ที่เชียวชาญด้านการปลูกพืชมาจากอาหารจานด่วน


วิธิทำ
1. ไข่ไก่ 1 ฟอง กระเทาะเปลือก ตีให้เข้ากัน
2. น้ำ 20 ลิตร
3. ปุ๋ยยูเรีย 20 cc
4. จูลินทรีย์หน่อกล้วย 4 ช้อนแกง
5. นำส่วนประกอบทั้งหมดมาหมักรวมกัน 7 วัน ก็สามารถใช้การได้

วิธีใช้
1. สามารถใช้ผสมจูลินทรีย์หน่อกล้วย ในปริมาณ 20 cc /จูลินทรีย์หน่อกล้วย 20 cc/ น้ำ 20 ลิตร ก็ได
2. ใช้เฉพาะอาหารจานด่วนก็ได้ 20 cc/ น้ำ 20 ลิตร



เทคนิคและวิธีการทำให้มะละกอลูกดกดังนี้

โดยเริ่มจากการเตรียมดินให้มีความอุดมสมบรูณ์ก่อน และก่อนย้ายกล้าที่เพาะไว้ลงปลูกในแปลง คุณพ่อจะใช้ภูมิปัญญาเก่าๆ ที่สืบทอดกันมาทำให้มะละกอเป็นต้นกระเทยเสียก่อน โดยการตัดรากแก้วออกให้เหลือประมาณ 2 ข้อมือ แล้วนำต้นมะละกอลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ วิธีนี้นอกจากจะทำให้มะละกอติดลูกดกแล้ว ยังทำให้มะละกอโตเร็ว เก็บผลผลิตได้เร็วขึ้น 1 เดือน ทั้งยังติดลูกดกทุกต้นด้วย

ดินต้องดีมีประสิทธิภาพก่อนด้วยการเพื่อจุลินทรีย์ในดินด้วยการราด
น้ำหมัดชีวภาพ  ประการที่ 2 ให้เพื่อต้วแคลเซียมให้โดยเปลือกกุ้ง
เปลือกปู หอย ที่เรากินแล้ว มาทิ้งไว้โค้นต้นเพื่อเป็นปุ๋ยต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

[​IMG]

เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงใจ


 


"..เพื่อหมู่เฮา..ต้องสู้เค้าน๊าาา หล่า เอ๊ย ... "

"..กลางดงตีน ปีนเกาะกลาง อย่างนางเอก
เป็นปัจเจก เอกนารี ขี่ม้าขาว
โดนกลุ้มรุม ทุ่มทุนทุบ ให้ยุบยาว
ฝ่าร้อนหนาว อีกคราวฝน สู้ทนเอา

ทั้งซ้ายขวา มาหน้าหลัง ทั้งอีแอบ
เสียงแหบๆ แอบมาสั่ง ให้พลั้งถอย
อีกกองทัพ สดับเลี่ยง อย่าเสี่ยงคอย
ศาลก็พลอย ค่อยพยัก หักตาเดิน

เหมือนละคร ตอนผู้ร้าย หมายข่มเหง
ดั่งบทเพลง บรรเลงซ้ำ ย้ำบาดแผล
ดูคล้ายๆ หนังมันเศร้า เราอ่อนแอ
ทองเนื้อแท้ หาแพ้ไม่ แม้ไฟรุม

ท่ามกลางทุกข์ สุขยังมี ที่ได้เห็น
ดั่งน้ำเย็น เช่นประพรม ให้ข่มไหว
ผู้คนรัก ปักศรัทธา คือยาใจ
ต่างอวยชัย ให้ใจอยู่ สู้เพื่อเรา.."

 
 
 
 
 
 
 
[​IMG]
 
 

 

[​IMG]

 

 


 

 

[​IMG]

 

 

 

 

 

 

[​IMG]
 

 

[​IMG]

 

 

 

 

[​IMG]
 

 

 

[​IMG]
 

 

 

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-03-20 18:38:05.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ยูเครน รัสเซีย ไครเมืย

 

 

 

 

 

                       

 

 

 

 เพลงนี้มีชื่อแปลเป็นภาษาไทยว่า " ฉันถามต้นแอช " เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์รัสเซียเรื่องหนึ่ง เวอร์ชั่นนี้ร้องโดยเซรเกย์ นิกิติน เนื้อหาตอนท้ายชวนขำเล็กๆ ผมลองแปลมาให้ไม่่รู้ผิดหรือถูกอย่างไร ลองอ่านดูครับ

ฉันถามต้นแอชว่าสุดที่รักข้าอยู่ไหน
ต้นแอชไม่ตอบได้แต่ส่ายหัว
ฉันถามต้นป็อปล่าร์ว่าแฟนข้าอยู่ไหน
ป็อปล่าร์แค่โปรยปรายใบไม้ใส่ฉัน

ฉันถามฤดูใบไม้ร่วงว่าหวานใจข้าอยู่ไหน
ฤดูใบไม้ร่วงตอบมาด้วยสายฝนโปรย
ฉันเลยถามสายฝนว่าดวงใจข้าอยู่ไหน
เม็ดฝนจิ๋วแค่ปรอยโปรยนานเนิ่นที่หน้าต่าง

ฉันถามจันทรา ว่าคนรักข้าอยู่ไหน
จันทราหนีเข้าหมู่เมฆา แล้วก็ไม่ตอบ
ฉันถามหมู่เมฆา ข้าตามหานวลนาง
หมู่เมฆสลาย หลบหายในท้องฟ้าคราม

เพื่อนเอ๋ย เพื่อนข้า สุดที่รักข้าอยู่ที่ใด
บอกหน่อยเถิด นางไปหลบอยู่ที่ใด นายรู้ไหม

เพื่อนตอบอย่างเปิดใจ ใสซื่อ
เคยเป็นสุดที่รักของแก เคยเป็นหวานใจของแก
เคยเป็นดวงใจของแก แต่ตอนนี้เป็นเมียข้าแล้ววะ

 

 

 

 เมื่อวันที่ 17 นี้ รัสเซียได้ ติดตั้ง S400 รอบๆ Moscow

และ
วันที่ 19 นี้ กองทัพอากาศรัสเซียซ้อมรบขนาดใหญ่ ที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ
โดยเน้นการโจมตี ด้วย SU-34 and SU-34M

รัสเซียคงพร้อมแล้วสำหรับสงคราม
แต่ us พร้อมหรือยัง ??

แต่น่าเห็นใจทหารยูเครน ทำอะไรไม่ได้เลย

 

 

 

เนื่องจากว่าตอนที่มีการลงประชามติขอแยกตัวเป็นเอกราชของไครเมีย ใด้มีทหารเรือยูเครนที่ประจำการอยู่ในฐานทัพ
เมืองเซวาสโตปอล แปรพรรคเข้าร่วมกับรัสเซียเป็นจำนวนมาก ทำให้ยูเครนต้องเสียเรือรบไปไม่น้อยกว่า 20-30ลำ

ทำให้กำลังรบทางเรือของยูเครนหดหายไปกว่าครึงหนึ่งเลยที่ ดังนั้นพวกรัสเชียสจึงไปจับตัว ผบ.ทร.เอาง่ายๆที่บ้านพัก
แกเลย

 

 


 

 

1. ยูเครนประกาศให้คืนตัวประกันภายใน 3ชั่วโมง (บัดนี้ล่วงเลยเวลาแล้ว)
2. เตรียมหารือกับ UN เพื่อขอให้ไครเมียเป็นเขตปลอดทหาร
3. ประกาศเป็นรัฐเอกราช(ไม่แน่ใจข้อมูลได้ยินไม่ชัด) และเตรียมตัวซ้อมรบกับ สหรัฐ
4. ชาวรัสเซียที่จะเข้ามาในยูเครนจะต้องทำวีซ่า
5. ไทยออกแถลงการณ์สรุปความได้ว่า ไทยติดตามข่าวและเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์

 

 

 

 

 

าพข่าวการกล่าวสุนทรพจน์ในวันอังคารที่ผ่านมา ของประธานาธิปดีปูติน ที่ไครเมีย
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 

คำพูดเด่นๆในสุนทรพจน์มี "ตะวันตกถูกนำโดยอเมริกาที่ชอบไม่ทำตามกฏหมายระหว่างประเทศ แต่ชอบใช้อาวุธเป็นกฏ"

 

 


"พวกเขากล่าวว่าเราละเมิดกฏหมาย โชคดีที่พวกเขายังระลึกได้ว่ายังมีมันอยู่ ดีกว่าพูดตอนสายไป"


 

 

"ยิ่งคุณกดปริงแรงเท่าไหร่ มันยิ่งจะเด้งกลับแรงเท่านั้น จงจำสิ่งนี่ไว้"


เพิ่มเติมข่าว การตอบโต้ของรัสเซียอย่างแรกต่อยูเครนเพิ่มราคาก๊าซ จากเดิม 360-370us dol/1000 คิวบิกเมตร เป็น 500 us dol /1000 คิวบิก เมตร โดยจะเริ่มใช้ราคาใหม่ตั้งเเต่วันที่ 10 เมษาเป็นต้นไป

 

 จริงๆผมมองว่า US+NATO ไม่กล้าอยู่แล้วครับ
เป็นเหมือนเสือกระดาษซะมากกว่า ได้แต่ขู่นั่นขู่นี่
ใจจริงแล้ว US มันกลวงมากเลยนะ
พิมพ์เงินเป็นว่าเล่น หนี้ก็ไม่รู้เท่าไหร่
เศรษฐกิจยังไปไม่รอดเลย ถ้าเกิดสงครามผมมองว่าสหรัฐเละตั้งแต่เริ่มสงครามค่าเงินละครับ
ลองคิดเล่นๆ รัสเซีย จีน อินเดียทิ้งดอลล่า ขายน้ำมันเป็นทอง
คนจะแห่ซื้อทอง ความน่าเชื่อถือของดอลล่าจะหมดไป และทำให้จีนยิ่งมีอำนาจ เข้าทางจีนเลย


ผลักดันหยวนเป็นเงินสกุลหลักแทนดอลล่า และลองดูพันธมิตรของรัสเซีย จีนเงี๊ย อินเดียเงี๊ย
ดูประชากรแต่ละประเทศ เกิดสงครามมีเทคโนโลยียังไงก็ไม่ไหวหรอก
ถ้าไม่ยิงนิวเคลียร์ล้างโลก ยังไงก็มองว่า NATO+US ก็สู้ไม่ไหว

ปล.ผมเกลียดการแทรกแซงทางการเมืองUS ทีการเมืองไทยละอยากจะช่วยจังเลย
แต่พอมีเรื่องผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในไทยไม่เห็นแสดงท่าทีอยากจะช่วยสักกะติ๊ด

 

 

 

เมื่อสื่อใหญ่ของอเมริกาเขียนถึงกองทัพรัสเซีย อเมริกายังต้องตะลึงกับประสิทธิภาพของกองทัพรัสเซีย
Cr:วอชิงตันโพสต์. แปลโดย FB.สมาคมนิยมอาวุธรัสเซีย



19/14/2013
กองทัพรัสเซียยุคใหม่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้อ่อนแอ
-บทความจากนักวิเคราะห์ David Ignatius ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์

พวกเขาได้จัดระเบียบและมีระเบียบวินัยด้วยความเป็นมืออาชีพซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการนองเลือดในไครเมีย หลักฐานจากภาพถ่ายที่ปรากฏออกมาแสดงให้เห็นถึงการทำงานของทหารรัสเซียในแหลมไครเมียซึ่งได้ข้อสรุปดังต่อไปนี้

 



พวกเขาทำงานที่เป็นความลับภายใต้เครื่องแบบที่ไม่มีเครื่องหมายและมักจะปิดบังใบหน้าของพวกเขา พวกเขาจะมีระเบียบวินัยและความมุ่งมั่น

 



ปฏิกิริยาทางการทูตต่อการการแทรกแซงของรัสเซียในไครเมียยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อำนาจของเพนตากอนได้เริ่มลดลงและเริ่มมีการประเมินผลของบทเรียนที่ได้รับ ทำให้ว่าการกระทำของรัสเซียในไครเมียได้กลายเป็นบทเรียนให้เห็นถึงความรวดเร็วในการปฏิบัติงานของกองกำลังพิเศษเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่จำกัดอย่างเคร่งครัด

 




 

"สำหรับกองทัพรัสเซีย สิ่งที่ทำให้ผมตะลึงมากที่สุดคือระดับของความมีวินัยในการฝึกอบรมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของพวกเขา", -ผู้อำนวยการบริหารผลประโยชน์ของชาติ Paul Sanders กล่าว

"แรกเริ่มสำหรับวิกฤตในไครเมียมีทหารรัสเซียอยู่ประมาณ 15,000 คน แต่พวกเขาก็ส่งทหารกว่า 5,000 คนเข้าไปเพิ่มอีกโดยใช้เวลาไม่นาน"

นักวิเคราะห์ทางทหารกล่าวว่าได้สังเกตเห็นคุณสมบัติที่น่าสนใจบางอย่างของการใช้งานทหารรัสเซียในภารกิจแทรกแทรงไครเมียอย่างเห็นได้ชัดแต่เต็มไปด้วยความลับโดยประธานาธิบดีปูติน อดีตผู้พันสายลับเคจีบี

วันที่ 4 มีนาคม ปูตินได้แถลงข่าวปฏิเสธว่ากองกำลังในไครเมียไม่ใช่ทหารรัสเซีย
"ไปที่ร้านกับผมถ้าคุณข้องใจเรื่องชุดทหาร ที่นั่นมีขายทุกแบบที่คุณต้องการ " - เขาตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ซึ่งต่อมาในวันที่ 5 มีนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม Sergei Shoigu ก็ได้ออกมายืนยันสนับสนุนคำพูดของผู้นำว่า "ไร้สาระที่สุด กับรายงานที่ว่ากองทัพรัสเซียบุกแหลมไครเมีย"

 




การแถลงข่าวปฏิเสธความจริงเป็นประโยชน์มาก รัสเซียมีการจัดการด้วยความรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงข้อหาการแทรกแทรงที่ผิดกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้ปูตินไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่มีการนองเลือด

นอกจากนี้ปูตินได้แสดงความเต็มใจที่จะกล้ารับความเสี่ยง
"แม้ยังไม่มีการนองเลือด แต่ปูตินก็ไม่สามารถรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ นั่นคือเหตุผลที่ระเบียบวินัยของทหารรัสเซียเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้น ความเป็นมืออาชีพของพวกเขาจะลดความเสี่ยงของการเกิดเหตุไม่คาดฝัน" - นักวิเคราะห์กล่าว

 




สุดท้ายปูตินได้จัดทำกฎหมายรองรับสำหรับการแทรกแซงยูเครนในการปกป้องประชาชนของพวกเขาและประชากรพูดภาษารัสเซียในยูเครน แต่รูปแบบของพฤติกรรมนี้นักวิเคราะห์กล่าวว่าสามารถใช้ได้กับทั้งประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ใช่เพียงยูเครน

ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่ามีโอกาสน้อยที่ปูตินจะโจมตีประเทศเพื่อนบ้านเช่นลัตเวียลิ ทัวเนีย การดำเนินการเช่นนี้กับประเทศสมาชิกนาโต้จำเป็นต้องใช้ทหารมากกว่าเดิม ขณะที่พันธมิตรนาโตต่างก็แสดงท่าทีเตรียมพร้อมในการป้องกันสมาชิกตามระเบียบข้อ 5 ของนาโต้ ซึ่งความเสี่ยงนี้ปูตินอาจจะยังไม่พร้อม

การดำเนินงานที่ดีในแหลมไครเมียแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงคุณภาพและการฝึกอบรมของกองทัพรัสเซียใน 10 ปีที่ผ่านมาซึ่งแตกต่างจากในเชชเนียและจอร์เจีย เป็นที่ชัดเจนว่ารัสเซียจะประสบความสำเร็จในการปฏิรูปกองทัพ

"กองทัพรัสเซียได้พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้อ่อนแอ พวกเขาได้รับการฝึกฝนอย่างมาเป็นดี ดำเนินการอย่างสุขุมรอบคอบและมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติการในพื้นที่ที่จำกัด เป็นที่ชัดเจนว่าปูตินไม่ได้หยุดประลองยุทธ์กับนาโตที่พากันส่งสัญญาณความพร้อมในการปกป้องพันธมิตรที่เป็นของตน แต่ไม่ได้แสดงความพร้อมที่จะหยุดรัสเซียที่ปฏิบัติการในภูมิภาคที่อยู่ใกล้เคียงกับพันธมิตร "

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 

 

 

 "ไครเมีย" กับ "ลีโอ ตอลสตอย" (บทความนี้ว่าด้วยประวัติศาตร์และแรงจูงใจที่ ปูตีนต้องการยึดครองดินแดนไครเมีย)
วันที่ 08 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23:35:00 น. โดย ปิยมิตร ปัญญา piyamitara@gmail.com
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 8 มีนาคม 2557



วาสิลี อัคซีโยนอฟ ประพันธกรรัสเซียน เคยตั้งคำถามผ่านนวนิยายชื่อ "ดิ ไอส์แลนด์ ออฟ ไครเมียŽ" ไว้ตั้งแต่ปี 1979 ว่า ไครเมีย ซึ่งตามท้องเรื่อง "เป็นอิสระและเป็นกลาง"Ž จะคงความเป็นอิสระจากลัทธิ ซาริสม์ คอมมิวนิสม์ และอิมพีเรียลิสม์ อยู่ได้นานเท่าใด

เมื่อคำนึงถึงปรารถนาและเจตนารมณ์ของ "คนรัสเซียŽ" ทั้งในและนอกไครเมีย!

คำถามนี้ยังคงมีนัยสำคัญอยู่แม้แต่ในยามนี้ แม้ว่า "ดิ ไอส์แลนด์ ออฟ ไครเมียŽ" จะเป็นจินตนาการ เป็นแฟนตาซี โดยแท้ก็ตามที

เมื่อ วิคเตอร์ ยานูโควิช ถูกขับพ้นตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนในกรุงเคียฟ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ วิกฤตไครเมีย เขตปกครองพิเศษที่เพิ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของยูเครนอย่างเป็นทางการในปี 1954 ที่ผ่านมานี่เอง

ไครเมีย มีประชากรอยู่ราว 2 ล้านคน แม้จนกระทั่งบัดนี้ประชากรส่วนใหญ่ยังคงนิยมรัสเซียนั่นเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้ รัฐสภาไครเมีย เคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับทางการในกรุงเคียฟ อาศัย "กองเรือทะเลดำ"Ž ของรัสเซียในเขตฐานทัพเรือเช่า ที่เซวาสโตโปล เป็นหลังพิง ส่ง "กองกำลังป้องกันตนเองŽ" ที่หลายคนบ่งชี้ชัดเจนว่าเป็น "ทหารอาชีพŽ" ที่ "เชื้อเชิญเป็นพิเศษŽ" มาจากรัสเซีย กระจายกำลังเข้ายึดครองพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการทหารทั้งหลาย ก่อนที่ประกาศทำประชามติ เพื่อกลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซีย

ด้วยเหตุผลบังหน้าที่ว่า เพื่อเป็นการปกป้องประชาชนเชื้อสายรัสเซียจากกองกำลังที่เป็นสมุนต่างชาติและขบวนการชาตินิยมที่ยึดอำนาจได้สำเร็จผ่านการรัฐประหารในกรุงเคียฟ

มองจากมุมของทางการเคียฟ นั่นเท่ากับเป็นการก่อกบฏเพื่อแบ่งแยกดินแดน แม้ในมุมมองที่แตกต่างออกไปรวมทั้งแม้แต่ในไครเมียเอง การกระทำดังกล่าวก็ล่อแหลมอย่างยิ่ง สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการกลายเป็นชนวนของสงครามครั้งใหม่ สงครามใหญ่อีกครั้งแห่งไครเมีย แล้วทำไมต้องเทเดิมพันกันมากมายขนาดนั้น?

อาจบางทีคำตอบมีอยู่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของคาบสมุทรไครเมีย!

ประวัติศาสตร์แห่งไครเมียยืดยาวเนิ่นนานลงลึกไปในอดีต เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน สั่งสมทับถมหลายชั้นด้วยวัฒนธรรมหลายหลากนานัปการ นับตั้งแต่เริ่มต้นมีการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในยุคหิน พื้นที่แห่งนี้ถูกครอบงำ ยึดครอง และปกครองด้วยอารยธรรมหลากหลายในแต่ละห้วงแต่ละช่วงเวลาของประวัติศาสตร์


ตั้งแต่อารยธรรมเกรโก-โรมัน, การตกอยู่ภายใต้อาณาจักร ไบเซนไทน์, อาณาจักรชนเผ่า เคียวาน รัส, ก่อนตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอูลูส แห่ง โจชิ โอรสองค์โตแห่ง เตมูจิน หรือเจงกิส ข่าน ผู้ยิ่งใหญ่แห่งมองโกล ต่อด้วยการกลายเป็นดินแดนใต้อาณาจักร ออตโตมาน และอยู่ในจักรวรรดิรัสเซียในที่สุด

ไครเมีย ยังเคยตกอยู่ภายใต้การยึดครองของ ติมูร์ เจ้าชายแห่งเปอร์เซียผู้พิชิตมองโกล สถาปนาพื้นที่นี้ขึ้นเป็นอาณาจักรข่าน ในชื่อ ไครเมียน ตาตาร์ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมทุกวันนี้ ยังคงมี ตาตาร์ เป็นชนกลุ่มน้อยอยู่ในไครเมีย หลังจากที่มีตาตาร์เป็นจำนวนไม่น้อยสูญเสียไประหว่างการกวาดล้างของ โจเซฟ สตาลิน และผ่านการเนรเทศหมู่ครั้งใหญ่อีกครั้งในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

แต่ที่น่าสนใจก็คือ ตาตาร์ ในไครเมียกลับยืนอยู่ข้างเดียวกันกับกลุ่มผู้ประท้วงผู้โค่นล้มยานูโควิชในจัตุรัสเอกราช ใจกลางกรุงเคียฟ

คาบสมุทรไครเมีย ตกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย ในยุคของ แคเธอรีน มหาราช ในปี 1783 กลายเป็นเส้นทางออกสู่ทะเลดำ และมีพื้นที่กว้างขวางให้พัฒนาให้ทันสมัย พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ที่ 3 แห่งรัสเซีย ดำริให้ก่อสร้างพระราชวังใหม่หรูหราขึ้น 2 แห่งในเมืองชายฝั่งทะเลชื่อ "ยัลตาŽ" พระราชทานนามว่า ลีวาเดีย และ แมสซานดรา

เมื่อสตาลิน จำเป็นต้องหาสถานที่รับรอง วินสตัน เชอร์ชิล แห่งอังกฤษและ ธีโอดอร์ รูสเวลต์ แห่งสหรัฐอเมริกา ก็เลือกพระราชวังลีวาเดีย เป็นสถานที่รับรองและจัดการประชุมขึ้นที่นั่น ในเดือนกุมภาพันธ์ 1945 ผู้นำสหรัฐอเมริกากระทั่งได้อาศัยพำนักอยู่ในพระราชวังเดิมแห่งนี้

แต่ที่ติดแน่นตรึงอยู่ในความทรงจำของพวกชาตินิยมรัสเซียทั้งหลาย กลับเป็นเมืองท่าสำคัญอย่าง เซวาสโตโปล เมืองแห่งนี้ในไครเมีย รู้จักกันในรัสเซียในชื่อ "เมืองแห่งความรุ่งโรจน์แห่งชนรัสเซียน"Ž และมีบทบาทสูงมากในการสร้างทัศนคติของคนรัสเซียต่อไครเมีย ว่านี่คือดินแดนที่รัสเซียนควรมีสิทธิใดๆ เหนือใครอื่น

รัสเซีย ทำสงครามอาบเลือดที่เซวาสโตโปลมาแล้วถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกในปี 1854 เป็นสงครามระหว่างจักรวรรดิรัสเซียฝ่ายหนึ่งกับอาณาจักรออตโตมานอีกฝ่ายหนึ่ง ครั้งที่สอง เกิดขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างสหภาพโซเวียต กับนาซีเยอรมัน สงครามทั้งสองครั้งถูกเชิดชู สะท้อนความรุ่งโรจน์ของรัสเซียนออกมาในหลากหลายรูปแบบตั้งแต่งานจิตรกรรม วรรณกรรม เรื่อยไปจนถึงวัฒนธรรมร่วมสมัยหลากหลาย

เซวาสโตโปล ยังคงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของรัสเซียถึงขนาดต้องคง "กองเรือทะเลดำ"Ž เอาไว้แม้ในเวลานี้

นิกิตา ครุสเชฟ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต เป็นผู้หยิบยื่นไครเมีย ให้กับยูเครน ในปี 1954 การกระทำครั้งนี้เป็นไปในเชิง "สัญลักษณ์Ž" เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 300 ปีของการที่ยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ครุสเชฟ ผู้นำของสหภาพโซเวียตในเวลานั้น เป็นคนเชื้อสาย "ยูเครนŽ" ไม่ใช่ "รัสเซียŽ"

ไม่ว่าจะเป็นเพียงการมอบให้ในเชิงสัญลักษณ์เพื่อการเฉลิมฉลองหรือไม่ก็ตามที เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายแตกเป็นเสี่ยงๆ ยูเครนก็ยึดถือไครเมีย เป็นส่วนหนึ่งของตนที่ยากจะเปลี่ยนแปลงกลับกลาย แม้จะส่งผลให้คนรัสเซีย ทั้งสามัญชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดานักการเมืองจำนวนไม่น้อยขมขื่นและแค้นเคืองในเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาก็ตามที

ดังนั้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่กลุ่มแนวความคิดชาตินิยมรัสเซียในไครเมีย เคลื่อนไหวเพื่อดิ้นรนเป็นเอกราช หรือกลับไปอยู่ภายใต้อาณัติของรัสเซียอยู่ตลอดเวลา ความพยายามที่ปรากฏชัดเจนและจริงจังครั้งหลังสุดก็คือ เมื่อเกิดการลุกฮือขึ้นเปลี่ยนแปลงการปกครองในเคียฟในปี 2004 ที่ถูกเรียกขานกันว่า "ปฏิวัติสีส้มŽ" นั่นเอง

ไม่เพียงเกิดความพยายามในไครเมีย ผู้นำส่วนหนึ่งในมอสโก เองก็ดูเหมือนเต็มใจที่จะให้ เซวาสโตโปล หรือกระทั่ง ไครเมีย ทั้งหมดกลับมาอยู่ใต้อำนาจของรัสเซีย จะเห็นได้ชัดว่า ถึงแม้ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย พูดชัดเจนถึงความเคารพใน "บูรณภาพแห่งดินแดน"Ž ของยูเครน แต่กองกำลังที่เชื่อกันว่าเป็นทหารรัสเซีย ก็บุกเข้ายึด อาคารที่ทำการรัฐบาล กรุงซิมเฟโรโปล และชักธงชาติรัสเซียขึ้นแทนที่ธงชาติยูเครน

แผ่นป้ายผ้าที่นำมาติดหราไปทั่ว สะท้อนความคิดเรื่องนี้ชัดเจน อาทิ "ไครเมียคือรัสเซีย"Ž และ "เราต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับรัสเซียŽ" เป็นต้น

สนามบินสำคัญสองแห่ง ที่เซวาสโตโปล และซิมเฟโรโปล ถูกกองกำลังติดอาวุธเข้ายึดครอง เพื่อรอรับเครื่องบินขนส่งทางทหารของรัสเซียลงจอดในเวลาต่อมา ยานยนต์หุ้มเกราะของรัสเซีย กระจายตัวออกประจำตามตำแหน่งยุทธศาสตร์ในเมืองสำคัญทุกแห่งในไครเมีย


ทั้งๆ ที่สุ่มเสี่ยงและล่อแหลมต่อการเกิดปะทะกันขึ้นกับกองกำลังของยูเครน จนอาจลุกลามกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบขึ้นมาก็ตามทีในแง่หนึ่ง เหตุการณ์ที่ไครเมียครั้งนี้ กับอิทธิพลของรัสเซียในพื้นที่นี้ แทบไม่แตกต่างอะไรกับวิกฤตคล้ายๆ กันที่เกิดขึ้นในบางประเทศในยุโรปตะวันออกก่อนหน้านี้

ทั้งในยุคสงครามเย็น และอีกไม่นานหลังจากนั้น

ในยุคสงครามเย็น สหภาพโซเวียตกระทำการทำนองเดียวกันนี้กับ ฮังการีในปี 1956 และเชโกสโลวาเกีย ในปี 1968 ภายใต้ข้ออ้างว่า รัฐบาลของทั้งสองประเทศ "ร้องขอ"Ž กองกำลังเข้าไปเพื่อปราบปรามการลุกฮือขึ้นก่อจลาจล

แต่เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงอย่างยิ่ง กลับเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า สงครามรัสเซีย-จอร์เจีย ในเดือนสิงหาคมปี 2008 เมื่อรัสเซียส่งทหารเข้าไปใน เซาธ์ ออสเซเตีย และอับคาห์เซีย ภายใต้ข้ออ้างว่า เพื่อให้ความคุ้มครองชนเชื้อสายรัสเซียในพื้นที่ตอนใต้ของสาธารณรัฐจอร์เจียดังกล่าวนั้น เหตุการณ์ลงเอยด้วยการที่ เซาธ์ ออสเซเตีย และอับคาห์เซีย แยกตัวเป็นอิสระ ภายใต้การรับรองสถานะอย่างรวดเร็วของรัสเซีย แม้ว่าแทบไม่มีชาติอื่นใดให้การรับรองเช่นเดียวกันนั้นก็ตาม

ในทางปฏิบัติแล้วทั้ง เซาธ์ ออสเซเตีย และอับคาห์เซีย ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียโดยสิ้นเชิงมาจนถึงเวลานี้

นั่นอาจเป็น "โมเดลŽ" ที่ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซียต้องการนำมาใช้กับไครเมียในขณะนี้ คือให้มีสถานะเป็นอิสระ แต่พึ่งพาและตอบสนองต่อผลประโยชน์ของรัสเซียอย่างแนบแน่น ในทางสากล ปูติน อาจแย้งได้ว่ารัสเซียไม่ได้ผนวกเอาดินแดนไครเมียมาเป็นของตน แต่ในเวลาเดียวกัน การทำเช่นนี้ก็ทำให้กลุ่มชาตินิยมรัสเซียในไครเมียพึงพอใจ โดยอาจไม่จำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินแม่รัสเซียโดยตรง

ที่สำคัญ ด้วยวิธีการเช่นนี้ รัสเซียก็จะยังสามารถคง "กองเรือทะเลดำŽ" ของตน ที่มีความสำคัญสูงในเชิงยุทธศาสตร์ไว้ที่เซวาสโตโปลต่อไปได้เหมือนเดิม

ถามว่า สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา เห็นพ้องหรือยินดีกับผลลัพธ์เช่นนี้หรือไม่ คำตอบก็คงเป็น ไม่ แต่ถ้าถามต่อไปว่า ทั้งอียูและสหรัฐ เต็มใจและมีศักยภาพเพียงพอต่อการดำเนินการประการหนึ่งประการใดเพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ดังกล่าวได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อความขัดแย้งกลายเป็น "สงครามเต็มรูปแบบŽ" ขึ้นมา คำตอบก็คงยังเป็นการปฏิเสธเช่นเดียวกัน

อาจบางที ปูตินเองก็ตระหนักใน ความไม่มีน้ำยาŽ นี้เช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อวดอานุภาพของตัวเองอย่างเต็มที่เช่นนี้

ลีโอ ตอลสตอย นักประพันธ์เรืองนาม เคยเขียนเอาไว้ในตอนสุดท้ายของงานเขียน 3 เรื่องชุด "เซวาสโตโปล อิน ออกัสต์ 1855Ž" ล้วงลึกลงไปในจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของทหารรัสเซีย หลังพิชิตศึกเอาไว้ว่า

"เมื่อก้าวต่อไปถึงปลายสุดของสะพาน ทหารรัสเซียแทบทุกนายถอดหมวกแก๊ปออก และทำเครื่องหมายกางเขนกับตัวเอง แต่เบื้องหลังสัญชาตญาณที่ว่านี้นั้น ยังคงมีความรู้สึกอีกประการที่กดดันรุนแรงกว่า ลึกล้ำกว่า ดำรงควบคู่อยู่ไปด้วย

"นั่นคือความรู้สึกที่กอปรขึ้นจากความสำนึกเศร้าเสียใจ ความละอาย และความเคียดแค้นชิงชังŽ" หรือนี่คือชัยชนะที่ วลาดิมีร์ ปูติน ต้องการ?!

 

 

 

อรัมภบท


จากวิกฤติการทางการเมืองในยูเครน ที่เริ่มต้นพร้อมๆกับไทย เวลานี้ขณะที่วิกฤติการเมืองไทยยังหาทางออกไม่เจอ แต่วิกฤติการเมืองยูเครนใกล้จะใด้ข้อยุติแล้ว คืออีกไม่นาน แคว้นไครเมียซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองเขตหนึ่งในประเทศยูเครน ก็จะแยกตัวออกมา แล้วเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเชียแน่นอน

การที่ไครเมียเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียนี้ ใด้รับการคัดค้านและต่อต้านจากชาติตะวันตกอย่างหนัก มีการออกมาตราการคว่ำบาตทางการค้าต่างๆโดยชาติที่เป็นพันธมิตรนาโต้ ที่นำโดยอเมริกา งัดออกมาใช้เล่นงานรัสเซีย และนานาชาติมองว่างานนี้รัสเซียแทรกแซงทางการเมืองต่อยูเครนด้วยการส่งกำลังทหารเข้าไป ในระหว่างที่แคว้นไครเมียจะมีการขอลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชจากยูแครน แต่รัสเชียก็อ้างว่า ที่ส่งกำลังทหารเข้าไปนี่ ก็เพื่อคุ้มครองพลเมืองไครเมีย(มีเชื่อสายรัสเซียเป็นส่วนใหญ่)จากการถูกทำร้ายของ จทน. รัฐบาลยูเครน ชึ่งถูกอเมริกาชักใยอยู่เบื่องหลังอีกที่




ถึงแม้ว่าจะมีการต่อต้านจากนานาชาติอย่างหนัก แต่ประธานาธิปดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเชียก็ไม่ใด้สนใจและนิ่งเฉยต่อมาตราการคว่ำบาตเหล่านี้ ทั้งยังประกาศรับรองการเป็นรัฐเอกราชของไครเมียอย่างรวดเร็วหลังมีการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชจายูแครน และล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญรัสเซีย ยังประกาศรับรองการผนวกดินแดนไครเมียเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียแล้วอย่ารวดเร็ว อีกเช่นกัน

ทำไม่ถึงเป็นอย่างนี้ นักวิเคราะห์หลายคนพยายามอธิบายท่าที่ ที่เย็นชา และแข็งกร้าวของ ปูตีน ต่อมาตราการคว่ำบาตของชาติตะวันตก นักวิเคระห์การเมืองของอเมริกาหลายคนมองว่า ปูตีน ทะเยอทะยาน ต้องการที่จะสถาปนา สหภาพโชเวียตที่ 2 ขึ้นมาในชื่อ "สหภาพยูเรเชีย" บางคนวิเคราะห์ไปใกลถึงขนาดว่า ปูตีน รับเอาแนวคิดทำลายความมั่นคงของยุโรปตะวันตกมาจากฮิตเลอร์ เพื่อต้องการที่จะจัดระเบียบโลกใหม่

แต่ก็ยังมีคนที่มองอย่างเป็นเหตุเป็นผล อย่างนายยูจีน รูเมอร์(อดีต CIA ที่ดูแลเรือง รัสเซีย-สหภาพยูเรเซีย และงานการข่าว)มองว่าถ้าจะเข้าใจ ปูตีน ต้องมองไปที่ประวัติศาตร์ของไครเมียและรัสเชีย ที่ผูกพันกันมายาวนาน และแทนที่จะสร้าง สหภาพยูเรเซีย ขึ้นมาสิ่งที่ปูตีนต้องการน่าจะเป็นการมี รัฐกันชน เพื่อป้องกันการปิดล้อมทางยุทธ์ศาตร์ของชาติพันธมิตรนาโต้มากกว่า

ดังจะเห็นใด้ว่าช่วงหลังจากการล้มสลายของสหภาพโชเวียต อเมริกาและชาติตะวันตกต่างก็เข้ามามีบทบาทต่อประเทศลูก ที่แยกตัวออกมาจากโชเวียต อิทธิพลของอเมริกานั้น มีทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านการทหาร โดยด้านการทหารนั้นอเมริกา มีการส่งกองกำลังเข้ามาประจำการในหลายประเทศอดีตสหภาพโชเวียต ทั้งยังจะมีการสร้างฐานทัพ ฐานยิงจรวดมิสไซส์ ซึ่ง ปธน. ปูตีน มองว่าสิ่งนี้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัสเซีย และเป็นความพยายามที่จะปิดล้อมรัสเซียทางยุทธศาตร์

 



 

ดังนั้นรัสเซียจึงมองว่าเป็นความชอบธรรมแล้วที่จะส่งกำลังทหารเข้าไปในยึดครองเอาไครเมีย อีกทั้งประชาชนชาวไครเมียซึ่งส่วนใหญมีเชื่อสายรัสเชียก็ต้องการจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอยู่แล้ว(ทำประชามติชนะด้วยคะแนน97%) และที่สำคัญไครเมียเป็นจุดยุทธ์ศาตร์สำคัญทางทหารของรัสเชีย ในอดีตรัสเชียก็เคยทำสงครามอาบเลือด ที่แหลมไครเมียนี้มาแล้วสองครั้ง

ความสำคัญทางยุทธศาตร์ของแหลมไครเมีย

แหลมไครเมีย ( Crimea ) เป็นรัฐที่อยู่ทางตอนเหนือของทะเลดำ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่แปลกตาล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาหินปูน เรียบชายฝั่งเป็นระยะทางยาว มองดูแล้วสวยงามยิ่งนัก สภาพอากาศส่วนใหญ่เป็นภูมิอากาศแบบ เมดิเตอร์เรเนียน เป็นลักษณะภูมิอากาศอบอุ่นในฤดูหนาวและร้อนจัดในฤดูร้อนมีปริมาณฝนปานกลางและตกในฤดูหนาว ด้วยสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยจึงทำให้มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากพื้นที่อื่นภายในประเทศ

แหลมนี้มีเมืองท่าสำคัญคือเมือง เซวัสโตปอล ( Sevastopol ) และ ยัลตา(ัyalta) สองเมืองนี้เป็นแหลงท่องเทียวที่มีชื่อเสียงมีรีสอร์ทหรู และเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญมาตั้งแต่อดีตแล้ว โดยเฉพาะเมือง เซวัสโตปอล นั้นชาวรัสเซียถึงกับขนานนามให้ว่า"เมืองแห่งความรุ่งโรจน์แห่งชนรัสเซียน"Žเพราะประเทศมีประวัติศาตร์ที่พูกพันกันเมืองนี้มาก

 




ด้วยความที่เป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ ในภายหลังจากการล้มสลายของสหภาพโชเวียตแล้ว รัสเซียก็ยังคงกองเรือทะเลดำเอาใว้ที่เมืองนี้ โดยการขอเช่ายูเครนสร้างฐานทัพเรือ เซวัสโตปอลจึงเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กองทัพเรือยูเครนและกองเรือทะเลดำของรัสเซีย ความสำคัญด้านการค้าและการต่อเรือของท่าเรือเซวัสโตปอล จึงเติบโตขึ้นภายหลังสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้วเป็นอย่างมาก แม้จะประสบความยากลำบากที่มาจากการควบคุมท่าเรือและสะพานเทียบเรือร่วมกันของทหารทั้งสองฝ่าย แต่ต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว

เพราะการที่รัสเซียยึดเอาไครเมียมาใด้ ก็เท่ากับยึดครองเส้นทางเดินเรือและน่านฟ้า เหนือทะเลดำเอาใว้ใด้ทั้งหมด ทำให้แผนการปิดล้อมรัสเซียของชาติพันธมิตรนาโต้ต้องล้มสลายลงไปทันที่ อีกทั้งด้วยแสนยานุภาพของกองทัพรัสเซีย อเมริการและชาติพันธ์มิตรนาโต้(North Atlantic Treaty Organzation : NATO) ก็อาจมองว่าการยึดตรองไครเมียนี้ เป็นคุกคามต่อความมั่นคงของนาโต้ก็ใด้ มาดูกันว่าแสนยานุภาพอะไรของรัสเชียที่นาโต้หวั่นเกรง

แสนยานุภาพกองทัพรัสเซีย

-ระบบจรวดมิสไซส์ป้องกันจากพื้นสู่อากาศระยะใกล S-400 Triumf ระบบนี้คล้ายๆ ระบบแพทริออตของอเมริการ แต่มีความแม่นยำสูงกว่ามาก(แพทริออต บางที่ก็ยิงพวกเดียวกันอยู่บ่อยๆ) แน่นอนว่าเพื่อการต่อต้านอากาศยานสมัยใหม่ต้องมีระบบการจับเครื่องบินที่สามารถล่องหนหลบหลีกเรดาห์ได้ ซึ่ง S-400 Triumf ก็สามารถทำได้ ซึ่งสามรถตรวจจับและยิงเป้าหมายในระยถึง400กิโลเมตร รวมทั้งยิงจรวดร่อนในระยะทางได้ถึง3500 กิโลเมตร ระบบมิสไซส์นี้พี่งจะพัฒนาสำเร็จใหม่ๆดังนั้นจึงมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาก( รุ่นก่อนหน้ามันเรียกว่า S-300 )ล่าสุดมีคนเห็นมันอยู่ที่เมือง เซวัสโตปอล


ของในรถนี้ว่ากันว่ามันคือเรดาร์ 96L6E ของ S-400

มาดูอนุภาพของมันจากคลิปนี้


-ระบบมิสไซส์โจมตีจากพื้นสู่อากาศระยะกลาง แบบจรยุทธ์ " CLUB-K คอนเทนเนอร์ " มันสามารถที่จะทำลายทั้งเป้าหมายภาคพื้นดินและเรือรบทุกแบบได้ในระยะทางถึง 300 กิโลเมตร ในวงการทหารขนานนามให้มันว่า"มือสังหารเรือบรรทุกเครื่องบิน"



ถ้าหากมันเข้ามาอยู่ในไครเมียจริง มันจะสามารถโจมตีอย่างร้ายแรงต่อเป้าหมายใดๆก็ตามที่อยู่ในระยะ 300 กิโลเมตรภายในไม่กี่นาที คุณสมบัติของระบบขีปนาวุธนี้คือเคลื่อนย้ายและบำรุงรักษาได้ง่าย สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถยิงจากที่ใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็นบนกระดานเรือสินค้าหรือจากรถรางหรือบนพื้นดินหรือแม้กระทั่งจากรถบรรทุกธรรมดาซึ่งนอกจากการใช้ง่ายที่แสนสะดวกมันยังเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบที่ทันสมัยมาก สามารถโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ.


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอคลิปแสดงการทำงานของ Club-k

-ระบบขีปนาวุธต่อต้านเรือรบระยะไกล Bastion-P ภาพถ่ายจากเมืองเซวัสโตปอล

 

ชุดเต็มมันจะเป็นแบบนี้
ระบบป้องกันชายฝั่ง Bastion-P นี้จะติดตั้งอยู่บนรถบรรทุกทำให้มีความคล่องตัวในการใช้งาน และสามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปยังจุดป้องกันได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ระบบป้องกันชายฝั่ง Bastion-P ใช้ขีปนาวุธ P-800 Yakhont (SS-N-26) Supersonic Anti-Ship Cruise Missile มีระยะยิง 300 กิโลเมตร ติดหัวรบน้ำหนัก 200 กิโลกรัม ความเร็วประมาณ 2.5 มัค และที่สำคัญมีความสามารถในการลอยตัวเหนือผิวน้ำในระยะต่ำเพียง 2-3 เมตร จึงยากต่อการตรวจจับด้วยเรดาห์ และทำลายมัน


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
รัศมีทำการของBastion-P เมื่อประจำการในไครเมีย


ระบบจรวดต่อต้านอากาศยานภาคพื่นดินระยะใกล้ Pantsir-S1 หรือ SA-22 Greyhound.
ภาพนี้ก็ถ่ายใด้ที่เมืองเซวัลโตปอล

ดูชัดๆมันจะเป็นแบบนี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

และที่ขาดไม่ใด้เลยคือทหารรัสเซีย ซึ่งในวันที่จะมีการลงประชามติแยกตัวของไครเมีย รัสเซียก็ใด้ส่งทหารเข้าไปประจำการในไครเมียอยู่ก่อนแล้ว โดยอ้างว่าเป็นกองกำลังป้องกันตัวเองของรัฐบาลไครเมีย(ซึ่งแต่งตั้งตัวเองขึ้นมาเอง)ดังรูป
รูปด้านบนคือทหารรัสเซียในเครืองแบบการรบสมัยใหม่ ด้านล่างคือกองกำลัง(แอบอ้าง)ของไครเมีย




นี้คือหน่วยรบพิเศษ New Spetsnaz uniforms.ของรัสเซีย

สองภาพนี้แสดงการรบของทหารรัสเซียยุคใหม่ที่ใช้วิทยุสือสารแบบเข้าระหัสซับช้อนR-168E "Aqueduct"

ภาพนี้อธิบายการทำงานของมัน



ยังมีเรือรบ รถถัง รถยานเกราะ เครื่องบิน ฯลฯ..อีกมากที่ไม่ใด้เอามาโพสลง แต่ขอย้ำว่าอาวุธต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นของใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมาใช้ยังไม่ถึงสิบปีเลย บางอย่างพึ่งจะสร้างเสร็จรัสเซียก็ส่งเข้าประจำการ ที่แหลมไครเมียเลย นั้นแสดงให้เห็นถึงความ "เอาจริง"ของรัสเชียที่ต้องการผนวกดินแดนไครเมียมาเป็นของตนให้ใด้

แต่มองอีกด้านนี้ก็เป็นความอ่อนแอของยุโรป ที่กองทัพนาโต้ไม่สามารถยับยั้งการรุกรานไครเมียในครั้งนี้ใด้ แสดงว่าดุลภาพทางการทหารของดินแดนละแวกทะเลดำนี้ใด้เปลียนไปแล้ว.......

 

 

 

 

 

 

 

 

         วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม2557 เป็นวันแรม 8 ค่ำ เดือน 4
 

 

 

 

 

         วันพระ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
 

 

 

 

 

 

                   พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี   ว.วชิรเมธี น.ธ.เอก, ป.ธ. 9, วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

 

 

 

 

                

 

 

 

 

 

 

 

 

  

   [​IMG]

  

 

  [​IMG]

 

 

 

 [​IMG]

 

 

 

[​IMG]

 

 

 

 [​IMG]
 

 

 

                         6 ของกินใกล้ตัว แก้หิวชะงัด ลดพุงชัดเจน

 

“ปัจจัยที่ทำให้ผู้คนยุคนี้พุงปลิ้น ก็คือ กินแป้ง นอนดึก นั่งนาน”
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
บอกกับเรา พร้อมแนะนำของกินกรุบกริบที่กินแล้วไม่อ้วน
แถมหาง่าย ใกล้ตัว และราคาก็ไม่แพงเลย
เรียกว่า อยู่ท้อง ไร้พุง สบายกระเป๋า

1) เม็ดแมงลัก
“อาหารลดพุงแสนคลาสสิก แต่ประโยชน์ล้น
เพราะมีพระเอกสำคัญคือ วิตามินเอที่สูงปรี๊ดกับ
เส้นใยละลายน้ำ (Soluble fiber) ที่ดูเป็นวุ้นใส
เมื่อแช่น้ำนั่นละครับ ช่วยพองในท้องให้อิ่มแต่ไม่อ้วน”
คุณหมอกฤษดาให้เทคนิคกินง่ายคือ แช่น้ำให้พองเต็มที่ก่อน
อย่าใจร้อน แล้วค่อยปรุงรับประทาน

2) ถั่วลิสง
ของกินช่วยลดหิวได้ ใช้แทนของว่างที่แสนอ้วนอย่างมันฝรั่งทอด
“การรับประทานถั่วลิสงคั่วแบบไม่ปรุงรสจะให้ความรู้สึกอิ่มท้อง
จาก ใยอาหารถั่ว ที่มีอยู่อย่างอุดม แม้ถั่วจะมีพลังงานสูง
แต่ด้วยใยอาหารของมันกับโปรตีนนี่เองครับที่ช่วยให้รู้สึกไม่หิวจนเกินไป”

3) แอปเปิ้ลเขียว
เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วย เพคติน ช่วยให้อิ่ม หยิบทานง่าย และเก็บไว้ได้นาน
“เก็บไว้ทานในตู้เย็นที่ออฟฟิศก็ได้ ใช้เป็นมาตรวัดความหิวแบบง่ายๆ คือ
ถ้านึกหิวขึ้นมาให้ถามตัวเองว่าหิวขนาดกินแอปเปิ้ลได้สักลูกไหม
ถ้าใช่ก็อย่ารีรอเลยครับ---รีบหยิบมากัดกระแทกท้องทันที”

4) มะนาว
“หามะนาวติดบ้านหรือออฟฟิศไว้ ไม่มีเวลาจริงๆ ก็บีบเข้าปากเลยก็ยังได้
น้ำมะนาวที่ขมนิดๆ จะช่วยให้รู้สึกหายหิวได้นานนับชั่วโมงหลังจากกิน
เพราะสารพิเศษจากเปลือก” คุณหมอกฤษดา กล่าวแนะต่อว่า
“บางครั้งลองหาโอกาสกิน ‘เมี่ยงคำใส่ชิ้นมะนาว’ แทน ‘เลม่อนพาย’ ดูก็ดีนะครับ”

5) ทูน่า
ติดทูน่ากระป๋องไว้ในทุกที่ จะใส่ในกระเป๋าถือหรือเป้ทำงานก็ได้ เก็บง่าย อยู่ได้ทนดี
เพราะคุณหมอกฤษดาบอกว่า ทูน่าช่วยให้อิ่มจากโปรตีนเน้นๆ
“เปี่ยมไปด้วยคุณค่าจากไขมันต้านชราอย่าง โอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในปลากระป๋องเช่นกัน”
6) ไข่ต้ม
“อาหารลดอ้วนที่ได้ผลชะงัด” คุณหมอกฤษดา ฟันเฟิร์ม
“การรับประทานไข่มีส่วนช่วยลดไขมันได้จากงานวิจัยใหม่ๆ
ส่วนไข่ขาวก็เป็นโปรตีนล้วน ที่ช่วยให้ไม่โทรมเวลาลดน้ำหนัก
เพราะมันสร้างกล้ามเนื้อที่เผาผลาญไขมันโดยธรรมชาติ”


ขอบคุณ : นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
6 ของกินใกล้ตัว แก้หิวชะงัด ลดพุงชัดเจน


 

 

 

 

 

 [​IMG]

  

 

 [​IMG]

 

 

 

 

สมพรปาก.....


[​IMG]

 

 

 

 [​IMG]
[​IMG]
Phattita CherAiem Page II



***ผลเจรจา "กองสลาก"หวั่น "สมเด็ดมหาเดโชพุทไถอิสระ" พักแรม ยอมโอนเงินให้มูลนิธิวัดอ้อน้อย เท่านั้น นะคร๊ะ***

16.00 ผลการเจรจารอบสอง กองสลากฯ ยอมรับซื้อข้าวชาวนาที่มาเทไว้หน้ากองสลาก ในราคาเกวียนละ 12,000 บาท แต่จะโอนเงินเข้ามูลนิธิวัดอ้อ น้อยเพราะกองสลากฯ ไม่สามารถรับซื้อได้ พุทธอิสระ จึงให้ชาวนาที่มีข้าว นำข้าวมาให้พุทธอิสระ และจะนำมาขายให้กองสลากฯ ในนามมูลนิธิวัดอ้อน้อย เพื่อรับเงินจากกองสลากฯ ต่อไป

ระหว่างนี้รอทนายความวัดอ้อน้อยทำสัญญากับกองสลากฯ เพื่อเป็นการยืนยันการรับซื้อข้าวจากชาวนา

15.50 รอง ผอ.กองสลาก ให้ จนท. มานิมนต์ พุทธอิสระ เข้าไปเจรจาด้านใน

ผลการเจรจากองสลากฯ ยอมรับซื้อข้าวโดยให้นำข้าวผ่านมูลนิธิวัดอ้อน้อย ธรรมอิสระ เป็นจำนวนเงิน 1,344,000 บาท เป็นข้าวเปลือก 111.2 ตัน และจะสั่งจ่ายเข้ามูลนิธิวัดอ้อน้อยในวันพุธหน้า

จากนั้นพุทธอิสระ จะจำเป็นผู้แนกส่วนรายได้ให้ชาวนาแต่ละราย

มวลชนพอใจและทยอยตั้งขบวนเดินทางกลับ

"พุทธอิสระ" ขู่ ปักหลัก ค้างคืน หาก กองสลาก ไม่รับซื้อข้าว
!!!!!

 

 

 [​IMG]
 

 

 

 

 

 

 [​IMG]
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  1. [​IMG]
    [​IMG]
    ปาแด งา มูกอ

     



    มติตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6:3 เสียง วินิจฉัยเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 เป็นโมฆะ
    จากกรณีที่ 28 เขตไม่มีผู้สมัคร ทำเลือกตั้งไม่ใช่วันเดียวทั่วประเทศ
    ขัดรัฐธรรมนูญ 108 วรรคสอง
    ให้คณะกรรรมการการเลือกตั้งและรัฐบาล ไปหารือกำหนดวันเลือกตั้งใหม่
    สำหรับรายชื่อตุลาการเสียงข้างน้อย 3 เสียง คือ "ชัช ชลวร" ,"อุดมศักดิ์ นิติมนตรี" และ "เฉลิมพล เอกอุรุ"


    ************************************


    เปิดคำวินิจฉัย เลือกตั้ง 2 ก.พ. ขัดรัฐธรรมนูญ
    เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีการพิจารณาอรรถคดีและมีผลการพิจารณาในคดีที่สำคัญดังนี้


    1.เรื่องผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผู้ร้อง) เสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 245 (1) ว่า การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือไม่


    คำร้องนี้ผู้ร้องได้รับหนังสือร้องเรียนจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เห็นว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ


    (1) การเลือกตั้งเป็นการทั่วไปตาม พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 มิได้กระทำขึ้นเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร จากกรณีที่มีการกำหนดให้เลือกตั้งใหม่ภายหลังวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 สำหรับการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่มีปัญหาจำนวน 28 เขต ซึ่งผู้ร้องเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 โดยชัดแจ้ง


    (2) คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการรับสมัครรับเลือกตั้งทั่วไป โดยมิได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 ประกอบมาตรา 30 จากกรณีที่กำหนดให้พรรคการเมืองที่ประสงค์จะยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ไม่สามารถเข้าไปยังสถานที่รับสมัครได้ ให้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานไว้ที่กองบังคับการปราบปรามหรือสถานีตำรวจนครบาลดินแดง ในเวลาก่อน 08.30 น. นาฬิกา เพื่อให้ได้สิทธิในการจับสลากหมายเลขผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อของพรรคนั้นๆ รวมถึงในการรับสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในหลายจังหวัดมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงสถานที่รับสมัครรับเลือกตั้งโดยไม่มีการประกาศให้รับทราบล่วงหน้าโดยเปิดเผย เป็นเหตุให้ผู้ประสงค์จะรับสมัครรับเลือกตั้งไม่ทราบและไม่สามารถเดินทางไปสมัครรับเลือกตั้งในสถานที่ที่สมัครรับเลือกตั้งใหม่ได้ ซึ่งผู้ร้องเห็นว่า การดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีลักษณะเป็นการเลือกตั้งปฏิบัติ ขัดต่อหลักความเสมอภาค ไม่เป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 และมาตรา 30 ทำให้กระบวนการเลือกตั้งครั้งนี้มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม


    (3) คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งขัดต่อหลักการลงคะแนนลับ และทำให้การเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นในภายหลังเป็นอันไร้ผล เพราะบัตรเลือกตั้งที่ได้รับจากการเลือกตั้งเป็นบัตรเสีย ซึ่งผู้ร้องเห็นว่า การกระทำของคณะกรรมการการเลือกตั้งเนการดำเนินการที่ขัดต่อหลักการลงคะแนนลับและถือเป็นเรื่องร้ายแรง และกระต่อสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก จึงมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 (1) มาตรา 93 และมาตรา 30


    (4) คณะกรรมการการเลือกตั้งปล่อยปละละเลยให้มีการใช้อำนาจรัฐที่ก่อให้เกิดความไม่เที่ยงธรรมจากกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียง โดยใช้อำนาจตามพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งมีผู้ร้องเห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งละเลยต่อหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ปล่อยปละละเลยให้มีการใช้อำนาจรัฐในการออกประกาศและมีคำสั่งต่างๆ ที่ทำให้การจัดการเลือกตั้งไม่สามารถดำเนินไปได้โดยสุจริตและเที่ยงธรรม


    ผู้ร้องจึงเสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 245 (1) ว่า การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ขอให้เพิกถอนการเลือกตั้งครั้งนี้ และให้มีการดำเนินการจัดการให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปขึ้นใหม่ให้เป็นไปตามบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต่อไป
    ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วมีเหตุแห่งคำร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยก่อนว่าการจัดการการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 เป็นการเลือกตั้งที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่


    ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) สรุปได้ว่า การที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นั้น เมื่อได้ดำเนินการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 ไปแล้วปรากฏว่ายังไม่มีการจัดการเลือกตั้งสำหรับ 28 เขตเลือกตั้ง ซึ่งยังไม่เคยมีการรับสมัครรับเลือกตั้งมาก่อนเลย จึงถือได้ว่าในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 มิได้มีการเลือกตั้งวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ส่วนการที่จะดำเนินการจัดการเลือกตั้งสำหรับ 28 เขตเลือกตั้ง หลังวันที่ 2 กมุภาพันธ์ พ.ศ. 2557 นั้น ก็ไม่สามารถกระทำได้ เพราะจะมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรเช่นเดียวกัน เป็นผลให้พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 เฉพาะในส่วนที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรคสอง


    2. เรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 214 เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะรัฐมนตรีในการดำเนินการรับสมัครเลือกตั้งใหม่ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (เรื่องพิจารณาที่ 26/2557)


    คำร้องนี้ผู้ร้องอ้างว่า ตามที่พระราชกฤษฎีกายุบสภา พ.ศ.2556 กำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้กำหนดช่วงเวลาในการรับสมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขต แต่ปรากฎว่า ในระยะเวลาที่กำหนด มีผู้ชุมนุมปิดล้อมสถานที่รับสมัครเลือกตั้ง เป็นผลให้ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือไม่สามารถจัดให้มีการสมัครรับเลือกตั้งได้ ในจำนวน 28 เขต โดย กกต. เห็นว่าไม่มีบทบัญญัติมาตราใด ให้อำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในการประกาศและกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้งใหม่ หรือกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้งเพิ่มเติม จึงมีมติให้นายกฯ นำความกราบบังคมทูล เพื่อให้มีการตราพระราชกฤษฎีกา โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ประกอบมาตรา 93 ต่อมานายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือแจ้งให้ประธาน กกต. ทราบว่าได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้ว ซึ่งมีความเห็นต่างกันกับกกต. ว่าการดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกา ให้มีการเลือกตั้งใน 28 ตั้งนั้น

     

    รัฐบาลไม่มีอำนาจในการกำหนดวันรัฐสมัครเลือกตั้งเพิ่มเติม กำหนดวันลงคะแนนใหม่ รวมทั้งประกาศงดเว้นการจัดให้มีการเลือกตั้ง นอกเขตเลือกตั้งและนอกราชอาณาจักร ไม่สามารถทำได้ แต่เป็นอำนาจของ กกต. ที่สามารถกระทำได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. 2550 ต่อมา กกต. ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาและยืนยันความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือถึงเลขาธิการกกต. แจ้งให้ทราบว่าคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว และมีมติรับทราบคำชี้แจงดังกล่าวแล้ว ดังนั้น กกต.เห็น กรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ระหว่างกกต. และคณะรัฐมนตรี อันเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมิใช่ศาลตั้งแต่ 2องค์กรขึ้นไป


    ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า พ.ร.ฎ.ยุบสภา 2556 เฉพาะในส่วนที่กำหนดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 2 ก.พ.2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรคสอง ดังนั้น เหตุในการที่กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้หมดไปแล้ว จึงไม่เป็นประโยชน์ต่อคดี ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาวินิจฉัยประเด็นตามคำร้องนี้ต่อไป ตามข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 ข้อ 23 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคำร้อง

 

 

  [​IMG]
[​IMG]
นางฟ้าซาตาน มะนาวหวาน ชินวัตร



แชร์หนักๆ...ตลก.ตาบอด..
เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ สุดอัปยศ อ้างเหตุผลล้มการเลือกตั้งว่า มี 28 เขต ยังไม่เคยมีการรับสมัครรับเลือกตั้งมาก่อน

ไม่ทราบศาล ไปตาบอด อยู่ที่ไหน จึงไม่เห็นม็อบไปขัดขวางการรับสมัครการเลือกตั้ง จนมีตำรวจโดนทำร้ายถึงแก่ชีวิต

 

 

[​IMG]

 

 

 

 

"อภิสิทธิ์" รับทุกรัฐบาลมีทุจริต แต่ยกสปิริตคนประชาธิปัตย์แก้ปัญหาได้
"อภิสิทธิ์" รับทุกรัฐบาลมีทุจริต แต่ยกสปิริตคนประชาธิปัตย์แก้ปัญหาได้
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
"สดศรี"เผย ศาลรธน.ให้เลือกตั้ง2ก.พ.โมฆะเป็นบรรทัดฐานขวาง1หน่วยเลือกตั้งโมฆะอีกย้ำม็อบ-กกต.รับผิด  via@phanasGook   #VoiceTV  #VoiceLive #ศาลรธน  #เลือกตั้ง2กพ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                      ชีวกโกมารภัจจ์

 

 

 

 

                                                      

 

 

 

 

 สำหรับพระคัมภีร์ธาตุวิภังค์เป็นตำรายาฉบับหลวงที่เชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนในหนังสือเวชศาสตร์ฉบับหลวง ที่ชำระเป็นตำรายาหลวงใน พ.ศ. 2413 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ได้รวบรวมพระคัมภีร์ธาตุวิภังค์รวมอยู่ร่วมกับพระคัมภีร์ยาหลวงเล่มอื่นๆ ด้วย

ในด้านรายละเอียดคัมภีร์ธาตุวิภังค์ ได้อธิบายรายละเอียดของลักษณะธาตุที่ 4 ซึ่งสอดคล้องกับตำราเล่มอื่นๆ ดังนี้

ธาตุดิน คือ องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ที่มีลักษณะเป็นของแข็ง มีความคงรูป 20 ชนิด คือ เล็บ ฟัน หนัง ผม ขน เนื้อ เส้นเอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า และเยื่อในสมอง

ธาตุน้ำ คือ องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ที่มีลักษณะไหลไปไหลมา ซึมซับทั่วร่างกายมี 12 ชนิด คือ น้ำดี เสลด น้ำหนอง เลือด เหงื่อ มันเหลว มันข้น น้ำตา น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ และน้ำมูตร

ธาตุลม คือ องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ที่มีลักษณะเคลื่อนไหวได้ มีคุณสมบัติคือความเบา เป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหว ธาตุลมมี 6 ชนิด คือ ลมพัดจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน ลมพัดจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง ลมที่พัดในกระเพาะลำไส้ ลมที่พัดทั่วร่างกาย และลมหายใจเข้าออก

ธาตุไฟ คือ องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ที่มีลักษณะเป็นความร้อน ธาตุไฟมี 4 ชนิด คือ ไฟทำให้ร่างกายอบอุ่น ไฟทำให้ร่างกายระส่ำระสาย ไฟทำให้ร่างกายเหี่ยวแห้งทรุดโทรม และไฟย่อยอาหาร

ในด้านหมอยาไทย ซึ่งอิงความเชื่อในพุทธศาสนาได้กล่าวถึงชีวิตไว้ว่า ธาตุทั้ง 4 มาอยู่รวมกันอย่างถูกส่วน ทำให้เกิดมนุษย์ สัตว์ และพืชขึ้น แม้ธาตุทั้ง 4 จะเที่ยงแท้และดำรงอยู่ชั่วนิรันดร แต่การประชุมกันของธาตุทั้ง 4 ทำให้เกิดการเจ็บป่วย การแยกตัวจากกันของธาตุทั้ง 4 ทำให้ชีวิตถึงแก่ความตาย

สาเหตุของการเจ็บป่วยในทฤษฎีการแพทย์แผนไทยนั้นมี 6 ประการ คือ มูลเหตุเกิดจากธาตุทั้ง 4 จากอิทธิพลของฤดูกาล เกิดจากธาตุที่เปลี่ยนไปตามวัย จากดินที่อยู่อาศัยและจากอิทธิพลของกาลเวลาและสุริยจักรวาล ประการสุดท้ายเกิดจากพฤติกรรมส่วนตัว

ในพระคัมภีร์ธาตุวิภังค์นั้นได้กล่าวว่า ความไม่สมดุลของธาตุทั้ง 4 เป็นสาเหตุที่สำคัญทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ โดยเชื่อว่า ธาตุทั้ง 4 จะต้องอยู่ในภาวะไม่สมดุลกับร่างกาย

คือดินต้องอาศัยน้ำ ทำให้ชุ่มและเต่งตึง อาศัยลมพยุงให้คงรูปและเคลื่อนไหว อาศัยไฟทำให้พลังงานอุ่นไว้ไม่ให้เน่า น้ำต้องอาศัยดินเป็นที่เกาะกุม ซับไว้มิให้ไหลเหือดแห้งไปจากที่ควรอยู่ อาศัยลมนำน้ำไหลซึมซับทั่วร่างกาย ลมต้องอาศัยน้ำและดินเป็นที่อาศัย นำพาพลังไปในที่ต่างๆ ดินปะทะลมสามารถทำให้เกิดการเคลื่อนที่แต่พอเหมาะ ไฟทำให้ลมเคลื่อนที่ไปได้ ในขณะที่ลมสามารถทำให้ไฟลุกโชน เผาผลาญมากขึ้นได้

ขบวนการพลวัตของร่างกายนั้น เห็นได้ว่าธาตุทั้ง 4 ต่างอาศัยซึ่งกันและกัน จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมไม่ได้ ซึ่งหากธาตุใดธาตุหนึ่งแปรปรวนไม่ปกติทำให้เกิดการเสียความสมดุล ร่างกายจะเกิดอาการป่วยไข้ขึ้นมาทันที

ฤดูกาลก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ที่พระคัมภีร์ธาตุวิภังค์กล่าวว่าเป็นสาเหตุจากธาตุเกิดผลกระทบ ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย เพราะรอยต่อระหว่างฤดูกาล เช่น ฤดูหนาวต่อฤดูร้อน ความเย็นในร่างกายจะเจือผ่านออกไป และความร้อนเริ่มเจือผ่านเข้ามา ฤดูร้อนต่อฤดูฝน ความร้อนในร่างกายจะเจือผ่านออกไป มีผลต่อธาตุลมแทรกเข้ามากระทบความร้อนด้วย เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ละอองฝนปลายฤดูฝนและธาตุลมเปลี่ยนข้าสู่ความเย็น เกิดขณะที่ความหนาวเย็นต้นฤดูหนาวจะเริ่มเจือเข้ามารับลมปลายฤดูฝน สภาวะดังกล่าว หากร่างกายปรับตัวไม่ได้ ธาตุก็เกิดเสียความสมดุล ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น และอาจนำไปสู่ความตายได้ ถ้าธาตุทั้ง 4 เกิดการแยกจากกัน

ส่วนในประเด็นอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุแห่งการเกิดโรค คืออายุที่เปลี่ยนไปตามวัย ซึ่งหมอยาไทยได้แบ่งวัยมนุษย์ออกเป็น 3 วัย คือ ปฐมวัย อายุตั้งแต่ 0-6 ปี เชื่อว่าโรคเกิดจากธาตุน้ำ ปัจฉิมวัย อายุตั้งแต่ 6-32 ปี เชื่อว่าโรคเกิดจากธาตุไฟ และปัจฉิมวัย คือมีอายุมากกว่า 32 ปีขึ้นไป เชื่อว่าเกิดโรคในธาตุลม

สถานที่อยู่อาศัยก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดการเจ็บป่วย เพราะขาดที่อยู่อาศัยหรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งหมอยาไทยเรียกว่าประเทศสมมติฐาน เช่น ประเทศร้อน สถานที่ที่เป็นภูเขา และที่ราบสูง มักเจ็บป่วยด้วยธาตุไฟ ประเทศเย็นมีฝนตก โคลนตม พื้นแผ่นดินชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา มักเจ็บป่วยด้วยธาตุลม ประเทศอุ่น สถานที่ที่เป็นน้ำ มีกรวดทรายประกอบ มักเจ็บป่วยด้วยธาตุน้ำ สำหรับประเทศหนาว สถานที่ที่เป็นน้ำเค็ม มีโคลนตมชื้นแฉะ ได้แก่ชายทะเล มักเจ็บป่วยด้วยธาตุดิน

อิทธิพลของกาลเวลา นับเป็นสาเหตุหนึ่งในสาเหตุของการเจ็บป่วยด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงในระยะรอบหนึ่งวัน การเกิดจันทรุปราคา หรือสุริยุปราคา เพราะกาลเวลาดังกล่าวอาจเกิดน้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงของเวลา อิทธิพลของดวงดาว ย่อมมีผลต่อชีวิตได้เช่นกัน

ส่วนพฤติกรรมส่วนตัวนั้น ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกัน เช่น การกินมากกินน้อย การกินอาหารไม่ถูกกับธาตุ การอดข้าวอดน้ำ อดนอน การกลั้นอุจจาระ-ปัสสาวะ การเศร้าโศกเสียใจ มีโทษะ หรือการมีกิจกรรมทางเพศมากเกินไป

โดยที่พระคัมภีร์ธาตุวิภังค์ให้ความสำคัญของธาตุทั้ง 4 เนื้อในตำราได้พยายามอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงของธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย โดยเฉพาะในเรื่องการขาดความสมดุลของธาตุอย่างละเอียด และพิสดารมาก รวมถึงการสำแดงอาการออกมาให้เห็นทั้งภายในและภายนอก ซึ่งผู้เป็นหมอยาสามารถวินิจฉัยโรคได้ และสามารถนำมาเจียดยา ดังปรากฏในพระคัมภีร์ธาตุวิภังค์เพื่อนำมารักษาโรคอันเกิดแก่การเปลี่ยนแปลงของธาตุทั้ง 4 ซึ่งไปสู่เป้าหมาย คือยาที่สามารถปรับธาตุทั้ง 4 ให้เกิดความสมดุลและร่างกายเป็นปกติเช่นเดิม

  

      

 

 

 

 

                  คัมภีร์ธาตุวิภังค์

 

 

 

                                         

 

 

 

 

กล่าวถึง สาเหตุการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นกับแต่ละบุคคล และอาการที่เกิดขึ้น เมื่อธาตุที่ 4 พิการ ได้แก่ ธาตูทั้ง 4 ขาดเหลือ ธาตุทั้ง4 พิการตามฤดู และยารักษา และธาตุทั้ง 4 พิการ และยารักษา มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

 

สาเหตุการเสียชีวิตของบุคคล

 

1. บุคคลตายด้วย ปัจจุบันกรรมและปัจจุบันโรค คือ โอปักกะมิกาพาธ ถูกทุบถองโบยตีบอบช้ำ หรือต้องราช อาญาของพระมหากษัตริย์ ให้ประหารชีวิต การตายโดยปัจจุบันนี้ มิได้ตายเป็นปกติ โดยลำดับ ขันธ์ชวร และธาตุทั้ง 4 มิได้ ล่วงไปโดยลำดับ อย่างนี้เรียกว่า ” ตายโดยปัจจุบันกรรม”


ส่วนปัจจุบันโรค คือเกิดโรคตายโดยปัจจุบันทันด่วน เช่น อหิวาตกโรค หรือโรคอันเป็นพิษ ซึ่งกำเริบขึ้นโดยเร็ว แล้วตาย ไป ธาตุทั้ง 4 มิได้ขาดไป ตามลำดับอย่างนี้ เรียกว่า ตายด้วยปัจจุบันโรค

 

2. บุคคลตายด้วย โบราณกรรม และโบราณโรค คุลคลตายโดยโบราณกรรม คือ ตายโดยกำหนดสิ้นอายุ เป็นปริโยสาน คือายุย่างเข้าสู่ความชรา ธาตุทั้ง 4 ขาดไปตามลำดับ เปรียบเหมือนผลไม้ เมื่อแก่สุกงอมเต็มที่แล้ว ก็หล่นลงเอง คนเราเมื่ออายุมากแล้ว ธาตุทั้ง 4 ก็ทรุดโทรม ไปตามลำดับ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ตาย อย่างนี้เรียกว่า ตายโดยโบราณกรรม


ส่วนการตายด้วยโบราณโรคนั้น คือ เป็นโรคคร่ำคร่า เรื้อรังมานาน หลายเดือนหลายปี เรียกว่า โบราณโรค เวลาจะตาย ธาตุทั้ง 4 ขาดไปตามลำดับ แล้วตายไป อย่างนี้เรียกว่า ตายด้วยโบราณโรค

 

ว่าด้วยธาตุทั้ง 4 ขาดเหลือ


บุคคลใดตายโดยสิ้นกำหนดอายุเป็นปริโยสานนั้น ธาตุทั้ง 4 ย่อมขาดสูญไปตามลำดับ แต่เมื่อจะสิ้นอายุ แต่ละธาตุ ขาดเหลือ ดังนี้

 

  1. ปถวีธาตุ 20 ขาดไป 19 หทยัง( หัวใจ) ยังอยู่
  2. อาโปธาตุ 12 ขาดไป 11 ปิตตัง ( น้ำดี) ยังอยู่
  3. วาโยธาตุ 6 ขาดไป 5 อัสสาสะปัสสาสะวาตา (ลมหายใจเข้าออก) ยังอยู่
  4. เตโชธาตุ 4 ขาดไป 3 สันตัปปัคคี ( ไฟอุ่นกาย) ยังอยู่
  5.  

ถ้าธาตุ ทั้งหลาย สูญสิ้นพร้อมกันดังกล่าวนี้ ท่านว่า เยียวยาไม่หาย หากขาดหรือหย่อนไปแต่ละสิ่ง สองสิ่ง ยังพอ พยาบาลได้


ว่าด้วยธาตุทั้ง 4 พิการตามฤดู


ตามปกติ ปี 1 มี 3 ฤดูๆ ละ 4 เดือน แต่ในคัมภีร์ธาตุวิภังคื จัดฤดูไว้ 4 ฤดูๆละ 3 เดือน คือ

 

1. เดือน 5,6 และ 7 ทั้ง 3 เดือนนี้ว่าด้วยเตโชธาตุ ชื่อสันตัปปัคคีพิการ อาการให้เย็นในอก วิงเวียน รับประทานอาหารไม่ได้ บริโภคอาหารอิ่มมัก ให้จุกเสียด ขัดในอก อาหารมักพลันแหลก มิได้อยู่ท้อง ให้อยากบ่อยๆ จึงเป็น เหตุให้เกิดลม 6 จำพวก คือ


1.1 ลมชื่อ อุทรันตะวาตะ พัดแต่สะดือถึงลำคอ
1.2 ลมชื่อ อุระปักขะรันตะวาตะ พัดให้ขัดแต่อก ถึงลำคอ
1.3 ลมชื่อ อัสสาสะวาตะ พัดให้นาสิกตึง
1.4 ลมชื่อ ปัสสาสะวาตะ พัดให้หายใจขัดอก
1.5 ลมชื่อ อนุวาตะ พัดให้หายใจขัด ให้ลมจับแน่นิ่งไป
1.6 ลมชื่อ มหสกะวาตะ คือลมมหาสดมภ์ ให้หาวนอนมาก และหวั่นไหวหัวใจ ให้นอนแน่นิ่งไป มิรู้สึกกาย

 

2. เดือน 8,9 และ 10 ทั้ง3 เดือนนี้ว่าด้วย วาโยธาตุ ชื่อ ชิรณัคคีพิการ อาการให้ผอมเหลือง ให้เมื่อยขบทุกข้อ ทุกลำตัว ทั่วสรรพางค์กาย ให้แดกขึ้นแดกลง ให้ลั่นโครกๆ ให้หาวเรอ วิงเวียนหน้าตา หูหนัก มักให้ร้อนในอก ในใจ ให้ ระทดระทวย ให้หายใจสั้น ให้เหม็นปาก และหวานปาก มักให้โลหิตออกทางจมูก ทางปาก กินอาหารไม่รู้รส

 

3. เดือน 11,12 และ 1 ทั้ง 3 เดือนนี้ อาหารที่กินมักผิดสำแดง อาโปธาตุพิการ คือ
3.1 ดีพิการ มักให้ขึ้งโกรธ สะดุงตกใจ หวาดกลัว
3.2 เสมหะพิการ ให้กินอาหารไม่รู้รส
3.3 หนองพิการ มักให้ไอเป็นโลหิต
3.4 โลหิตพิการ มักให้เพ้อพก ให้ร้อน
3.5 เหงื่อพิการ มักให้ซูบผอม ให้ผิวหนังสากชา
3.6 มันข้นพิการ มักให้ปวดศีรษะ ให้ปวดตา ให้ขาสั่น


3.7 น้ำตาพิการ มักให้ตามัว น้ำตาตก ตาแห้ง ดวงตาเป็นดังเยื่อลำใย
3.8 มันเหลวพิการ ให้แล่นออกทั่วกาย ให้นัยน์ตาเหลือง มูตรและคูถเหลือง บางทีให้ลงและอาเจียน กลาย เป็นป่วงลม
3.9 น้ำลายพิการ ให้ปากเปื่อยคอเปื่อย บางทีให้เป็นยอดเป็นเม็ดขึ้นในคอ บางทีเป็นไข้ ให้ปากแห้ง คอแห้ง
3.10 น้ำมูกพิการ ให้ปวดศีรษะ เป็นหวัด ให้ปวดสมอง น้ำมูกตก นัยน์ตามัว วิงเวียนศีรษะ
3.11 ไขข้อพิการ ให้เมื่อยทุกข้อ ทุกกระดูก ให้ขัดให้ตึงทุกข้อ
3.12 มูตรพิการ ใหปัสสาวะแดง และขัดปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นโลหิต เจ็บปวดเป็นกำลัง

 

4. เดือน 2,3 และ 4 ทั้ง 3 เดือนนี้ นอนผิดเวลา ปถวีธาตุพิการ อาการแต่ละอย่าง มีดังนี้
4.1 ผมพิการ ให้เจ็บรากผม ให้คันศีรษะ ผมหงอก ผมเป็นรังแค เจ็บหนังศีรษะ
4.2 ขนพิการ ให้เจ็บทั่วสรรพางค์กาย ทุกเส้นขน ให้ขนลุกขนพองทั้งตัว
4.3 เล็บพิการ ให้เจ็บต้นเล็บ เล็บเขียวช้ำดำ เจ็บเสียวหลายนิ้วมือ นิ้วเท้า
4.4 ฟันพิการ ให้เจ็บไรฟัน ให้ฟันหลุด ฟันโยกคลอน
4.5 หนังพิการ ให้ร้อนผิวหนังทั่วกาย บางทีให้เป็นผื่นขึ้นทั้งตัว ดุจหัวผด ให้ปวดแสบ ปวดร้อน


4.6 เนื้อพิการ ให้นอนสะดุ้ง ไม่สมปฤดี มักให้ฟกบวม บางทีผุดขึ้นเป้นสีเขียว สีแดง ทั่วทั้งตัว บางทีเป็น ลมพิษ สมมุติเรียกว่า ประดง*
4.7 เอ็นพิการ ให้จับสะบัดร้อน สะท้านหนาว ให้ปวดศีรษะมาก เรียกว่า อัมพฤกษ์กำเริบ
4.8 กระดูกพิการ ให้เมื่อยในข้อในกระดูก
4.9 เยื่อในกระดูกพิการ ให้ปวดตามแท่งกระดูกเป็นกำลัง
4.10 ม้ามพิการ ให้ม้ามหย่อน มักเป้นป้าง
4.11 หัวใจพิการ ให้คลั่งไคล้ดุจเป็นบ้า ถ้ามิดังนั้น ให้หิวโหย หาแรงมิได้ ให้ทุรนทุรายยิ่งนัก


4.12 ตับพิการ ให้ตับโต ตับทรุดเป็นฝีในตับ กาฬขึ้นในตับ
4.13 พังผืดพิการ ให้เจ็บให้จุกเสียด ให้อาเจียน ให้แดกขึ้นแดกลง
4.14 ไตพิการ ให้ปวดท้อง แดกขึ้นแดกลง ปวดขัดเป็นกำลัง
4.15 ปอดพิการ ให้เจ็บปอด ให้ปอดเป็นพิษ ให้กระหายน้ำมาก กินน้ำจนปอดลอย จึงหายอยาก


4.16 ลำไส้น้อยพิการ ให้สะอึก ให้หาว ให้เรอ
4.17 ลำไส้ใหญ่พิการ ให้ผะอืดผะอม ให้ท้องขึ้นท้องพอง มักเป็นท้องมาน ลมกระษัย บางทีให้ลงท้องตก มูก ตกเลือดเป็นไปต่างๆ
4.18 อาหารใหม่พิการ ให้ลงแดง ให้ราก มักเป็นป่วง 8 จำพวก
4.19 อาการเก่าพิการ ให้กินอาหารไม่มีรส เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารผิดสำแดง
4.20 มันสมองศีรษะพิการ ปกติสมองศีรษะพร่องจากกระบาลศีรษะ ประมาณเส้นตอกใหญ่ๆ ถ้าเจ็บปวดพิการ มันในสมองก็เดือดขึ้นเต็มกระบาลศีรษะ ให้ปวดเป็นกำลัง นัยน์ตาแดงคลั่ง เรียกว่า สันนิบาต ให้สุมยา รสสุขุม มันสมอง จึงจะยุบ และหายปวด

 

ยาแก้ เตโชธาตุ ชื่อ กาลาธิจร
ประกอบด้วย โกฏสอ โกฏพุงปลา ดีปลี หัวแห้วหมู เปลือกโมกมัน ผลผักชี อบเชย สะค้าน ขิง ผลเอ็น อำพัน ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน บดเป็นผง ละลายน้ำร้อน หรือน้ำผึ้งก็ได้ กินแก้เตโชธาตุพิการ

 

ยาแก้วาโยธาตุ ชื่อฤทธิจร
ประกอบด้วย ดีปลี แผกหอม เปราะหอม พริกไทย หัวแห้วหมู ว่านน้ำ ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน รากกระเทียมเท่ายาทั้งหลาย
บดเป็นผงละลายน้ำร้อนหรือน้ำผึ้งก็ได้ กินแก้ วาโยธาตุพิการ

 

ยาแก้อาโปธาตุพิการ
ประกอบด้วย รากเจตมูลเพลิง โกฏสอ ลูกผักชี ขิงแห้ง ดีปลี ลูกมะตูมอ่อน สะค้าน หัวแห้วหมู ลูกพิลังกาสา รากคัดเค้า เปลือกโมกมัน สมุลแว้ง กกลังกา ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี เกสรบัวหลวง ราดขัดมอน เอาส่วนเท่ากัน ต้ม 3 เอา
กินแก้แาโปธาตุพิการ หายแล

 

ยาแก้ปถวีธาตุพิการ( สมอง กระดูก ม้าม)
ประกอบด้วย กระเทียม 1 ใบสะเดา1 ใบคนทีสอ เปลือกตีนเป็ด เบญจกูล สิ่งละ 1 ลูก จันทน์ 1 ดอกจันทน์1 กระวาน1 กานพลู1 ตรีกฎุก1 เปลือกกันเกรา (สิ่งละ 2 ) สมุลแว้ง 3 จันทน์ทั้งสองสิ่งละ 1 สมอทั้ง3สิ่งละ 1

 

ยาแก้หัวใจพิการ ชื่อมูลจิตใหญ่
ประกอบด้วย ผลคนทีสอ ใบสหัสคุณ ผลตะลิงปลิง จันทน์ทั้งสอง ดีปลี เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน เทพทาโร เอาส่วน
เท่ากัน บดปั้นเป็นแท่ง ละลายน้ำดอกไม้ แทรกพิมเสน กินหาย ใช้ได้ 108 แล

 

( จากหนังสือตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเวชกรรม เล่ม 1 โดยกองการประกอบโรคศิลปะ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธรณสุข หน้า 50 – 56 )

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                 

 

 

 

 

                              แชร์ว่อน วิจารณ์ขรม ! ตำรวจฝ่าวง "เตะหญิง" ห้าม 2 สาวตบกันนัวร์


(20 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คลิปวิดีโอที่กำลังได้รับความสนใจในโซเชียลเน็ตเวิร์กเพียงข้ามคืน ภาพเหตุการณ์ 2 หญิงสาวกำลังทะเลาะวิวาทกันใกล้กับวัดแห่งหนึ่งใน จ.นครปฐม ทั้ง 2 กำลังตบตีกันชนิดที่ไม่ใครยอมใคร ท่ามกลางกองเชียร์และชาวบ้านที่ยืนมุงดู แต่กลับไม่มีใครเข้าห้ามปราม จนช่วงท้ายมีชายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่าวงเข้าไปเตะหญิงสาว จนเกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์


ตามรายงานระบุว่า เพจเฟซบุ๊กชื่อดัง YouLike (คลิปเด็ด) ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอภาพเหตุการณ์ 2 หญิงสาวตบตีทะเลาะวิวาทกัน เป็นคลิปที่แชร์ต่อมาจากผู้ใช้เฟซบุ๊กคนหนึ่ง ชื่อคลิปว่า "ตีกัน ตำรวจเข้าห้าม @ป้อมวัดเกาะวังไทร" คลิปความยาวประมาณ 1 นาทีเศษ เผยให้เห็นเหตุหญิงสาวกำลังจิกหัวตบตีกัน ท่ามกลางเสียงกองเชียร์รอบด้าน ไม่สนใจแม้จะอยู่ในเขตอภัยทาน


จน กระทั่งช่วงท้ายของคลิปวิดีโอ เผยให้เห็นชายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจสวมเครื่องแบบครึ่งท่อน ฝ่าวงล้อมของกองเชียร์ เข้าไปเตะหญิงสาวที่กำลังตบตีกัน พร้อมกับสั่งให้ "ลุกขึ้น" เพื่อระงับเหตุทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้น ก่อนที่เหตุดังกล่าวจะสงบลง


อย่าง ไรก็ตาม คลิปวิดีโอดังกล่าวกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตหลายคนต่างเห็นด้วยกับวิธีระงับเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเหมาะกับการใช้ระงับเหตุคนทะเลาะวิวาทกันอย่างขาดสติ ในขณะที่อีกหลายความคิดเห็นได้ตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เลือกใช้วิธีเตะ ผู้หญิงเพื่อระงับเหตุ


ซึ่งเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุหรือไม่ ?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  [​IMG]
 

 

 

 

 [​IMG] 
 

 

 

[​IMG]
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

[​IMG]
นะโม ตัสสะ



สงคราม เริ่มแล้ว !!!


****************



ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ ชี้มูลความผิด "นิคม"
ทำหน้าที่ขัดธรรมนูญ และ อันเป็นมูลเหตุให้ถูกถอดถอน
ตามมาตรา 270 และ 274

และ ป.ป.ช. มีมติ เสียงข้างมาก
ให้พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่รักษาการ ปธ.วุฒิสภา นับตั้งแต่วันนี้

เหตุเพราะรวบรัดตัดสิทธิ อภิปราย 57 คน
กรณีแก้ไขรธน.ที่มาสว. เตรียมไต่สวนคดีอาญาต่อไป



 


                           [​IMG]

 

         [​IMG]
 

 

 

 

 

 

       [​IMG]
โดยคุณ นะโม ตัสสะ



 

4 เมษา 57
ฤา ประเทศจะเปลี่ยนไป


********************


คือมันมีการข่าวมา ซึ่งตรงกับทาง พี่ๆ นปช. ได้รับทราบว่า ..

ในวันพรุ่งนี้ 21 มีนาคม 2557
ศาล รธน. จะชี้ว่า การเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 กุมภา เป็น โมฆะ !!!
ตามธงที่ฝั่งอำมาตย์ ได้ตั้งไว้

ถ้าเป็นดั่งการข่าว ที่มาจริงๆ
ในวันศุกร์ที่ 4 เมษายน
ปปช. ก็จะชี้มูล ปลดนายกฯรัฐมนตรี เช่นกัน
เพื่อเล่นเกมส์ให้สอดคล้องกับ ศาล รธน.
ดึงคนเสื้อแดง ให้เข้าสู่เกมส์ ที่ อำมาตย์ วางไว้

อะไรคือ .. จุดสำคัญ ???

หลัง ปปช. ชี้มูลนายกฯ เป็นที่เรียบร้อย
ก็จะมีการประกาศ กฏอัยการศึก โดยทหารตามมา

ก็ฝากกราบไปถึง พี่ๆแกนนำ นปช. เจ้าค่ะ
จง .. ดึงเค้า ให้เข้ามาสู่ เกมส์ของเรา

ขอชัยชนะครั้งนี้ จงสถิตย์อยู่กับ คนเสื้อแดง

นะโม ( โม้ ... กามิ-กาเซ่ )
[​IMG]

 

 

 

 

 

[​IMG]
 

 

 

แผนบันไดสี่ขั้น เริ่มแล้ว


ป.ป.ช.ลักไก่ ชี้มูลความผิดไล่ "นิคม ไวรัชพานิช" พ้นเก้าอี้ ปธ.วุฒิสภา โดยยังไม่ได้ไต่สวน ยังไม่ได้เรียก สส.สว.310 คนมาไต่สวนสอบถามเลยแม้แต่คนเดียว กระโดดข้ามขั้นจากรับเรื่อง แล้วไปวินิจฉัยหน้าตาเฉยเลย

 

 

 

[​IMG]

 

 

 

นับวัน การใช้กฏหมายยิ่งเละเทะ. ไม่ใช่เสื้อคลุมราชสีห์ที่เกรงขาม. เป็นเพียงเสื้อคลุมสุนัขจิ้งจอกเท่านั้น

ชี้มูลก่อนวันดีเดย์. เลือกตั้งโมฆะ

ช่วงนี้ใครเป็นนักกฏหมายลองเขียนคำวินิจฉัยไปพลางก่อนได้ จะดูว่าตรงใจศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่

มีที่ไหนในโลก. การประชุมสภา ถือว่าผิดกฏหมาย. ทั้งสส. สว.โดนหมด. อย่างมากก็แค่ทำให้การออกกฏหมายตกไปเท่านั้น. ไม่รู้จะสรรหาคำด่ายังไง. ให้สาสม กรรมเวรของคนไทยจริงๆ

 

 

การแก้ให้มีการเลือกตั้งแทนแต่งตั้ง....เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ.........ในสากลโลกนี้.....มีแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่วินิจฉัยเช่นนี้

 

 

การทำงานของสภามีกฏหมายคุ้มครองห้ามฟ้องร้อง อภิปรายกันโยกโย้ข้ามวันข้ามคืน

 

ซ้ำประเด็นกันไปมาวนเวียน ยั่วยวน โห่ฮา ประธานนิคน เห็นว่าพอสมควรแล้วจึง สั่งปิด

 

เป็นอำนาจอันชอบธรรมตามกฏหมาย ของ ประธานสภา ปปช.เป็นใครมีชี้มูลกล่าวโทษ.

 

 

 

 

 

 

 

[​IMG]
 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข้อคิดดีๆจากมหาเศรษฐีระดับโลก
 

 


 
กฏทอง 10 ข้อ ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (มหาเศรษฐี ระดับโลก ผู้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง)

 

 

 

 

 


1. ต้องทำงานหนัก วอร์เรน เขาฟันธงเลยว่า ส่วนใหญ่แล้วการทำงานหนักจะ
นำผลกำไรมาให้ ในขณะที่การพูดมากแต่ไม่ทำ กลับจะนำความยากจนมาให้แทน แบบนี้เข้าตำราว่า “อย่ามัวแต่ตั้งท่าชก ให้ชกเลย” จึงจะได้คะแนนชนะการต่อสู้...

2. อย่าขี้เกียจ เขายกตัวอย่างที่น่าสนใจมาก
ว่า “ ขนาดกุ้งมังกรตัวโต ๆ ถ้ามัวแต่นอนหลับ ยังสามารถถูกกระแสน้ำพัดลอยไปได้ ” หมายความว่าถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย มัวแต่รอคอยความหวัง คุณจะต้องตกอยู่ในวังวนวิกฤตการณ์ทางการเงินนี้ต่อไปอย่างแน่นอน
 
3. รายรับจากหลายแหล่ง ข้อนี้เป็นเคล็ดลับของมหาเศรษฐีหลายคน ไม่ใช่เฉพาะวอร์เรน เพราะการพึ่งรายได้จากแหล่งเดียว ทำให้ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงของภาวะที่ไม่แน่นอน เขาแนะนำให้ทำการลงทุนที่ฉลาดเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เช่น ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน คุณควรมีรายได้ส่วนอื่นจากการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ที่สามารถสร้างรายรับเข้ามาในแต่ละเดือนได้ด้วย

4. ควบคุมรายจ่าย เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มจ่ายเง
ินซื้อ สิ่งที่คุณไม่มีความต้องการจริง ๆ คุณก็กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่อาจต้องขาย สิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด แทน ดังนั้นคิดและตั้งสติก่อนที่จะจ่ายเงินซื้ออะไรในชีวิตเสมอ

5. ตั้งใจออม วอร์เรนเน้นว่าเราอย่ารอเก็
บออมเงินที่เหลือหลังจากที่ได้ใช้จ่ายจนพอใจ แต่เราต้องกันเงินส่วนหนึ่งของรายได้มาเพื่อเก็บสะสมก่อน แล้วจึงนำส่วนที่เหลือไปใช้จ่าย หลายคนมักจะเข้าใจผิด ใช้จ่ายแล้วเหลือจึงนำเข้าแบงก์ ที่จริงต้องนำออกมาออม ก่อนจะไปทำอย่างอื่น

6. งดกู้ยืม คนที่กู้หนี้ยืมสินจากคนอื่
น มักจะตกเป็นทาสของคนที่คุณไปกู้ยืม ดังนั้นต้องยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง พยายามมีชีวิตอยู่ตามอัตภาพเท่าที่เราหามาได้ อย่าไปสร้างหนี้สร้างสิน โดยไม่จำเป็น พยายามดำรงชีวิตอยู่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

7. จัดระบบบัญชี เขาใช้คำคมมาเปรียบเทียบว่า
“ ไม่มีประโยชน์ที่จะถือร่มกันฝน ตราบใดที่รองเท้าที่คุณสวมใส่นั้นยังมีรูอยู่ เพราะมันทำให้เปียกเหมือนกัน ” นั่นคือต้องอย่าทำให้มีจุดรั่วไหลของบัญชี

8. หมั่นตรวจสอบ วอร์เร็นให้ความสำคัญกับการ
ตรวจสอบมาก เพราะว่าค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเปรียบเสมือนรูรั่วของเรือ รูรั่วเพียงเล็ก ๆ แต่นานไปก็สามารถจมเรือใหญ่ทั้งลำได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ต้องให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายทุกชนิดเสมอ

9. จัดการความเสี่ยง ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่นักธุ
รกิจไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ตราบเท่าที่ยังโลดแล่นอยู่ในธุรกิจ เขากล่าวว่า เราไม่ควรจะทดสอบความลึกของแม่น้ำที่จะข้าม ด้วยขาสองข้างพร้อม ๆ กัน เพราะเราอาจจมน้ำตายได้ ในการจัดการความเสี่ยง เราต้องมีแผนสำรองเสมอ ไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องบริหารความเสี่ยงที่กำลังเผชิญอยู่อย่างชาญฉลาดที่สุด

10. บริหารการลงทุน อย่าเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มลง
ทุนในสิ่งเดียวกัน เปรียบเหมือนกับ อย่าวางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียวกัน เพราะถ้าตะกร้าหล่นจะทำให้ไข่แตกหมดทุกใบ ดังนั้นเราต้องกระจายความเสี่ยง เพราะธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในช่วงขาลง แต่อีกธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในขาขึ้น ทำให้ผลประโยชน์โดยรวมยังอยู่ได้

ถ้า...เราชอบซื้อของที่ ไม่จำเป็น....สุดท้าย....เร
าต้องขายของที่ จำเป็น

จาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ – มหาเศรษฐีระดับโลก ผู้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

 

 

 

 

 

ช่วงระหว่างความอึมครึมของสถานการณ์ยูเครน - ไครเมีย ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงเอาๆแทบทุกวัน

วอร์เร็น ออกให้สัมภาษณ์ช่วงนั้นว่า "เขาเองก็ยังไม่แน่ใจและฉงนว่า ราคาหุ้นมันจะตกลงไปเกือบ 50% เชียวหรือ"

หลังจากนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หุ้นเริ่มไต่ขึ้นเรื่อยๆ เกือบกลับไปจุดที่เคยพีค

 

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 


 
เปิดบ้าน วอร์เรน บัฟเฟตต์
 

เปิดบ้าน วอร์เรน บัฟเฟตต์
 

เปิดบ้าน วอร์เรน บัฟเฟตต์
 

เปิดบ้าน วอร์เรน บัฟเฟตต์
 

เปิดบ้าน วอร์เรน บัฟเฟตต์
 




ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
funonline.in, thetoyzone.com

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก สำหรับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอของ บริษัท เบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ว่าเป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมีมูลค่าทรัพย์สินทั้งสิ้นสูงถึง 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1.3 ล้านล้านบาท แต่หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่า มหาเศรษฐีผู้นี้จะดำรงชีวิตอยู่อย่างสมถะเรียบง่ายภายในบ้านที่มีราคาเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น!

รายงานระบุว่า นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ อาศัยอยู่ในบ้านที่เขาซื้อเมื่อปี ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) ราคา 31,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.8 แสนบาท (ปัจจุบันบ้านหลังนี้มีมูลค่าราว 652,619 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 20 ล้านบาท) ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1921 (พ.ศ. 2464) อยู่ใจกลางเมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกาของสหรัฐฯ ภายในบ้านมีเนื้อที่ 6,570 ตารางฟุต (610 ตร.ม.) ซึ่งเป็นบ้านหลังโปรดเพียงหลังเดียวที่เขามีไว้ในครอบครอง

โดย นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ เปิดเผยว่า จะย้ายบ้านไปทำไม ในเมื่อเขามีความสุขที่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เขานึกไม่ออกว่าการมีบ้านสิบหลังทั่วโลกจะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร อีกทั้ง เขาไม่ชอบดูแลบ้านพร้อมกันหลายหลัง แล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นมาดูแลบ้านแทนด้วย ดังนั้น เขาจึงไม่คิดว่าการมีบ้านหลาย ๆ หลังจะทำให้มีความสุขมากขึ้น

 



 

เปิดบ้าน วอร์เรน บัฟเฟตต์
 


 

 

 

นอกจากนี้ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าภายในห้องทำงานที่ซึ่งน่าจะเต็มไปด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ไฮเทคราคาแพงมากมาย แต่กลับไร้ซึ่งคอมพิวเตอร์ เครื่องคิดเลข หรือแม้แต่อุปกรณ์อื่น ๆ เลย เพราะเขาเพียงแค่นั่งในห้องทำงานและใช้เวลาอ่านหนังสือทั้งวัน

นอกจากการดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายแล้ว นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญบริจาคให้กับองค์กรการกุศลมากมาย ซึ่งเขาเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่า จะบริจาคทรัพย์สิน 99 เปอร์เซ็นต์ ให้กับ 5 องค์การกุศล โดยเน้นบริจาคผ่านทาง เกตส์ ฟาวเดชั่น ของนายบิลล์ เกตส์ เป็นหลัก ซึ่งจะทยอยบริจาคในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่และบริจาคส่วนที่เหลือหลังเสียชีวิต


 

 

 


 

guest
ArjanPong

Post : 2014-03-17 19:18:26.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >   พ.ท ยี่เซ มันเป็นใคร?

 

 

 

 

 

 

 

ป.ป.ส.ประกาศจับ 25 นักค้ายารายสำคัญ ตั้งค่าหัว 12 ล้านบาท นักค้ายาเสพติดรายใหญ่หัวละ 2 ล้าน จากทั้งหมด 60,000 รายที่มีการเคลื่อนไหวในขณะนี้ มีผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยง DKBA และนายหน่อคำ โจรสลัดน้ำโขง และอดีตลูกน้องขุนส่ารวมอยู่ด้วย ....

เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 55 เวลา 13.30 น. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ เป็นประธานในการแถลงข่าว “ประกาศจับนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ” (Most Wanted) ผู้ต้องหาจำนวน 25 ราย รวมเงินรางวัลนำจับทั้งสิ้น 12 ล้านบาท โดยค่าหัวมีตั้งแต่ 1 แสน ถึง 2 ล้านบาท

ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า การประกาศจับนักค้ายาเสพติดรายสำคัญทั้ง 25 รายครั้งนี้มาจากการบูรณาการร่วมกันในหลายหน่วยงาน เพื่อหวังทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติด โดยได้จัดชุดปฏิบัติการร่วมกับป.ป.ส. และร่วมกับ บช.ปส.ออกเป็น 36 ชุด ในการไล่ล่าจับกุมกลุ่มเครือข่ายนักค้ายาเสพติดตามประกาศจับ ซึ่งต้องการให้ทุกภาคส่วนร่วมเป็นหูเป็นตาและต้องการทำลายเครือข่ายแกนนำสำคัญที่มีประวัติหลายครั้งและมีความเคลื่อนไหวในประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับเงินรางวัลเพื่อเป็นแรงจูงใจ สร้างแรงกดดัน และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแส ทั้งยังจัดทำเป็นโปสเตอร์ภาพนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ และแปลเป็นภาษา 4 ภาษา ไทย อังกฤษ พม่า และยาวี เผยแพร่โดยการติดประกาศตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสยาเสพติดผ่าน ศพส.ได้ทางหมายเลขโทรศัพท์ 1386 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับรายชื่อนักค้า 25 ราย และรางวัลนำจับประกอบด้วย

รางวัลนำจับ 2,000,000 บาท มี 2 ราย ได้แก่ นายอุสมาน สะแลแมง อายุ 34 ปี นักค้ายาเสพติดรายสำคัญ พื้นที่ จ.นราธิวาส เครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างภาคเหนือ-ภาคใต้-ประเทศมาเลเซีย มีอิทธิพลในพื้นที่ ต้องสงสัยเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัจจุบันหลบหนีหมายจับไปอยู่ที่ สปป.ลาว และยังคงจัดหายาบ้าส่งมาจำหน่ายในประเทศไทย

นายหน่อคำ (NUO KANG) สัญชาติพม่า อดีตทหารไทยใหญ่กองทัพเมืองไต (MTA) ลูกน้องขุนส่า หลังขุนส่ามอบตัวกับทางการพม่า นายหน่อคำเข้าเป็น อส.ทหารพรานพม่า มีบทบาทสำคัญในการค้ายาเสพติดพื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก เป็นเจ้าของโรงผลิตยาบ้า และเป็นนายหน้าจัดหายาเสพติดเข้าไทย ร่วมกับ พ.ท.ยี่เซ ค้ายาเสพติด นอกจากนี้ยังรับจ้างทวงหนี้ใน จ.ท่าขี้เหล็ก คุ้มกันของหนีภาษี เก็บภาษียาเสพติดและภาษีสินค้าทุกประเภทที่ผ่านเขตอิทธิพลของตนเอง

นายหน่อคำ มีฉายา โจรสลัดแม่น้ำโขง เรียกเก็บค่าคุ้มครอง ค่าผ่านแดน และปล้นชิงยาเสพติดจากเรือในแม่น้ำโขง ใกล้พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ซุ่มโจมตีเรือเจ้าหน้าที่ทางการพม่าและจีน ตั้งแต่ปี 2551-ปัจจุบัน รวม 15 เหตุการณ์ เสียชีวิต 29 ราย บาดเจ็บ 11 ราย


รางวัลนำจับ 1,000,000 บาท มี 3 ราย ได้แก่ นายชัยวัฒน์ พรสกุลไพศาล อายุ 68 ปี เป็นทหารของขุนส่า คุมพื้นที่ด้านตรงข้ามบ้านผาฮี้ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นหัวหน้าอาสาทหารพม่า เชื้อสายมูเซอร์ พื้นที่อิทธิพลและแหล่งผลิตยาเสพติด บ้านสามปีพม่า ตรงข้าม ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย

นายเมธี แดนชุติมาพาณิชย์ หรือ ประยุทธ หรือ เมธี หงษาคำ อายุ 47 ปี คนกลางจัดหายาเสพติดระหว่างผู้ผลิตกับนักค้าในพื้นที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่

พ.อ.นะคำมวย หรือ คำมวย ไม่มีนามสกุล เชื้อชาติกะเหรี่ยง ผบ.พัน (พิเศษ) 907 กกล.ทหารกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (DKBA) ลักลอบนำเข้ายาเสพติดฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก และ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เชื่อว่าเป็นเจ้าของยาบ้า 9.4 ล้านเม็ด ซึ่งตรวจยึดได้เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2546

รางวัลนำจับ 500,000 บาท มี 4 ราย คือ นายชินวัชร์ หรือ บอส หรือ เอส นัยตรีมิตร นางฟอง ปทุมณี นายสุดเขตร์/สมศักดิ์/ศักดิ์ ปัญจขันธ์ และ นายรอดี หรือ ดี ยะโกะ

รางวัลนำจับ 300,000 บาท มี 6 ราย คือ นายไพรัช แดนชุติมาพาณิช หรือ แซ่หลี่ หรือ ประชา บัวเทศ, นายจายมูล ท้าวมูลละ, นายบุญเจริญ ระจา, นายสุรพล ประทุมตะ, นายจะเดาะ แอแส , นางสุภาพร คำศรีระภาพ

รางวัลนำจับ 200,000 บาท มี 2 ราย คือ นายเล่าหลู่ แซ่เจ๋า หรือ นายบุญรัตน์ จิรเมธีวัฒนกุล หรือ เสมี, นายยงศิลป์ แซ่ม้า

รางวัลนำจับ 100,000 บาท มี 8 ราย คือ นายอรรถพล พญาวงษ์, นายเด่น หรือ ใจ๋ พรมมาลี, นายศักดา หรือ ต๊อด หรือ แบงค์ เลิศรัศมิทัศน, นางสาวไรดา จาโก, นายมูฮำหมัดนูรี หะยีบากา, นายชาญไชย โจเวลลานอส, นายฐปนันท์ ธรรมรัตน์ธาดา,นายสุธรรม คุณดอย

 

 

เลขาฯ ป.ป.ส. เตรียมร่วมมือพม่า จับ พันโทยี่เซ ผู้ผลิตยาบ้าส่งเข้าไทย ไม่ว่าเป็นหรือตาย พร้อมจ่าย 5 ล้าน ตามหมายจับให้พม่า

พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการ ป.ป.ส. ให้สัมภาษณ์ภายหลังแถลงข่าวการจับกุมยาบ้า 1.5 ล้านเม็ด ของตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ว่า ยาบ้าในปัจจุบัน พบว่าเป็นของโรงงานผลิตของ พ.ท.ยี่เซ ซึ่งมีเงินที่สามารถซื้อหัวเชื้อผลิตยาบ้าได้เอง ทั้งสั่งนำเข้าจากจีน อินเดีย ทำให้มียาบ้าจำนวนมากส่งเข้ามาในประเทศไทย และจากข้อมูล พ.ท.ยี่เซ หัวหน้ากองกำลังมูเซอ ถือเป็นผู้ที่มีส่วนในการผลิต และขนยาเสพติดเข้าสู่ประเทศไทยรายใหญ่ ปัจจุบันยังคงอาศัยอยู่ในเขต จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ตรงกันข้าม อ.แม่สาย

 

ดังนั้น ทางการไทย จึงได้ตั้งค่าหัวนำจับบุคคลนี้เอาไว้แล้วจำนวน 5 ล้านบาท และในปีนี้ คาดว่าทางการไทยและพม่าจะร่วมมือกันเข้าไปทำการจับกุมให้ได้ โดยไม่ว่าจะทำการจับกุมเป็นหรือตาย ทางการไทย ก็พร้อมมอบเงินจำนวนนี้ให้กับพม่าอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจุดที่ พ.ท.ยี่เซ อยู่จะเป็นจุดที่มีกำลังมากก็ตาม ซึ่งทางพม่าเองก็พร้อมที่จะเข้าจับกุมเพราะขณะนี้ทางพม่าเองก็เปลี่ยนหัวตำรวจ และหัว ป.ป.ส. ใหม่แล้ว จึงสามารถประสานงานกันได้อย่างดี

 

ทีมข่าวไทยพีบีเอสยังติดตามเรื่องราวของพันโทยี่เซ ผู้ต้องหาตามหมายจับ และมีรางวัลนำจับสูงสุดของป.ป.ส.ถึง 2 ล้านบาท เมื่อวานนี้ (15 มี.ค.) การติดตามข้อมูลนอกจากประเด็นการค้ายาเสพติด ยังพบข้อพิรุธ ขณะที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ที่พันโทยี่เซใช้ชื่อนายชัยวัฒน์ พรสกุลไพศาล และจากการลงพื้นที่ติดตามข้อมูลทางทะเบียนราษฎร์ พบว่าผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร์เดียวกัน มีชื่อพ่อแม่เดียวกัน ยืนยันว่าไม่มีพี่น้องที่ชื่อนายชัยวัฒน์ ซึ่งนี่อาจเป็นการเชื่อมโยงนำไปสู่ประเด็นการเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎร์โดยมิชอบจากข้อมูลพบว่านายชัยวัฒน์มีการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านครั้งแรกเมื่อปี 2526 โดยมีชื่อเดิมคือนายจะลือ ที่บ้านเลขที่ 119 หมู่ 19 ต.แม่คำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย หรือบ้านมูเซอป่ากล้วย อำเภอแม่ฟ้าหลวงในปัจจุบัน

 

จากนั้นปี 2533 ย้ายไปบ้านเลขที่ 139 หมู่ 16 ต.แม่ไร่ อ.แม่จัน หรือ อ.แม่ฟ้าหลวงในปัจจุบัน ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่นายชัยวัฒน์ทำบัตรประชาชนครั้งแรก ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตุจากเจ้าหน้าที่ทะเบียนว่า เหตุใดนายชัยวัฒน์จึงไม่ทำบัตรประชาชนในช่วงปี 2526 แต่กลับเว้นระยะเวลา นาน 7 ปี แต่ทั้งนี้ต้องตรวจสอบระเบียบช่วงเวลาของการได้สัญชาติไทย ตามพ.ร.บ.สัญชาติ เมื่อพบข้อพิรุธ แต่ยังไม่สามาถตรวจสอบได้ชัดเจน ถึงการมีชื่อในทะเบียนราษฎร์ของนายชัยวัฒน์ พนักงานสอบสวนคดีความมั่นคง ดีเอสไอ และไทยพีบีเอส นำเอกสารมาที่บ้านหลังนี้ นายประเสิรฐ พรสกุลไพศาล เป็นบุคคลที่เราต้องการพบ เพราะนายประเสิรฐเป็นบุคคลที่จะสามารถยืนยันว่า นายชัยวัฒน์มีตัวตนจริงในทะเบียนราษฎร์หรือไม่

 

จากข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ปี 2526 นายประเสิรฐมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร์เดียวกับนายชัยวัฒน์ และมีชื่อบิดา มารดาเดียวกัน เอกสารที่ปรากฎน่าเชื่อได้ว่าทั้งสองคน อาจเป็นพี่น้องกัน แต่เมื่อนำรูปของนายชัยวัฒน์ หรือพันโทยี่เซ ในปัจจุบันให้นายประเสิรฐดู กลับได้รับคำตอบว่า ไม่รู้จัก และเพื่อตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยการสอบถามข้อมูลของครอบครัว โดยเฉพาะจำนวนพี่น้อง กลับได้รับคำตอบว่า พี่น้องของนายประเสิรฐเสียชีวิตแล้วทั้งหมดตั้งแต่เด็กทั้ง 3 คน และไม่มีคนชื่อจะลือ หรือนายชัยวัฒน์ ผู้หญิงคนหนึ่งถูกเรียกตัวมาทันที เพื่อสนับสนุนข้อมูลของนายชัยวัฒน์ หรือพันโทยี่เซให้ชัดเจน หลังผู้มีชื่อในทะเบียนบ้านเดียวกันปฏิเสธ เธอเป็นภรรยาคนแรกของนายชัยวัฒน์ ขณะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านห้วยอื้น ต.เทอดไท จ.เชียงราย

 

เธอยืนยันว่ารูปพันโทยี่เซ ก็คือนายชัยวัฒน์ ซึ่งแม้จะไม่ได้ติดต่อมานานกว่า 10 ปี แต่เมื่อสอบถามข้อมูลส่วนตัวของนายชัยวัฒน์ เธอบอกว่ารู้จักกับบริเวณบ้านมูเซอป่ากล้วย ระหว่างที่ใช้ชีวิตคู่ ไม่รู้รายละเอียดครอบครัว ทราบเพียงว่านายชัยวัฒน์มีน้อง 1 คน ชื่อนายเยาะละ หรือนายพงษ์พันธ์ แม้จะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า นายชัยวัฒน์ พรสกุลไพศาล หรือพันโทยี่เซ ที่มาของการเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎร์ จนนำไปสู่การทำบัตรประชาชนคนไทย นั้นถูกต้องหรือไม่ แต่จากข้อเท็จจริงในการสอบพยานเบื้องต้น ทำให้เชื่อได้ว่านายชัยวัฒน์ อาจใช้ช่องโหว่ของการขอสัญชาติไทยในอดีต เข้ามามีชื่อเป็นคนไทย ในวันพรุ่งนี้ (17 มี.ค.) ไทยพีบีเอสยังนำเสนอการพบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎร์ของนายชัยวัฒน์ หรือพันโทยี่เซ

 

 

 

 

 

 

วิธีการเลี้ยงสุนัขอย่างถูกต้อง

 
 
 

 

 

 เทคนิคและวิธีการเลี้ยงสุนัขอย่างถูกต้อง

 

 

 

โดย http://www.petheng.com/index.php/dealer/dog-article/item/57-dog

 

การดูแลสุนัข

ที่อยู่ที่นอน

 

สุนัขควรมีที่อยู่ที่นอนเป็นที่เป็นทางแลเป็นสัดเป็นส่วน อาจจะใช้ผ้าเก่า ๆ หรือเศษผ้านุ่ม ๆ หลายๆชั้นทำเป็นที่นอนขนาดเล็กใหญ่แล้วแต่ความเหมาะสม ส่วนการจะเลี้ยงดูสุนัขไว้ในบ้านหรือไม่นั้นคงแล้วแต่ความพร้อมของสมาชิกในครอบครัว ส่วนใหญ่แล้วหากมันยังเล็กอยู่ก็นิยมเลี้ยงไว้ในบ้านเพื่อคอยดูแลและทำให้มันสนิทสนมกับคนในบ้านได้ง่าย แต่ต้องคอยดูแลเรื่องการขับถ่ายให้เป็นที่เป็นทางหากมีบริเวณบ้านมากพอ ควรเลี้ยงไว้นออกบ้าน โดยสร้างกรงที่ขมีขมันความแข็งแรง กว้างขวางตามขนาดของสุนัขควรมีมุ้งกางให้สุนัขด้วย มีหลังคากันแดดกันฝนได้ และมีฝากันลมในทิศทางที่ถูกต้อง บริเวณที่ตั้งกรงควรเลือกเอาที่ร่ม ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่อับชื้น เวลากลางวันต้องมีแสงแดดส่องผ่านเข้าได้บ้างเพื่อฆ่าเชื้อโรคและให้กรงแห้งพื้นกรงควรจะสะดวกในการทำความสะอาด ไม่เป็นที่หมักหมดของสิ่งปฏิกูลต่าง ๆมีที่ระบายของเสียได้สะดวก

 

การตัดหาง

 

สุนัขบางพันธุ์นิยมตัดหาง ให้เหลือความยาวตามลักษณะในพันธุ์นั้นนิยม ซึ่งก็ควรตัดในขณะที่ยังมีอายยังน้อย ๆ อยู่เพื่อที่จะไม่มีเลือดออกมามาก สุนัขไม่เจ็บปวด แผลหายเร็วและทำได้ง่ายโดยไม่ต้องวางยาสลบ ฉะนั้นสุนัขพันธุ์ที่ต้องตัดหางหลังคลอดควรนำลูกสุนัขไปทำการตัดหางภายในหนึ่งสัปดาห์หากจะตัดหางเองต้องทำในระยะไม่เกิน 7 วันลังคลอด โดยการบูรป่าลิบขนบริเวณหางที่ต้องการตัดออกให้ถึงผิวหนังแล้วทำความสะอาดด้วยการใช้แอลกอฮอล์ หรือทิงเจอร์ไอโอดีน ทาให้ทั่ว ต่อจากนั้นก็รูดผิวหนังขึ้นมาทางโคนหางแล้วใช้เชือกหรือยางรัดไว้ให้แน่นตรงข้อที่ 2 ของกระดูกโคนหาง ใช้กรรไกรที่ฆ่าเชื้อแล้วตัดตรงระหว่างข้อของกระดูกที่จะตัด แล้วแต้มด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน ทิ้งไว้ 4-5 ชั่วโมง จึงค่อยเอาเชือกหรือยางรัดออกปล่อยให้แผลหาย โดยมากผิวหนังของหางที่รูดขึ้นไปก็จะรูดลงมาเอง หรืออาจจะเย็บปิดก็ได้ถ้าต้องการ

 

การตัดหู

 

สุนัขบางพันธุ์นิยมตัดหู เช่น บ็อกเซอร์, โดเบอร์แมน, มินิเจอร์ พินเซอร์ และเกรท เดน ซึ่งก็ควรทำการตัดหูเมื่อลูกสุนัขอายุระหว่าง 12-14 สัปดาห์ เพราะขนาดโตพอที่จะทำการผาตัดได้ง่าย ทนต่อการวางยาสลบหลังจากตัดแล้วหมอจะต้องดามหูไว้จนกว่าหูจะตั้งตรงตามต้องการ ซึ่งกินเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ระหว่างนี้เจ้าของจะต้องคอยดูและอยู่ให้สุนัขเกาแผลจนไหมที่เย็บหลุด หรือแผลสกปรก เพราะจะทำให้รูปทรงของหูไม่เป็นไปตามต้องการ

 

การอาบน้ำ

 

สุนัขก็เหมือนคนที่จะต้องดูแลรักษาความสะอาดและตกแต่งให้ดูสวย น่ารักอยู่เสมอ เนื่องมาจากมันไม่สามารถจะทำความสะอาดและเสริมสวยให้ กับตนเองได้ ผู้เลี้ยงจึงจะต้องทำหน้าที่ สนใจในตัวของมันเสมือนหนึ่งเป็นตัวของมันเองเลยทีเดียวการอาบน้ำต้องใช้แชมพู และสบู่ควบคู่ไปด้วย ควรเลือกซื้อแชมพูหรือไม่ก็สบู่ที่ผลิตขึ้น

สำหรับใช้กับสุนัขเท่านั้น อย่านำแชมพูหรือสบู่ของคนมาใช้กับสุนัขโดยเด็ดขาด เพราะผิวหนังของสุนัขบางชนิดบอบบางมาก หากอาบน้ำด้วยแชมพูหรือสบู่ของคน จะทำให้มีปัญหาเรื่องขนแห้ง หยาบ และมีสะเก็ดรังแคขึ้นบนผิวหนัง บางตัวเป็นหนักถึงอาจจะขนร่วงไปเลยก็มี

ปัจจุบันแชมพูสุนัขมีให้เลือกหลายสูตร มีทั้งแบบผสมครีมในตัว ประเภททูอินวัน หรือทรีอินวัน ชนิดที่มีสารฆ่าเห็บ ฆ่าหมัด เยอะแยะมากมายไปหมด ก่อนซื้อควรอ่านดูฉลากข้างขวดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติอะไรบ้าง บรรจุเท่าใด หมดอายุวันไหน แล้วจึงเลือกซื้อมาใช้ให้ถูกกับลูกสุนัขของเรา

 

วิธีอาบน้ำให้สุนัข

อุปกรณ์ต้องเตรียม คือ แชมพูสำหรับสุนัข ผ้าเช็ดตัว อ่างน้ำ หรือสายยาง ที่ต่อจากก๊อกน้ำ เครื่องเป่าผม

 

ขั้นตอนการอาบน้ำให้สุนัขทำได้ดังนี้ คือ

 

จับสุนัขให้อยู่ในอ่างนิ่งๆ โดยการจับที่ปลอกคอ เป็นไปได้ควรอุดหูทั้งสองข้าง ของสุนัขด้วยสำลีเพื่อป้องกันมิให้น้ำเข้าหู แล้วจึงค่อยเทน้ำลงบนตัวสุนัขให้ทั่วทั้งตัว

 

ใช้แชมพูสุนัขเทลงบนตัวสุนัข แล้วจึงใช้มือถูนวดแชมพูให้ทั่วในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยังจับปลอกคอสุนัขอยู่เพื่อจะให้มันอยู่นิ่งๆ

 

ล้างแชมพูที่ส่วนหัวของลูกสุนัขก่อน จากนั้นจึงล้างแชมพูที่ลำตัวให้สะอาด แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้งทั้งตัว

 

เอาสำลีที่อุดหูออก แล้วเป่าขนให้แห้ง พร้อมกับแปรงขนให้ได้รูป

ทรงตามที่ต้องการ

 

การแปรงและหวีขน

 

สุนัขทุกพันธุ์ต้องการแปรงขนเหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าสุนัขตัวนั้นจะ ต้องมีขนยาวเพียงเท่านั้น การแปรงหวีขน ของสุนัขบ่อยๆ นอกจากจะ ทำ ให้ขนสวย ขนไม่พันกันแล้ว ยังจะเป็นการทำความสะอาดตัวของสุนัขได้

เพราะเวลาเราแปรงขน สิ่งสกปรกจะถูกกำจัดออกมารวมทั้งบรรดาขนเก่า ที่หลุดออกมา นอกจากนั้นผิวหนังที่ได้รับการ กระตุ้นจากการ หวีหรือแปรงก็จะขับน้ำมันมาเคลือบขนสุนัขทำให้ขนนุ่ม และเป็นเงางาม โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินไปซื้ออาหารเสริมมาให้มันกินให้สิ้นเปลืองเปล่า ๆ

ควรฝึกหวี และแปรงขนสุนัขแต่เล็ก ๆ เพื่อจะได้เคยชินและยอมให้เรา เสริมสวยแต่โดยดี

 

เทคนิคการหวีและแปรงขนสุนัข

การแปรงขนสุนัขทุกวันจะทำให้สุนัขมีสุขภาพดี ขนเป็นเงางาม ไม่มีสิ่งสกปรกหมักหมอยู่ ในขนสุนัข พันธุ์ขนยาว เช่น อาฟกัน ฮาวด์ ชิสุ ควรหวี ทุกวัน ส่วนสุนัขพันธุ์ขนสั้น เช่น บลูด็อก เกรดเดน แปรงขนเพียง

2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ก็พอ ส่วนสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลต้องใช้การตัดแต่งขน จะหวีให้ตรงแบบสุนัขพันธุ์อื่นไม่ได้

 

การหวีขนสุนัขพันธุ์ขนสั้น

อุปกรณ์ที่ใช้มีแปรงบิสเทิล แปรงหวีสลิดเกอร์ หวีตรง ขั้นตอนการหวี มีดังนี้

- ใช้หวีแปรงสลิดเกอร์หวีก่อน เพื่อจำกัดเอาขนที่พันออกไม่ให้เกิดก้อน สังกะตัง ออกแรงหวีเพียงเบาๆนุ่มๆ หวียาวๆ จากคอถึงลำตัวทำเช่นนี้ทั่วตัว

- ใช้หวีบิสเทิลแปรง เพื่อเอาขนที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากขนของสุนัขทั้งตัว

- ใช้หวีตรง หวีบริเวณที่ยาว เช่น ส่วนของหาง เท้า ขา ถ้าพบว่าขนพันกันให้ใช้กรรไกรตัดออกสุนัขจะได้ไม่เจ็บ

 

การหวีขนสุนัขที่สั้นเกรียน

อุปกรณ์ที่ใช้มี แปรงรับเบอร์ หนังชามัวร์ แปรงบิสเทิล

- ใช้แปรงรับเบอร์ เพื่อแปรงย้อนขนสุนัขจะทำให้ขนตาย และสะเก็ด ผิวหนัง สิ่งสกปรกหลุดออกโดยง่าย

- ใช้แปรงบิสเทิล แปรงขนตัวสุนัขอีกครั้งให้ทั่วทั้งตัว เพื่อเอาขนที่ตายและสะเก็ดออก

- เช็คขนสุนัขด้วยหนังชามัวร์ เพื่อให้ขนเป็นมันเงางาม

 

การหวีขนสุนัขที่ขนตรงยาว

อุปกรณ์ที่ใช้มีแปรงสลิดเกอร์ แปรงบิสเทิล หวีตรง กรรไกร

- ใช้แปรงสลิดเกอร์หวีขนก่อน เพื่อทำให้ขนที่พันกันอยู่คลายตัวออก

- ใช้แปรงบิสเทิลหวีตามอีกครั้ง เพื่อทำให้ขนมันเงา และหวีง่ายขี้นไปอีก

- ใช้หวีตรง หวีจัดให้ขนของสุนัขตกลงไปข้างลำตัว ด้านซ้ายและด้านขวาตามแนวขน

- ใช้กรรไกรตัดแต่งบริเวณเท้าและหู เพื่อให้เป็นระเบียบเรียบร้อยดูสวยงาม

 

การดูแลหู

 

หูมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง สุนัขที่มีหูปกติจะต้องมีสีชมพูเรื่อๆ สะอาด ไม่มีกลิ่นผิดปกติ หูควรสะอาดไม่มีขี้หูมากจนเกินไป ไม่มีเห็บ หรือหมัด ไม่เป็นแผล หนอง สุนัขบางพันธุ์รวมทั้งพวกพุดเดิ้ล มักมีขนขึ้นที่บริเวณช่องหู ขนเหล่านี้จะเป็นตัวเพาะเชื้อโรค และหมักหมส่งสกปรกทั้งหลายได้เป็นอย่างดี พวกหูยานก็เก็บสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้ง่ายจึงต้องหมั่นเอาใจใส่เช็ดถูสิ่งสกปรกในช่องหูออกให้หมด พวกหูตั้งนี้รักษาง่าย เพราะช่องหูสามารถถ่ายเทกับอากาศภายนอกได้โดยธรรมชาติ ฉะนั้นสิ่งสกปรกต่าง ๆ จึงไม่สามารถหมักหมจนเกิดโรคได้มากนัก ถ้าหูสุนัขสกปรกมากก็ควรใช้สำลีหรือผ้านุ่มๆ เช็ดบริเวณใบหูและรูหูส่วนนอก ๆ เป็นประจำทางที่ดีหลังการอาบน้ำ เพราะสามารถตรวจสอบว่ามีน้ำหลงเหลือเข้าไปในรูหูหรือไม่ ถ้ามีจะได้เช็ดออกให้แห้ง เป็นการป้องกันหูอักเสบได้ด้วย แต่อย่าได้พยายามทำความสะอาดลึกเข้าไปในรูหูเป็นอันขาด บริเวณอ่อนไหวดังกล่าวควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์

 

การดูแลตา

 

ตาของสุนัขที่มีสุขภาพดีจะมีแววตาแจ่มใส ไม่ขุ่นมัวหรือมีสีแดง หรือมีขี้ตา รวมทั้งน้ำตาไหลเป็นคราบอยู่เสมอก็แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติเข้าตา ถ้าเป็นโรคตาอักเสบธรรมดาเพราะผงเข้าตา ก็ควรใช้น้ำยาล้างตา 4-5 หยด ใส่เพื่อให้สิ่งสกปรกออกก่อน แล้วใช้ผ้าที่สะอาดเช็ดเบา ๆ รอบ ๆ ขอบตาออกได้ ถ้าเป็นมากกว่านี้ควรจะนำไปพบสัตวแพทย์สุนัขบางพันธุ์ เช่น พวกพุดเดิ้ล มักมีรอยด่างสีน้ำตาลที่ขนใต้ตาเสมอ ที่เป็นเช่นนี้เพราะขนบริเวณนั้นเปียกแฉะเนื่องจากหยาดน้ำตาของสุนัข คราบน้ำตานี้จะติดแน่นที่หัวตาย้อยลงมา การกำจัดรอยด่างนี้ทำได้โดยการหมั่นเช็ดถูให้บ่อยๆครั้งทุกวัน เพื่อให้ขนที่ติดคราบน้ำตานี้ค่อย ๆหลุดร่วงหมดไปสุนัขบางตัวตาแฉะ อาจจะเป็นเพราะขนตาขึ้นผิดปกติ แยงเข้าไปในลูกตา การรักษาอาการนี้ควรเป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์

 

การดูแลฟัน

 

โดยปกติแล้วสุนัขฟันผุได้ยากมาก แต่ที่เห็นบ่อยคือ เหงือกอักเสบ เกิดจากฟันสุนัขไม่สะอาด ขี้ฟันหมักหมมจนจับเป็นคราบสีเหลืองเกาะติดที่ผิวฟัน คือ หินปูนนั่นเอง บางทีหินปูนมีมากและลุกลามไปจนถึงเงือก ทำให้เหงือกอักเสบ มีกลิ่นปาก จนกระทั่งฟันหลุดไปในที่สุดวิธีป้องกันการจับตัวของหินปูน ควรให้สุนัขกินอาหารสำเร็จรูปที่เป็นเม็ดแห้ง หรือให้แทะกระดูกเสียบ้างเพื่อขัดฟัน แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ควรให้สัตวแพทย์ตรวจฟันทุกปี สุนัขบางพันธุ์ก็มีการจัดเรียงตัวของฟันที่แย่มาก มีเหงือกเป็นหนองและฟันหลุดเสมอการให้แทะกระดูกไม่อาจช่วยได้เลย พวกนี้ต้องตรวจฟัน และทำความสะอาดเสมอโดยสัตวแพทย์

 

การดูแลเล็บ

 

เล็บสุนัขจะงอกจิกลงดิน มันจะสึกไปเองโดยธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นสุนัขที่เลี้ยงบนพื้นไม้หรือพื้นซีเมนต์ มักจะพบปัญหาเล็บไม่สึก มีเล็บยาวเร็วกว่าปกติทำให้เดินไม่สะดวก และเมื่อทิ้งไว้นาน ๆ จะทำให้นิ้วคด หรือแยกห่างออกจากกัน บางทีก็ถอนหรือฉีกแตกจนเกิดหนองได้ จะทำให้สุนัขเจ็บปวดมากเวลาเดิน ฉะนั้นจึงต้องหมั่นตรวจดูแลตัดเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอการตัดเล็บสุนัขควรใช้กรรไกรสำหรับการตัดโดยเฉพาะ จะทำได้โดยง่ายและปลอดภัย ได้รอยตัดที่กลมโค้ง การตัดควรตัดที่ปลายเพียงเล็กน้อย ระวังอย่าตัดให้ถูกปลายประสาทสีชมพูในเล๋บได้สุนัขที่มีเล็บดำไม่สามารถมองเห็นปลายประสาทนี้ได้ ฉะนั้นตัดเล็บจึงทำได้แค่คลิบปลายเพียงเล็กน้อย หรือตัดตรงตำแหน่งต่ำจากบริเวณที่มีเลือดมาเลี้ยงสัก 3มิลลิเมตร การตัดเล็บควรทำทุกเดือน โดยหลังการอาบน้ำ เพราะเล็บที่เปียกน้ำจะอ่อนตัดง่ายกว่าธรรมดา

-------------------------------------------

 

 

วิธีดูแลสุขภาพสุนัขในช่วงอายุต่างๆ

 

1.การดูแลสุนัขแรกคลอด

 

ลูกสุนัขเกิดใหม่จะมีอุณหภูมิร่างการค่อนข้างต่ำ จึงควรกกไฟเพื่อเพิ่มความร้อนให้แก่ร่างกาย

ให้ลูกสุนัขได้รับน้ำนมเหลืองจากแม่ภายใน 24 ชั่วโมง

สังเกตอยู่เสมอว่าแม่สุนัขมีน้ำนมให้ลูก

สุนัขจะเริ่มลืมตาหรือได้ยินเสียงต่างๆ เมื่ออายุประมาณ 2 สัปดาห์

หากลูกสุนัขไม่ดูดนมแม่หรือแม่มีน้ำนมไม่พอควรให้นมผงสำหรับสุนัขโดยใช้ syringe ค่อยๆหยอดเข้าปาก ไม่ควรให้นมโคลูกสุนัข เพราะจะทำให้ท้องเสีย

ปริมาณแคลลอรี่ที่ลูกสุนัขต้องการคือ 22-26 Rcal/100 gm. ของน้ำหนักตัว

ในช่วงอายุ 2-3 สัปดาห์ น้ำหนักควรเพิ่ม 10-15 % ต่อวัน

 

2. การดูแลสุนัขช่วงวัยเด็ก วัยเจริญพันธุ์

 

การดูแลผิวหนังและขน

สุนัขที่มีสุขภาพดี ขนจะเป็นเงางาม ไม่แห้งและมันจนเกินไป

ผิวหนังไม่หยาบแห้ง ไม่มีรังแคและปรสิตภายนอก

สุนัขที่มีความผิดปรกติที่ผิวหนังจะมีอาการคัน ขนร่วงบางตำแหน่ง หรือร่วงเป็นบริเวณกว้าง ผิวหนังเป็นตุ่มหนองหรือเป็นผื่นแดง

สุนัขที่มีหูปรกควรเช็ดหูอย่างสม่ำเสมอ

สุนัขที่มีขนสั้นหรือเรียบติดผิวหนัง ควรแปรงขนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

สุนัขที่มีขนยาว ควรแปรงขน 1-2 วัน/ครั้ง และควรเล็มขนที่เท้า นิ้วเท้า และหูออกอย่างสม่ำเสมอ

ขนที่ยาวเหนือตาควรเล็มออก หรือรวบด้วยริ้บบิ้นหรือโบว์

 

การอาบน้ำ

ระหว่างการอาบน้ำควรใส่ปลอกคอให้สุนัขเพื่อใช้จับและป้องกันการกระโดดของสุนัข

หลังจากแปรงขนแล้วให้ใช้ก้อนสำลีอุดหูสุนัขแล้วใช้น้ำสะอาดราดตัวสุนัข

ใช้แชมพูสำหรับสุนัขฟอกให้ทั่ว ยกเว้นบริเวณหัว

ถูนวดย้อนขนจนแชมพูเกิดฟอง

บริเวณหัวใช้แชมพูที่ไม่ระคายเคืองตาเทลงมือแล้วนวดขนสุนัข

ระวังอย่าให้ฟองแชมพูกระเด็นเข้าตาและปากสุนัข

ล้างแชมพูบริเวณหัวออกและเช็ดให้แห้งก่อน แล้วจึงล้างแชมพูบริเวณลำตัวออก วิธีนี้จะป้องกันสุนัขสะบัดน้ำกระจายไปทั่ว

บีบไล่น้ำที่ติดค้างตามขนออกให้มากที่สุด แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดตัวให้แห้ง

ใช้เครื่องเป่าผมเป่าขนให้แห้ง และแปรงขนไปในทิศทางออกจากตัว

ไม่ใช้เครื่องเป่าผมกับสุนัขที่มีปัญหาโรคผิวหนัง

 

การตัดเล็บ

จับนิ้วสุนัขให้แยกออกจากกัน และตรวจผิวหนังระหว่างนิ้ว

เช็ดสิ่งสกปรกระหว่างนิ้วออกด้วยสำลีชุบน้ำ

ตัดเล็บในบริเวณที่มีสีเล็บเป็นสีขาว

บริเวณสีชมพูเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทและเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมาก

ตะไบปลายเล็บให้เรียบ หากสุนัขมีนิ้วติ่งให้ตัดเล็บที่นิ้วติ่งออกด้วย

 

การทำโปรแกรมวัคซีน

วัคซีนรวม 5 โรค เข็มแรก ตอนอายุ 2 เดือน เข็มที่สอง ตอนอายุ 2 เดือนครึ่ง

วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เข็มแรก ตอนอายุ 3 เดือน เข็มที่สอง ตอนอายุ 6 เดือน

วัคซีนทุกชนิดกระตุ้นซ้ำปีละครั้ง

ฉีดยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ เริ่มตอนอายุ 3 เดือน และฉีดป้องกันทุกๆ 2 เดือน (ยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ ไม่ใช่วัคซีน)

 

การดูแลสุนัขตั้งท้องและก่อนคลอด

สุนัขเป็นสัด ( heat) ปีละประมาณ 2 ครั้ง

วงรอบการเป็นสัดแบ่งเป็น 4 ระยะ

- Proestrus (9 วัน) อวัยวะเพศบวมขยายใหญ่ มีเลือดหยดออกมา

- Estrus (9 วัน) ยอมให้ตัวผู้ผสม ไม่มีเลือดหยดออกมาแล้ว

- Diestrus (60 วัน) เป็นช่วงที่สุนัขตัวผู้ไม่สนใจอีกแล้ว หากผสมติดจะเกิดการตั้งท้องนานประมาณ 63 วัน (บวก ลบ 1 วัน)

- Anestrus (ประมาณ 4.5 เดือน) อวัยวะเพศเป็นปรกติ

ในช่วงกลางของการตั้งท้องควรเพิ่มปริมาณอาหารขี้น 10 %

ก่อนครบกำหนดคลอด 2-3 วัน แม่สุนัขจะนอนพักเพื่อสงวนพลังงาน จึงไม่ควรให้ออกกำลังกาย

ควรให้แม่สุนัขคุ้นเคยกับสถานที่ที่จัดไว้ให้คลอด อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนคลอด

สถานที่คลอดควรเงียบสงบ อาจใช้กล่องไม้เรียบหรือกล่องกระดาษขนาดใหญ่ก็ได้

แม่สุนัขจะเบื่ออาหาร 1-2 วันก่อนคลอด และจะกระวนกระวายชัดเจน

 

การสังเกตภาวะคลอดยาก

ตั้งท้องนานผิดปรกติ พิจารณาจากตั้งท้องนานเกิน 65 วัน

ตรวจพบจำนวนลูกในครรภ์น้อยเกินไป เช่น มีเพียง 1-2 ตัว

แม่สุนัขได้รับสารอาหารไม่เพียงพอในช่วงการตั้งท้อง โดยเฉพาะแม่สุนัขที่มีลูกดก

แม่สุนัขมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง นอนร้องครวญคราง ช่องท้องการขยายใหญ่ขึ้น แสดงถึงการเกิดมดลูกบิด หรือฉีกขาด

แม่สุนัขแสดงอาการเบ่งอย่างรุนแรงติดต่อกันเกิน 30 นาที แต่ไม่พบลูกสุนัขออกมา

แม่สุนัขเบ่งคลอดเป็นระยะๆ นานถึง 4 ชั่วโมงแล้วแต่ไม่พบลูกสุนัขออกมา

ลูกสุนัขแต่ละตัวคลอดห่างกันเกิน 2 ชั่วโมง

เมื่อพบน้ำคร่ำ (สีเขียวดำ) ออกมาแล้ว ปรกติลูกตัวแรกจะออกภายใน 1-2 ชั่วโมง หากไม่มีลูกสุนัขออกมาภายใน 24 ชั่วโมง ให้รีบนำไปพบสัตวแพทย์ทันที

 

3. การดูแลสุนัขชรา

 

ลักษณะของสุนัขชรา

มีขนหงอกสีขาวแซมมากขึ้น ฟันหลุด ประสาทสัมผัสและการตอบสนองช้าลง

ขนหลุดร่วง และแห้งลง

กล้ามเนื้อลีบลงและไม่แข็งแรง

น้ำในข้อต่อลดลง ทำให้ข้ออักเสบและเคลื่อนไหวลำบาก

ดวงตาขุ่นมัว

ควรจำกัดอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เครื่องในสัตว์

ควรจำกัดอาหารที่มีปริมาณเกลือแร่มาก เช่น กระดูกไก่ , การเพิ่มซอสปรุงรสในอาหาร เป็นต้น

ให้อาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม หมูสับ เป็นต้น

เลือกอาหารสำเร็จรูปสูตรสำหรับสุนัขชราโดยเฉพาะ

ควรเช็ดขี้ตาและขี้หูอยู่อย่างสม่ำเสมอ

หากไม่มีโอกาสพาสุนัขออกกำลังกายควรช่วยนวดกล้ามเนื้อ และขยับข้อต่อโดยการพับขางอขึ้นลง

---------------------------------------------------------------

 

 

9สัญญาณบอกเหตว่าน้องหมาป่วย

 

1.กินอาหารได้น้อยลง อาการไม่อยากอาหาร หรือกินอาหารไม่อร่อยนี้ เรียกได้ว่า เป็นสัญญาณพื้นฐานของโรคต่างๆ เลยก็ว่าได้ เมื่อลองสังเกตดูแล้ว พบว่าไม่ได้มาจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่ทำให้เจ้าตูบไม่อยากกินอาหาร เช่น อากาศร้อนจัด หรือมีสิ่งล่อใจอื่นที่ทำให้น่าสนใจมากกว่าอาหารตรงหน้า สิ่งเหล่านี้ก็อาจทำให้สุนัขไม่กินอาหารได้ ซึ่งก็ถือว่า ไม่ได้เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ กรณีนี้ก็เพียงปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมขึ้น แต่ถ้าการไม่กินอาหารของเขา ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่กล่าวมา ก็ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เขาต้องป่วยเป็นอะไรสักอย่างแน่นอน เราควรพาไปพบสัตวแพทบย์เพื่อวินิจฉัยโรคให้แน่นอนอีกครั้ง

 

2.กระฉับกระเฉงน้อยลง สุนัขที่รู้สึกไม่สบายตัวจะลดความกระฉับกระเฉงลง บางครั้งก็เป็นการสับสนระหว่างอาการป่วย กับชราลงตามวัยด้วยเหมือนกัน กรณีนี้คนที่จะสังเกตและรับรู้ได้ดีที่สุด คงจะเป็นตัวเจ้าของนั่นเอง และหลายๆ ครั้งที่พบว่าอาการนี้เกิดจากการได้รับการเอาใจใส่จากเจ้าของน้อยลงขาดการทำกิจกรรมร่วมกันซึ่งก็เป็ผลพวงจากจิตใจของสัตว์เลี้ยงนั่นเอง

 

3. ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอน / เฉื่อยชา อาการนี้เป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่าสุนัขตัดขาดความสนอกสนใจจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวไปหมด ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ในการนอนนับเป็นสัญญาณที่มักจะเกิดขึ้นได้ทั้งก่อนและหลังของอาการป่วย

ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการป่วยนั้นๆ อีกต่างหาก ดังนั้น สังเกตให้ดี แล้วอย่าละเลย ควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพจะดีกว่า

 

4.น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว สัญญาณบอกเหตุอันนี้มักจะต่อเนื่องมาจากข้อที่ 1 และจะเป็นอาการที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อสุนัขป่วย แต่บางครั้งสัญญาณบอกเหตุนี้อาจจะสังเกตได้ยาก ถ้าสุนัขมีขนพองฟู หรือน้ำหนักเบาอยู่แล้ว ซึ่งข้อนี้ถือเป็นปัญหาที่เจ้าของต้องสังเกตอย่างใกล้ชิด

 

5.ดื่มน้ำในปริมาณที่มากขึ้น การที่สุนัขดื่มน้ำมากขึ้นกว่าปกติ มักจะเป็นสัญญาณบอกเหตุของโรคบางชนิด เช่น โรคที่เกี่ยวกับไต และโรคเบาหวาน ดังนั้น เมื่อคุณสังเกตเห็นความผิดปกติในข้อนี้ อย่านิ่งดูดาย ควรรีบพาสุนัขของท่านไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อการรักษาที่ได้ผล ก่อนจะสายเกินแก้นะครับ

 

6.หายใจขัด ปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องคำนึงถึง อาการนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับปอด และหัวใจ สัญญาณเตือนอันนี้ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องพบสัตวแพทย์แบบเร่งด่วนที่สุดทีเดียว

 

7.อาเจียน สัญญาณนี้อาจพบเห็นได้ไม่ยาก สำหรับการอาเจียนและขย้อนนี้ มักจะเกิดขึ้นได้แม้สุนัขไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ดังนั้นควรสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่สุนัขอาเจียนบ้าง นาน ๆ ครั้ง หรืออาทิตย์ละครั้ง หรือน้อยกว่านั้น ก็จะถือว่าไม่เป็นปัญหาอะไร โดยเฉพาะสุนัขที่ยังมีสุขภาพโดยทั่วไปแข็งแรงอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่สุนัขอาเจียนบ่อยๆ เช่น วันละครั้ง และมีน้ำหนักลดลงตามไปด้วย อันนี้จะถือว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องพาไปพบสัตวแพทย์อย่ารอข้าทีเดียวครับ

 

8.ท้องเสีย ปัญหาท้องเสียถือเป็นสัญญาณเตือนว่าสุนัขป่วยที่จะสังเกตได้ไม่ยาก และปัญหาส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับอาหารการกินและลำไส้ ซึ่งถ้าเกี่ยวกับลำไส้ก็นับว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนอีกกรณีหนึ่งที่ต้องรีบพาไปพบสัตวแพ

ทย์ ซึ่งบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นเมื่อสุนับเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิแพ้หรือการย่อยอาหารได้เช่

นกัน ซึ่งก็ไม่ถือเป็นปัญหาเร่งด่วนนัก แต่การรักษาแต่เนิ่นๆ ก็จำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาเรื้อรังในอนาคต จนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

 

9.อาการไอ สัญญาณเตือนนี้ถือเป็นปัญหาสำคัญอีกข้อหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง เมือสุนัขไอต้องสังเกตดูลักษณะของการไอ ซึ่งสามารถเกิดเป็นอาการของโรคร้ายแรงได้หลายๆ โรค โดยเฉพาะโรคพยาธิหัวใจ สุนัขมักจะไอแห้งๆ และไอบ่อยๆ เหมือนพยายามคายอะไรออกมา อาการนี้ไม่ควรปล่อยไว้ ต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยเร็ว

 

สัญญาณอันตรายที่กล่าวมาทั้ง 9 ข้อนี้ เรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของการเกิดโรคต่างๆ ของสุนัขเลยทีเดียว ดังนั้นเจ้าของสุนัขต้องไม่ละเลย ที่จะดูแลสุนัขของตัวเองอย่างใกล้ชิด และทำความเข้าใจข้อที่ใกล้เคียงกันของอาการต่างๆ เหล่านี้ได้ ว่าเป็นอาการหนึ่งของโรคร้ายแรง หรือว่าเป็นเพียงอาการผิดปกติเพียงเล็กน้อย เพื่อที่ว่าขั้นตอนต่อไปในการรักษาจะได้ทันท่วงที ไม่ล่าช้าจนเกินไป แล้วเจ้าตูบก็จะมีชีวิตที่ยืนยาวอยู่กับเราได้นานๆ และก็อยู่อย่างมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์อีกด้วย ดังนั้น อย่ากลัวหรือเบื่อหน่ายกับการพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เลยครับ

 

 

 

 

 

                      

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ศาลแพ่ง..นำหมายศาลกรณีนายสาธิต เซกัล
ฟ้องยิ่งลีกษณ์และพวกรวม3คนกรณีเนรเทศ
ติดแจ้งที่ประตู8 ทำเนียบรัฐบาล
ให้กบฏฟ้องผู้นำประเทศ(นายกตกเป็นจำเลย).!!

 

[​IMG]

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 [​IMG]

  1.  

 

[​IMG]

 

[​IMG]

  •  

[​IMG]

 

  •  

 

 

 [​IMG]


 

 

ข่าวด่วน.....


ตร.ภาค 2 ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างยอดเยี่ยม ไม่ปล่อยให้ทหารทำอะไรได้ตามใจชอบ ยกกำลังเข้าจับกุมทหารค่ายนวมินทร์ ทหารเสือราชินี ค้ายาบ้าได้ยาบ้า 40,000 กับยาไอช์ 300 กรัม แต่กว่าจะจับได้ต้องปะทะกันเดือด ทหารตายไป 1 คน เป็น สห.คนส่งยา ก่อนสิ้นฤทธิ์วิทยุเรียกเพื่อนทหารมาช่วยอีก 50 คน ผบช.ภาค 2 กำลังเคลียร์ปัญหา โดย ผบ.ทบ. พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา สั่งปิดข่าว ห้ามนักข่าวเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด.....

 

 

 [​IMG]

 

 

 

 

 

 

 

 

ช่างหาญกล้า นะ


[​IMG]

 [​IMG]

 

 

 

 

 

 

 

 

[​IMG]

 

 

 

 

[​IMG]
 

 

 

 

 

 

 

 [​IMG]

 

 

 

 [​IMG]

 

 

 

 [​IMG]

 

 

 

 

 

[​IMG]
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                 ตำนานแม่น้ำเจ้าพระยา

 

 

   

                                    

 

 

 

 


ท่านทราบหรือไม่ว่า แม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากเป็นการรวมตัวของ ปิง วัง ยม น่าน อย่างที่เรา ๆ รู้จักอยู่แล้วนั้น ยังมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่น่าสนใจอีกหลายอย่างทั้งวิถีชีวิต อารยธรรม รวมถึงตำนานต่างๆ มีอยู่หลายตำนานด้วยกัน แต่ที่น่าสนใจและใกล้เคียงกับประวัติศาสตร์ของไทยนั้นมีอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำเจ้าพระยา

โดยเริ่มต้นเมื่อประมาณ ปีพุทธศักราช 1893 พระเจ้าอู่ทอง ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และได้ขึ้นครองราชย์สมบัติทรงพระนามว่า "สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1" ในขณะที่พระองค์ทรงได้ขึ้นครองราชย์นั้นได้ให้ พระราเมศวร ราชบุตรไปปกครองเมืองลพบุรี และได้ให้ ขุนหลวงพระงั่ว พระเชษฐาไปปกครองเมืองสุพรรณบุรี

พุทธศักราช 1912 พระเจ้าอู่ทอง สวรรคต พระราเมศวร ราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์แทน แต่ในเวลาต่อมาก็จำต้องถวายราชสมบัติให้ ขุนหลวงพระงั่ว พุทธศักราช 1913 ขุนหลวงพระงั่วได้ขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1" นับเป็นกษัตริย์องค์ที่ 3 ของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงใฝ่พระทัยในการทำสงครามมาแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง

ในขณะนั้นกรุงสุโขทัยมี พระมหาธรรมราชาลิไท เป็นกษัตริย์ปกครอง พระองค์ทรงอ่อนแอมาก ประเทศราชต่างก็แข็งเมือง ทางกรุงสุโขทัยไม่สามารถไปตีคืนมาครอบครองเหมือนดังเดิมได้

พุทธศักราช 1915 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 พระองค์ทรงยกกองทัพเข้าตีแคว้นสุโขทัยตอนใต้ โดยยกกองทัพเข้าตีเมืองจำปา (ชัยนาท) ได้ก่อนแล้วยกทัพมาตั้งมั่นล้อมเมืองพระบางไว้ ซึ่งเมืองพระบางนั้นเป็นเมืองหน้าด่านตอนใต้ของสุโขทัย ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำใหญ่มี เจ้าพระยาอนุมานวิจิตรเกษตร เป็นเจ้าเมืองในขณะนั้นมีเมืองในการปกครองอีก 4 เมือง คือ

1. เมืองไตรตรึงษ์ อยู่ทางเหนือเมืองพระบาง มี เจ้าพระยาอัษฎานุภาพ เป็นเจ้าเมือง (ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.เมือง จ.กำแพงเพชร)
2. เมืองไพศาลี อยู่ทางทิศตะวันออก มี เจ้าพระยาราชมณฑป เป็นเจ้าเมือง (ปัจจุบันคือบ้านหนองไผ่ ต.หนองไผ่ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์)
3. เมืองการุ้ง อยู่ทางทิศตะวันตก มี พระยาวิเศษสรไกร เป็นเจ้าเมือง (ปัจจุบันคือ บ้านการุ้ง ต.วังหิน อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี)
4. เมืองจำปา อยู่ทางทิศใต้ (ปัจจุบันคือ จ.ชัยนาท)


เจ้าพระยาอนุมานวิจิตรเกษตร มีทหารเอกอยู่ 2 คน คนหนึ่งชื่อ สมบุญ อีกคนหนึ่งชื่อ ศรี แต่ทว่า ศรีไปขึ้นกับฝ่ายกรุงศรีอยุธยา เพื่อหวังจะได้เป็นใหญ่ในพระบาง ทางด้านเมืองหน้าด่านของเมืองพระบางทั้งสาม (เว้นนครจำปาซึ่งถูกกรุงศรีอยุธยายึดไปแล้ว) จึงได้ยกทัพมาช่วย อยุธยาล้อมเมืองพระบางอยู่ถึง 5 เดือนเต็ม และแล้ว ศรีผู้ทรยศ ก็สามารถนำกองทัพอยุธยาเข้าตีเมืองพระบางไว้ได้ เจ้าพระยาทั้งสี่พร้อมด้วย สมบุญ ทหารเอกถูกจับได้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ให้ทหารนำตัวเจ้าพระยาทั้งสี่และสมบุญเข้าเฝ้าพระองค์ตรัสว่า

"เราได้ทราบว่าพวกท่านกล้าหาญและเข้มแข็งนัก เรายินดีที่ได้พบและรู้จักพวกท่าน เราต้องขอโทษที่ต้องเข้าตีเมืองพระบางเพราะเราเห็นว่าสุโขทัยนับวันจะเสื่อมโทรมลงเป็นช่องทางให้ข้าศึกศัตรูจู่โจมเข้ามาแย่งยื้อถือปกครอง เราจึงคิดรวบรวมไทยไว้ให้เป็นปึกแผ่นเราเห็นว่าพวกท่านทั้งห้าคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์กตัญญูมั่นอยู่ต่อพระเจ้าอยู่หัวของท่านยิ่งนัก ยากที่จะหาคนอย่างพวกท่านได้อีก เราจะขอให้ท่านรับราชการกับเราสืบไป"

พระยาอัษฎานุภาพจึงกราบทูลว่า

"นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แต่เสียใจที่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งห้านี้ ได้ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในพระเจ้าอยู่หัวในราชวงศ์สุโขทัยเสียแล้ว มิอาจอยู่ตากหน้ารับความสุขและลาภยศของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ในเมื่อพระเจ้าอยู่หัวของข้าพระพุทธเจ้ากำลังตกอับซ้ำข้าทั้งห้าของท่านกลับมาช่วยพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ชิงราชบังลังก์"

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 จึงตรัสตอบไปว่า

"ท่านเข้าใจผิด เราตั้งใจไว้ว่าหากเราได้กรุงสุโขทัย เราจะไม่ทำให้กรุงสุโขทัยต้องเดือดร้อน คงให้ดำรงพระยศเป็นกษัตริย์ฝ่ายเหนือตามเดิมแต่รวมอยู่กับอยุธยา"

พระยาราชมณฑป จึงกราบทูลต่อไปอีกว่า

"จะมีประโยชน์อะไรที่จะต้องอยู่อย่างผู้แพ้ อยู่อย่างประเทศราช ข้าพระพุทธเจ้ารู้พระทัยของพระเจ้ากรุงสุโขทัยดีว่า พระองค์ไม่พึงปรารถนาที่จะให้พระองค์ทรงชุบเลี้ยง ข้าพระพุทธเจ้าขอยืนยันว่าแม้แผ่นดินยังไม่กลบหน้าตราบใดแล้ว ก็ต้องหาทางกอบกู้กรุงสุโขทัยกลับคืนมาจนได้ และเมื่อนั้นเลือดไทยก็ต้องหลั่งกันอีก"

พระยาวิเศษสรไกร กล่าวเสริมว่า

"ข้าพระพุทธเจ้าขอยืนยันว่า พวกข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่ปู่ย่าตายายมาถึงเจ็ดชั่วโคตร เคยแต่เป็นข้าของพระเจ้ากรุงสุโขทัย ที่จะกลับมาเป็นข้าของอยุธยานั้นอย่าหมาย ชาวเหนือถือเป็นคติประจำสันดานว่าอยู่อย่างผู้แพ้ เมื่อแพ้แล้วอยู่ไปประเสริฐอย่างไรขอให้ประหารข้าพระพุทธเจ้าเสียเถิด"

สมบุญ ทหารเอกพูดด้วยความโกรธแค้น ว่า

"อ้ายบุญก็เหมือนกัน อย่าต้องให้เป็นหมาสองรางอย่างอ้ายศรีเลย ขอให้พระองค์ชุบเลี้ยงอ้ายหมาหัวเน่าไว้เป็นข้าแต่ตัวเดียวเถิด"

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ได้ฟังสมบุญพูดดังนั้นจึงตรัสปลอบว่า

"เจ้าสมบุญเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราไทยด้วยกัน ค่อยพูดค่อยจากัน ออมชอมกันไว้ไม่ดีกว่าหรือ เป็นข้าคนไทยด้วยกันยังดีกว่าเป็นข้าของคนต่างด้าวท้าวต่างแดน แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรต่อไป"

สมบุญ พูดด้วยใจเด็ดเดี่ยว

"อ๋อ ไม่ยาก ข้าพระพุทธเจ้าขออย่างเดียวง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก คือ ฆ่าพวกข้าพระพุทธเจ้าเสียให้หมด"

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 จึงตรัสต่อไปว่า

"เราก็จนใจเมื่อพวกท่านทั้งห้าต้องการเช่นนั้น แต่เราให้พวกท่านเลือกตายตามสมัครใจ"

สมบุญ กราบทูลว่า

"สำหรับข้าพระพุทธเจ้าสมบุญทหารเอกเมืองพระบางเกิดที่หนองสาหร่าย เกิดที่ไหนก็อยากตายที่นั่นเอาร่างถมแผ่นดินมาตุภูมิ ขอให้เอาข้าพระพุทธเจ้าไปฆ่าเสียที่หนองสาหร่ายเถิดจะเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง"

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 จึงตรัสกับทหารทั้งหลายว่า

"ทหารจงดูไว้เป็นเยี่ยงย่างจะหาคนที่ประเสริฐอย่างนี้ได้ยากมาก เพื่อให้ชาวพระบางมีใจระลึกถึงความดีงามและวีรกรรมของเจ้าสมบุญ เราขอประกาศเปลี่ยนชื่อหนองสาหร่ายเสียใหม่ว่า "หนองสมบุญ" เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความกล้าหาญของสมบุญทหารเอกแห่งเมืองพระบางทหารพาสมบุญไปได้"

เจ้าพระยาอนุมานฯ จึงกราบทูลว่า

"ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสี่เป็นศิษย์สำนักเดียวกันต่างอยู่ยงคงกระพันไม่มีทางฆ่าพวกข้าพระพุทธเจ้าได้ ขอได้โปรดนำพวกข้าพระพุทธเจ้าไปกดให้จมน้ำตายที่แม่น้ำหน้าเมืองนี้เถิด"

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 เมื่อได้ฟังดังนั้นจึงตรัสว่า

"เราเสียดายท่านทั้งสี่ แต่เราก็จนใจในความตั้งใจของท่าน"

แล้วจึงสั่งทหารให้นำพระยาทั้งสี่ไปกดน้ำให้จมน้ำตายที่หน้าเมืองพระบางตามความประสงค์ ก่อนตายเจ้าพระยาทั้งสี่ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า

"ข้าแต่พระคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ ณ วังน้ำอันเยือกเย็นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสี่ได้เกิดมาในลุ่มอกแม่น้ำนี้ ลูกได้อาศัยดื่มกินมาชั่วลูกชั่วหลาน แม่มิได้เคยเหือดแห้ง บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสี่สิ้นวาสนา ขอฝากดวงวิญญาณแห่งชายชาติทหารกรุงสุโขทัยไว้กับพระแม่คงคา ด้วยเดชะความซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวทีของข้าฯ ขอให้แม่น้ำสายนี้จงอย่ามีวันใดเหือดแห้งจงเป็นสายธารชีวิตของชาวไทย ได้หล่อเลี้ยงพืชผลแห่งไร่นา พาเอาง้วนดินเหนืออันเกิดจากซากของผู้กล้าหาญ ที่ข้าหลั่งเลือดเนื้อปกป้องปฐพี ไปเป็นอาหารแห่งพืชที่แม่พระคงคาไหลผ่านไป ขอให้ชาวไทยในลุ่มแม่น้ำสายนี้จงวัฒนาสถาพรตลอดชั่วฟ้าดินสลาย"

และแล้วแม่น้ำสายนี้ก็ปรากฏชื่อว่า

"แม่น้ำเจ้าสี่พระยา" แต่บัดนี้ กาลเวลาได้ผ่านมา 500 ปีเศษ คำว่า "สี่" ก็จางหายไป เหลือแต่ "เจ้าพระยา" เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งวีรกรรมในความกล้าหาญและซื่อสัตย์ของเจ้าพระยาทั้งสี่ผู้ครองเมืองหน้าด่านตอนใต้ของสุโขทัย
(หมายเหตุ) ตำนานแม่น้ำเจ้าพระยาและหนองสมบุญนี้ นายอ้อม ศรีรอด แห่งโรงเรียนศรีสัคควิทยา ตลาดสะพานดำ ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เป็นผู้ประพันธ์ขึ้น ตามเค้าเรื่องจากสมุดข่อย วัดเขื่อนแดง ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ สมุดข่อยดังกล่าวที่วัดเขื่อนแดง ปัจจุบันได้สูญหายและไม่ทราบว่าผู้ใดเอาไป

ที่มา  :  หนังสือ Study ฉบับ แหล่งท่องเที่ยว ; เส้นทางใหม่ของผู้รักธรรมชาติ (Adventure Magazine)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แต่ละตัว  ดูหน้าก็บอกยี่ห้อโหด  การ์ด กปปส.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.คนใหม่ โต้สดๆเย้ย บิ๊กตู่?!!

ตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.คนใหม่ โต้สดๆ ออกช่องแดง เย้ยพล.อ.ประยุทธ์ ผบทบ. "กระจอกที่สุด" จับมือ "สุเทพ" ล้มรัฐบาล ยันไม่ปล่อยทีมฆ่า98ศพ หลังผบทบ.ติงไม่มีเกียรติ คุยด้วย ประกาศถ้ารัฐประหารเจอกับผม ติง ตาไม่ดีแล้ว ยังหูไม่ดี อีก ให้เข้าใจ ศาลการเมือง วิจารณ์ ไม่ได้ล้มเจ้า อย่าคิดว่า จงรักภักดีคนเดียว สถาบันกษัตริย์ ไม่ใช่ของ พล อ ประยุทธ์ คนเดียว

พูดแบบนี้ ไม่ใช่ลูกผู้ชาย เผย จะเดินไปให้ยิง ถ้าจะยิงประชาชน แขวะ เก่งทุกเรื่อง ยกเว้นในหน้าที่ แก้ปัญหา 3 จ.ใต้ แนะลงไปอยู่ใต้ ดีกว่ามาเฝ้า นปช. อย่าคิดว่า ตัวเองเก่ง เท่ห์ ถามจะประกาศกาศกฏอัยการศึก หรือ ตั้งบังเกอร์เต็มเมือง แฉจับทหาร 48 ราย มาช่วยม็อบ ผบทบ.รับผิดชอบมั้ย ต่างจาก ผบทร. รับผิดชอบ ย้าย ผบ.หน่วยซีล แต่ ผบทบ.รับผิดชอบ ด้วยการมาด่า ดูถูกเหยียดหยาม ประธาน นปช.

 

 

 

[​IMG]

 

 

 

[​IMG] 

guest
ArjanPong

Post : 2014-03-12 18:44:52.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  กลยุทธชนะใจคน

 

 

   กลยุทธ์ชนะใจคน Dealing with difficult People

 

 

 

                                                 

 

 
 
 
คุณคิดว่าดีกว่าไหม ถ้าเราจะสามารถอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา แล้วอุปสรรคทั้งหลายก็จะเบาบางลง โดยปราศจากความขัดแย้ง ด้วยการที่เรายินดีรับฟังความคิดที่แตกต่างของคนอื่น แต่ไม่ยึดถือมาเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยก ตามหลักที่ว่า "แตกต่างได้ แตกแยกไม่ได้"

ประเภทที่ 1 พวกรถถัง : เป็นประเภทชนแหลก และไม่สนใจว่าจะทำร้ายความรู้สึกของใคร มักเป็นคนก้าวร้าว เสียงดังมีพลัง หรือเงียบแต่เต็มไปด้วยพลัง เขาพร้อมที่จะกำจัดคุณ ถ้าคุณขวางทางเขามองสิ่งที่คุณกำลังนำเสนอเป็นปัญหา คุณควรจะสื่อสารกับเขาอย่างสั้นๆ และตรงไปตรงมา และพยายามทำให้เขานับถือคุณ เพราะพวกรถถังจะไม่ต่อสู้กับคนที่พวกเขาให้ความเคารพนับถือ

วิธีการรับมือกับพวกรถถัง

อย่าพยายามต่อสู้กับคนพวกนี้ คุณอาจเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็แพ้อยู่ดี ถ้าเขาตั้งตนเป็นปรปักษ์กับคุณ
อย่าแก้ตัว อธิบาย หรือให้เหตุผล คนพวกนี้จะไม่ฟังคำอธิบายหรือข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้นของคุณ
อย่าถอนตัว เพราะความกลัว ถ้าหากคุณกลัวจะทำให้พวกรถถังเห็นว่า การที่เขาโจมตีเป็นสิ่งที่ควรทำ และอาจกระตุ้นให้เขาทวี ความก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้นไปอีก

ประเภทที่ 2 พวกที่ชอบซุ่มยิง : เป็นประเภทที่ใช้จุดอ่อนของคุณเป็นเครื่องมือในการเล่นงานคุณ ไม่ว่าจะด้วยการซุ่มยิง นินทา หรือวิพากษ์วิจารณ์เมื่อทำงานไม่สำเร็จตามเป้าประสงค์เขาจะเข้าควบคุมคุณ โดยการทำให้คุณต้องอับอาย

วิธีการรับมือกับพวกที่ชอบซุ่มยิง

ไม่ควรตีโพยตีพาย คิดเสียว่าคำวิจารณ์ที่ร้ายกาจของเขาเป็นเรื่องน่าหัวเราะ ไม่ควรนำมาใส่ใจ แยกให้ออกระหว่าง พวกซุ่มยิงที่เป็นมิตร และไม่เป็นมิตรพยายามมองว่าคำวิจารณ์เป็นการผูกมิตร
ถ้าคุณไม่ชอบพฤติกรรมที่เขาล้อเลียนหรือเสียดสี ให้คุณทำให้เขารู้ว่าคุณไม่ชอบ ถ้าคนพวกนี้ชอบคุณเขาอาจเปลี่ยนพฤติกรรมได้ คนพวกนี้จริงๆ แล้วชอบคุณ และสนุกกับการซุ่มยิงเพื่อให้คุณสนใจเขา

ประเภทที่ 3 พวกที่มีอารมณ์ร้าย : สามารถระเบิดอารมณ์ได้อย่างรุนแรง จนคนอื่นต้องหาที่หลบภัย และพากันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขารู้สึกว่า ไม่ได้รับการชื่นชมหรือการเคารพจากผู้อื่น เมื่อความเงียบเฉยจากคนรอบข้างเกิดขึ้น อารมณ์ร้ายๆ ก็จะระเบิดออกมา และระเบิดไปทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาระเบิดออกมาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดอยู่หรือไม่ก็ตาม

วิธีการรับมือกับพวกที่มีอารมณ์ร้าย

เก็บอารมณ์โกรธของคุณเอาไว้ การที่คุณเพิ่มความโกรธเข้าไปในสถานการณ์ที่เลวร้าย เป็นเหมือนกับการเอาน้ำมันไปราดไฟที่ลุกโชน
เรียนรู้ที่จะมองพวกอารมณ์ร้ายในทางอื่นบ้าง จะช่วยให้คุณทำใจกับสถานการณ์ที่เลวร้ายได้มากขึ้น
ตั้งใจรับฟังปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาระเบิดอารมณ์ที่ ร้ายกาจออกมาหรือไม่ คุณอาจช่วยลดความถี่และความตึงเครียดของการระเบิดได้

ประเภทที่ 4 พวกที่รู้หมดทุกอย่าง : เขาจะบอกคุณว่ารู้อะไรบ้าง แต่จะไม่ฟัง "ความคิดที่แย่กว่า" ของคุณ เขาจะควบคุมสถานการณ์ และควบคุมคนอื่นด้วยวิธีการผูกขาดการสนทนา โดยการพูดมาก ให้ข้อคิดเห็นที่ดูฉลาด และพยายามหาข้อผิดพลาด หรือจุดด้อยของคนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับเขา เพื่อทำให้ ความคิดของคนอื่นดูด้อยค่าลง คนพวกนี้รู้มากและมีความสามารถ ถ้าเกิดข้อผิดพลาด เขาจะบอกอย่างมั่นใจว่า คุณเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบ ต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

วิธีการรับมือกับพวกที่รู้หมดทุกอย่าง

พยายามอย่าเป็นพวกที่รู้หมดทุกอย่างเสียเอง ซึ่งไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
อย่าทำให้คนพวกนี้ไม่พอใจ เพราะจะทำให้เกิดการโต้เถียง ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
อย่ายัดเยียดความคิดของคุณให้พวกเขา แต่ให้พยายามทำตัวให้ยึดหยุ่น อดทน และดูฉลาด เวลาที่นำเสนอความคิดเห็น

ประเภทที่ 5 พวกที่คิดว่ารู้หมดทุกอย่าง : เป็นประเภทที่ต้องการให้คนอื่นชื่นชมโดยการเรียกร้องความสนใจ และเข้าไปมีส่วนร่วมในวงสนทนา แม้ว่าจะไม่มีใครอยากฟังก็ตาม ถ้าคุณไม่ค่อยรู้เรื่องว่าเขากำลังพูดอะไร พวกเขาอาจนำคุณไปผิดทางได้

วิธีการรับมือกับพวกที่คิดว่ารู้หมดทุกอย่าง

อย่าทำให้พวกเขาไม่พอใจ เพราะปฏิกิริยาตอบสนองของเขาจะทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องเข้าใจผิดว่า คนพวกนี้กำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง
อย่าตัดสินอะไรเร็วเกินไป อย่าพยายามเบี่ยงเบนความจริง เพียงเพื่อต้องการทำให้คนพวกนี้ขายหน้า เพราะอาจทำให้คุณสูญเสียความน่าเชื่อถือได้ ให้คุณอดกลั้นความอยากนั้นไว้ โดยพยายามมองข้ามสิ่งที่พวกเขาพูด ไปบ้าง

ประเภทที่ 6 พวกที่ชอบตอบรับ : จะตอบรับอย่างรวดเร็วแต่จะทำงานอย่างเชื่องช้า ไม่รักษาสัญญาและไม่ตั้งใจจริง จะตอบรับไปก่อนโดยที่ไม่ได้คิดอะไร เพียงเพราะต้องการเอาใจ คนอื่น และไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง งานที่รับไว้ ก็ล้นมือจนเกินจะรับไหว เวลาที่เป็นของตัวเองก็เริ่มที่จะหมดไปจนทนไม่ได้ และเกิดหงุดหงิดไม่พอใจก่อให้เกิดความเสียหายในที่สุด

วิธีการรับมือกับพวกที่ชอบตอบรับ

อย่ากล่าวโทษ เพราะจะทำให้เขารู้สึกผิด และอับอาย พฤติกรรมแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำอีก เขาคิดว่าการที่ตอบรับไปก่อนว่าทำได้ จะทำให้คุณไม่พูดอะไรให้เขารู้สึกผิด หรือขายหน้า
มองคนที่ชอบตอบรับเป็นคนที่ไม่มีทักษะในการจัดระเบียบ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ถ้าคุณช่วยเขาพัฒนาทักษะดังกล่าว เขาจะเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ดีมาก เพราะธรรมชาติของเขาเป็นคนชอบช่วยเหลือ
ช่วยให้เขาพัฒนาการจัดระเบียบในการทำงาน ถามถึงงานที่เขาต้องรับผิดชอบ รวมทั้งผลเสียที่จะตามมา ถ้าเขาไม่สามารถส่งงานตามกำหนดได้ จากนั้นให้คุณช่วยวางแผนการทำงานให้เขา

ประเภทที่ 7 พวกที่ชอบลังเล : เมื่อต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ เขามักหลีกเลี่ยงโดยการไม่ยอมตัดสินใจ จนคนอื่นตัดสินใจให้แทน หรือไม่กล้าที่จะแก้ปัญหา ก่อให้เกิดความเครียดและความน่ารำคาญ เพราะเขาปิด ตัวเองไม่ยอมรับความสัมพันธ์ที่ดีของผู้อื่น

วิธีการรับมือกับพวกที่ชอบลังเล

อย่าเร่งรัดเขา ความรำคาญ การหมดความอดทน หรือความไม่พอใจ จะทำให้เขาตัดสินใจได้ยากขึ้น
มีความอดทน ถ้าคนพวกนี้รู้สึกกดดัน เขาจะรู้สึกไม่ปลอดโปร่ง และไม่สามารถคิดอะไรได้ถี่ถ้วน
ใจเย็นๆ ความตึงเครียดและความกลัวจะทำให้เขามีพฤติกรรมดังกล่าวมากขึ้น แม้ว่าคุณจะสามารถ บังคับให้เขาตัดสินใจได้ แต่เขาอาจเปลี่ยนใจอีกเมื่อรู้สึกกดดัน

ประเภทที่ 8 พวกที่ไม่ยอมบอกอะไรเลย : เขาจะไม่ยอมบอกอะไรกับคุณเลยไม่มีข้อเสนอแนะหรือวิจารณ์ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือไม่ จะไม่แน่ใจ หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ป้องกันตนเองไม่ให้ทำร้ายความรู้สึกคนอื่น และไม่ให้โกรธใคร มีพฤติกรรมที่พูดตรงๆ จึงทำให้เข้ากับผู้อื่นได้ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่องาน ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ บางคนจะหงุดหงิดและถอนตัว อาจมีคำพูดทิ้งท้ายไว้ด้วย เช่น "ดี! ทำเองเลย อย่ามาง้อให้ช่วยเวลาที่ไม่ได้ผลก็แล้วกัน" หลังจากนั้นก็จะไม่คิดทำอะไรอีกเลย

วิธีการรับมือกับพวกทีไม่ยอมบอกอะไรเลย

ต้องให้เวลากับพวกเขา และยังต้องอาศัยความใจเย็นเพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียด
ถ้าเป้าหมายของเขาคือทำงานให้ถูกต้อง เขาก็จะเป็นคนที่สนใจในเรื่องงาน หรือถ้าเป้าหมายของเขา คือต้องการเข้ากับคนอื่น เขาก็จะสนใจในเรื่องของคน พิจารณาดูว่าเป้าหมายของเขาคืออะไร
พยายามอย่าโมโห การที่คุณโกรธหรือโมโหจะยิ่งทำให้เขาตีตัวออกห่างมากขึ้น

ประเภทที่ 9 พวกที่ชอบปฏิเสธ : เขามักพูดว่า "ฉันไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายนะ แต่มองโลกในแง่ของความเป็น จริงต่างหาก" เป็นคนที่ไม่มีความสุข และชอบทำให้คนอื่นเป็น ทุกข์

วิธีการรับมือกับพวกที่ชอบปฏิเสธ

โดยการให้เขา อยู่ในสายตาของคุณ และคุณต้องมีความอดทน อาจมีอะไรที่ น่ายินดีเกิดขึ้นบ้างก็ได้ และต้องมีความชื่นชมในตัวเขา
สิ่งที่คุณพูดกับคนอื่น สามารถสร้างความไม่พอใจ หรือความไว้เนื้อเชื่อใจได้ และในขณะเดียวกันก็สามารถ สร้างการต่อต้าน หรือ ความร่วมมือได้เช่นกัน อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดความ ขัดแย้งหรือความเข้าใจอันดี ได้ด้วย

ประเภทที่ 10 พวกที่ชอบบ่น : เขามีความรู้สึกว่าไม่มีอะไรช่วยเขาได้ เขาอยู่ในโลกที่ไร้ ซึ่งความยุติธรรมและไม่มีใครคนไหนหรือสิ่งใดจะเทียบเคียงมาตรฐานของเขาได้ ชอบบ่นอย่างไม่ หยุดหย่อน ในหลายๆ ครั้งการบ่นนั้นก็จมอยู่กับเรื่องเดิมๆ และพยายามทำให้คนอื่นเห็นด้วย กับตนเองว่าไม่มีอะไรถูกต้องเลย ทุกอย่างผิดไปหมด

วิธีการรับมือกับพวกที่ชอบบ่น

อย่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคนที่ชอบบ่น เพราะถ้าคุณเห็นด้วย จะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เขายิ่งบ่น หรือถ้าคุณไม่เห็นด้วย เขาก็จะยิ่งรู้สึกว่าถูกบังคับให้ต้องย้ำถึงปัญหา
อย่าพยายามแก้ปัญหาให้เขา เพราะคุณไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เขาจะต้องให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหานั้นด้วย
อย่าถามเขาว่าทำไมเขาถึงบ่น เพราะนั่นจะเป็นการเชิญชวนให้เขาเริ่มบ่นใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง


กลยุทธ์ต่างๆ ที่เสนอ ถ้าคุณนำไปปรับใช้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณได้มีทางเลือก ในการรับมือกับ ปัญหามากขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 นายกปู องค์ลง ประชาชนเฮ ได้ตัง กบฏเมือกล้ม ปชช.เสียตัง

ถูกหวยกันบ้างใหมลูก

[Image: 1978769_4005420990227_748453323_n.jpg]


นายกปูไปทานก๋วยเตี๋ยว 3 บาทที่เชียงใหม่หกล้มหลังลงจากรถโฟล์คตู้

หมายเลขทะเบียนกท. 5404 นักข่าวและชาวบ้านรู้ เอามาแชร์กันในโชเชี่ยล

เน็ตเวร์ค และนำไปซื้อหวยถูกได้รับรางวัลกันไปมากมาย

[Image: 1900026_287373781419373_297147740_n.jpg]

รถที่นายกฯ ใช้วันแรกที่ไปถึงเชียงใหม่ ยังออกเลขท้ายสองตัว

[Image: 1899920_591754334233692_1820243528_n.jpg]

ยังมีของแถมอีก เพี่งกลับมาวันที่15 มีค.

[Image: 1959471_294594307362730_1884817613_n.jpg]

[Image: 1012085_10203383801064171_2094928553_n.jpg]

ส่วนกบฏเมือก ก็ล้มเช่นกันแต่ชาวบ้านเสียเงินเพราะ กบฏเมือกไปเดินไถตัง

ชาวบ้านจนเข่าอ่อน

[Image: 1977366_1427005327546580_484072361_n.jpg]

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                พาหุรัด

 

รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com

 

 


 

 

 

 

 

 




 

 

 

 

รัชกาลพระบาท สมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "ถนนพาหุรัด" ขึ้น โดยทรงใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ พระราชธิดาซึ่งประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และสิ้นพระชนม์ขณะพระชันษา 10 ปี



ทรงให้สร้างถนนขึ้น เพื่ออุทิศส่วนกุศลพระราชทาน และพระราชทานนามถนนว่า ถนนพาหุรัด ตามพระนามพระราชธิดา ปัจจุบันถนนพาหุรัดอยู่ในท้องที่แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เริ่มตั้งแต่ถนนบ้านหม้อ (สี่แยกบ้านหม้อ) ไปทางทิศตะวันออก ตัดกับถนนตรีเพชร (สี่แยกพาหุรัด) จนถึงถนนจักรเพชร



ถนนพาหุรัดในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้การคมนาคมสะดวกสบายขึ้น จึงมีผู้คนมาปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัย โดยเฉพาะชาวอินเดียซึ่งเดิมค้าขายผ้าอยู่แถบบ้านหม้อ วัดเกาะ (วัดสัมพันธวงศ์) ได้อพยพเข้ามาทำมาหากินในแถบพาหุรัดกันมากขึ้น



ที่ดินบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นของวัดเลียบ (วัดราชบุรณราช วรวิหาร) มีที่ดินเอกชนบ้างก็ไม่มากนัก ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดลงบริเวณสะพานพุทธ วัดเลียบและโรงไฟฟ้าวัดเลียบ ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า แต่บริเวณโดยรอบเป็นตึกแถวขายเสื้อผ้ายังคงอยู่



ในช่วงนี้มีพ่อค้าแม่ค้าเข้ามาขายข้าวปลาอาหาร แต่ไม่มากนัก ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าตลาดปีระกาที่อยู่ในเวิ้งนาครเขษม และตลาดบ้านหม้อซึ่งเป็นตลาดใหญ่กว่าและเปิดมานานแล้ว ซึ่งสุดท้ายก็ไปไม่รอด ต้องเลิกไปโดยปริยาย แต่กิจการขายผ้าของชาวอินเดียเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ มีการสั่งผ้าจากต่างประเทศ ทั้งยุโรป อเมริกา และอินเดียเข้ามาจำหน่าย ผ้าที่ได้รับความนิยมเป็นพวกผ้าชีฟองและผ้าลูกไม้ชั้นดีจากเมืองนอก

 

 

 


 





 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ช่วงหลังมีพ่อค้าชาวจีนในสำเพ็งขยับขยายออกมาสร้างตึกแถวขายสินค้าบนสองฟากถนนพาหุรัด เข้ามาแบ่งตลาดการค้าเสื้อผ้าจากกลุ่มพ่อค้าชาวอินเดีย แต่กลุ่มพ่อค้าชาวอินเดียก็ยังคงรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น รักษาวัฒนธรรมประเพณี การแต่งกาย เครื่องนุ่งห่ม อาหารการกิน การยึดมั่นในพิธีกรรมตามหลักศาสนา โดยมีคุรุดวาราศรีคุรุสิงห์สภาเป็นศาสนสถานสำคัญของชาวซิกข์ มียอดโดมสีทองอร่ามสูงเด่นเป็นสง่า



แรกที่ชาวซิกข์จากอินเดียเดินทางเข้ามาสู่ประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้เข้ามาค้าขายผ้า เริ่มตั้งแต่เดินเร่ขายไปตามบ้านเรือนต่างๆ กระทั่งตั้งถิ่นฐานถาวรอยู่แถวบ้านหม้อ พาหุรัด ฝั่งพระนคร ก่อนกระจายไปอยู่ย่านสี่แยกบ้านแขก วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี รวมทั้งออกไปตามจังหวัดใหญ่ๆ เช่น อุดรธานี เชียงใหม่ ภูเก็ต



นอกจากชาวซิกข์แล้ว ในย่านพาหุรัดยังมีชาวฮินดูและชาวมุสลิมตามตรอกซอกซอยระหว่างถนนจักรเพชรกับถนนตรีเพชรจะพบวิถีชีวิตผู้คนที่ยังคงรักษาความเป็นอินเดียไว้อย่างเหนียวแน่น มีร้านค้าขายเสื้อผ้า ส่าหรี อาหาร เครื่องเทศ ข้าวของที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ของใช้จำเป็นของชาวอินเดีย และยังมีร้านขายเครื่องหอม ของชำร่วย ร้านขายเครื่องเขียน รวมทั้งร้านขายที่นอนหมอนมุ้งเก่าแก่



ทุกวันนี้ถนนพาหุรัดเป็นย่านที่มีสินค้าที่มีให้เลือกสรรอย่างมากมายและหลากหลาย ทั้งผ้าตัด อุปกรณ์ตัดเย็บ รวมไปถึงเสื้อผ้าสำเร็จรูปสารพัดชาติ ทั้งชุดไทย ชุดจีน โดยเฉพาะส่าหรี นอกจากนี้ พาหุรัดยังมีชุมชนเล็กๆ ที่ยังคงดำเนินวิถีแบบภารตะ เป็นที่มาของชื่อ "ลิตเติ้ล อินเดีย เมืองไทย"

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- พฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม 2557 00:00:28 น.

 

นายสบาย
http://www.ryt9.com/s/bmnd/1855975
 

"ผมมองอย่างนั้น" ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ตอบทันทีเมื่อนักข่าวถามว่า...แสดงว่าหลังสงกรานต์มีเรื่องแน่

 

ก่อนที่จะตอบประโยคนี้ออกมา ร.ต.อ.เฉลิม รมว.แรงงาน ให้สัมภาษณ์นักข่าว เช้า 12 มี.ค.2557 ถึงประเด็นที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ระบุว่า ตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค.สถานการณ์จะรุนแรง

 

"ผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่อหน่วยงานด้านความมั่นคง แต่มีแหล่งข่าวของตัวเอง สำคัญที่สุดประมาณกลางเดือนเมษาฯ ป.ป.ช.จะชี้มูลคดีรับจำนำข้าวแล้ว ส่วนผลจะออกมาอย่างไรไม่ทราบ ผมเป็นห่วงนายกฯ เรื่องนี้ ส่วนกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ถ้าไม่ได้ก็ไม่มีเงินมาพัฒนาประเทศ รัฐบาลไม่เห็นต้องรับผิดชอบอะไร รอ ป.ป.ช.อย่างเดียว ตรงอื่นไม่มีอะไร เมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลเรื่องข้าว และนายกฯ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ แม้จะมีรองนายกฯ รักษาการ แต่ก็จะเกิดผลกระทบต่อรัฐบาล ผลกระทบมี เพราะนายกฯ ได้รับการยอมรับจากประชาชนสูง ถ้าเอาคนอื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน รัฐบาลจะเซและทรุด ซึ่งอันตราย ผมถึงบอกว่า ถ้า ป.ป.ช.ตัดสินมีเหตุผล ความรุนแรงจะไม่เกิด แต่ถ้าตัดสินค้านสายตาคนดู มีเรื่องแน่ เพราะผู้รักความเป็นธรรมเขามี ไม่ได้มองว่าเป็นคนเสื้อแดงอย่างเดียว แต่คนทั้งประเทศเขาดูอยู่ ในทางปฏิบัตินายกฯ ไม่เกี่ยว ไม่เช่นนั้นต่อไปใครจะเป็นรัฐบาล มีนโยบายอะไรต้องไปขออนุญาต ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต.อย่างนั้นหรือ"

 

ร.ต.อ.เฉลิม พูดได้ดีมาก และเพราะ "นายสบาย" ติดตามสถานการณ์เกาะติดรู้เป็นอย่างดีว่า ฝ่ายสนับสนุนนายกฯ ปู ได้เตรียมการอะไรไว้บ้าง จะไม่ให้รับคำตัดสิน แล้วขึ้นไปตั้งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นทางเหนือกับอีสาน...แล้วกรุงเทพฯ ก็จะกลายเป็น fail state ของแท้

 

"นายสบาย" เคยเขียนย้ำหลายครั้งแล้วว่า...ที่เขียนมาทั้งหมดเพราะไม่อยากให้เกิดสงคราม กลางเมือง และเคยเขียนฝากท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปบอกชนชั้น Elite ไทยด้วยว่า "คนจนไทยไม่มีสมบัติ" ถ้าเกิดสงครามกลางเมือง คนจนจะไม่สูญเสีย เพราะไม่มีทรัพย์สิน

 

คนจนจะเสียอย่างเดียวคือเสียชีวิต จะถูกอำนาจอาวุธ
 

ฝ่ายปราบปรามที่เหนือกว่ามาก...ฆ่าตายเป็นเบือ วันนี้ขอเขียนย้ำอีก บอกแก่ชนชาว Elite ไทยว่า พวกท่านทุกคนมีที่ดินอยู่ทางเหนือกับอีสานเยอะมาก ทุกคนมีสินค้าที่ส่งขึ้นไปขายเหนือ-อีสาน

 

ถ้าเกิดสงครามกลางเมืองท่านจะขึ้นไปดูที่ดินของท่านไม่ได้ จะส่งสินค้าของท่านขึ้นไปขายไม่ได้

 

ประชานิยม คือ สิ่งที่อำมาตย์กับ Elite เชื่ออย่างหัวปักหัวปำว่า ทำให้ประชาชนคนยากจนในชนบทรักทักษิณมากกว่า

 

จึงทำลายประชานิยม 30 บาทรักษาทุกโรคของทักษิณ เป็นประชานิยมที่ได้ผลที่สุด คนบ้านนอกที่เคยไม่กล้าไปหาหมอเพราะไม่มีเงิน ก็ได้ไปหาหมอ ทำให้ผู้ค้าเวชภัณฑ์ถูกทุบ โรงพยาลบาลเอกชนที่แพงมากก็ลูกค้าลดน้อยลงเพราะชนชั้นกลางก็ใช้ 30 บาทรักษาทุกโรคเช่นกัน บุคลากรสาธารณสุขจึงโดดเข้าร่วมขยี้ทักษิณทันที เมื่อม็อบผุด

 

ชาวนา เป็นชนชั้นที่มีมากที่สุดของทุกประเทศ ในจีนเริ่มต้นพรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่มีชาวนาร่วมก่อตั้ง แต่ "เหมา เจ๋อ ตุง" ที่ร่วมกับพวกรวม 13 คนผู้ก่อตั้ง พคจ.ก็ได้อ้าแขนรับสมาคมชาวนาเข้าร่วมการปฏิวัติ

 

ถ้าไม่มีชาวนา ก็ไม่มีการปฏิวัติ ถ้าปฏิเสธบทบาทชาวนาก็เท่ากับปฏิเสธการปฏิวัติ
เหมา พูดไว้และให้สัญญากับชาวนาว่า เมื่อยึดจีนได้จะแจก
 

ที่ดินให้ชาวนาทุกคน และเหมาก็แจกจริง ซึ่งหลังยึดจีนได้ชาวนาทั่วประเทศจีน ได้เข่นฆ่าเจ้าของที่นาเจ้าของที่ดิน อย่างโหดร้ายมาก

 

เอาเรื่องชาวนาจีนมาเขียนก็เพื่อที่จะบอกแก่ชนชั้น Elite ไทยในขณะนี้ว่า...อย่าต้อนชาวนาให้จนตรอก

 

ชาวนาไทยถูกพ่อค้ากับโรงสีข่มเหงมาชั่วชีวิต เมื่อทักษิณมาเป็นรัฐบาล เอาประชานิยมมาใช้ ช่วยชาวนาด้วยการรับจำนำข้าวเกวียนละ 15,000 บาท ทำให้ชาวนาได้เงินเยอะมาก

 

จำนำข้าวของทักษิณหมดอายุแล้ว 28 ก.พ.2557 และขณะนี้ราคาข้าววูบลงเหลือเกวียน 6,000 บาท

 

ชาวนาแม้จะเรียนหนังสือน้อย แต่ไม่ได้โง่ เพราะยุคนี้สื่อสารมวลชนมีหลายสาขา
 

การปิดล้อมกระทรวงพาณิชย์ และตัดไฟ เช้า 12 มี.ค.2557 ทำให้การประมูลขายข้าว 240,000 ตัน เพื่อที่รัฐบาลปูจะได้มีเงินไปจ่ายค่าข้าวให้ชาวนาที่รออยู่...ล่มทันที

 

ชาวนาไม่ได้โง่นะ.... ชาวนารู้...ชนชั้นใดบงการ เป็นการบงการให้ทำลายประชานิยมของทักษิณ การทำอย่างนี้คือการต้อนชาวนาไทยให้จนตรอก ข้าวเกวียนละ 6,000 บาทในขณะนี้ชาวนาอยู่ไม่ได้ อย่าคิดว่าระบอบคอมมิวนิสต์ไม่มีแล้ว "เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ" ไม่ได้มีระบอบคอมมิวนิสต์อย่างเดียว

 

ฤดูปลูกข้าวใหม่ถ้าทักษิณรับจำนำข้าวไม่ได้อีก เพราะถูกสกัดกั้นทำลาย แล้วชาวนาขายข้าวได้แค่เกวียนละ 6,000 บาท มันไม่พอกับทุน ชาวนาก็ต้องสู้

 

ถ้ามีใครสัญญา...จะแจกที่ดิน ก็เป็นเรื่องที่ชาวนาไทยจะตัดสินใจกันเอง
 

ย้ำ.... เขียนแล้วเขียนอีกด้วยหวังดี ชนชั้น Elite ไทย คือ ผู้ที่กำลังต้อนชาวนาให้ก่อสงครามกลางเมือง

 

 

 

หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- พฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม 2557 00:00:21 น.

 

ฉลามเขียว
http://www.ryt9.com/s/bmnd/1855946
 

มีความประทับใจรูปของท่านเลขาธิการ กปปส.รูปนี้มาก ลงอยู่ในเว็บบอร์ดฝ่ายเชียร์ท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งผมเข้าใจว่า คนมวลมหาประชาชนเป็นคนถ่ายรูป เช้า 12 ม.ค.2557 ขณะเตรียมจะเข้าเสวนา วันที่ 2 ที่ศูนย์เยาวชนสวนลุมพินี และโพสต์เข้ามา พร้อมเขียนไว้ด้วยว่า

 

เรารักลุงกำนันค่ะ แม้ว่าแกนนำคนอื่นๆ จะลงใต้ไปเตรียมหาเสียงเลือกตั้ง ส.ว.กันแล้ว เพื่อชาติเราต้องชนะแน่นอนค่ะ

 

อ่านแล้วใจหายครับ ผมมีความไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างมาก จึงขอถามลุงกำนันสุเทพดังนี้ครับ

 

ฝ่ายพรรคเพื่อไทยเขาออกข่าวมาแล้วว่า ยอมรับคำตัดสินให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 เป็นโมฆะ

 

เพื่อให้มันจบ ม็อบจะได้มีทางลง
และประชาธิปัตย์ก็จะได้มีทางลง ด้วยการส่งคนลงสมัคร
รับเลือกตั้ง สู้กับพรรคเพื่อไทยอีกยก
 

ผมไม่เข้าใจครับลุงกำนัน ดูจากข้อเขียนของคนที่โพสต์รูปนี้ เธอคงใจหายในแง่ที่ว่า แกนนำคนอื่นกลับใต้ จึงเกิดความรู้สึกว้าเหว่

 

แล้วทีนี้ถ้าเลือกตั้งเป็นโมฆะ แล้วมีเลือก
 

ตั้งใหม่ และประชาธิปัตย์ลง ผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนก็ต้องกลับบ้านไปหาเสียงเลือกตั้ง ที่สวนลุมพินีก็เ หงาเลย

 

ลุงกำนันครับ จุดยืนของลุงชัดเจนมาก ต้องปฏิรูปการเมืองก่อนแล้วจึงเลือกตั้ง
 

ผมจึงถามลุงว่า ขณะนี้ปฏิรูปการเมืองเสร็จหรือยัง ถ้าหากเลือกตั้งเป็นโมฆะ แล้วจัดเลือกตั้งใหม่ ลุงกำนันจะรับได้หรือไม่ จะยอมรับหรือไม่

 

ตัวผมเองก็ยังไม่รู้หรอกครับ มีเลือกตั้งใหม่ ปชป.จะลงหรือไม่ แต่ขอถามไว้ก่อน

 

 

 

 

 

 

 

 











 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   ทีดีอาร์ไอ วิเคราะห์ละเอียด พ.ร.บ.กู้เงินฯ ปรับอย่างไรให้เดินถูกทาง- คุ้มค่า

 

 

 

 

 

 

ในเวทีเสวนาสาธารณะ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ: เดินหน้าอย่างไรให้ถูกทาง โปร่งใสและเป็นประชาธิปไตย ที่จัดโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โครงการวิเคราะห์และติดตามร่างกฎหมาย (ThaiLawWatch) ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า ณ ห้องประชุมชั้น 2 ทีดีอาร์ไอ

 

ดร.สมชัย จิตสุชน ผอ.วิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง ทีดีอาร์ไอ ดร.สุเมธ องกิตติกุล นักวิชาการทีดีอาร์ไอ และดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ ประธานกรรมการบริษัท มาเก็ตเมทริกซ์ เอเชีย จำกัด ร่วมกันนำเสนอผลการศึกษาและข้อเสนอแนะต่อร่างพ.ร.บ.กู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ โดยมุ่งเน้นการประเมินถึงผลกระทบต่อการคลังของประเทศ ความเหมาะสมของโครงการ และการประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนระยะยาวดังกล่าว

 

มุ่งขนคนมากกว่า ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์

 

เปิดเวทีนำเสนอที่ ดร.สมชัย กล่าวถึงพ.ร.บ.กู้เงินฯ โดยแสดงความเห็นด้วยกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในระยะยาว เพราะนอกจากช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังช่วยกระจายฐานการผลิตไปสู่ภูมิภาค

 

ดร.สมชัย มองเห็นข้อดีของร่าง พ.ร.บ.กู้เงินฯ คือ เห็นความต่อเนื่องของโครงการลงทุน, ช่วยให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจและวางแผนล่วงหน้าได้ รวมทั้งมีส่วนช่วยยกระดับการลงทุนโดยรวมให้หลุดพ้น "หล่มการลงทุนต่ำ" ที่เป็นมาตั้งแต่ปี 2540  แต่ก็มีข้อท้วงติง เมื่อดูไส้ใน พบว่า วงเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนั้น เกินครึ่งใช้เพื่อพัฒนาระบบการขนส่งผู้โดยสาร เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าเขต กทม. ปริมณฑล

 

หากโจทย์ใหญ่ของประเทศไทยต้องการลดต้นทุนโลจิสติกส์จริงๆ แต่กลับไปเน้นการพัฒนาระบบการขนส่งรถไฟความเร็วสูง โดยมีวัตถุประสงค์ คือการขนคนเป็นหลักนั้น ดร.สมชัย ถามว่า แล้วการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเม็ดเงินมหาศาลขนาดนี้ จะลดต้นทุนโลจิสติกส์ เรื่องการขนของ การขนส่งสินค้าไปค้าขายกับต่างประเทศได้หรือไม่

 

"อย่าลืมว่า ภาพใหญ่ประชากรของไทย ไม่เกิน 10 ปี ประชากรไทยจะอยู่ในช่วงขาลง การหวังมีหัวเมืองใหญ่ๆ 20 เมือง น้องๆ กรุงเทพฯ จึงมีความเป็นไปได้น้อยมาก ฉะนั้น ความคุ้มทุนในระยะยาว จึงควรมีการศึกษาให้ดีด้วย"

 

และแม้จะมีการพูดกันว่า รถไฟความเร็วสูงขนสินค้าได้ด้วยนั้น ดร.สมชัย ยกกรณีในต่างประเทศ ที่มีการใช้รถไฟความเร็วสูงขนส่งสินค้า แต่ก็เป็นสินค้าชนิดเบาๆ ทำในช่วงเวลากลางคืนที่มีผู้โดยสารน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบโจทย์การลดต้นทุนโลจิสติกส์ในระยะยาวแต่อย่างใด

 

ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน ในฐานะนักวิจัย มีข้อเสนอให้เพิ่มสัดส่วนการลดต้นทุนโลจิสติกส์ให้มากกว่านี้ เช่น รถไฟรางคู่

 

ส่วนข้อกังวลต่อแนวทางร่าง พ.ร.บ.นี้ ก็มีทั้งการเสนอเป็นเงินกู้นอกงบประมาณ ทำให้อำนาจการตัดสินใจใช้เงินแผ่นดินจำนวนมากตกอยู่กับฝ่ายบริหาร ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติ มีโอกาสให้ความเห็นชอบตาม พ.ร.บ.นี้เพียงครั้งเดียวในระยะเวลา 7 ปี เศษ

 

รวมถึงโครงการจำนวนมากยังไม่ผ่านการศึกษาความคุ้มค่าทางการเงิน เศรษฐกิจ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งหากโครงการดำเนินการไม่ได้หรือล่าช้าความต่อเนื่องที่ตั้งใจให้เกิดจะไม่เกิดจริง หรือหากมีการเร่งรีบสรุปผลการศึกษาเพื่อให้โครงการเกิดทัน 7 ปี ทำให้ไม่คุ้มค่าการลงทุน

 

 

ha 1

 

 

ลงทุนไม่คุ้มค่า GDP ระยะยาวหดตัว

 

สำหรับผลกระทบต่อฐานะการคลัง ดร.สมชัย มีความเห็นว่า ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของโครงการลงทุน หากลงทุนคุ้มค่า ไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ทั้งนี้ ก็ต้องจับตาดูผลกระทบต่อภาระทางการคลัง สุดท้าย เมื่อมีการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านนี้มาแล้ว หนี้สาธารณะต่อรายได้ประชาชาติ (Public Debt/GDP) เป็นอย่างไร

 

"ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของโครงการลงทุน ณ วันนี้ ยังไม่แน่นอน และเสี่ยงต่อการประเมินในด้าน "ดี" เกินควร เราจะเห็นว่า ครึ่งหนึ่งของเม็ดเงินโครงการนี้ ยังไม่มีการศึกษาความคุ้มค่า ซึ่งก็น่าเป็นห่วง อีกทั้งรัฐบาลไม่มีการเสนอแผนการสร้างรายได้อื่นๆ เลย ว่า เงิน 2 ล้านล้านบาท ใช้จ่ายไปแล้ว จะมีรายได้จากส่วนใดมาเพิ่มบ้าง เช่น มีการปรับโครงสร้างภาษีต่างๆ หรือไม่"

 

และไหนๆ รัฐบาลจะมีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทแล้ว ดร.สมชัย เสนอว่า ก็ควรมีการจัดสรรเงินล็อตแรกเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ทุกโครงการ โดยหน่วยงานที่เป็นกลางและมีผู้ตรวจสอบอิสระ เพื่อให้การใช้เงินเป็นไปอย่างถูกทิศถูกทาง

 

ห่วงโครงการไม่คุ้มทุน แนะวิเคราะห์ให้ละเอียด

 

ขณะที่ดร.สุเมธ ตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสมและคุ้มค่าของการลงทุนและการบริหารจัดการ โดยเห็นว่าการพัฒนาระบบขนส่งทางราง ที่เป็นรถไฟทางคู่ ทั้งทางเก่าและทางใหม่เป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรเร่งดำเนินการมากกว่ารถไฟความเร็วสูง ที่ยังต้องพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนอย่างละเอียด เพราะถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าในการลงทุนมากที่สุด เนื่องจากยังไม่ได้ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study)

 

"การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาเรื่องของความจุถนนในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ยังขาด คือแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพของการบริหารจัดการระบบรางที่ยังไม่มีความชัดเจน อย่างไรก็ตามหากรัฐจะอุดหนุนระบบขนส่งทางราง ก็ต้องมีความชัดเจนเรื่องหนี้สะสมและหนี้จากการลงทุนระบบรางใหม่"

 

ดร.สุเมธ ยกตัวอย่างการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของโครงการขนาดใหญ่ ว่า มักมีปัญหาเรื่องต้นทุนโครงการที่สูงกว่าที่คาดการณ์ แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับน้อยกว่าที่คาดการณ์ เมื่อโครงการเริ่มดำเนินการ

 

เช่นเดียวกับการคาดการณ์ผู้ใช้งานจริงที่ ก็มักสูงกว่าปกติ เพื่อให้โครงการดำเนินไปได้ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ที่อันตราย เสี่ยงต่อการขาดทุนในอนาคต ฉะนั้น ในโครงการขนาดใหญ่ควรมีการวิเคราะห์ที่เข้มข้น และมีความรับผิดชอบ (Accountability)

 

ดังนั้น การวิเคราะห์โครงการลงทุนขนาดใหญ่ให้ประสบความสำเร็จได้ ต้องสร้าง "ความรับผิดชอบ" ในส่วนของการดำเนินงานทั้งภาครัฐและเอกชน และควรตั้งหน่วยงานที่เป็นกลางมาดำเนินงานแทนอย่างครบถ้วนทุกขั้นตอน พร้อมด้วยกลุ่มผู้ตรวจสอบอิสระมาร่วมวิเคราะห์อย่างละเอียด เปรียบเทียบกับการประมาณการในวิธีอื่นๆ หรือโครงการอื่นๆ เพื่อลดปัญหาด้านแรงจูงใจของหน่วยงานเจ้าของโครงการที่จะผลักดันโครงการ รวมถึงควรมีการเปิดเผยผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการต่อสาธารณชนด้วย

 

ดร.สุเมธ ยังกล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้รถไฟความเร็วสูงคุ้มค่าที่จะลงทุนว่า ต้องให้ความสำคัญกับปริมาณการจราจรและผู้โดยสาร อย่างในกรณีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-เชียงใหม่ ซึ่งมีการตั้งคำถามมากถึงการลงทุนกับความคุ้มค่านั้น มีการศึกษาของนักวิจัยชาวอังกฤษปี 2009 ระบุว่า รถไฟความเร็วสูงจะประสบความสำเร็จต้องมีการเชื่อมโยงโครงข่ายที่ดี

 

ขณะที่ประเทศไทย เปรียบเทียบการเดินทางอากาศที่มีผู้โดยสารหนาแน่นที่สุด คือ กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ที่มีอยู่ประมาณ 4-5 ล้านคนต่อปี ส่วนนี้สามารถดึงผู้โดยสารจากการเดินทางทางอากาศมาใช้บริการรถไฟความเร็วสูงได้พอสมควร

 

ซึ่งปัจจัยที่ทำให้รถไฟความเร็วสูงคุ้มค่าที่จะลงทุนนั้น เฉลี่ยแล้วขั้นต่ำที่สุด ปีแรกที่เปิดดำเนินการอย่างน้อยต้องมีผู้โดยสาร 3 ล้านคนต่อปี (กรณีค่าก่อสร้างต่ำ) แต่หากต้นทุนค่าก่อสร้างสูง (เป็นปกติ) จำนวนผู้โดยสารที่คุ้มทุน จะอยู่ที่  9 ล้านคนต่อปี

 

กู้เงินนอกงบฯ มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย

 

ด้านดร.นิตินัย วิเคราะห์งบประมาณของประเทศ 80% ตัดลดไม่ได้ เพราะรัฐบาลในอดีตสร้างนโยบายประชานิยมไว้จำนวนมาก

 

ดูได้จาก 3 กองทุนใหญ่ กองทุนหมู่บ้านฯ กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และ กองทุนหลักประกันสุขภาพฯ กลาย เป็นภาระ 88% ของภาระงบประมาณที่ให้กับกองทุนเงินนอกงบฯ ทั้งหมด (100 กว่ากองทุน) จนทำให้ "พื้นที่ทางการคลัง" (fiscal space) เฉลี่ยปี 2550-2556 หายไปจากการหมักหมมของนโยบายประชานิยม กลายเป็นดินพอกหางหมู

 

"ปัจจุบันต้องยอมรับว่า เราเก็บภาษีมา 100 บาท แทบไม่ได้เอาไปพัฒนาอะไรเลย เพราะต้องนำไปจ่ายงบฯ ที่ตัดไม่ได้ ซึ่งตลอด 4 ปี (2552-2555) การกู้เงินชนเพดานจากประชานิยมในอดีต ทำให้สัดส่วนการลงทุนภาครัฐของเราอยู่แค่ 1.26 % ขณะที่เพื่อนบ้าน เช่น เวียดนามโตเฉลี่ย 7.25% และมาเลเซีย 8.81%"

 

สุดท้ายดร.นิตินัย มองมุมต่างถึงการที่ร่างพ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้เงินนอกงบประมาณนั้น มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย ซึ่งไม่ใช่ปัญหาน่ากังวลหากมี Post-audit ที่ดี ทั้งนี้ อยากให้จับตาดูความสำเร็จของโครงการในเชิง Output Outcome มากกว่า การไปโฟกัสเฉพาะโครงการ 2 ล้านล้านบาท จนลืมแกนหลัก งบประมาณแผ่นดิน ความซ้ำซ้อนของโครงการ 2 ล้านล้านบาท เป็นโครงการใหม่หรือซ้ำซ้อนกับงบประมาณปกติ หรือไม่ เป็นต้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สามสิบชาติเชียวนะ..คนเหนือคนอีสาน คนภาคกลาง คนไทยทั้งหลายควรรู้เอาไว้เถอะว่า ตราบใดที่ไอ้พรรคส้นตีนแบบแมงสาบ ยังดำรงอยู่ในระบบการเมืองไทย ..</p><p>ประเทศมึงไม่มีวันลืมตาอ้าปากแบบชาวโลกเค้าได้หรอก ..!!</p><p>เพราะพรรค[XXX]นี่ เป็นที่รวมของคนทำลายชาติ ดำรงอยู่เพื่อเล่นการเมืองอย่างเดียวล้วนๆด้วยการทำลายชาติ ประชาชน และสังคมไทย มาตลอดหลายสิบปีที่ถือกำเนิดมา..

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นักภูมิศาสตร์การเมืองชั้นนำระดับโลกต่างชี้ชัดตรงกันว่า ประเทศไทยจะเสียโอกาสในการรักษาอำนาจชี้นำในอาเซียนอย่างเด็ดขาด
เนื่องจากการแย่งชิงอำนาจของกลุ
่มชนนชั้นนำที่ไม่ได้มีที่มาจากระบอบประชาธิปไตยหลัง"ฟ้าเปลี่ยนสี" 
และจีนจะอาศัยความได้เปรียบทางภ
ูมิศาสตร์เข้ามาชิงชิ้นปลามันในภูมิภาคนี้อย่างไร้คู่แข่ง
อเมริกาไร้ทางสู้ครับ

โครงการเมกะโปรเจ็กต์แบบ 2.2 ล้านล้าน จะต้องเกิดขึ้นแถวๆ นี้อย่างแน่นอน (อาจจะผ่านพม่า)
ประเทศที่มีรางรถไฟผ่านจะได้ผลป
ระโยชน์บ้างเป็นบางส่วน
แต่ชิ้นปลามันจะตกไปอยู่กับจีนแ
น่นอนครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อคืน ไอ้ห้อยเนวิน พาชาวนาบุรีรัมย์ มาขึ้นเวทีสวนลุม

อัญชะลี ไพรีรักษ์ สัมภาษณ์ชาวนา บนเวทีปราศรัย

ปอง: จำนำข้าว ดีไม๊คะ

ชาวนา: ดีครับ

ปอง: ดีอย่างไรคะ

ชาวนา: จำนำข้าวได้ราคาดี

ปอง:ได้เท่าไหร่คะ

ชาวนา: ตันละหมื่นสาม ถึงหมื่นสี่ ขึ้นกับความชื้น

ปอง:ได้เงินเร็วไม๊คะ

ชาวนา: สองปีแรก ได้เงินเร็ว เอาใบประทวนไปขี้นเงิน สามวันก็ได้เงินแล้ว

แต่ปีนี้ 3 เดือนแล้วยังไม่ได้เงิน

ปอง กลัวหน้าแหก ไม่กล้าถามต่อ

ว่ารู้ไม๊ ทำไมปีนี้ ยังไม่ได้เงิน

 

 

 

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-03-08 22:10:55.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ตำนานฤษี

 

 

 

 

 


 

 

 

         คาถาพระฤาษี คาถาปู่ฤาษี คาถาพ่อแก่                            

 

           "พุทธวันทิตวา ข้าพเจ้าของอาราธนาบารมีคุณ พระพุทธคุณนัง ธรรมคุณนัง สังฆคุณนัง วันทิตวา ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีคุณ พระสังฆคุณนัง อีกทั้งคุณพระบิดา พระมารดา พระอนุกรรมวาจา อุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์ อีกทั้งพระฤาษีนารอด พระฤาษีนารายณ์ พระฤาษีตาวัน พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีเกตุ พระฤาษีเนตร พระฤาษีมุชิตวา พระฤาษีมหาพรหมเมศ พระฤาษีสมุหวัน ทั้งพระเพชรฉลูกัน และนักสิทธวิทยา อีกทั้งพระคงคา พระเพลิง พระพาย พระธรณี พระอิศวรผู้เป็นเจ้าฟ้า ขออัญเชิญเสด็จลงมาประสิทธิพระพรชัย ให้แก่พวกข้าพเจ้าในเวลาวันนี้ ข้าพเจ้าขอเชิญเทพดาเจ้าทั้งหลายทั่วพื้นปถพีดล พระฤาษี ๑๐๘ ตน บันดาลดลด้วยสรรพวิทยา พระครูยา พระครูเฒ่า พระครูภักและอักษร สถาพรเป็นกรรมสิทธิ์ ให้แก่พวกข้าพเจ้าในเวลาบัดนี้เถิด

          ข้าพเจ้า ขออาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชิญเสด็จลงมาปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพเจ้าขอเชิญพระพรหมลงมาอยู่บ่าซ้าย ขอเชิญพระนารายณ์มาอยู่บ่าขวา ขอเชิญพระคงคาลงมาเป็นน้ำลาย ขอเชิญพระพายลงมาเป็นลมปาก ขอเชิญพญานาคลงมาเป็นสร้อยสังวาล ข้าพเจ้าขอเชิญพระอังคารมาเป็นด้วยใจ ถ้าแม้นข้าพเจ้าจะไปรักษาไข้แห่งหนึ่งแห่งใด ให้มีชัยชนะแก่โรค ขอจงประสิทธิให้แก่ข้าพเจ้าทุกครั้ง พุทธสังมิ ธรรมสังมิ สังฆสังมิ"
 

           ที่นำมากล่าวข้างต้นนั้นคือ บทไหว้ครู คาถาบูชาครูของเก่า .....   
          คนไทยเราดูจะคุ้นกับฤาษีอยู่มาก เพราะตามพงศาวดารสมัยโบราณ หรือจดหมายเหตุเก่าๆ มักจะกล่าวถึงฤาษี อย่างเช่นฤาษีวาสุเทพกับฤาษีสุกกทันต์ ผู้สร้างเมืองหริภุญไชย และในคำไหว้ครูที่กล่าวถึงข้างต้น ได้ออกชื่อฤาษีแปลกๆ หลายชื่อ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไปข้างหน้า      

          นอกจากนี้ ในวรรณคดีต่างๆ ก็มักจะมีเรื่องของฤาษีแทบทุกเรื่อง เพราะพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินจะต้องไปศึกษาเล่าเ รียนกับฤาษี และฤาษีเป็นเจ้าพิธีการต่างๆ เป็นต้น

          ตำราของวิชาการหลายสาขา เช่น ดนตรี แพทย์ ก็มีเรื่องของฤาษีมาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ดังจะเห็นว่าพวกดนตรีและนาฏศิลป์เคารพบูชาฤาษี แพทย์แผนโบราณก็มีรูปฤาษีไว้บูชา ดังนี้เป็นต้น

          ลักษณะของฤาษีแบบไทยๆ มักจะรู้จักกันในรูปของคนแก่ นุ่งห่ม หนังเสือ โพกศีรษะเป็นยอดขึ้นไป

          ทำไมจึงต้องนุ่งห่มหนังเสือ ลองเดาตอบดูก็เห็นจะเป็นเพราะอยู่ในป่า ไม่มีเสื้อผ้า ก็ใช้หนังสัตว์แทน ส่วนจะได้มาโดยวิธีอย่างไรไม่แจ้ง แต่คงไม่ใช่จากการฆ่าแน่นอน เพราะฤาษีจะต้องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ถ้ามีคนเอาเนื้อสัตว์มาถวายก็กินได้ ไม่เป็นไร


          ฉะนั้น หนังสัตว์ก็อาจจะเป็นของพวกนายพราน หรือคนที่เคารพนับถือ เอามาถวายก็เป็นได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังอาจจะสงสัยต่อไปอีกว่า ทำไมจึงเลือกเอา หนังเสือ เรื่องนี้ก็ต้องเดาตอบเอาอีกว่า เพราะหนังเสือนุ่มดี

          แต่ฤาษีไทยเราเห็นครองแต่หนังเสือเหลือง สังเกตจากรูปฤาษีส่วนมาก จะระบายสีเป็นอย่างเสือลายเหลืองสลับดำ แต่ฤาษีของบางอาจารย์ปิดทองก็มี

          ชุดเครื่องหนังนี้อ่านตามหนังสือวรรณคดีว่า เป็นชุดออกงาน เช่นเข้าเมืองหรือไปทำพิธีอะไรต่างๆ ก็ใช้ชุดหนัง แต่ถ้าบริกรรมบำเพ็ญตบะอยู่กับอาศรมในป่าก็ใช้ ชุดคากรอง คือนุ่งห่มด้วยต้นหญ้าต้นคา
                      

            ในหนังสือบทละครเรื่องอุณรุท พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ กล่าว ไว้ตอนท้าวไกรสุทรับสั่งให้สังฆการีออกไปนิมนต์ฤาษีนารอท มาเข้าพิธีอภิเษกสมรสพระอุณรุทกับนางศรีสุดา มีความว่า

         
"เมื่อนั้น พระนารอททรงญาณฌานกล้า ได้แจ้งไม่แคลงวิญญา ก็บอกหมู่สิทธาพร้อมกัน ต่างผลัดเปลือกไม้คากรอง ครองหนังเสือสอดจำมขัน กรกุมไม้เท้างกงัน พากันรีบมายังธานี"
          ดังนี้แสดงว่าเวลาอยู่ป่านุ่งเปลือกไม้คากรอง ออกนอกอาศรมเข้าเมือง ก็เปลี่ยนเป็นเครื่องหนัง และที่กล่าวมานี้ที่จะเป็นฤาษีแบบไทยๆ ที่มีระเบียบวัฒนธรรมแล้วหรืออย่างไรไม่ทราบ ฤาษีของอินเดียก็ว่านุ่งห่มสีขาว ทีจะเป็นฤาษีเมื่อบ้านเมืองเจริญแล้ว ดึกดำบรรพ์ก่อนโน้นจะมีนุ่งหนังเสือบ้างกระมัง

          ตามภาพเขียนสมัยโบราณ ถ้ามีภาพป่าหิมพานต์ มีรูปต้นมักกะลีผล จะเห็นพวกวิทยาธรและพวกที่แต่งตัวคล้ายๆ ฤาษีเหาะขึ้น ไปเชยชมสาวมักกะลีผลกันเป็นกลุ่มๆ ความจริงไม่ใช่ฤาษีแท้ เป็น พวกนักสิทธ นี่ว่าตามคติอินเดียที่เขาถือว่า นักสิทธไม่ใช่ฤาษี เป็นแต่ผู้สำเร็จจำพวกหนึ่งเท่านั้น ทำนองเดียวกับพวกวิทยาธรหรือพิทยาธร ในหนังสือวรรณคดีไทยเรียกว่า ฤาสิทธ ก็มี มักเรียกรวมๆ กันว่า ฤาษีฤาสิทธ หรือ ฤาษีสิทธวิทยาธร

          ในวรรณคดีอินเดียกำหนดจำนวนพวกนักสิทธไว้ตายตัว มีจำนวน ๘๘
,๐๐๐ ทางไทยเราดูจะนับนักสิทธเป็นฤาษีไปด้วย

          ในเอกสารที่เก่าที่สุดของไทยคือ ไตรภูมิพระร่วง ของ พระญาลิไท ก็เรียกฤาสิทธว่าเป็นอย่างเดียวกับฤาษี ดังความตอนหนึ่งว่า 

           "ครั้นว่านางสิ้นอายุศม์แล้วจึงลงมาเกิดที่ในดอกบัวหลวงดอก ๑ อัน มีอยู่ในสระๆ หนึ่ง มีอยู่แทบตีนเขาพระหิมวันต์ฯ เมื่อนั้นยังมีฤาษีสิทธองค์ ๑ ธ นั้นอยู่ในป่าพระหิมพานต์ ธ ย่อมลงมาอาบน้ำในสระนั้นทุกวัน ธ เห็นดอกบัวทั้งปวงนั้นบานสิ้นแล้วทุกดอก ๆ แลว่ายังแต่ดอกเดียวนี้บมิบานแล ดุจอยู่ดังนี้บมิบานด้วยทั้งหลายได้ ๗ วัน ฯ พระมหาฤาษีนั้น ธ ก็ดลยมหัศจรรย์นักหนา ธ จึงหันเอาดอกบัวดอกนั้นมา ธ จึงเห็นลูกอ่อนอยู่ในดอกบัวนั้นแล เป็นกุมารีมีพรรณงามดั่งทองเนื้อสุก พระมหาฤาษีนั้น ธ มีใจรักนักหนา จึงเอามาเลี้ยงไว้เป็นพระปิยบุตรบุญธรรม แลฤาษีเอาแม่มือให้ผู้น้อยดูดกินนม แลเป็นน้ำนมไหลออก แต่แม่มือมหาฤาษีนั้นด้วยอำนาจบุญพระฤาษี"

          ดังนี้จะเห็นว่า ใช้คำ ฤาสิทธ ในความหมายเดียวกับ ฤาษี และนิยายทำนองนี้ดูจะแพร่หลายมาก ในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง มีเรื่องฤาษีเก็บเด็ก จากดอกบัวมาเลี้ยงแทรกอยู่เสมอ

          ลักษณะความเป็นอยู่ของฤาษีเท่าที่เราเข้าใจกัน โดยทั่วๆ ไปนั้น ก็ว่ากินเผือกมันเป็นอาหาร เพราะไม่มีการทำไร่ไถนา บางคัมภีร์มีข้อห้ามพวกฤาษีไม่ให้เข้าหมู่บ้าน ไม่ให้ย่างเหยียบเข้าไปในเขตพื้นดิน ที่เขาไถแล้ว แต่ในที่บางแห่งกล่าวว่า ฤาษีนั้นแบ่งออกเป็น ๘ จำพวกด้วยกันคือ

๑.สปุตตภริยา คือฤาษีที่รวบรวมทรัพย์ไว้บริโภคเหมือนมีครอบครัว
๒.อุญฉาจริยา คือฤาษีที่เที่ยวรวบรวมข้าวเปลือกและถั่วงาเป็นต้นไว้หุงต้มกิน
๓.อนัคคิปักกิกา คือฤาษีที่รับเฉพาะข้าวสารไว้หุงต้มกิน
๔.อสามปักกา คือฤาษีที่รับเฉพาะอาหารสำเร็จ (ไม่หุงต้มกินเอง)
๕.อัสมุฏฐิกา คือฤาษีที่ใช้ก้อนหินทุบเปลือกไม้บริโภค
๖.ทันตวักกลิกา คือฤาษีที่ใช้ฟันแทะเปลือกไม้บริโภค
๗.ปวัตตผลโภชนา คือฤาษีที่บริโภคผลไม้
๘.ปัณฑุปลาสิก คือฤาษีที่บริโภคผลไม้หรือใบไม้เหลืองที่หล่นเอง

          ในหนังสือ ลัทธิของเพื่อน โดย เสฐียรโกเศศ นาคประทีป ได้กล่าวถึงพวกฤาษีไว้ตอนหนึ่งว่า

          "เกิดมีพวกนักพรตประพฤติเนกขัมม์ขึ้น พวกนี้มักอาศัยอยู่ ในดงเรียกว่า วานปรัสถ์ (ผู้อยู่ป่า) หรือเรียกว่า ฤาษี (ผู้แสวง) ปลูกเป็นกระท่อมไม้หรือมุงกั้นด้วยใบไม้ (บรรณศาลา) เป็นที่อาศัย"

          กระท่อมชนิดนี้ถ้าอยู่รวมกันได้หลายคนเรียกว่า อาศรม พวกฤาษีใช้เปลือกไม้หรือหนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม และขมวดผมมวย ให้เป็นกลุ่มสูงเรียกวา ชฎา อาศัยเลี้ยงชีพด้วยมูลผลาหารของป่า

          ลัทธิที่ประพฤติมีการบำเพ็ญตบะทรมานกายอย่างเคร่งเคร ียด เพียรพยายามทนความหนาวร้อน อดอาหาร และทรมานด้วยวิธีต่างๆ

          ความมุ่งหมายที่บำเพ็ญตบะ ยังคงหวังให้มีฤทธิเดช อย่างความคิดในชั้นเดิมอยู่ แต่ว่าเริ่มจะมุ่งทางธรรมแทรกขึ้นอีกชั้นหนึ่งด้วย กล่าวคือการบำเพ็ญตบะ เป็นทางที่จะซักฟอกวิญญาณให้บริสุทธิ์สะอาด เข้าถึงพรหม และเกิดฤทธิเดชเหนือเทวดามนุษย์

         ในอีกแห่งหนึ่งกล่าวว่า
"ผู้ที่อยากเป็นฤาษีเขามีตำราเรียนเรียกว่า คัมภีร์อารัญยกะ แปลว่า เนื่องหรือเกี่ยวกับป่า ชายหนุ่มที่ไปบวชเรียน เป็นฤาษีจะต้องเรียนและปฏิบัติที่มีกำหนดไว้ในคัมภีร ์ อะไรเป็นปัจจัย ให้ต้องประพฤติตนเป็นฤาษี ตอบได้ไม่ยากนักคือ เขาเห็นว่า ความประพฤติของ ชาวกรุงชาวเมืองในมัธยมประเทศสมัยโน้น เลอะเทอะเต็มที มักชอบประพฤติ แต่เรื่องสุรุ่ยสุร่ายเอ้อเฟ้อ อยู่ด้วยกามคุณ ต้องการจะมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ เหมือนบรรพบุรุษครั้งดึกดำบรรพ์ ครั้งไกลโน้นประพฤติกันอยู่ ชะรอยบรรพบุรุษของชาวอริยกะครั้งกระโน้น จะไม่ใช่เป็นคนเพาะปลูก และใช้เปลือกไม้และหนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม เห็นที่จะเอาอย่างบรรพบุรุษ ครั้งดึกดำบรรพ์ ซึ่งยังไม่รู้จักหว่านไถและยังไม่รู้จักทอผ้า คงจะสร้างทับ กระท่อมกันอยู่ในป่า ไว้ผมสูงรกรุงรัง พวกฤาษีจึงได้เอาอย่าง"
          เท่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นคือลักษณะและความเป็นอยู่ข องฤาษีโดยทั่วๆ ไป แต่ยังมีอีกลักษณะหนึ่งซึ่งไม่ได้กล่าวถึง คือ การมีบุตรและภรรยา

          ฤาษีประเภทนี้มีมากจนเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ฤาษีมีเมียได้ ซึ่งจะได้เล่าถึงในประวัติของฤาษีต่างๆ ต่อไปข้างหน้า


          ดังได้กล่าวแล้วว่าฤาษีต้องเพียรบำเพ็ญตบะกันอย่างหนัก ฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นจึงมีแตกต่างกันไปตามความเพียรพยายาม ใครปฏิบัติได้มากก็ได้รับการยกย่องให้เป็นฤาษีอันดับสูง เท่าที่ทราบเขาจัดฤาษีไว้ ๔ ชั้นดังนี้

๑.ราชรรษี (เจ้าฤาษี)
๒.พราหมณรรษี (พราหมณฤาษี)
๓.เทวรรษี (เทพฤาษี)
๔.มหรรษี (มหาฤาษี)

แต่ในบางแห่งก็จัดฤาษีที่สำเร็จตบะไว้เพียง ๓ ชั้นคือ
๑.พรหมฤาษี คือผู้มีตบะเลิศ ข่มจิตสงบได้จริง ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งทั้งปวง
๒.มหาฤาษี คือเป็นพวกฤาษีชั้นกลาง มีตบะ ข่มกามคุณได้หมดสิ้นแล้ว
๓.ราชฤาษี ได้แก่ ฤาษีที่มีตบะฌานสำเร็จเป็นอันดับต้น
 
          การไต่อันดับไม่ได้ใช้ระบบการสอบ ผู้ที่จะเลื่อนชั้นจะต้องปฏิบัติบำเพ็ญตบะจน ได้ผลตามที่กำหนดไว้ ซึ่งจะต้องใช้ความเพียรพยายามและความอดทนอย่างยิ่งยวด
             ดังได้กล่าวแล้วว่า ฤาษีต้องเพียรบำเพ็ญตบะ กันอย่างหนัก ฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นจึงมี  แตกต่างกันไป ตามความเพียรพยายาม ใครปฏิบัติได้มากก็ได้รับการยกย่อง
 ให้เป็นฤาษีอันดับสูง เท่าที่ทราบเขาจัดฤาษีไว้ ๔ ชั้นดังนี้
๑.ราชรรษี (เจ้าฤาษี)
๒.พราหมณรรษี (พราหมณฤาษี)
๓.เทวรรษี (เทพฤาษี)
๔.มหรรษี (มหาฤาษี)

แต่ในบางแห่งก็จัดฤาษีที่สำเร็จตบะไว้เพียง ๓ ชั้นคือ
๑.พรหมฤาษี คือผู้มีตบะเลิศ ข่มจิตสงบได้จริง ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งทั้งปวง
๒.มหาฤาษี คือเป็นพวกฤาษีชั้นกลาง มีตบะ ข่มกามคุณได้หมดสิ้นแล้ว
๓.ราชฤาษี ได้แก่ ฤาษีที่มีตบะฌานสำเร็จเป็นอันดับต้น

          การไต่อันดับไม่ได้ใช้ระบบการสอบ ผู้ที่จะเลื่อนชั้น จะต้องปฏิบัติบำเพ็ญตบะจนได้ผลตามที่กำหนดไว้ ซึ่งจะต้องใช้ความเพียรพยายามและความอดทนอย่างยิ่งยว ด

          ในคำไหว้ครู ที่ได้ยกมากล่าวในตอนต้น มีชื่อฤาษีที่คุ้นหูคนไทยส่วนมากอยู่ ๓ ตนด้วยกันคือ ฤาษีนารอด ฤาษีตาวัว ฤาษีตาไฟ

          ฤาษีทั้งสามนี้คนระดับชาวบ้านสมัยก่อนรู้จักกันดี มักพูดถึงอยู่เสมอในตำนานพระพิมพ์ ที่ว่า จารึกไว้ในลานเงินก็ได้กล่าวถึงฤาษีตาวัว (งัว) และฤาษีตาไฟไว้เหมือนกัน ดังความว่า

         
"ตำบลเมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิไชยสงคราม เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณ ว่ายังมีฤาษี ๑๑ ตน ฤาษีเป็นใหญ่ ๓ ตนๆ หนึ่งฤาษีพีลาไลย ตนหนึ่งฤาษีตาไฟ ตนหนึ่งฤาษีตางัว เป็นประธานแก่ฤาษีทั้งหลาย จึงปรึกษากันว่า เราท่านทั้งหลายนี้จะ เอาอันใดให้แก่ พระยาศรีธรรมาโศกราช ฤาษีทั้ง ๓ จึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า เราจะทำด้วยฤทธิ์ทำด้วยเครื่องประดิษฐานเงินทองไว้ฉะ นี้ฉลองพระองค์ จึงทำเป็นเมฆพัตร อุทุมพร เป็นมฤตย์พิศม์ อายุวัฒนะ พระฤาษีประดิษฐานไว้ในถ้ำเหวใหญ่น้อย เป็นอานุภาพแก่มนุษย์ทั้งหลาย สมณชีพราหมณาจารย์เจ้าไปถ้วน ๕๐๐๐ พรรษา

          พระฤาษีองค์หนึ่งจึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า ท่านจงไปเอาว่าน ทั้งหลายอันมีฤทธิ์ เอามาให้สัก ๑๐๐๐ เก็บเอาเกสรไม้อันวิเศษ ที่มีกฤษณาเป็นอาทิให้ได้ ๑๐๐๐ ครั้นเสร็จแล้ว ฤาษีจึงป่าวร้องเทวดาทั้งปวง ให้ช่วยกันบดยา ทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่ง ทำเป็นเมฆพัตรสถานหนึ่ง ฤาษีทั้ง ๓ องค์นั้น จึงบังคับฤาษีทั้งปวงให้เอาว่านทำเป็นผง เป็นก้อน ประดิษฐานด้วยมนต์คาถาทั้งปวงให้ประสิทธิทุกอัน จึงให้ฤาษีทั้งนั้น เอาเกสรและว่านมาประสมกันดีเป็นพระให้ประสิทธิแล้ว ด้วยเนาวหรคุณประดิษฐานไว้บนเจดีย์อันหนึ่ง ถ้าผู้ใดให้ถวายพระพรแล้ว จึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพเถิด ให้ระลึกถึงคุณพระฤาษีที่ทำไว้นั้นเถิด" 
         
          ดังนี้แสดงว่า แต่กาลก่อนทางภาคพื้นประเทศไทยเราก็มีฤาษีอยู่มาก โดยเฉพาะ ฤาษีตาวัว กับ ฤาษีตาไฟ ติดปากคนมากกว่าฤาษีอื่นๆ และประวัติก็มีมากกว่า เท่าที่ทราบพอจะรวบรวมได้ดังต่อไปนี้


          ฤาษีตาวัว นั้นเดิมทีเป็นสงฆ์ตาบอดทั้งสองข้าง แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำให้ปรอทแข็งได้ แต่ยังไม่ทันใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ก็เอาไปทำหล่นตกถาน (ส้วมของพระตามวัด) เสีย จะหยิบเอามาก็ไม่ได้ เพราะตามองไม่เห็น เก็บความเงียบไว้ ไม่กล้าบอกใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกศิษย์ไปถาน แลเห็นแสงเรืองๆ จมอยู่ใต้ถาน ก็กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟัง หลวงตาดีใจบอกให้ศิษย์พาไป เห็นแสงเรืองตรงไหนให้จับมือจุ่มลงไปตรงนั้น จะเลอะเทอะอย่างไรช่างมัน

          ศิษย์กลั้นใจทำตาม หลวงตาก็ควักเอาปรอทคืนมาได้ จัดแจงล้างน้ำให้สะอาดดีแล้วก็แช่ไว้ในโถน้ำผึ้งที่ท่านฉัน ไม่เอาติดตัวไปไหนอีก เพราะกลัวจะหล่นหาย

          อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็มารำพึงถึงสังขาร ว่าเราจะมานั่งตาบอดอยู่ทำไม มีของดีของวิเศษอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะลองดู จึงให้ศิษย์ไปหาศพคนตายใหม่ๆ เพื่อจะควักเอาลูกตา แต่ลูกศิษย์หาศพใหม่ๆ ไม่ได้ ไปพบวัวนอนตายอยู่ตัวหนึ่ง เห็นเข้าที่ดีก็เลยควักลูกตาวัวมาแทน

          หลวงตาจึงเอาปรอทที่แช่น้ำผึ้งไว้มาคลึงที่ตา แล้วควักเอาตาเสียออก เอาตาวัวใส่แทน แล้วเอาปรอทคลึงตามหนังตา ไม่ช้าตาทั้งสองข้างก็กลับเห็นดีดังธรรมดา แล้วหลวงตาก็สึกจากพระ เข้าถือเพศเป็นฤาษี จึงได้เรียกกันว่าฤาษีตาวัว มาตั้งแต่นั้น


          ส่วน ฤาษีตาไฟ นั้นยังไม่พบต้นเรื่องว่า ทำไมจึงเรียกว่า ฤาษีตาไฟ ที่ตาของท่านจะแรงร้อนเป็นไฟ แบบตาที่สามของพระอิศวรกระมัง

          อย่างไรก็ตาม ฤาษีทั้งสองนี้เป็นเพื่อนเกลอกัน และได้สร้างกุฎีอยู่ใกล้กันบนเขาใกล้เมืองศรีเทพ ท่านออกจะรักและโปรดมาก มีอะไรก็บอกให้รู้ ไม่ปิดบัง


          วันหนึ่งฤาษีตาไฟได้เล่าให้ศิษย์คนนี้ฟังว่า น้ำในบ่อสองบ่อที่อยู่ใกล้กันนั้นมีฤทธิ์อำนาจไม่เหมือนกัน น้ำในบ่อหนึ่ง เมื่อใครเอามาอาบก็จะตาย และถ้าเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดก็จะฟื้นขึ้นมาได้อีก

          ศิษย์ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ ฤาษีตาไฟจึงบอกว่า จะทดลองให้ดูก็ได้ แต่ต้องให้สัญญาว่า ถ้าตนตายไปแล้ว ต้องเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดให้คืนชีวิตขึ้นใหม่ ศิษย์ก็รับคำ ฤาษีตาไฟจึงเอาน้ำในบ่อตายมาอาบ ฤาษีก็ตาย ฝ่ายศิษย์เห็นเช่นนั้นแทนที่จะทำตามสัญญา กลับวิ่งหนีเข้าเมืองไปเสีย

          กล่าวฝ่ายฤาษีตาวัว ซึ่งเคยไปมาหาสู่ฤาษีตาไฟอยู่เสมอ เมื่อเห็นฤาษีตาไฟหายไปผิดสังเกตเช่นนั้นก็ชักสงสัย จึงออกจากกุฎีมาตาม เมื่อเดินผ่านบ่อน้ำตายเห็นน้ำในบ่อเดือด ก็รู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว เดินต่อไปอีกก็พบซากศพของฤาษีตาไฟ

         
ฤาษีตาวัวจึงตักน้ำอีกบ่อหนึ่งมาราดรด ฤาษีตาไฟก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฤาษีตาวัวฟัง และว่าจะต้องแก้แค้นศิษย์ลูกเจ้าเมือง ตลอดจนประชาชนพลเมืองทั้งหมดอีกด้วย

          ฤาษีตาวัวก็ปลอบว่า อย่าให้มันรุนแรงถึงอย่างนั้นเลย ฤาษีตาไฟก็ไม่เชื่อฟังได้เนรมิตวัวขึ้นตัวหนึ่ง เอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัวจนเต็ม แล้วปล่อยวัวกายสิทธิ์ให้เดินขู่คำรามด้วยเสียงกึกก้ อง รอบเมืองทั้งกลางวันกลางคืน แต่เข้าเมืองไม่ได้ เพราะทหารรักษาประตูปิดประตูไว้

          พอถึงวันที่เจ็ด เจ้าเมืองเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็สั่ง ให้เปิดประตูเมือง วัวกายสิทธิ์คอยทีอยู่แล้วก็วิ่งปราดเข้าเมือง ทันทีนั้นท้องวัวก็ระเบิดออก พิษร้ายก็กระจายพุ่งออกมาทำลาย ผู้คนพลเมืองตายหมด เมืองศรีเทพก็เลยร้างมาแต่ครั้งนั้น

          ถ้าว่าตามเรื่องที่เล่ามานี้ ฤาษีตาวัวก็ดูจะใจดีกว่าฤาษีตาไฟ และคงจะเป็นด้วยฤาษีตาวัวเป็นผู้ช่วยให้ฤาษีตาไฟฟื้น คืนชีพขึ้นมานี่เองกระมัง ทางฝ่ายแพทย์แผนโบราณจึงได้ถือเป็นครู ส่วนทางฝ่ายทหารออกจะยกย่องฤาษีตาไฟ ดังมีมนต์บทหนึ่งกล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามว่า "ขอพระศรีสุทัศน์เข้ามาเป็นดวงใจ พระฤาษีตาไฟเข้ามาเป็นดวงตา" ดังนี้ 
 
 
 
 
 
 
 

             

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ใบเหลือง สุขุมพ้ันธ์ ก็เำพราะภาพนี้ (เเค่เกมส์เบี้ยเเลกขุน)

 

 [Image: 1979477_589216184487507_1004139861_n.jpg]

 

 

 

 

  

 

 

  

 

 

 

 

คนแห่ขอยา "เบญจอำมฤตย์" รักษามะเร็งฟรี ยอดพุ่ง 30 เท่า

 

 

 

                     

 

 

 

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ เผย "ยาเบญจอำมฤตย์" ได้รับความนิยมหลังทำประชาสัมพันธ์ ทำผู้ป่วยมะเร็งแห่มาขอรับเพิ่มขึ้นวันละ 30 เท่า มั่นใจมีเพียงพอในการแจกจ่าย...

 

นายแพทย์ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้ากรณีที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ แจกยาสมุนไพรโบราณ สูตรเบญจอำมฤตย์ เป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ให้ใช้รักษาร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งสูตรยาดังกล่าว ประกอบด้วย สูตรยาในคัมภีร์แพทยศาสตร์สงเคราะห์ 9 ตัว ได้แก่ มหาหิงค์ ยาดำบริสุทธิ์ รงทอง มะกรูด ขิงแห้ง ดีปลี พริกไทย รากทนดี และดีเกลือ ว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยมาขอรับยาเบญจอำมฤตย์ มากกว่าเดิมประมาณ 30 เท่า คือ จากเดิมจะมีผู้ป่วยมาตรวจและรับยาประมาณวันละ 2-3 ราย แต่ภายหลังจากมีการเผยแพร่ข้อมูลออกไป ก็มีผู้ป่วยไปตรวจและขอรับยาสูตรดังกล่าวประมาณวันละ 60-70 ราย

 

นอกจากนี้ ยังมีการโทรศัพท์เข้ามาขอรับยาอีกวันละประมาณ 100 ราย แต่โรงพยาบาลแพทย์แผนไทยยศเส ไม่สามารถจ่ายยาให้ได้ เนื่องจากผู้ป่วยที่จะได้รับยาต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์แผนไทยที่โรงพยาบาลก่อน จึงจะรับยาได้ และต้องมีการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันร่วมด้วย

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้มาขอรับยามากขึ้น แต่โรงพยาบาลก็ยังมีการสำรองยาเก็บไว้ในปริมาณที่มากพอสมควร เพื่อให้ครอบคลุมกับผู้ป่วยทุกคนที่อยู่ในโครงการของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ และในเรื่องของวัตถุดิบก็ยังคงมีเพียงพอ แต่จะติดขัดอยู่บ้าง ที่การผลิตอาจจะไม่ทัน แต่ก็จะพยายามให้ทำการผลิตให้เต็มที่ เนื่องจากผู้ป่วยบางรายเวลามีน้อย รอไม่ได้

 

"อยากทำความเข้าใจ และขอย้ำว่า การให้ญาติไปขอรับยา โดยไม่นำผู้ป่วยไปด้วยนั้น โรงพยาบาลจะไม่สามารถให้ยาได้ เนื่องจากยาดังกล่าวยังต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ และเพื่อป้องกันการนำยาไปแจกจ่ายให้กับผู้อื่นต่อและใช้อย่างไม่เหมาะสม"

 

ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการผลิตนั้น ถือว่ายังอยู่ในปริมาณที่สามารถแจกจ่ายฟรีให้กับผู้ป่วยได้เหมือนเดิม เพราะต้นทุนไม่สูงมากนัก เฉลี่ยราคาโดยรวมอยู่ที่ประมาณเม็ดละ 10 บาท ส่วนแหล่งผลิตก็จะอยู่ในประเทศไทย โดยขณะนี้ผลิตอยู่ที่โรงพยาบาลอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี.

 

 ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2557

  

 

 

 

                                 

 

 

 

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมรามาการ์เด้นท์ นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวภายหลังเป็นประธานมอบนโยบายทิศทางการขับเคลื่อนงานด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แก่ผู้บริหารและผู้รับผิดชอบงานแพทย์แผนไทยกว่า 600 คนว่า หลังจากกรมฯเปิดตัวสูตรยาตำรับยาเบญจอำมฤตย์" ซึ่งเป็นสูตรยาในตำรับแพทยศาสตร์สงเคราะห์

            ประกอบด้วย รงทอง มหาหิงค์ ยาดำ ตองแตก (ทนดี) พริกไทย ดีปลี ดีเกลือฝรั่ง มะกรูด และขิง ในการบำบัดผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย โดยได้ดำเนินการแจกฟรีให้แก่ผู้ป่วยที่มารักษาในโรงพยาบาลการแพทย์ผสมผสานที่ยศเส ซึ่งผ่านการศึกษาวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าสามารถลดเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลองได้อย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งตับ จึงนำมาสู่การทดลองในระดับอาสาสมัคร คือ กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย ที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ทั้งฉายแสง คีโม จึงเปิดโอกาสให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายได้รับยาดังกล่าวที่รพ.การแพทย์ผสมผสานที่ยศเส
           
            "หลังเปิดตัวมา 20 วันได้รับความสนใจจากผู้ป่วยจำนวนมากเฉลี่ยวันละ 80-150 คน โดยรวมยอดถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557 มีผู้ป่วยเข้ามาแล้วกว่า2,000 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่สมัครใจเข้ารับการรักษาแบบให้ติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีมีจำนวน 50 ราย เป็นผู้ชาย 35 ราย ผู้หญิง 15 ราย จากการติดตามอาการเบื้องต้นพบว่า อาการดีขึ้น ลดอาการแน่นท้อง ท้องอืดได้ และยังลดภาวะท้องมานลงได้ด้วย ซึ่งในอนาคตจะติดตามว่าเซลล์มะเร็งลดลงด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ ในโครงการยังเปิดรับสมัครอีก 50 ราย เพื่อให้ได้ผลการติดตามอาการอย่างเป็นทางการ" นพ.ธวัชชัย กล่าว
           
            นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า จากการตอบรับดังกล่าว ทำให้สูตรยาเบญจอำมฤตย์ได้รับความสนใจมาก ปัญหาคือ ประชาชนแห่กันไปซื้อวัตถุดิบและนำมาผสมกันกินแก้โรคเอง ซึ่งอันตรายมาก เพราะปริมาณที่ลดเซลล์มะเร็งตับในการทดลองนั้น พบว่าต้องใช้สูตรยาเพียง 0.22 ไมโครกรัมต่อซีซี แต่ประชาชนนำไปใช้เองย่อมไม่ทราบ จึงถือว่าอันตราย ส่งผลต่อตับและไต ได้โดยตรง และอาจทำลายเซลล์อวัยวะดีส่วนอื่นๆ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม จากจุดนี้ทำให้พ่อค้า แม่ค้าหัวใสขึ้นราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะรงทอง จากเดิมราคา 300บาทต่อกิโลกรัม เป็น 800 บาทต่อกิโลกรัม ยาดำ จากเดิม 400 -500 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 600-800 บาทต่อกิโลกรัม มหาหิงค์จากเดิม 350-450 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 550 บาทต่อกิโลกรัม
         
            ภญ.ดลิชา ชั่งสิริพร หัวหน้างานแพทย์แผนไทย รพ.อู่ทอง กล่าวว่า ขณะนี้รพ.อู่ทองเป็นแหล่งผลิตในภาคกลางที่มีสต๊อกวัตถุดิบ สามารถผลิตได้ประมาณ 200,000 เม็ด ราคาตกเม็ดละ 5 บาท ซึ่งโดยรวมแล้วผู้ป่วยจะทานวันละ3-5 เม็ดต่อหม้อ โดยทานวันละ 2 มื้อ ดังนั้น จะมีราคาไม่เกินวันละ 50 บาท แม้ราคาไม่แพง แต่หากวัตถุดิบยังขึ้นราคา ที่สำคัญปัจจุบันต้องนำเข้าในตัวรงทองจากประเทศกัมพูชา ยาดำจากประเทศแอฟริกา และมหาหิงค์จากอินเดีย ก็จะทำให้วัตถุดิบยิ่งหายาก และสุดท้ายก็จะขาดตลาด ส่งผลต่อผู้ป่วยไม่มียารับประทาน จึงอยากขอให้ผู้ขายเห็นใจ อย่าขึ้นราคา เพราะโครงการนี้ทำเพื่อผู้ป่วย ในส่วนเกษตรกรอยากให้หันมาปลูกพืชสมุนไพร อย่างรงทอง ก็สามารถปลูกได้ในไทย โดยเฉพาะจ.จันทบุรี มีสภาพภูมิประเทศที่ปลูกได้ หากปลูกได้ในประเทศก็จะลดปัญหาวัตถุดิบได้ด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                        

          " ดู๊...ทำเป็นมองเข้า........"

  

 

    

 

     

 

  

       อ่านสัญญาณไฟจากรถบรรทุก ในถนนหลวงไทย

 

 

                                   

 

 

songvit
โดย songvit
 

 

เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเวลาขับรถแซงหรือสวนรถบรรทุกทั้งหลาย ทางรถบรรทุกมักจะส่งสัญญาณไฟเลี้ยวแปลก ที่เราไม่เข้าใจ วันนี้เรามาดูกันครับว่าสัญญาณไฟเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร

 

1. เปิดไฟเลี้ยวซ้ายทีขวาทีสลับกัน หมายความว่าให้ระวัง อาจเพราะเขาจะเบรก หรือทางข้างหน้ามีปัญหาเช่น มีด่าน มีอุบัติเหตุ รถคันข้างหน้าเบรกกะทันหัน เป็นต้น เอาเป็นว่าเจอรถบรรทุกทำแบบนี้ตามไปก่อนละกันครับอย่าเพิ่งแซง

 

2. เปิดไฟเลี้ยวซ้ายอย่างเดียว หมายความว่าเขายินดีให้เราแซงขึ้นไปได้ครับ และในกรณีเลนสวนทางกัน ก็สามารถหมายถึงข้างหน้าไม่มีรถสวนมา ให้เราแซงได้โดยปลอดภัยครับ

 

3. เปิดไฟเลี้ยวขวาค้างไว้หรือเปิดเป็นจังหวะ เจอแบบนี้ห้ามแซงครับ เขาหมายถึงเขาไม่อยากให้เราแซง โดยส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุมาจาก เขากำลังแซงคันข้างหน้า กำลังจะเลี้ยวขวา หรือ อาจจะมีรถสวนมาเป็นต้น เอาเป็นว่าเจอรถบรรทุกเปิดไฟเลี้ยวขวาข้างไว้ อย่าแซงครับ

 

4. ในกรณีขับรถตามกัน หากเราแซงรถบรรทุกขึ้นไปจนพ้น จะสังเกตได้ว่าคนส่วนใหญ่จะทำกันสองอย่างครับ

 

4.1. ในจังหวะที่รถเรากำลังตีคู่กันรถบรรทุกจะเปิดไฟสูงให้เราเห็นทางข้างหน้าและลดไฟลงต่ำเมื่อเราแซงพ้น บางคันอาจปิดไฟหน้า (ตอนกลางคืน) นั่นหมายความว่าเราแซงพ้นแล้ว ให้เข้ามาในเลนได้ แต่ถ้าเป็นกลางวันเขาจะกระพริบไฟ 1 ทีครับ

 

4.2. เขาอาจบีบแตรเบาๆเป็นสัญญาณให้ 1 ทีก็ได้ครับ แต่หลักที่นิยมทำกันคือเมื่อเขาเปิดทาง และเราแซงขึ้นไป เมื่อเราตีคู่ในระดับเดียวกับรถบรรทุกเราจะบีบแตรสั้น 1 ครั้งเป็นการขอบคุณ และทางรถบรรทุกมักจะบีบตอบสั้นๆ 1 ครั้งเช่นกัน

 

5. ขับสวนกันแล้วดับไฟหน้าแล้วเปิด หมายความว่าข้างหน้ามีด่านหรือมีอุบัติเหตุร้ายแรง ให้ระวังไว้ครับ

 

6. ขับสวนกันแล้วกระพริบไฟหน้าและเปิดไฟเลี้ยว 1 ที แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเตือนเรื่องด่านครับ ต้องมองดูดีๆที่ไฟเลี้ยวด้วยนะครับ เพราะกระพริบไฟหน้าและเปิดไฟเลี้ยวข้างที่ชี้มาทางเรา หมายความว่าด่านอยู่ทางเราครับ แต่ถ้าเปิดไฟเลี้ยวด้านฝั่งเขา แสดงว่ามีตำรวจอยู่ฝั่งนู้นครับ

 

7. ขับสวนกันแล้วกระพริบไฟหน้า บางทีอาจไม่มีอะไรครับ อาจจะแค่การทักทาย การเช็คว่าเราหลับในรึเปล่า ใช้ไฟสูงอยู่ไหม หรือเป็นการถามว่าทางที่เราผ่านมามีด่านหรือไม่

 

8. ขับสวนกันแล้วมีขบวนรถบรรทุกขับสวนขึ้นมา สถานการณ์นี้ให้มองรถบรรทุกลำดับที่ 2 ในแถวไว้ให้ดีนะครับ หากรถคันที่ 2 หรือคันต่อๆไปในแถวที่สวนมากระพริบไฟหรือเบี่ยงหัวออกมาทางเลนเรานิดหนึ่งและกระพริบไฟ นั่นแสดงว่ารถคันแรกในขบวนช้า เขากำลังจะแซงออกมาแล้วครับ เตรียมชะลอความเร็วแล้วเข้าไหล่ทางนะครับ เปิดทางให้รถบรรทุกหน่อย

 

อย่าไปอวดดีเด็ดขาดนะครับ รถบรรทุกพวกนี้พอออกมาแล้วไม่กลับแน่นอนครับ ถ้าคุณไม่หลบ คุณก็แหลกครับ รถใหญ่บนทางหลวงเขาไม่ลงไหล่ทางแน่นอนครับเพราะว่ารถมันหนัก ถ้าลงไหล่ มันจะเอาไม่อยู่และพลิกคว่ำทันทีครับ เพราะฉะนั้นหลบได้ก็หลบเถิด

 

และอีกอย่างหนึ่งรถใหญ่หนัก เขาจะไม่ค่อยเบรกกัน เมื่อเขาได้รอบได้จังหวะ เขาจะออกมาทันที เราต้องเป็นฝ่ายหลบนะครับ อาจจะดูเหมือนทางเขาผิด แต่ต้องเข้าใจเขานะครับว่ารถใหญ่และหนักกว่าจะแซงได้มันลำบาก หลบๆไปก่อนเถอะครับ

 

cr http://www.thaimocyc.com/ ‪#‎แอดมินสาระดี

 

 

 

                 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 

 


รองเท้าสวยดีนะครับป้า.....
นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนใส่ไม่ได้นะ 555

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ฅนใต้ไม่เอาประชาธิปัตย์
 
ประชาธิปัตย์ทำอะไรก็ได้..ไม่ผิด 

 

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2552 รัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่มี “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งย้าย “พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา” ไปเป็น “ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ” เพื่อตั้ง “ถวิล เปลี่ยนสี” เป็น “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) 
โดยเป็นการโยกย้ายจากตำแหน่ง “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” ไปอยู่ในตำแหน่ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ” ตำแหน่งเดียวกันเด๊ะ... กลับ “ทำได้” ... ไม่เป็น “การกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย” 

เพื่อไทย (โดยนายก..ตระกูลชินวัตร) แค่หายใจก็ยังผิด
7 มี.ค.57 ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 635/2555 ระหว่างนายถวิล เปลี่ยนศรี (ผู้ฟ้องคดี) กับนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากการมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 152/2554 ลงวันที่ 7 ก.ย.54 ให้นายถวิลพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ” นั้นเป็น “การกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย” และสั่งให้ “เพิกถอนประกาศสำนักนายกฯ” โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.2554 พร้อมทั้ง “พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายให้นายถวิลได้กลับสู่ตำแหน่งเลขาธิการสมช.ภายใน 45 วัน”


จาก พระนครสาสน์

 

                  ประชาธิปัตย์ทำอะไรก็ได้..ไม่ผิด </p><p>เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2552 รัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่มี “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งย้าย “พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา” ไปเป็น “ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ” เพื่อตั้ง “ถวิล เปลี่ยนสี” เป็น “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)<br />โดยเป็นการโยกย้ายจากตำแหน่ง “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ” ไปอยู่ในตำแหน่ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ” ตำแหน่งเดียวกันเด๊ะ... กลับ “ทำได้” ... ไม่เป็น “การกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย” </p><p>เพื่อไทย (โดยนายก..ตระกูลชินวัตร) แค่หายใจก็ยังผิด<br />7 มี.ค.57 ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 635/2555 ระหว่างนายถวิล เปลี่ยนศรี (ผู้ฟ้องคดี) กับนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากการมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 152/2554 ลงวันที่ 7 ก.ย.54 ให้นายถวิลพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ” นั้นเป็น “การกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย” และสั่งให้ “เพิกถอนประกาศสำนักนายกฯ” โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.2554 พร้อมทั้ง “พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายให้นายถวิลได้กลับสู่ตำแหน่งเลขาธิการสมช.ภายใน 45 วัน”<br />จาก พระนครสาสน์

 

 

 

 

 

 

 

 ไปดูจุดตก.. โบอิ้ง 777 มาเลย์ดิ่งอ่าวไทยสื่อเวียดนามอ้างข้อมูลเรดาร์กองทัพเรือ 

 

 ยูโรคอปเตอร์ EC 225 ของบริษัทอากาศยานภาคใต้ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงกลาโหม ทางการเวียดนามกล่าวว่าได้สั่งให้หน่วยค้นหากู้ภัยทุกจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านค้นหาในอาณาบริเวณเครื่องบินสายการบินมาเลเซียพร้อมผู้

 

 

 

ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- สื่อของทางการเวียดนามได้แสดงแผนที่จำลองแสดงจุดเครื่องบินโดยสารสายการบินมาเลเเชียแอร์ไลน์สพร้อมผู้โดยสารกับลูกเรือ 239 คนตกในอาณาบริเวณตอนล่างของทะเลอ่าวไทยซึ่งอยู่ในเขตรอยต่อน่านน้ำเวียดนาม-มาเลเซีย โดยระบุว่าเป็นการแสดงความเป็นไปได้โดยใช้จากข้อมูลจากเรดาร์ของกองทัพเรือ แม้ว่าทางการมาเลเซียจะออกแถลงยังไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ช่วยยืนยันเรื่องนี้ตาม
       
       การจัดทำแผนที่ดังกล่าวยังมีขึ้นหลังจากเครื่องโบอิ้ง 777-200ER ขาดการติดต่อไปเป็นเวลาเกือบ 13 ชั่วโมงในวันเสาร์ 87 มี.ค.นี้ และมีขึ้นหลังจากนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือภาค 5 เวียดนามให้สัมภาษณ์ว่า เที่ยวบิน MH370 ตกลงในทะเลอ่าวไทยห่างจากเกาะฟุก๊วกลงไปทางใต้ราว 300 กิโลเมตร ในรอยต่อน่านน้ำของสองประเทศ ซึ่งนายทหารเรือเวียดนามกล่าวว่าเป็นการง่ายกว่าหากการค้นหาจะเริ่มจากมาเลเซียหรือประเทศไทย เนื่องจากอยู่ใกล้กับจุดตกมากกว่า หนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋รายงานเรื่องนี้ในเว็บไซต์ข่าวยอดนิยมภาษาเวียดนาม
       
       หนังสือพิมพ์ของสันนิยาติยุวชนคอมมิวสนิสต์โฮจิมินห์ยังระบุด้วยว่า กองทัพเรือกับหน่วยตรวจชายฝั่งเวียดนามได้จัดเตรียมเฮลิคอปเตอร์ค้นหากกู้ภัยทางทะเลพร้อมจะเข้าช่วยเหลือการค้นหาผู้โดยสารที่อาจจะยังรอดชีวิตถ้าหากประเทศเพื่อนบ้านต้องการ แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้รับติดต่อขอร้องใดๆ จากทางการมาเลเซีย นอกจากนั้นยังพร้อมที่จะให้อากาศยานค้นหากู้ภัยของมาเลเซียเข้าร่วมค้นหาในน่านน้ำเวียดนามอีกด้วยหากได้รับการติดต่อประสานงาน
       
       พล.ร.ต.โงวันฟ้าต (Ngo Van Phat) นายทหารหัวหน้าฝ่ายการเมืองกองทัพเรือภาค 5 ที่้เกาะฟุก๊วกเปิดเผยเมื่อเวลาประมาณ 11 น.วันเสาร์นี้ว่า เครื่องบินโดยสารของมาเลเซียแอร์ไลน์สตกลงในทะเล ในอาณาบริเวณที่อยู่ห่างจากเกาะโถ๋จู (Tho Chu) ในหมู่เกาะฟุก๊วก (Phu Quoc) จ.เกียนซยางของเวียดนามไปทางทิศใต้ราว 153 ไมล์ทะเล
       
       สำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรสรายงานเรื่องนี้ว่า การจัดทำแผนที่จำลองนั้นทำขึ้นจากข้อมูลเรดาร์ของกองทัพเรือเวียดนาม ในขณะที่นายฝ่ามเถเฮียน (Pham The Hien) ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานการค้นหาและกู้ภัยทางทะเลภาค 3 เปิดเผยว่า โดยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับเวลาขึ้นบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ของเที่ยวบิน MH370 และข้อมูลการติดต่อสื่อสารครั้งสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะหายไป เมื่อคิดคำนวณเข้ากับความเร็วในการบินปรกติของเครื่องบินโดยสารลำดังกล่าวแล้วจะพบว่า จุดเครื่องบืนตกอาจจะเป็นจุดตัดเส้นรุ้งที่ 6 องศา 56 ลิบดาเหนือกับเส้นแวงที่ 103 องศา 35 ลิบดาตะวันออก ห่างจากแหลมก่ามาว (Ca Mau) ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 230 กม.
       
       "เราพร้อมส่งเรือกู้ภัยจากศูนย์ฯ ที่เกาะฟุก๊วกเพื่อร่วมค้นหาจุดเครื่องบินตก" นายเฮียนกล่าว
       
       โทรทัศน์จีนรายงานก่อนหน้านั้นว่า ฝ่ายจีนได้ส่งเรือค้นหากู้ภัยทางทะเลเข้าทะเลจีนใต้แล้ว สื่อในฟิลิปปินส์รายงานว่าหน่วยชายฝั่งของฟิลิปปินส์ได้ส่งเรือตรวจการณ์กับเครื่องบินลาดตระเวณออกสำรวจในน่านน้ำของตนเพื่อช่วยค้นหาในอาณาบริเวณน่าสงสัย และมาเลเซียได้ส่งเครื่องบิน 1 ลำ เฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ กับเรือกู้ภัยอีก 4 ลำออกค้นหาตั้งแต่เช้า ถึงแม้กระทรวงคมนาคมในกรุงกัวลาลัมเปอร์จะประกาศว่ายังไม่พบหลักฐานใดๆ ยืนยันว่าเครื่องบินตกลงในทะเลอ่าวไทยก็ตาม และเที่ยวบิน MH370 ยังอยู่ในสถานะ "สูญหาย"
       
       เวียดนามเอ็กซ์เพรสยังรายงานอ้างการสัมภาษณ์นายดีงลาถัง (Dinh La Thang) ในเช้าวันเสาร์ซึ่งระบุว่าเครื่องบินโดยสารของมาเลเซียได้ขาดการติดต่อก่อนจะบินเข้าเขตข้อมูลการบิน (Flight Information Region) นครโฮจิมินห์ราว 1 นาที ก่อนจะหายไปจากจอเรดาร์และการติดต่อทางวิทยุขาดหายไปตั้งแต่นั้น

 

ไปดูจุดตก.. โบอิ้ง 777 มาเลย์ดิ่งอ่าวไทยสื่อเวียดนามอ้างข้อมูลเรดาร์กองทัพเรือ 

 

 

ไปดูจุดตก.. โบอิ้ง 777 มาเลย์ดิ่งอ่าวไทยสื่อเวียดนามอ้างข้อมูลเรดาร์กองทัพเรือ 

 

 

ไปดูจุดตก.. โบอิ้ง 777 มาเลย์ดิ่งอ่าวไทยสื่อเวียดนามอ้างข้อมูลเรดาร์กองทัพเรือ 

 

สำนักข่าวและหนังสือพิมพ์ออนไลน์ภาษาเวียดนามได้จัดทำแผนที่จำลองแสดงจุดตกลงเครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ในบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง หนังสือพิมพ์ของทางการระบุว่าใ "พล็อต" จากข้อมูลเรดาร์ของกองทัพเรือ ขณะที่ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานการค้นหาแและกู้ภัยทางทะเลกล่าวว่าคิดคำนวนจากข้อมูลต่างๆรวมทั้งจุดสุดท้ายที่เครื่องบินขาดการติดต่อ หน่วยงานนี้ระบุเส้นรุ้ง-เส้นแวงอย่างชัดเจน.

 

 

 

นายถังกล่าวด้วยว่าตอนเช้าวันเสาร์นี้มาเลเซียได้ขออนุญาตส่งเครื่องบินเข้าค้นหาในเขต FIR นครโฮจิมินห์ เพื่อตามหาโบอิ้ง 777-200ER ลำที่สูญหาย ฝ่ายเวียดนามเองได้สั่งให้หน่วยค้นหากู้ภัยในจังหวัดต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเตรียมพร้อมช่วยเหลือฝ่ายมาเลเซียหากได้รับการขอร้อง แต่หนังสือพิมพ์เตือยแจ๋รายงานในเว็บไซต์เวลาต่อมาอ้างแหล่งข่าวว่านายทหารกองทัพเรือภาค 5 ที่ระบุว่า ยังไม่ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือใดๆ จากฝ่ายมาเลเซียในขณะนั้น
       
       "จุดเครื่องบินตกควรให้มาเลเซียเป็นฝ่ายระบุเองเนื่องจากอยู่ในเขตน่านน้ำที่ใกล้มาเลเซียและไทยมากกว่าเวียดนาม หน่วยกู้ภัยของทั้งสองประเทศจะไปถึงที่นั่นได้เร็วกว่าเวียดนาม แต่เราก็พร้อมที่เข้าร่วมมือช่วยเหลือทั้งสองประเทศตามความตกลงที่มีอยู่แล้ว" เจ้าหน้าที่คนเดียวกันกล่าว
       
       อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่สำนักงานตัวแทนสายการบินมาเลเซียในกรุงฮานอย บอกกับสำนักข่าวเวียเดนามเอ็กซ์เพรสเมื่อเวลา 13.00 น.ว่า จนถึงขณะนั้นยังไม่สามารถระบุจุดเครื่องบินตกได้
       
       "เรายังคงทำงานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความพยายามระหว่างประเทศเพื่อค้นหาเครื่องบิน" เจ้าหน้าที่ของมาเลเซียแอร์ไลน์สในเวียดนามกล่าว
       
       เมื่อเวลา 113.0 น.นายฝ่ามกวี๋ (Pham Quy) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเวียดนามกล่าวกับ VNExpress ว่า ตอนเช้าวันเดียวกันเฮลิคอปเตอร์ค้นหาของมาเลเซียลำหนึ่งได้ออกสำรวจบริเวณรอยต่อติดกับน่านน้ำเวียดนาม ในขณะที่ดาโต๊ะเสรีฮิชามุดดินฮุนเซน รัฐมนตนรีคมนาคมมาเลเซียแถลงในตอนบ่ายว่า ยังคงติดตามข่าวเกี่ยวกับแหล่งเครื่องบินตกอยู่ตอ่ไปและยังไม่ได้รับข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับการพบเครื่องบิน.

 

    

 

 

 

 

 

      อันดับสายการบินที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2013

 
 
 




1. Emirates (จากอันดับที่ 8 เมื่อปี 2012)
2. Qatar Airways (จากอันดับที่ 1 เมื่อปี 2012)
3. Singapore Airlines (จากอันดับที่ 3 เมื่อปี 2012)
4. ANA All Nippon Airways (จากอันดับที่ 5 เมื่อปี 2012)
5. Asiana Airlines (จากอันดับที่ 2 เมื่อปี 2012)

6. Cathay Pacific Airways (จากอันดับที่ 4 เมื่อปี 2012)
7. Etihad Airways (จากอันดับที่ 6 เมื่อปี 2012)
8. Garuda Indonesia (จากอันดับที่ 11 เมื่อปี 2012)
9. Turkish Airlines (จากอันดับที่ 7 เมื่อปี 2012)
10. Qantas Airways (จากอันดับที่ 15 เมื่อปี 2012)
 
 







และที่เหลืออีก 20 อันดับแรก

11. Lufthansa (จากอันดับที่ 14 เมื่อปี 2012)
12. EVA Air (จากอันดับที่ 13 เมื่อปี 2012)
13. Virgin Australia (จากอันดับที่ 12 เมื่อปี 2012)
14. Malaysia Airlines (จากอันดับที่ 10 เมื่อปี 2012)
15. Thai Airways (จากอันดับที่ 9 เมื่อปี 2012)

16. Swiss Int’l Air Lines (จากอันดับที่ 15 เมื่อปี 2012)
17. Korean Air (จากอันดับที่ 16 เมื่อปี 2012)
18. Air New Zealand (จากอันดับที่ 17 เมื่อปี 2012)
19. Hainan Airlines (จากอันดับที่ 20 เมื่อปี 2012)
20. Air Canada (จากอันดับที่ 19 เมื่อปี 2012)
 
 “ทราเวล แอนด์ ลีเชอร์” นิตยสารด้านการท่องเที่ยวชื่อดังของโลก ประกาศผลรางวัล 10 อันดับ สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012 ในงาน “World’s Best Awards 2012″ พิจารณาจาก ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร, การให้บริการและการเอาใจใส่ดูแลขณะอยู่บนเครื่อง จนถึงค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ
 
เป็นผลสำรวจจากคนอ่านนิตยสาร Travel + Leisure ของอเมริกา   โดยร่วมมือกับหน่วยงานสำรวจ ROI Research Inc.   ออกแบบสอบถามโดยครอบคลุมหัวข้อดังนี้คือ  Cabin comfort, in-flight service, customer service, value. Optional: food

มีการตั้งข้อสังเกตุจากผู้อ่านใน website ของ T+L เช่นเดียวกันว่า  ทำไมถึงออกผลมาเป็นสายการบินทางเอเชียเกือบทั้งหมด   แล้วก็เดากันไปต่างๆ นาๆ ว่า    อาจเป็นเพราะประเทศทางเอเชียมีค่าแรงงานถูก  ไม่มีสหภาพมาคอยต่อรองขอขึ้นค่าแรง   จึงสามารถจ้างคนได้จำนวนมากเพื่องานบริการให้ประทับใจ

ถ้าพิจารณาว่า  เป็นผลสำรวจจากคนอ่านนิตยสารเท่านั้น   จำนวนการสำรวจก็ไม่น่าจะมากพอที่จะให้น้ำหนักในการประเมินที่น่าเชื่อถือได้

ขอบคุณที่มาและภาพจาก : crewsociety.com

 

 

  

   สายการบินที่อันตรายที่สุดในโลก

 

 

 

 

สถิติความปลอดภัยการจราจรทางอากาศ  ซึ่งจัดทำโดย  Aero International  

ที่มาจากมติชน http://www.askmedia.co.th/book/webboard_reply.php?id=36583

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน เว็บไซต์อาสก์เมน (www.askmen.com) จัดอันดับสายการบินที่อันตรายที่สุดในโลก 10 อันดับ โดยประเมินจากประวัติการเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในอดีตเทียบกับอัตราส่วนของเที่ยวบิน ผลปรากฎว่า

อันดับ 10 คือสายการบินการูด้าของอินโดนีเซีย บินสำเร็จ 2 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 4 ครั้ง ตาย 352 คน

 




 

 

 

อันดับ 9 คือสายการบินไทย ระบุเหตุผลว่า แม้การบินไทยได้รับรางวัลใหญ่มาแล้วมากมาย เช่น มีลูกเรือดีที่สุด และสายการบินที่ดีที่สุดในโลกเมื่อปี 2549 อีกทั้งได้รับการยกย่องว่ามีสุขลักษณะในห้องโดยสารเป็นเลิศจากองค์การอนามัยโลก แต่นับย้อนไปช่วงทศวรรษที่ 80-90 นับเป็นหนึ่งในสายการบินที่ควรหลีกเลี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ครั้งรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2535 เที่ยวบินที่ออกจากกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล มายังกรุงเทพฯประสบอุบัติเหตุตก มีผู้เสียชีวิตไป 113 ราย รวมแล้วการบินไทยมีเที่ยวบินที่ทำการบินสำเร็จ 1.98 ล้านเที่ยว เกิดอุบัติเหตุรุนแรงทำให้ผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 352 คน




 

 

 

อันดับ 8 สายการบินอาเวียงกา ของโคลมเบีย บินสำเร็จ 1.47 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 4 ครั้ง ตาย 500 คน




 

 

 

อันดับ 7 ปากีสถาน อินเตอร์ เนชั่นแนล แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 1.43 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 5 ครั้ง ตาย 440 คน




 

 

 

อันดับ 6 อียิปต์แอร์ บินสำเร็จ 1.07 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 4 ครั้ง ตาย 402 คน




 

 

 

อันดับ 5 เคนยา แอร์เวย์ส บินสำเร็จ 450,000 เที่ยว อุบัติเหตุรุนแรง 2 ครั้ง ตาย 107 ราย




 

 

 

อันดับ 4 ฟิลิปปินส์ แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 1.18 ล้านเที่ยว อุบัติเหตุร้ายแรง 6 ครั้ง ตาย 107 ราย




 

 

 

อันดับ 3 อิหร่านแอร์ บินสำเร็จ 970,000 เที่ยว อุบัติเหตุร้ายแรง 5 ครั้ง เสียชีวิต 708 ราย




 

 

อันดับ 2 คือ ไชน่า แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 910,000 เที่ยวบิน อุบัติเหตุร้ายแรง 6 ครั้ง เสียชีวิตไป 763 ราย




 

 

 

อันดับ 1 คือสายการบินคิวบานา แอร์ไลน์ส บินสำเร็จ 320,000 เที่ยว เกิดอุบัติเหตุรุนแรง 8 ครั้ง ตาย 404 คน


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

โดยคุณPitbull 2013

 

รูปภาพ : อย่าให้คนโกงมีที่ยืน.......? ? ท่านจรัญ...จะพาเมียออกไปทานข้าวได้หรือเปล่าครับ ???</p><p>เห็นเขายิง สปอต ถี่ยิบ____อย่าให้คนโกงมีที่ยืน..ต้องอย่างโน้น ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น _ บร่า_ บร่า_บร่า_++( ซึ่งสังคมไทยก็เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วทีนี้เอางัยดีครัช ท่านจรัญ..?</p><p>เกิดวันดีคืนดี ท่านครึ้มใจ พา ภรรยาไปทานข้าวนอกบ้าน แล้วมีเด็กเสริฟ คนทาน เขาลุกมาชี้หน้า ด่า ครอบครัวท่านว่า ไอ้ขี้โกง ๆ อีขี้โกง ๆ แบบในโฆษณา แล้วท่านจะว่าเยี่ยงไร จะแจ้งความจับข้อหาดูหมิ่น ตลก. หรือเปล่า ?</p><p>หรือท่าน ..จะกินข้าวห่อ กับเมียไปตลอดชีพ แต่ให้ระวังอย่าให้เมียเดินไปซื้อนะครัช..เดี๋ยวจะโดนแม่ค้าเอาตะหลิวชี้หน้าว่าฉันไม่ขายให้คนโกง</p><p>ที่สำคัญท่านกรุณา อย่ามาเคืองแค้น ไอ้พวกหัวละพันบาท อย่างที่ท่านเคยพูดลอยลมดูถูกเอาไว้ไม่ได้ว่า พวกผมกลั่นแกล้งหรือรังแกท่าน พวกผมหนะไม่ได้ทำ พวกคนดีต่างหากที่เขาทำ ....ได้ข่าวว่าตอนนี้ เขากระซิบว่า อย่าทำสปอต เรื่องเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์เป็นอันขาด ข่าวแว่ว ๆ มาว่า มีเสียง บ้ง ๆ เบ้ง ๆ มาว่า เดี๋ยวจะเข้าตัวกรู (ฮา)</p><p>ความจริง ถ้าผมเป็นท่าน ผมลาออกนะ บอกตรง ๆ ถ้าเป็นผม ผมก็ไม่รู้จะไปสู้หน้าใครอย่างไร เดินไหนมาไหน มันก็ออกหน้าร้อนผ่าว ๆ ก้มหน้างุด ๆ จะว่าใครโกง จะว่าใครเลว มันก็ ไม่สะดวกใจ อันนี้ตัวผมนะ สำหรับตัวท่านเอง ผมไม่ทราบ ...ภายในองค์กรของท่านก็น่าจะปลอบใจกันได้ เพราะผมก็ได้ข่าวแว่วมาว่า เละเทะกันหลายท่าน ไม่ว่าส่งลูกไปเรียน โดยรับเงินเดือน แถมไม่ต้องได้รับอนุมัติจากใครอีกด้วย (ฮา)</p><p>คนดีบ้านเรา เขาก็เป็นแบบนี้กันเยอะครับ__นี่ก็ได้ข่าวว่า คุณหญิงเป็ด คนดีอีกคนหนึ่ง ก็จะขอรับใช้พี่น้องประชาชน ในนาม สว. ของชาว กทม.ฤทธิเดช ของเธอ เอาเป็นว่าผมละไว้ครับ__ได้แต่นึกชมอยู่ในใจว่า กล้ามาก หรือจะใช้คำว่า ด้านมาก ดี ตอนนี้ ชักสับสนครับระหว่าง กล้า หรือ ด้าน_ทั้ง ๆ ที่ คดี เอาเงินหลวงไปเที่ยว โดยอ้างว่า ไปทอดกฐิน ก็ยังคาอยู่ในองค์กรของเธอ_เอาเถอะครับท่านจรัญ ผมเป็นกำลังใจให้ครับ__คนดีศรีรัตนโกสินทร์ อย่างท่านไม่โดดเดี่ยวหรอกครับคนดีในสยามประเทศ ก็มีพฤติกรรมไปในทางเดียวกันแบบนี้หลายท่าน_ขนาด อดีต ปปช. ท่าน ไป Copy วิทยานิพนธ์ทำปริญญาโท เขามาทั้งดุ้น พอสังคมจับได้ ท่านก็เลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่ตอบอะไรใคร</p><p>ทั้ง ๆ ที่ คนในสังคมมองว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้ ควรสะอาดเสียยิ่งกว่า ผงซักฟอก__แต่ไม่เป็นไรครับ ถ้าเป็นคนดีซะอย่าง มีอะไรมัว ๆ หมอง ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ สังคมเราแกล้งไม่เห็นได้ครับ (ฮา)___เพราะเรา อยู่กันแบบดัดจริตมายาวนาน</p><p>...ภรรยานายจรัลถูกฟ้องข้อหาฉ้อโกงที่ดินเขา<br />....นายศักดิ์ กอแสงเรือง ถูกศาลตัดสินให้เสียภาษี+ค่ปรับ เพราะเลี่ยงภาษี แต่สู้คดีจนถึงศาลฎีกา แต่สุดท้ายแพ้<br />....นางจารุณวรรณ เมนทะกา แต่งตั้งลูกตนเองเป็นเลขาส่วนตัว.งแถมเอาลูกห้อยตามคณะ สตง.ไปเที่ยวเมืองนอกทั้งๆที่ไม่มีสิทธิไป จนเรื่องแดงเพราะการบินไทยเรียกเก็บค่าเดินทางมีชื่อลูกติดไปด้วย....และเมื่อหมดวาระ พ้นตำแหน่งก้ไม่ยอมลงจนถูกเขาฟ้องสาล<br />.....นายกล้าณรงค์ ถุกแฉว่าคัดลอกวิทยานิพนธืคนอื่น<br />.....หลานวิชา มหาคุณนายถูกข้อหาโกงภาษ๊ไวน์ 300 ล้าน นายวิชาปฎิเสธไม่เกี่ยวข้อง แต่ตำรวจส่งเรื่องไปเมื่อ 2551 และจะหมดอายความแล้ว จนป่านนี้เรื่องยังไม่ถึงศาล สุดท้ายคงมีการดองเรื่องจนคดีหมดอายุความ<br />....ปปช. ดองเรื่อง ปรส. ทั้งๆที่มีคน องค์กรไปติดตามทวงถามคดีตลอดก็เงียบ จนสุดท้ายปล่อยให้หมดอายุความโดยไม่ดำเนินการอะไรเลย<br />....ปปช. ไม่ดำเนินการเรื่องการร้องเรียนทุจริตประกันราคาข้าว ทั้งที่ผ่านมานานหลายปี โดยอ้างว่าหลักฐานหายไปตอนน้ำท่วม ทั้งๆที่ สนง.ปปช.ไม่มีน้ำท่วม และสามารถเรียกหลักฐานเอกสารจากหน่วยงานต่างๆใหม่ได้..แต่กับโครงการรับจำนำข้าว ไต่สวนอย่างรวดเร็วไม่กี่เดือน.และกำลังจะตัดสิน<br />...<br />...ฯลฯ...<br />...คนดีๆ ไม่โกง บริสุทธิทั้งกายและใจ สารเลวทั้งนั้น__ตอแหลแลนด์แดนเทวดา<br />ทั้งถ่าง ทั้งอ้า แถมหมาอีกเป็นฝูง__ไม่ไหวจะเคลียร์

อย่าให้คนโกงมีที่ยืน.......? ? ท่านจรัญ...จะพาเมียออกไปทานข้าวได้หรือเปล่าครับ ???

 

 

 

 

 

 

        

 

 


• คนแห่ขอยา "เบญจอำมฤตย์" รักษามะเร็งฟรี ยอดพุ่ง 30 เท่าต่อวัน

 

 

   เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมรามาการ์เด้นท์ นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวภายหลังเป็นประธานมอบนโยบายทิศทางการขับเคลื่อนงานด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แก่ผู้บริหารและผู้รับผิดชอบงานแพทย์แผนไทยกว่า 600 คนว่า หลังจากกรมฯเปิดตัวสูตรยาตำรับยาเบญจอำมฤตย์" ซึ่งเป็นสูตรยาในตำรับแพทยศาสตร์สงเคราะห์

            ประกอบด้วย รงทอง มหาหิงค์ ยาดำ ตองแตก (ทนดี) พริกไทย ดีปลี ดีเกลือฝรั่ง มะกรูด และขิง ในการบำบัดผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย โดยได้ดำเนินการแจกฟรีให้แก่ผู้ป่วยที่มารักษาในโรงพยาบาลการแพทย์ผสมผสานที่ยศเส ซึ่งผ่านการศึกษาวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าสามารถลดเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลองได้อย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งตับ จึงนำมาสู่การทดลองในระดับอาสาสมัคร คือ กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย ที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ทั้งฉายแสง คีโม จึงเปิดโอกาสให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายได้รับยาดังกล่าวที่รพ.การแพทย์ผสมผสานที่ยศเส
           
            "หลังเปิดตัวมา 20 วันได้รับความสนใจจากผู้ป่วยจำนวนมากเฉลี่ยวันละ 80-150 คน โดยรวมยอดถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557 มีผู้ป่วยเข้ามาแล้วกว่า2,000 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่สมัครใจเข้ารับการรักษาแบบให้ติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีมีจำนวน 50 ราย เป็นผู้ชาย 35 ราย ผู้หญิง 15 ราย จากการติดตามอาการเบื้องต้นพบว่า อาการดีขึ้น ลดอาการแน่นท้อง ท้องอืดได้ และยังลดภาวะท้องมานลงได้ด้วย ซึ่งในอนาคตจะติดตามว่าเซลล์มะเร็งลดลงด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ ในโครงการยังเปิดรับสมัครอีก 50 ราย เพื่อให้ได้ผลการติดตามอาการอย่างเป็นทางการ" นพ.ธวัชชัย กล่าว
           
            นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า จากการตอบรับดังกล่าว ทำให้สูตรยาเบญจอำมฤตย์ได้รับความสนใจมาก ปัญหาคือ ประชาชนแห่กันไปซื้อวัตถุดิบและนำมาผสมกันกินแก้โรคเอง ซึ่งอันตรายมาก เพราะปริมาณที่ลดเซลล์มะเร็งตับในการทดลองนั้น พบว่าต้องใช้สูตรยาเพียง 0.22 ไมโครกรัมต่อซีซี แต่ประชาชนนำไปใช้เองย่อมไม่ทราบ จึงถือว่าอันตราย ส่งผลต่อตับและไต ได้โดยตรง และอาจทำลายเซลล์อวัยวะดีส่วนอื่นๆ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม จากจุดนี้ทำให้พ่อค้า แม่ค้าหัวใสขึ้นราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะรงทอง จากเดิมราคา 300บาทต่อกิโลกรัม เป็น 800 บาทต่อกิโลกรัม ยาดำ จากเดิม 400 -500 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 600-800 บาทต่อกิโลกรัม มหาหิงค์จากเดิม 350-450 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 550 บาทต่อกิโลกรัม
         
            ภญ.ดลิชา ชั่งสิริพร หัวหน้างานแพทย์แผนไทย รพ.อู่ทอง กล่าวว่า ขณะนี้รพ.อู่ทองเป็นแหล่งผลิตในภาคกลางที่มีสต๊อกวัตถุดิบ สามารถผลิตได้ประมาณ 200,000 เม็ด ราคาตกเม็ดละ 5 บาท ซึ่งโดยรวมแล้วผู้ป่วยจะทานวันละ3-5 เม็ดต่อหม้อ โดยทานวันละ 2 มื้อ ดังนั้น จะมีราคาไม่เกินวันละ 50 บาท แม้ราคาไม่แพง แต่หากวัตถุดิบยังขึ้นราคา ที่สำคัญปัจจุบันต้องนำเข้าในตัวรงทองจากประเทศกัมพูชา ยาดำจากประเทศแอฟริกา และมหาหิงค์จากอินเดีย ก็จะทำให้วัตถุดิบยิ่งหายาก และสุดท้ายก็จะขาดตลาด ส่งผลต่อผู้ป่วยไม่มียารับประทาน จึงอยากขอให้ผู้ขายเห็นใจ อย่าขึ้นราคา เพราะโครงการนี้ทำเพื่อผู้ป่วย ในส่วนเกษตรกรอยากให้หันมาปลูกพืชสมุนไพร อย่างรงทอง ก็สามารถปลูกได้ในไทย โดยเฉพาะจ.จันทบุรี มีสภาพภูมิประเทศที่ปลูกได้ หากปลูกได้ในประเทศก็จะลดปัญหาวัตถุดิบได้ด้วย

 

 

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-03-01 18:45:11.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ฝรั่งใจคด

 

 

          
             วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2557 เป็นวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4

 

 

 

         วันพระ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

 

 

 

 

 

 

            พระธรรมเทศนา โดย พระราชธรรมนิเทศ (พยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนเเก้ว จ.นนทบุรี

 

               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

  

 

 

 

  

 

 

 

 
 

 

                                    

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                     ฝรั่งใจคด..

 

 

 


 

 

 

วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 หรือเหตุการณ์ใน พ.ศ.2436 ที่ฝรั่งเศสหาทางเขมือบสยาม ด้วยการส่งเรือรบเข้ามาปิดปากอ่าวไทยเพื่อเปิดเกมหาเรื่อง จากนั้นหมายจะกลืนกินสยามไปเป็นรัฐในอาณานิคมเช่นประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้สยามรอดพ้นหายนภัยมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

เมฆหมอกภัยสยาม เริ่มตั้งเค้าชัดเจนเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2436 รัฐบาลไทยได้รับคำเตือนจากฝรั่งเศสว่า ได้สั่งให้กองทัพเรือเดินทางจากไซ่ง่อน ประเทศเวียดนามแล้ว ถ้าเหตุการณ์ถึงคราวจำเป็น จะส่งเรือรบเข้าประชิดกรุงเทพมหานคร

ครั้น รัชกาลที่ 5 ทรงทราบ พระองค์เสด็จฯปากน้ำเจ้าพระยาโดยรถไฟขบวนพิเศษ ทอดพระเนตรป้อมปืนเสือซ่อนเล็บ ก่อนเสด็จฯ ทอดพระเนตรป้อมพระจุลจอมเกล้า สำรวจความพร้อมทหารเรือ ท่ามกลางความหวั่นวิตกของชาวกรุงเทพมหานคร เย็นวันที่ 13 กรกฎาคม 2436 เรือรบฝรั่งเศสก็เผยโฉมที่ปากน้ำเจ้าพระยา ป้อมปืนแต่ละป้อมเตรียมพร้อม ทหารเรือทุกนายพร้อมเปิดศึกไล่นักล่าอาณานิคมพ้นจากแผ่นดิน

เวลาเข้าไต้เข้าไฟประมาณ 18.05 น. วันเดียวกัน เรือรบฝรั่งเศสผ่านเข้ามาในปากน้ำเจ้าพระยา โดยมีเรือนำเข้ามาก่อน 1 ลำ ตามด้วยเรือรบ แองกองสตอง และเรือโกแมต เรียงเป็นขบวนเข้ามา แม้จะเป็นเรือรบขนาดใหญ่ พรั่งพร้อมด้วยอาวุธทันสมัย แต่หาได้ข่มขวัญทหารเรือสยามไม่ ทหารเรือสยามภายใต้การนำของพระยาชลยุทธโยธินทร์ ได้รับคำสั่งให้ยิงด้วยกระสุนนัดดินเปล่าเตือน แม้จะยิงไป 4 นัด ก็หาได้เป็นผลไม่ ตรงกันข้ามเรือรบฝรั่งกลับยิงโต้ตอบกลับมาที่ป้อมพระจุล ทำให้สยามต้องสาดกระสุนกลับไป เท่ากับเปิดยุทธนาวีท่ามกลางน่านน้ำสยาม

ด้วยแสนยานุภาพของเรือรบและอาวุธที่ทันสมัย ทำให้เรือรบฝรั่งเศสแล่นผ่านป้อมปืนได้ การแก้สถานการณ์คับขันของสยามช่วง นี้ ไกรฤกษ์ นานา ผู้ศึกษาเหตุการณ์เล่าว่า “พระยาชลยุทธฯ ติดตามเรือรบฝรั่งเศสเข้าไปในกรุงเทพฯ โดยท่านหวังจะใช้ยุทธวิธีแบบโบราณคือ แล่นเรือเข้าชนข้าศึกให้จมในเวลาค่ำมืด และเรือที่คิดจะใช้นั้นคือ เรือพระที่นั่งจักรี หากแต่ได้รับการทัดทานจากสมเด็จพระปิยมหาราชเสียก่อน การรบจึงสงบลงในชั้นแรก”

ส่วนเรือรบฝรั่งเศสนั้น แล่นเข้าไปทอดสมออยู่บริเวณหน้าสถานทูตฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมโอเรียนเต็ลในปัจจุบัน
สิ้นการสู้รบ แต่ไม่สิ้นการเยียวยา ฝรั่งเศสใช้อำนาจบาตรใหญ่ บังคับให้สยามชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งๆที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายบุกรุก กระนั้นสยามก็ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องกัดฟันจ่ายเงินชดใช้ด้วยหยาดน้ำตาแห่งความขมขื่น

ฝรั่งเศสยื่นเงื่อนไขให้สยามถอนทหารสยามที่ตั้งมั่นอยู่บนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่เกิน 1 เดือน และให้จ่ายเงิน 3 ล้านฟรังก์ โดยชำระเป็นเงินเหรียญโดยทันที เพื่อเป็นค่าสินไหมค่าปรับสงคราม และยังให้รัฐบาลสยามตอบภายใน 48 ชั่วโมง ว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่

เพื่อรักษาเอกราช ชีวิตและเลือดเนื้อประชาชนไว้ แม้สยามจะดำเนินการทูตเพื่อยืดเวลามาได้กว่า 2 เดือน ก็ต้องยอมสงบศึกกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 ปัญหาต้องแก้ไขต่อมาคือ เงินค่าสินไหมสยามจะเอาจากไหนมาชดใช้ แค่เงินสยามยังพอทำเนา แต่ฝรั่งเศสใช้วิธีพาลให้ชดใช้ด้วยเงินเหรียญเท่านั้น โชคดีที่สยามมีบุญเก่าอยู่ เพราะสมัยรัชกาลที่ 3 พระองค์ได้ค้าขายกับต่างชาติ และมีเงินเก็บไว้

การทำมาค้าขายกับนานาชาตินั้น สยามใช้เงินเหรียญเม็กซิโก หรือเงินเหรียญนก เป็นสื่อกลาง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงมีรับสั่งด้วยว่า ให้เก็บเงินเหรียญเม็กซิโกใส่ถุงแดงไว้เป็นเงินทุนสำรอง เรื่องนี้มีวรรณกรรมกระซิบด้วยว่า มีเจ้านายบางองค์กราบทูลถามว่า จะเก็บเอาไว้ทำการสิ่งใด รัชกาลที่ 3 มีพระราชดำรัสตอบเป็นทีเล่นทีจริงว่า จะเก็บไว้ไถ่บ้านไถ่เมือง

เงินถุงแดงทั้งหมดมี 3 หมื่นชั่ง เทียบกับเงินฟรังก์แล้วได้ประมาณ 2,400,000 ฟรังก์ ยังขาดอยู่อีก 600,000 ฟรังก์ จะเอาจากที่ใด กลายเป็นปัญหาขึ้นมาอีก แต่ด้วยพระบารมี รัชกาลที่ 5 ทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์และรวบรวมเงินจาก พระบรมวงศานุวงศ์จนได้ครบจำนวน

ภาพการขนเงินออกจากพระบรมมหาราชวัง กลายเป็นความจริงอันเจ็บปวดของชนสยาม

ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์

 

 

 

 

 

 

            

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วันนี้(4 มี.ค.) เฟซบุ๊ค ศูนย์ปลอดภัยคมนาคม กระทรวงคมนาคม รายงานเหตุ ยาม

ถูก การ์ดกปปส.ทำร้ายแล้วนำมาทิ้งแม่น้ำบางปะกง โดยเผยว่า ผู้เสียหาย

ชื่อนายยืม วิลล่า อายุ33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96 ม.4 ต.ท่าแฝก อ.ท่าปลา

จ.อุตรดิตร์ ทำงานเป็นยามอยู่ที่ บ.โลหะกิจกลการ ถ.ลูกหลวง กรุงเทพ

 

 

ผู้เสียหายให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ในวันที่ 24 ก.พ.57 หลังเลิกงานเวลาประมาณ 09.00 น.

ตนได้เข้าไปนั่งพักผ่อนที่สวนลุมพินีบริเวณโต๊ะหินใต้ต้นไม้ห่างจากเต้นท์การ์ด กปปส.

ประมาณ10เมตร และห่างเวที กปปส.สวนลุมประมาณ100เมตร ในระหว่างนั่งอยู่

ได้มีการ์ด กปปส.2คน เข้ามาค้นตัวพบบัตรสมาชิก นปช.ออกเมื่อปี53 จึงได้ควบคุม

ตัวไปที่เวที กปปส.สวนลุมให้นายอิสระ สมชัย แกนนำ กปปส.ทำการซักถามสอบสวน

มีการทำร้ายร่างกาย หลังจากนั้นก็นำไปมัดไว้ในเต๊นท์การ์ด

 

จนกระทั่งถึงวันที่ 1 มี.ค.57 หลังเคารพธงชาติช่วงเย็น ตนถูก การ์ด กปปส.มัดมือ มัดเท้า

และเอาผ้าปิดตา นำขึ้นรถออกเดินทางมาถึงบนสะพานทราบภายหลังว่าเวลาประมาณ 20.30 น.

และเป็นสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง ถ.บางนา-ตราด ต.ท่าข้าม อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา

 

 

 

ในขณะที่ถูกมัดมือมัดเท้าและปิดตา การ์ด กปปส.ได้นำตนโยนทิ้งล่งสู่แม่น้ำบางปะกง

เนื่องจากเป็นเวลาน้ำขึ้นจึงยังไม่เสียชีวิตในขณะที่ตะเกียกตะกายจะจมน้ำได้มีพยาน

ขับเรือผ่านมาพบได้เข้าช่วยเหลือแล้วแจ้ง จนท.อาสากู้ภัยนำตัวส่ง รพ.บางปะกง

ขณะนี้มีอาการปอดฉีก ร่างกายมีร่องรอยถูกทำร้าย นอนพักรักษาตัวที่ รพ.บางปะกง

โดยมี พ.ต.ต.สถาพร ฯ พงส.สภ.บางปะกง เป็นเจ้าของคดี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 AV2sv9.jpg [339x476px] ฝากรูป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พรรคประชาธิปัตย์เติบโตมาเพราะ วาทกรรมเหล่านี้
พรรคประชาธิปัตย์เติบโตมาเพราะ วาทกรรมเหล่านี้

 

 

 

 

 

 

 นายกฯ เยี่ยม โอทอป สกลนคร 6 มี.ค 57

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ..................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

?สลด!ป้าโรครุมเร้าแต่งตัวแต่งหน้าก่อนช็อตตัวเอง?

 

 

   สลด!ป้าโรครุมเร้าแต่งตัวแต่งหน้าก่อนช็อตตัวเอง

 

 

เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ร.ต.ท.กิตติคุณ มีศรีแก้ว ร้อยเวร สภ.เมืองนครนายกได้รับแจ้งเหตุว่ามีคนใช้สายไฟฟ้าช๊อตฆ่าตัวตายอยู่ภายในบ้านหลังหนึ่งใน ต.บ้านใหญ่อ.เมืองนครนายก จึงได้รุดไปยังที่เกิดเหตุพร้อมด้วยแพทย์เวรรพ.นครนายก และหน่วยกู้ภัยสว่างอาริยธรรมสถาน ในที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียวบริเวณในครัวพบศพ นางพรทิพย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 61 ปี เจ้าของบ้าน ลักษณะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมและแต่งหน้าทาปากสวยงามนอนหงายเสียชีวิตอยู่ สภาพมีสายไฟฟ้าที่ถูกปอกเปลือกไว้เหลือแต่ขดลวดพันติดอยู่กับข้อเท้าซ้าย ขณะที่ปลายสายไฟอีกฝั่งก็ถูกเสียบไว้กับปลั๊กไฟ แพทย์สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ชม.

 

 

 โดย นายปรีดา บุญทาสิน ผู้ใหญ่บ้าน ต.บ้านใหญ่ ให้การว่าผู้ตายนั้นเป็นลูกบ้านของตนไม่มีอาชีพอะไรเพราะอายุมากแล้ว โดยมีลูก 2 คน แต่ก็แต่งงานไปมีครอบครัวหมดแล้ว ผู้ตายจึงอยู่คนเดียว อีกทั้งผู้ตายมีโรคประจำตัวหลายโรคด้วย เช่น พาร์กินสัน ความดัน และอัมพฤกษ์ คาดว่าน่าจะเกิดจากความเครียดจึงคิดสั้นด้วยการใส่เสื้อผ้าใหม่เอี่ยมและแต่งหน้าทาปากสวยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะนำขดลวดสายไฟที่ปอกสายหุ้มแล้วมาพันที่ข้อเท้า จากนั้นก็เสียบปลั๊กเพื่อให้ไฟฟ้าไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายดังกล่าว ซึ่งจะประสานลูกหลานนำศพไปบำเพ็ญกุศลตามศาสนาต่อไป.

 

 

 

โดย : ศาสนาจารย์ ดร. วิชาญ ฤทธิ์นิมิต

        ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้  วันที่ 13 เมษายนของทุกปีเป็น  "วันผู้สูงอายุแห่งชาติ"  โดยได้เล็งเห็นชอบให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษเนื่องในโอกาสดังกล่าว  มาตั้งแต่ปี 2526   และในปีนี้ได้กำหนดให้เดือนเมษายน เป็นเดือนแห่งการจัดงานแห่งวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี 2551 โดยกำหนดหัวข้อการจัดงาน "เตรียมความพร้อมไม่ต้องเดี๋ยว เผลอแป๊ปเดียวก็สูงวัย"เพื่อเป็นกรอบแนวทางให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันจัดกิจกรรม  โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อรณรงค์ให้สังคมตระหนักในคุณค่าของผู้สูงอายุ  และการเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ  นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุแสดงบทบาท  สูงวัยอย่างมีพลัง (Active ageing) อีกด้วย

       สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ  จึงได้ส่งเสริมสนับสนุนและเผยแพร่ให้ข้าราชการและพนักงานในสังกัด ตลอดจนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมได้เห็นถึงความสำคัญและใส่ใจดูแลผู้สูงอายุให้มากขึ้น เนื่องจาก "ผู้สูงอายุ"  จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย สมอง อารมณ์ และสังคม ดังนั้น  หากบุตรหลานและผู้ใกล้ชิดเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และเอาใจใส่ดูแลให้มากขึ้น  ก็จะช่วยให้ผู้สูงอายุปรับตัวเข้าสู่วัยสูงอายุได้อย่างมีความสุข

       "ผู้สูงอายุ" คำนิยามในทางการแพทย์และสาธารณสุข คือ ผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งโดยปกติร่างกายของสิ่งมีชีวิต จะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไปในทางที่เสื่อมลง ตั้งแต่อยู่ในวัยกลางคน แต่จะเห็นเป็นลักษณะของความเสื่อมอย่างชัดเจน ตั้งแต่อายุประมาณ 40 กว่าปีเป็นต้นไป

       ผู้สูงอายุ จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกาย เนื่องจากความสูงอายุ ซึ่งแต่ละคน จะมีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสุขภาพและการใช้ชีวิตในวัยที่ผ่านมา  ร่วมกับผู้สูงอายุบางคนมีโรคประจำตัว ซึ่งทำให้สมรรถภาพของร่างกายเสื่อมถอยลงไป จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดในการดูแลผู้สูงอายุคือ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้สามารถใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุข มีอิสระที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพตามที่ตนต้องการ ถึงแม้สภาพร่างกายจะเสื่อมถอยไป  และมีโรคเรื้อรังต่าง ๆ อยู่ก็ตาม เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ดังกล่าวนี้ การดูแลผู้สูงอายุจะต้องเน้นที่จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ร่วมกับส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ตามที่สภาพร่างกาย จิตใจ และเวลาเอื้ออำนวย โดยยึดหลัก 11 อ.เพื่อสุขภาพกายใจที่ดี ดังนี้

1. อาหาร
       ความต้องการพลังงานลดลง แต่ความต้องการสารอาหารต่าง ๆ ยังใกล้เคียงกับวัยผู้ใหญ่  ผู้สูงอายุควรลดอาหารประเภทไขมัน (น้ำมันจากสัตว์ และพืช  ไข่แดง เนย) และประเภทคาร์โบไฮเดรต (ข้าว แป้ง  และน้ำตาล)ผู้สูงอายุควรได้รับอาหารโปรตีน หรือกลุ่มเนื้อสัตว์ ประมาณ 50-60 กรัมต่อวัน หรือประมาณมื้อละ 2 ช้อนโต๊ะ ควรเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย พวกปลาจะดีที่สุด ผู้สูงอายุกินไข่ขาวได้ไม่จำกัด แต่ควรกินไข่แดงไม่เกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์  ผู้สูงอายุควรกินผักมาก ๆ ทั้งผักที่ใช้ใบ หัว และถั่วต่าง ๆ ผลไม้รับประทานได้มากเช่นกัน  แต่ควรเลือกผลไม้ที่ไม่หวานจัด ผลไม้ที่หวานจัดเช่น กล้วยสุก มะม่วงสุก ทุเรียน ลำไย ควรรับประทานแต่น้อย  เพราะถ้ารับประทานมาก  อาจจะทำให้เกิดโรคตามมาได้ เช่น
เบาหวาน เป็นต้น

2. ออกกำลังกาย
      
ผู้สูงอายุควรออกกำลังกายประมาณสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายมีความคล่องตัว แข็งแรง  ซึ่งจะทำให้การทรงตัว และการเคลื่อนไหวดีขึ้น ไม่หกล้มง่าย

3. อนามัย
      
คือ การดูแลตนเองโดยเฉพาะให้พยายาม ลด ละ เลิก สิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น บุหรี่ เหล้า และพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ  รวมทั้งสังเกตการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย  การขับถ่าย เป็นต้น  และควรได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่อายุประมาณ 65 ปี เป็นต้นไป

4. อุจจาระ ปัสสาวะ
       
จะต้องให้ความสนใจการขับถ่ายของผู้สูงอายุด้วยว่ามีปัญหาหรือไม่ บางรายอาจจะเกิดปัญหาถ่ายยาก ถ่ายลำบากอีกส่วนหนึ่งอาจมีปัญหาเรื่องกลั้นการขับถ่ายไม่ได้ ซึ่งแต่ละปัญหาจะต้องให้การดูแลแก้ไขไปตามสาเหตุ

5. อากาศ และแสงอาทิตย์
      
จะเน้นให้อยู่ในสถานที่ ๆ มีสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่เหมาะสม

6. อารมย์ อดิเรก อนาคต และอบอุ่น
       เป็น 4 อ. ที่เน้นทางด้านความรู้สึกนึกคิด และจิตใจของผู้สูงอายุ เพื่อช่วยให้การมีชีวิตอยู่แต่ละวันมีความสุข มีความรื่นรมย์กับการมีชีวิตอยู่   และมีคุณภาพชีวิตที่ดี   ควรเข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ   และปรับความรู้สึกนึกคิดไปตามนั้น ไม่ยึดแต่ลักษณะเก่า ๆ ดั้งเดิมที่เคยเป็นมา ควรมีงานอดิเรกที่น่าสนใจ แต่ไม่ควรเป็นสิ่งที่เป็นภาระมากนัก เช่น ถ้าอยู่คนเดียวก็ไม่ควรเลี้ยงสัตว์จำนวนมาก   เพราะจะเป็นภาระในการซื้อหา และให้อาหาร  และถ้าสัตว์เจ็บป่วย  เสียชีวิต ก็จะเกิดความสลดหดหู่ และจิตใจเศร้าหมองได้   ผู้สูงอายุควรคิดถึงอนาคตด้วย   และควรพยายามเข้าร่วมในสังคมกลุ่มต่าง ๆ  ตามสมควร การมีเพื่อนรุ่นเดียวกัน หรือต่างรุ่น จะทำให้มีความอบอุ่น และรู้สึกถึงคุณค่าของตน

7. อุบัติเหตุ
      
เกิดขึ้นได้ทุกขณะ และอาจทำให้เกิดความบาดเจ็บ และความพิการต่างๆ ได้ ควรพยายามดูแลสภาพบ้านเรือนให้ปลอดภัย มีแสงสว่างพอเหมาะ พื้นไม่ลื่น หรือควรมีราวจับในบางแห่งที่เกิดอุบัติเหตุได้บ่อย ๆ เช่น ห้องน้ำ เป็นต้น

       ทั้งหมดนี้เป็นหลักการเบื้องต้น ในการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งแต่ละคนจะมีปัญหาแตกต่างกันไป ดังนั้น จะต้องปรับการดูแลให้เหมาะสม หลักสำคัญก็คือ ต้องให้ท่านเหล่านั้นสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง โดยพึ่งพาผู้อื่นน้อยที่สุด และมีความสุขกายสบายใจในบั้นปลายของชีวิต ดังคำที่ว่า "เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลาน"

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.elip-online.com

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    ชี้ต้านรัฐบาลปลุกไม่ขึ้น กองทัพหวั่นพังทั้งแผง

 

 

 

 

 

 

 

 อีโคโนมิสต์วิเคราะห์กลุ่มต่อต้านรัฐบาลชัตดาวน์แผนปิดกรุงเทพ เหตุปลุกกระแสไม่ขึ้น ขณะกองทัพโบ้ยทำรัฐประหาร เพราะกลัวแผงอำนาจเก่าถูกตีโต้ แพ้ทั้งกระดาน

ในวันอาทิตย์ เว็บไซต์นิตยสาร The Economist เผยแพร่บทวิเคราะห์วิกฤตการเมืองไทย เรื่อง "ชัตดาวน์แผนปิดกรุงเทพ" ชี้ว่า กลุ่มต่อต้านรัฐบาลถูกกดดันให้ยุติการปิดกรุงเทพ ล่าถอยเข้าไปปักหลักประท้วงในสวนลุม เพราะกองทัพปฏิเสธที่จะเข้ายึดอำนาจ ขณะยังไม่แน่ชัดว่าองค์กรอิสระจะชี้มูลความผิดนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในโครงการรับจำนำข้าว หรือไม่

บทวิเคราะห์ บอกว่า การปฏิวัติประชาชน ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ล้มเหลวลงแล้ว และคงไม่สามารถฟื้นกระแสกลับมาได้อีก หลังพยายามกำจัดอิทธิพลของตระกูลชินวัตรมานานสี่เดือน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 490,000 ล้านบาท

รายงานบอกว่า ก่อนหน้านายสุเทพล่าถอยไม่กี่วัน ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาเตือนนายสุเทพ และกลุ่มพลังที่สนับสนุนเขา ทั้งในกองทัพ, ระบบราชการ, ศาล และสถาบันชั้นสูง ว่า กองทัพจะไม่ทำรัฐประหาร นั่นเป็นเพราะกองทัพกลัวการตอบโต้จากคนเสื้อแดงในปีกฮาร์ดคอร์

อีโคโนมิสต์ระบุว่า ความรู้สึกในหมู่คนเสื้อแดงได้เปลี่ยนไปอย่างน่าตระหนกนับแต่ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ว่า การประท้วงของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเป็นไปอย่าง "สันติ" และมีคำสั่งห้ามตำรวจใช้กำลังสลายผู้ชุมนุม สร้างความคับแค้นแก่คนเสื้อแดง และส่งสัญญาณไปยังปีกฮาร์ดคอร์ว่า พวกเขาอาจต้องจับอาวุธแบบเดียวกันบ้าง และหากเกิดการรัฐประหาร ไม่ว่าโดยกองทัพหรือโดยศาล เป็นต้องเห็นดีกัน



เวลานี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังจะไต่สวนนางสาวยิ่งลักษณ์ในเรื่องโครงการรับจำนำข้าว หากถูกชี้มูลความผิด ตัวเธอและแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคนอาจถูกถอดถอนพ้นตำแหน่ง และตัดสิทธิ์ทางการเมืองนาน 5 ปี คดีนี้ยังเป็นคำถามปลายเปิด ยังไม่แน่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

นิตยสารวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศฉบับนี้ บอกอีกว่า การพูดว่าการปฏิวัติของนายสุเทพเป็นการตอบสนองเสียงเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการเห็นการปกครองที่ดีกว่า นับเป็นความคิดที่พิลึกพิลั่น ไม่อาจเข้าใจได้ ความคิดแบบนี้สะท้อนให้เห็นบนป้ายหน้าเต้นท์ในสวนลุม กองบัญชาการปฏิวัติแห่งใหม่ โดยมีข้อความว่า "พวกฝรั่งโปรดเข้าใจว่า เรากำลังปฏิรูปประชาธิปไตย พวกคุณมีประชาธิปไตยในแบบของคุณ ขอให้เรามีประชาธิปไตยในแบบของเรา"

บทวิเคราะห์ระบุว่า ถ้าการปฏิวัติของนายสุเทพสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาเอาชนะได้ นั่นจะเป็นเรื่องน่าตระหนก แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ การตอบโต้ต่อขบวนการของเขา นายสุเทพอ้างตัวเป็นผู้ปกป้องประเทศชาติและราชบัลลังก์ แต่อีกมุมมองหนึ่งมองว่า เขากำลังพยายามปกป้องอำนาจของชนชั้นนำตามจารีต ที่จะควบคุมทรัพยากรของประเทศ ต่างหาก เป็นความมุ่งหมายที่จะรักษาสถานะเดิมที่การอภิวัตน์ พ.ศ.2475 เคยพยายามจะเอาชนะมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ

"ดูเหมือนกองทัพเริ่มตระหนักแล้วว่า ความพยายามของนายสุเทพที่จะรักษาบทบาทของพลังอำนาจเก่า อาจถูกตอบโต้ ดังนั้น เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่รอดได้ การก่อกบฏของเขาควรหดตัวเข้าไปอยู่ในสวนสาธารณะ" บทวิเคราะห์กล่าวสรุป.


Source : The Economist  และ http://news.voicetv.co.th/thailand/98824.html
                3 มีนาคม 2557

 

 

"หดตัวเข้าไปอยู่ในสวนสาธารณะ นี่เค้าเปรียบเป็นตัวอะไรคับเนี่ย ............."

     

 

                  

 

 

 

 

                 ปลดเเอกสตรี

 

 

 

 

                                              

 

 

 

    คุณเคยลองนึกบ้างไหมว่า ผู้ที่จะใช้คำว่า "เด็กชาย" หรือ "เด็กหญิง" นำหน้าจะต้องมีอายุตั้งแต่เท่าใดถึงเท่าใด และผู้ที่จะใช้คำว่า "นาย" และ "นางสาว" นำหน้าจะต้องมีอายุตั้งแต่เท่าใดขึ้นไป

        แน่นอน...ไม่ต้องกังวลเลยเพราะบทนิยามต่างๆต่อไปนี้ จะทำให้คุณหายส งสัยได้อย่างปลิดทิ้ง

 

        บทนิยามความหมายของคำว่า "เด็กชาย" และ "เด็กหญิง" ได้มาจากพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ ซึ่งได้ให้บทนิยามของคำว่า "เด็ก" "เยาวชน" และ "ผู้ใหญ่" ไว้ดังนี้

        "เด็ก" หมายความว่า "บุคคลอายุเกินกว่าเจ็ดปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่เกินกว่าสิบสี่ปีบริบูรณ์."

        "เยาวชน" หมายความว่า "บุคคลอายุเกินกว่าสิบสี่ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ แต่ไม่ได้หมายถึงบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะแล้วด้วยการสมรส".

        "ผู้ใหญ่" หมายความว่า "บุคคลอายุสิบแปดปีบริบูรณ์แล้ว".


        เพราะฉะนั้น "เด็กชาย" และ "เด็กหญิง" ถ้าหากกำหนดอายุไว้ว่า จะต้องมีอายุต่ำกว่า ๑๕ ปีบริบูรณ์ลงมา ปัญหาเรื่อง "ช่องว่าง" ระหว่าง "เด็กชาย" "เด็กหญิง" กับ "นาย" "นางสาว" ก็คงจะหมดไปและใช้คำนำหน้าที่สมวัยได้ดังนี้

        "เด็กชาย น. คำนำหน้าชื่อเด็กผู้ชายที่มีอายุไม่ถึง ๑๕ ปีบริบูรณ์."
        "เด็กหญิง น. คำนำหน้าชื่อเด็กผู้หญิงที่มีอายุไม่ถึง ๑๕ ปีบริบูรณ์."
        "นางสาว น. คำนำหน้าชื่อหญิงที่มีอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไปและยังไม่มีสามี."
        "นาง น. ...; คำนำหน้าชื่อหญิงผู้มีสามีแล้ว."
        "นาย น. คำนำหน้าชื่อชายที่มีอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป.

 

 

ความเป็นมา


เดิมการใช้คำนำหน้านามของหญิงไทย ถือปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาให้ใช้
คำนำหน้านามสตรี พ.ศ. 2460 โดยผู้หญิงถ้ายังไม่มีสามีให้ใช้คำนำหน้านามว่า “นางสาว” และหากมีสามีแล้วให้ใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” ตลอดไปทำให้เกิดปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในหลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องการประกอบอาชีพ การหางานทำ ผู้ที่ใช้คำนำหน้าว่า “นาง” มักจะถูกปฏิเสธการจ้างงาน เนื่องจากมีสามีมาแล้ว เรื่องการทำนิติกรรมต่างๆ ต้องได้รับความยินยอมจากสามี ในขณะที่สามีไม่ต้องรับความยินยอมจากภรรยา

 

หรือในเรื่องการศึกษาของบุตร เป็นต้น ซึ่งขัดกับหลักการสิทธิมนุษยชน หรืออนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) ที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคี และต้องถือปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ หรือแม้กระทั่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติรับรองว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องเพศกระทำมิได้ ก็ตาม

 

ในปี 2550 ได้มีการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง
พ.ศ. ... เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเสนอโดยรองศาสตราจารย์จุรี วิจิตรวาทการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติกับคณะและได้ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2551 จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 120 วัน นับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (วันที่ 4 มิถุนายน 2551)

 

  • วัตถุประสงค์
    1. เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญ
    2. และเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและความเสมอภาคระหว่างหญิงและชาย

  • สาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้ สรุปได้ดังนี้
    1. เป็นกฎหมายที่ให้ทางเลือกกับผู้หญิงที่สมรส ในการเลือกใช้คำนำหน้านาม ตามความสมัครใจ ซึ่งจะสอดคล้องกับการเลือกใช้นามสกุลตามกฎหมายว่าด้วยชื่อบุคคล

    2. หญิงที่อายุ 15 ปีขึ้นไป และยังไม่ได้สมรส ให้ใช้คำนำหน้านามว่า “นางสาว”
    3. หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้วจะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ตามความสมัครใจ โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
    4. หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว ต่อมาการสมรสสิ้นสุดลงจะใช้คำนำหน้านาม
    ว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ตามความสมัครใจโดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติฯ

 

 

 “นาง” “นางสาว” สำคัญต่อหญิงไทยอย่างไร

 

โดยนายสุริยะ วิริยะสวัสดิ์ รองอธิการวิทยาลัยการปกครอง

           

 

 

   - คำว่า “นาง” “นางสาว” ตามกฎหมายเรียกว่า “คำนำหน้านามสตรี”

              - คำนำหน้านามของไทยจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภท

                   - คำนำหน้านามบุรุษ

                   - คำนำหน้านามสตรี

                   - คำนำหน้านามเด็ก

                   - คำนำหน้านามตามยศ ชั้นบรรดาศักดิ์

                       ทั้ง 4 ประเภทจะต้องมีบันทึกลงในทะเบียนบ้าน

 

              - ในที่นี้จะกล่าวถึง คำนำหน้านามสตรีในชนชั้นทั่วไป เพราะมีความเป็นมาและเกี่ยวข้องกับบริบทการเมืองและวัฒนธรรมของประเทศมาโดยตลอด

              - ก่อนสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จะมีคำนำหน้านามของสตรีว่า “อี” ซึ่งคำ ๆ นี้ในสมัยก่อนไม่ใช่คำหยาบ และบางครั้งสำหรับสตรีที่อายุยังไม่มากจะเรียกว่า “อำแดง” เช่น อำแดงเหมือน อำแดงเขียว เป็นต้น

 

              - ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ปี พ.ศ.2460 เห็นว่าการมีคำนำหน้านามสตรีอย่างนั้น ดูจะสับสนไม่เป็นระเบียบ และเป็นการยกย่องฐานะของความเป็นครอบครัว พระองค์ท่านจึงทรงให้มีการวางระเบียบ คำนำหน้านามสตรีให้ชัดเจน สำหรับหญิงทั่วไป เว้นแต่ผู้อยู่ในราชตระกูลหรือได้รับบรรดาศักดิ์ราชทินนาม

 

              - ถ้ายังไม่มีสามีใช้คำว่า “นางสาว” เป็นคำนำหน้านามชื่อ ตัวอย่างเช่น “นางสาวอบ เอกะวัต”เป็นต้น

 

              - ถ้าเป็นผู้ที่มีสามีแล้วโดยสามีไม่มีหรือมีบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าพระยาลงมาใช้คำว่า “นาง”

 

              - แต่ถ้าหากมีสามีที่มีบรรดาศักดิ์ “พระยา” ขึ้นไปก็จะใช้คำว่า คุณหญิงหรือท่านผู้หญิง ตามลำดับชั้นบรรดาศักดิ์ของสามี

 

              - คำนำหน้านามสตรีคำว่า “นาง” “นางสาว” จึงมีใช้มาตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา

 

              - ต่อมาเมื่อสังคมให้ความสำคัญความเท่าเทียมกันทาง “เพศ” ไม่ว่าเพศหญิง/ชายอย่างในปัจจุบันก็มีการเรียกร้องให้มีการปรับปรุงคำนำหน้าสตรีเพราะบ่งบอกถึงว่า มีสามีหรือไม่มีสามี โดยฝ่ายชายมีแต่ “นาย” ไม่บอกว่าแต่งงานหรือไม่ ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็น “2 มาตรฐาน” คือ มาตรฐานชายไทยและหญิงไทย

 

 

    - เสียงบางเสียงของสตรีก็เสนอแนะว่า ฝ่ายชาย จะต้องมีคำนำหน้านาม “นายหนุ่ม” ในกรณีที่ยังไม่แต่งงาน แต่ถ้าแต่งงานแล้วต้องใช้ “นาย”  มาตรฐานเดียวกันกับผู้หญิง

 

              - จนในที่สุดบทสรุปจบไปเป็นพระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ.2551 เมื่อเดือนมิถุนายน 2551 โดยหลักของกฎหมายให้สตรีที่ยังไม่แต่งงานใช้ “นางสาว” และสามารถเลือกใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ หากแต่งงานแล้ว และหากหย่าร้างหรือหม้าย จากที่ใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ “นางสาว” ได้เช่นเดิม

 

              - สถิติการขอเปลี่ยนแปลงคำนำหน้านามเมื่อ พ.ร.บ. นี้ใช้ครบ 1 ปี ปรากฏว่า ถ้าไม่นับรวมผู้ขอยื่นเปลี่ยนคำนำหน้านามอื่น ๆ เช่น ยศ แต่เฉพาะของใช้ “นาง” “นางสาว” มีผู้ขอยื่นเปลี่ยนแปลงประมาณ 430,000 ราย

 

              - ขอแก้ไขจาก “นางสาว” มาเป็น “นาง”  170,000 ราย หรือร้อยละ 40

              - ในขณะที่ขอแก้ไขจาก “นาง” มาเป็น “นางสาว” 260,000 ราย หรือร้อยละ 60

              - แสดงให้เห็นความตื่นตัวของสตรีในยุคประชาธิปไตยเบ่งบานที่สังคมมีความเท่าเทียมกันทางเพศ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

3 มี.ค.57 น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวในรายการ "ช่วยได้ ช่วยกัน" ทาง เอฟเอ็ม 101.0 ถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี อาจต้องหยุดปฏิบัติหน้า หากถูกคณะกรรมกมรป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดจากโครงการรับจำนำข้าว ว่า การหยุดปฏิบัติหน้าที่ คือเขายังไม่พ้นจากหน้าที่ หมายความว่าทำงานไม่ได้ แต่มีรองนายกฯ ที่สามารถทำงานแทนได้ ส่วนนี้ต้องดูตามข้อเท็จจริง แต่ระหว่างที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ป.ป.ช.ก็จะส่งศาลฏีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อลงโทษทางอาญา หรือถอดถอนให้พ้นจากหน้าที่ ซึ่งตรงนี้ถ้าหากตัดสินออกมาให้พ้นหน้าที่ นายกฯ พ้นไปคนเดียว ก็ต้องไปหมดทั้งคณะ เป็นคนละเรื่องกับการหยุดปฏิบัติหน้าที่

 

ทั้งนี้ ช่วงระยะต่อไปภายใน 60 วันต่อไปนี้ อะไรจะเกิดก็ได้ทั้งนั้นในแง่กฏหมาย แต่ถ้าจะพูดถึงเหตุการณ์ข้างนอกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่อาจเกิดเรื่องขึ้นมาก่อนก็ได้ ในการที่จะทำให้นักการเมืองพวกนี้พ้นไป หรือว่ามีปัญหารุนแรงในบ้านเมือง ดังนั้น สถานการณ์ขณะนี้มี 2 เรื่อง ที่ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด คือ เรื่องในแง่กฏหมาย กับเรื่องเหตุการณ์จริง

 

 

 

 

 

                           

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                    10 มหาเศรษฐี ระดับโลก ที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย

 

        
เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงนะครับ คำว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น บางครั้งไม่ต้องจบระดับปริญญาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ เพียงแค่มีโอกาส ความเชื่อ และความพยายาม  ตัวอย่าง 10 คนดัง ต่อไปนี้ที่ก้าวข้ามคำว่าใบปริญญาและประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่ตนเองได้เลือกเอง

1. ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Virgin
ด้วยภาพลักษณ์นักธุรกิจนอกกรอบ ตำราไหนว่าแน่พี่ขอแหก เสาะแสวงหาความท้าทาย ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 มาเอาดีด้วยการทำนิตยสารสำหรับนักเรียนเป็นธุรกิจ ค่อยๆ ขยายธุรกิจอื่นๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สายการบิน เป็นเพลย์บอยแถมรวยภาพที่ปรากฏก็เลยแสบๆ อย่างที่เห็น

2. โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Channel
เธอเกิดมากำพร้า เริ่มอาชีพเป็นเพียงช่างเย็บผ้า ในยุคที่สตรีต้องตัดชุดสตรีเท่านั้น แชนแนลผลักดันตัวเองอย่างกล้าหาญด้วยการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและผสมผสานเนื้อผ้า สร้างเอกลักษณ์ให้ผลงานของเธอ แต่ที่สร้างชื่อให้เธอเป็นที่จดจำตลอดกาลคือ คือ น้ำหอม แชนแนลหมายเลข 5 อันโด่งดังนั่นเอง

3. ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell
ไปไหนก็จะเห็นคอมพิวเตอร์-โน้ทบุ๊คยี่ห้อ Dell กันใช่ไหม ผู้ก่อตั้งคือ ไมเคิล เดลล์ เขาหยุดเรียนตั้งแต่อายุ 19 มาก่อตั้งบริษัท PC's Limited ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc และผันตัวเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก ในปี 1996 เดลล์ได้มอบทุนให้มหาลัยเทกซัสจำนวน 50 ล้านเหรียญ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) เพื่อยกระดับสุขภาพและการศึกษาของเยาวชน

4.เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) : ผู้ก่อตั้ง Ford Motor
เขาออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปีเพื่อเป็นช่างยนต์ ภายหลังก่อตั้ง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ดำเนินอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ซึ่งรถที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือรุ่น Ford Model T ผลกำไรทำให้ขยายกิจการ และริเริ่มวางสายการผลิตแบบอัตโนมัติ

5. บิล เกตส์ (Bill Gates) : ผู้ก่อตั้ง Microsoft
ติด อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 1995 - 2006 ช่วงวัยรุ่นหยุดเรียนเพราะมุ่งมั่นมากที่ จะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ ชื่อความหมายเล็กจิ๋วว่า บริษัทไมโครซอฟท์ รวยล้นฟ้าแล้วยังใจบุญ เพราะครอบครัวบิลก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ คอยช่วยเหลือด้านการศึกษาและสุขภาพแก่คนทั้งโลก

6. สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) : ผู้ก่อตั้งและสร้างความยิ่งใหญ่ ให้แบรนด์ Apple
เรียนมหาวิทยาลัยได้เทอมเดียวก็ไปทำงานให้กับ บริษัท อาตาริ ก่อนที่จะควบรวมเป็น บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ แต่ชื่อมันยาว เดี๋ยวนี้เลยตัดเหลือเพียง แอปเปิ้ล แบรนด์ล้ำๆ ที่ทำให้คนทั้งโลกคลั่ง กับผลงานล่าสุดอย่าง iPad และ iPhone 4 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อปส์เคยเป็น CEO ให้ Pixar ก่อนที่จะควบรวมกับ วอลท์ ดีสนีย์

7. เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) : ผู้กำกับระดับออสการ์
หยุด เรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงานผู้ช่วย ก็ผันมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลายเป็นตำนาน อย่าง คนเหล็ก 2, ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D สุดอลังการอย่าง อวาตาร

8.เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) : นักร้องซุปเปอร์สตาร์ หลุดโลก
กว่าจะเป็นราชินีเพลงป๊อปแดนซ์และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลกคนนี้ เธอหัดเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เริ่มเขียนโน้ตเปียโนตอน 13 พออายุ 17 ปีก็แต่งเพลงเอง จนกระทั่งปีสองเทอมสอง เธอหยุดเรียนและหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความสำเร็จในชื่อ "เลดี้ กาก้า" ที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง "เรดิโอ กา ก้า"

9. ไทเกอร์ วู๊ดส์ (Tiger Woods) : อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก
เล่นกอล์ฟตั้งแต่เดินได้ โชว์วงสวิงให้โลกตะลึงตอนอายุ 2 ขวบ เอาชนะพ่อตัวเองได้ตอน 11 ขวบ หลังจากคว้าแชมป์รายการดังมากมาย จึงตัดสินใจหยุดเรียนและเปลี่ยนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ขณะอยู่ปี 2 ผูกขาดตัวเองเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมานานหลายปี

10. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) : ผู้ก่อตั้ง Facebook
ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่คนทั้งโลกติดกันงอมแงม พัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากที่เฟสบุ๊คได้รับความนิยมและทำเงินมหาศาล ก็หยุดเรียน เพื่อเป็นผู้บริหารของเฟสบุ๊คเต็มตัว ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก

*จะดีมั้ยถ้าประเทศไทย วัดคุณภาพคนและคุณภาพงาน จากตัวตนและผลงานของคนๆนั้นจริงๆ โดยไม่ดูที่ใบปริญญา?!?

ที่มา: 
http://board.postjung.com/655852.html

 

                                           ลิงทะโมน

 

 

 

นับเป็นเรื่องที่ดีมาก เรื่องจริงของ คุณพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ:ดังนี้

       

มีคนเล่าให้ฟังว่า... สมัยก่อน...คุณพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ...ศิลปินเพลงเพื่อชีวิต..
> แกอยู่ในป่า...กับเพื่อน 5 - 6 คน...ทุกวันก็จะเปลี่ยนเวรกัน...ล่าสัตว์ป่า...มาทำอาหาร.
> วันหนึ่ง...เป็นเวรของคุณพงษ์เทพ  คว้าปืนยาว...สะพายบ่า.เดินเข้าป่าไป...
> อาหารโปรดของคุณพงษ์เทพ.....คือแกงเนื้อลิง...
> พอเดิน เข้าป่าไปได้สักพัก. เห็นลิงตัวหนึ่ง...นั่งอยู่บนต้นไม้...หันหลังให้..
> แกก็รีบยกปืนประทับบ่า...ยิงเปรี้ยง...ไปที่ตัวลิง..
> เหตุการณ์แปลกประหลาดได้เกิดขึ้น...
> ปกติ...ลิงพอถูกยิง..จะหล่นตุ๊บ...จาก ต้นไม้ทันที... แต่ลิงตัวนี้...นั่งจับกิ่งไม้เฉย...ไม่หล่นลงมา...
> จะว่ายิงไม่ถูก...ก็ไม่น่าเป็นไปได้...เพราะคุณพงษ์เทพ...แกยิงปืนแม่น...
> ระยะแค่นี้ เป้าใหญ่ขนาดนี้...ไม่พลาดแน่นอน...
> ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น...ลิงตัวที่ถูกยิง...ร้องโหยหวน...เสียงดังมาก.....
> ฝูงลิงที่แยกย้ายกันออกหากินอยู่บริเวณใกล้ ๆ ... วิ่งแห่กันเข้ามาหาลิงตัวที่ถูกยิง
> แล้วร้องโหยหวน...เหมือนกันหมด...
> แกตกใจ...ยืนตกตะลึง...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...
> สักครู่...ลิงตัวที่ถูกยิง. โยนวัตถุเล็กๆ...สีดำ ๆ..ชิ้นหนึ่ง...ให้กับลิงตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด...
> แล้วก็หล่นตุ๊บ...ลงมาจากต้นไม้...
> คุณพงษ์เทพ...รีบวิ่งไปดู...ลิงถูกยิงเข้าที่หลัง... ทะลุหน้าอก...เลือดแดงฉาน..เต็มตัว...
> คุณพงษ์เทพเห็นแล้ว...ต้องเบือนหน้าหนี...
> ลิงที่ตกลงมาเป็นลิงแม่ลูกอ่อน...ขณะที่ถูกยิง.เธอกำลังให้นม ลูก...
> ลูกตัว น้อย...กำลังดูดนมอย่างมีความสุข...

 

> ทันทีที่ถูกยิง..ถ้าเป็นลิงตัวอื่น... จะหล่นตุ๊บ...ลงจากต้นไม้.....
> แม่ลิงตัวนี้...ยังหล่นไม่ได้...ยังตายไม่ได้..
> เพราะเธอยังมีภารกิจใหญ่หลวงที่ต้องทำ...คือ...
> รักษาชีวิตลูกน้อย...ให้พ้นอันตราย...
> เธอกัดฟัน...โหนกิ่งไม้ไว้.แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจ...
> มองดูเลือดที่ไหลหยดเป็นทาง ด้วยความตกใจ...
> พยายามรวบรวมพละกำลังที่ยังพอมี! เหลือทั้งหมด...
> ตะโกนสุดเสียง...ร้องเรียก.ฝูงลิงเข้ามาใกล้ๆ..
> แล้วก็ฝากฝัง...ให้เลี้ยงลูกน้อยแทนเธอ
> หลังจากโยนลูกให้จ่าฝูงแล้ว...มองดูลูก...ถูกพาไป จนลับสายตาแล้ว.. แน่ใจว่า...ลูกปลอดภัยแล้ว...
> จึงหลับตา...แล้วหล่นลงมา.....ตาย.. คุณพงษ์เทพ...ก้มมองหน้าลิง..แล้วร้องไห้...
> เพราะที่เบ้าตาลิง...มีหยดน้ำตาใส ๆ. กำลังไหลริน...
> คุณพงษ์เทพ..รีบเดินกลับที่พัก...เอาปืนไปเผาทิ้ง...ไม่ยอมออกล่าสัตว์อีกเลยตลอดชีวิต..
> และภาพความรักที่ยิ่งใหญ่..ของแม่ลิง...ที่มีต่อลูกน้อย ......
> เป็นแรงบันดาลใจ. ให้พงษ์เทพ...แต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง...
> ชื่อว่า... ' ลิงทะโมน... '
> เพื่อยกย่อง...เชิดชู...คุณค่าของความรัก...ที่แม่...มีต่อลูก

 

 

              

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 นี่คือลายมือนายกรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ ชิณวัตร"


 

 

 

 

 

 

"ภารกิจเร่งด่วน ศาลฎีกา" คือการมาช่วยม็อบเก็บของ????.ฮุก[XXX].!!!

เวทีราชประสงค์ตอน 9.40เห็นมีรถHino ของศาลมาช่วยขนของ ชาวบ้านก็เลยถ่ายรูป เก็บภาพมาแชร์กัน

 

 

 

 

 

 

[Image: 1781988_664718553569355_694560705_n.jpg] 

 

 

 

 

 

 

 

    

guest
ArjanPong

Post : 2014-02-24 20:35:56.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  วันนี้วันพระ

 

 

 

 

 

 

 วันศุกร์ ที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นวันแรม 14 ค่ำเดือน 3

 

      วันพระ

 

 

 

 

 

 


 

                               

                              

ราหุล ! กระจกเงามีไว้สำหรับทำอะไร ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
กระจกเงามีไว้สำหรับส่องดู พระเจ้าข้า !
ราหุล ! กรรมทั้งหลาย ก็เป็นสิ่งที่บุคคลควรสอดส่อง
พิจารณาดูแล้ว ๆ เล่า ๆ เสียก่อน จึงทำลงไป
ทางกาย, ทางวาจา หรือ ทางใจ
ฉันเดียวกับกระจกเงานั้นเหมือนกัน.

จูฬราหุโลวาทสูตร ม.ม. ๑๓/๑๒๓/๑๒๖

 

 

  

 

 

                  

 

 

 

 

             

 

 

 

 

 

 

                      

 

 

 

 

ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า วันที่ 26 ก.พ. มีสมาชิกยูทูบใช้ชื่อว่า anon asianleak

 

โพสต์คลิปเผยแพร่ภาพวิดีโอ นาทีแกนนำกปปส. อย่างน้อย 2 คน คือ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และนางทยา ทีปสุวรรณ

 

ร่วมกันเป่านกหวีดไล่คุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร

 

อดีตภริยาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม 
 
 ใน คลิปยังเห็นภาพขณะนายณัฏฐพลได้ผลักชายคนหนึ่งที่เดินตามหลังคุณหญิงพจมานจน เซ
และเกือบมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ก่อนที่ภาพในคลิปจะตัดไป
 
 วัน เดียวกัน นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก  Nataphol Teepsuwan ว่า
 
วันนี้ที่กล้าเป่านกหวีดใส่คุณหญิงพจมานกลางเอ็มโพเรียม
เพราะเชื่อว่าเป็นคนเดียวที่ทำให้ทักษิณหยุดความรุนแรงได้
 
ถ้าประเทศไทยโชคดีหวังว่าคุณหญิงจะไปบอกให้ทักษิณเลิกทำร้ายประชาชน
ถ้าไม่เข้าใจสัญญาณ ประเทศเราคงต้องแตกแยกกันต่อไป
 

 

 

 

 

 

 

 

 หมัดต่อหมัด...<br />ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ สนับสนุนรัฐบาลชุดนี้...<br />ขอเจรจา กับ ประธาน กปปส.เท่านั้น........

 

     

 

 รูปภาพ : สิ่งที่เธอ ทำอยู่ ดูเหมือนถอย<br />แถมทีถ้อย อ่อนท่า น่าใจหาย<br />แต่นั่นคือ ความกล้า ที่ท้าทาย<br />กว่านายกฯ พี่ชาย หลายเท่าตัว</p><p>ความนอบน้อม จากใจ มิใช่หลอก<br />แต่อ่อนนอก แข็งใน ไม่ก้มหัว<br />กติกา ถ้าอยู่ คู่กับตัว<br />ไม่ต้องกลัว หน้าไหน ในแผ่นดิน<br />รักษาการณ์ ตามบท ของกฎหมาย<br />มิให้ถูก ทำลาย จนขาดวิ่น<br />อย่าให้ใคร มาปล้น กันจนชิน<br />แล้วตีกิน อยู่บน หัวคนไทย</p><p>มีคนลง คะแนนเสียง ถึงเพียงนี้<br />มาโจมตี ไล่ให้ลง คงไม่ได้<br />ใครเลือกตั้ง แล้วชนะ เธอจะไป<br />เปิดทางให้ ไม่ยึดติด สักนิดเดียว</p><p>โดนพายุ เกลียดชัง ยังยืนหยัด<br />แม้ถูกซัด เต็มร่าง กลางน้ำเชี่ยว<br />จำนำข้าว เขาถล่ม ด้วยคมเคียว<br />ศาลเอาผิด บิดเบี้ยว เต็มเรี่ยวแรง</p><p>อยากให้จบ เร็วเข้า ก็เอาเลย<br />จะนิ่งเฉย อดทน ให้คนแกล้ง<br />รอคมหอก ตอกลิ่ม ถูกทิ่มแทง<br />พ้นตำแหน่ง ด้วยมือ คนถือปืน</p><p>จะอยู่จน นาที ที่สุดท้าย<br />ด้วยเป้าหมาย ต่อสู้ เพื่อผู้อื่น<br />สุดเจ็บช้ำ ไม่บ่น ทนกล้ำกลืน<br />จะขอคืน อำนาจแท้ แก่ปวงชน</p><p>ใครสวมรอย คอยท่า มาแต่งตั้ง<br />ด้วยคำสั่ง มือดี ที่ล่องหน<br />ไม่มีหรอก คนกลาง ล่างหรือบน<br />ล้วนเล่ห์กล รัฐประหาร สันดานเดิม</p><p>จงยืนหยัด ต่อไป อย่างทายท้า<br />ชาตินานา เห็นด้วย ช่วยส่งเสริม<br />ส่งความรัก ศรัทธา มาต่อเติม<br />ให้เธอเริ่ม ศกใหม่ ที่"ไม่ยอม"!

 

 

           

 

 

 

 

 

 

                              

 

 

 

     

 

 

 

 

 

 

      

                 เมื่อจับได้ว่าเเฟนนอกใจ

 

 

  

 

ความรัก


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          หากคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุดแสนจะเจ็บปวดใจ เมื่อจับได้ว่า "คนรักกำลังนอกใจ" (ไม่ว่าจะเป็นฐานะแฟนหรือสามีก็ตาม) และไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ก่อนจะคิดว่าควรทำอย่างไร ลองมาดูกันสักนิดถึงสิ่งที่คุณไม่ควรทำกันดีไหม เพราะผู้หญิงหลาย ๆ คนปล่อยให้ความเจ็บช้ำ โมโห โกรธเกรี้ยว เข้าครอบงำ และปล่อยให้ตัวเองทำอะไรแย่ ๆ ลงไปด้วยอารมณ์หุนหันพลันแล่น ซึ่งมักทำให้เหตุการณ์ที่แย่อยู่แล้ว ยิ่งย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม 

          และไม่ว่าสุดท้ายการตัดสินใจของคุณจะเป็นการยุติความสัมพันธ์ หรือการพยายามคงความสัมพันธ์เอาไว้ให้ได้เหมือนเดิม การพยายามยับยั้งไม่ให้ตัวเองทำสิ่งที่อาจจะต้องมานั่งนึกเสียใจในภายหลังลงไป ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ถ้าอย่างนั้นมาดูกันค่ะว่า 5 สิ่งที่ผู้หญิงไม่ควรทำ เมื่อรู้ตัวว่าถูกนอกใจ มีอะไรบ้าง …


1. อย่าเพิ่งเลิกกับเขาโดยทันที 

        
  การตัดสินใจที่นับเป็นก้าวแรกของการจัดการกับปัญหานี้ ยังไม่ควรเป็นการบอกเลิกหรือแยกทางกับเขา (แม้ที่สุดแล้วมันอาจหนีไม่พ้นการลงเอยเช่นนี้ก็ตาม) ในตอนนี้ให้จับตาสังเกตดูการกระทำของเขาต่อไปก่อน คุณจำเป็นต้องรู้ตื้นลึกหนาบางในความสัมพันธ์ที่มาก้าวก่ายชีวิตคู่ของคุณด้วยพอประมาณ ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะลา

          และขอให้ระลึกเอาไว้เพื่อเป็นกำลังใจว่า ตราบเท่าที่เขายังอยู่กับคุณ โอกาสที่จะปรับปรุงแก้ไขให้มันเป็นไปในทางที่ดีขึ้นก็มีมากกว่า รวมทั้งการจับตาสังเกตดูก็จะทำได้ง่ายกว่ายามที่คุณสองคนยังอยู่ด้วยกัน หากสามารถจดบันทึกลงไปถึงวันที่พวกเขานัดเจอกัน ความถี่บ่อยในการติดต่อกันได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณในอนาคตอันใกล้เป็นอย่างมาก


2. อย่าเที่ยวบอกให้ใคร ๆ รู้ว่าเขานอกใจคุณ 

         
เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณอยากจะระบายเรื่องคับข้องใจ อย่างการรู้สึกว่าโดนนอกใจนี้ให้ใครฟัง แต่ขอให้พึงระวังถึงคนที่คุณจะนำเรื่องราวไปพูดถึงด้วย หากเป็นเพื่อนสาว ดีไม่ดีเพื่อนสาวคนนี้อาจกลายเป็นคนที่เป็นกิ๊กกับแฟนคุณก็ได้ หากปรึกษาเพื่อนชาย ก็มีผู้ชายบางประเภทที่ถือโอกาสที่ผู้หญิงกำลังอ่อนไหวเช่นนี้ มาเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง หรือถ้าเป็นเพื่อนหรือครอบครัวของฝ่ายชาย เขาอาจเข้าข้างฝ่ายนั้น แก้ตัวแทน หรือบอกฝ่ายชายรู้ตัวและเตือนให้ทำตัวมิดชิดขึ้นก็เป็นได้

          ส่วนการบอกคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทของตัวเอง อาจเป็นไปได้ว่าในที่สุดแล้วความเจ็บช้ำที่คุณไม่อยากจำนี้ก็กลับมาหลอกหลอนซ้ำอีก หากคุณตกลงกลับไปคืนดีกับแฟนได้ในที่สุด ครอบครัวหรือเพื่อนทางฝ่ายของคุณก็อาจมีทัศนคติในแง่ลบ และทำตัวไม่เป็นมิตรกับแฟนของคุณไปแล้วก็ได้ แถมยังอาจถูกตอกย้ำซ้ำ ๆ ว่าไม่น่ากลับไปคบกันอีกเลย (แม้ว่าเหตุการณ์จะดีขึ้นมากแล้วก็ตาม) เพราะฉะนั้น ขอให้คิดให้หนักก่อนที่จะเอ่ยปากปรึกษาหรือเล่าเรื่องเช่นนี้ให้ใครฟัง ขอให้เป็นคนที่คุณมั่นใจว่ามีความเป็นกลาง มีวุฒิภาวะมากพอ และเป็นคนที่รู้ความเป็นไปของความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งคู่อย่างดีในระดับหนึ่ง


3. อย่าพยายามไม่รับรู้หรือทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  

         
การทำเป็นนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดนั้น ไม่ใช่เรื่องดี มีแต่จะยิ่งทำให้สถานการณย่ำแย่ลง ทำให้เขายังคงเดินหน้ากับมือที่สามต่อไป คิดว่าคุณยังจับไม่ได้ หรืออาจตีความว่าการนิ่งเงียบนั้นเท่ากับว่าคุณโอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทางที่ดีคุณควรทำให้เขารู้ตัวว่าคุณรู้เรื่องนอกใจที่เขากำลังทำอยู่ให้เร็วที่สุด หากปล่อยนานไปความสัมพันธ์ระหว่างเขาและผู้หญิงอีกคนนั้นอาจยิ่งซับซ้อนจนเกินแก้ และจะกลายเป็นคุณเสียเองที่ตกที่นั่งลำบาก เพราะจะกู้ความสัมพันธ์ให้กลับมาดังเดิมได้ยากมากขึ้นไปอีก

4. อย่ากล่าวหาเขาเรื่องนอกใจ หากไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอ 

         
เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับเขา เพื่อพูดถึงเรื่องที่เขานอกใจนี้แล้ว เริ่มจากการเตรียมหลักฐานที่ทำให้คุณมั่นใจว่าเขานอกลู่นอกทางไปจากคุณแน่ ๆ อย่าง ชื่อของฝ่ายตรงข้าม วัน-เวลา สถานที่ที่ไปนัดพบกัน ประวัติการใช้โทรศัพท์ ฯลฯ เตรียมสถานที่ที่สามารถให้คุณกับเขาคุยเรื่องนี้ได้โดยไม่ถูกขัดจังหวะ และอย่าเพิ่งเปิดบทสนทนาด้วยการกล่าวหาว่าเขานอกใจ เพราะแทบ 100% ของผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิเสธ และเริ่มโกหกในคำต่อมา

          ให้แสดงหลักฐานที่คุณมี พร้อมกับถามคำถามสั้น ๆ แต่กระชับเพียงพอที่จะให้เขาบอกความจริงออกมา อย่างถามว่าเหตุใดถึงทำเช่นนี้, มันเริ่มต้นขึ้นอย่างไร, เป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว และเขาตัดสินใจจะทำอย่างไรต่อไปในเมื่อคุณเองก็จับได้เช่นนี้ ตั้งใจดูปฏิกิริยาตอบสนอง รวมทั้งการตอบคำถามของเขา ซึ่งจะช่วยให้คุณประเมินได้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ควรให้เรื่องนี้จบลงอย่างไร จำไว้ว่าอย่ากล่าวหาเขาโดยไม่มีหลักฐาน เพราะจะกลายเป็นเสียเวลาเปล่า ๆ ทั้งยังทำให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้นด้วย

5. อย่าระรานก้าวก่ายกับผู้หญิงอีกฝ่าย

          อีกหนึ่งสิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณไม่ควรทำเมื่อรู้ว่าถูกนอกใจ คือการไประรานผู้หญิงคนที่คบกันกับแฟนหรือสามีของคุณ มันเป็นเรื่องปกติที่คุณจะรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในเรื่องราวของเธอ แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่คุ้มกับเวลาและพลังงานของคุณเลย การไปเผชิญหน้าขอให้เธอเลิกกับฝ่ายชายของคุณ การประจาน การข่มขู่ หรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอับอายขายหน้า จะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวคุณเองในทางกฎหมาย แถมยังทำให้ทางคนรักของคุณรู้สึกเห็นใจ สงสาร และปกป้อง เข้าข้างเธอไปเสียอีก

          ทั้งคุณเองก็รู้สึกอับอายขายหน้าด้วยที่ตามไประรานผู้หญิงคนอื่นเพื่อแย่งชิงคนรักคืน แทนที่จะให้ความสำคัญระหว่างเขากับเธอ หรือสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับเธอบ้าง อันเป็นเรื่องที่คุณจัดการไม่ได้ เปลี่ยนเป็นการโฟกัสที่สิ่งที่จะทำได้ระหว่างคุณกับเขา และหนทางที่จะแก้ไขหรือทำให้สิ่งที่เป็นอยู่ดีขึ้นจะดีกว่า 


          การนอกใจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยมีใครคิดอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ขอให้คุณเข้มแข็ง และจัดการกับมันอย่างมีสติ ไม่ว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไร ผู้ชายของคุณจะกลับมารักคุณดังเดิมหรือไม่ ขอให้รักตัวเองเอาไว้ให้มาก ๆ ก่อนเสมอ และระลึกไว้ว่าคุณก็ยังมีเพื่อน ๆ พี่น้อง และพ่อแม่ที่ยังรักคุณอยู่เสมอนะคะ
        

 

 

 

 

 

        

 

                        แม่น้ำคงคา

 

 

                                                

 

 

 

เปิดฟ้าส่องโลก คุณนิติ นรรัตน์ 

 

อ่านเรื่องการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงของสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วก็หลับตา จินตนาการ ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศที่มีแม่น้ำโขงไหลผ่านต่อจากจีน ต่อไปเมื่อเกิดวิกฤติน้ำจืดขาดแคลน รับรองเลยครับ ว่าถ้าเป็นหน้าแล้ง น้ำแทบจะไม่เหลือติดก้นแม่น้ำโขง แต่พอถึงในห้วงช่วงฤดูน้ำหลาก จะเกิดน้ำท่วมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อันนี้เหมือนเมื่อตอนที่อินเดียสร้างเขื่อน 2 เขื่อน เพื่อผันน้ำจากแม่น้ำคงคาซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านทั้งอินเดียและบังกลาเทศ 

เขื่อนแรกสร้างที่เมืองหริทวาร อีกเขื่อนหนึ่งสร้างที่เมืองฟารักกะ ใกล้เส้นทางที่น้ำจะผ่านเข้าไปยังบังกลาเทศ ก่อนสร้างผู้คนก็กระดี๊กระด๊าดีอกดีใจไปตามคำโฆษณาของอินเดีย แต่พอสร้างเสร็จแล้ว อินเดียชาติใหญ่ก็กักน้ำไว้ใช้เพียงประเทศเดียว ในหน้าแล้ง ผู้คนในบังกลาเทศแล้งแทบจะไม่มีน้ำใช้สักหยด ส่วนพอหน้าน้ำหลาก อินเดียนึกอยากจะปล่อยน้ำก็ปล่อย เหมือนกับก่อนหน้าที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเข้ามาเป็นรัฐบาลนั่นแหละครับ มีพวกปล่อยน้ำลงจนเกิดน้ำท่วมอ่วมไปทั้งภาคกลางและกรุงเทพฯ

ส่วนใหญ่ของพื้นที่ของบังกลาเทศราบเรียบ จุดสูงสุดของประเทศก็สูงแค่ 200 เมตร พื้นที่แสนกว่าตารางกิโลเมตรเป็นที่ราบลุ่มน้ำ มีแม่น้ำลำธารไหลผ่านเป็นจำนวนมาก ทั้งแม่น้ำคงคา แม่น้ำพรหมบุตร พออินเดียปล่อยน้ำเท่านั้นเองครับ น้ำท่วมบังกลาเทศใหญ่โตโอฬารทันทีแทบทุกปี บางปีมีคนตายหลายหมื่น จนบัดนี้ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ รัฐบาลและประชาชนคนบังกลาเทศร้องไปที่อินเดีย ทว่า อินเดียเป็นประเทศใหญ่ ประชากรพันกว่าล้าน บังกลาเทศเป็นชาติเล็ก ผู้คนเพียงร้อยกว่าล้าน ร้องแรกแหกกระเชอยังไง อินเดียก็ไม่ฟัง

แม่น้ำนานาชาติที่เราใช้ร่วมกันคือแม่น้ำโขง ส่วนแม่น้ำที่อินเดียกับบังกลาเทศใช้ร่วมกันคือแม่น้ำคงคา ที่เกิดจากธารน้ำแข็งคงโคตรีที่เชิงเขาหิมาลัย ตอนเหนือของรัฐอุตตรประเทศ ธารน้ำแข็งหรือกลาเซียร์คงโคตรีละลายระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน เมื่อน้ำแข็งละลาย หิมะละลายก็กลายเป็นสายน้ำเล็กๆ ไหลรวมกันเป็นแคว มีแควโน้น แควนี้ บั้นปลายท้ายที่สุด ก็ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำคงคา

น้ำในแม่น้ำคงคานอกจากจะมาจากการละลายของหิมะในเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนแล้ว ยังมาจากน้ำฝน ผู้อ่านท่านคงทราบนะครับ ว่าฤดูมรสุมอยู่ในห้วงช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม น้ำฟ้าเทลงมาโปรยปรายไปทั้งแผ่นดิน น้ำที่ไม่ได้รับการดูดซับไว้ก็ไหลไปลงแควภาคีรถี อลักนันทะ มันทากินี เธาลีคงคา และปินทาร์ แควพวกนี้ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำคงคา

แม่น้ำคงคาอยู่ระหว่างต้นน้ำของแม่น้ำสินธุทางตะวันตกกับต้นน้ำของแม่น้ำพรหมบุตรทางตะวันออก แม่น้ำพรหมบุตรไหลผ่านรัฐอัสสัม แล้วย้อนกลับเข้ามาเชื่อมกับแม่น้ำคงคาใกล้กรุงธากาของบังกลาเทศ บางท่านไปดูแผนที่ที่บังกลาเทศแล้วก็ไม่เจอแม่น้ำคงคา ขอเรียนว่า แม่น้ำสายนี้ที่บังกลาเทศเรียกแม่น้ำปัทมาครับ หากดูในแผนที่ ท่านก็ต้องลากสายตาไปที่คำ Padama และสุดท้ายแม่น้ำคงคาไหลสู่อ่าวเบงกอลที่นครโกลกาตาครับ

คนบังกลาเทศส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม จึงไม่มีพิธีกรรมและความเชื่ออะไรเกี่ยวกับแม่น้ำคงคา ทว่าที่อินเดียเชื่อกันอยู่ในสายเลือด ว่าคงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ผู้อ่านท่านที่ไปท่องเที่ยวอินเดีย ให้ไกด์พาไปดูฆาตซีครับ ภาษาอังกฤษคือ ghat ฆาตก็คือท่าน้ำที่มีบันไดหรือทางลาดลงไปในแม่น้ำ แม่น้ำคงคาน่าจะมีฆาตมากที่สุดในโลก คนอินเดียชอบนำศพมาเผาใกล้ฆาต มนุษย์พวกนี้มีศรัทธาแก่กล้าในศาสนาฮินดูที่มีความเชื่อว่า ถ้านำเถ้าถ่านจากพิธีเผาศพของตนทิ้งลงไปในแม่น้ำคงคา วิญญาณจะไปสู่สวรรค์

คนรวยที่บ้านอยู่ไกลจากแม่น้ำคงคา เมื่อเฒ่าชะแรแก่ชรา หรือป่วยใกล้จะตายกลายเป็นผี จึงมักจะมาเช่าห้อง หรือเช่าบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำคงคา เพื่อสะดวกต่อการทำนำศพของตนไปเผา ใครไปอินเดีย ถ้ากลัวผีอย่าไปเช่าบ้านอยู่ริมแม่น้ำคงคาครับ นอกจากแพงมากแล้วยังมีคนเล่ากันว่า อ้า มีผีเยอะ

ครอบครัวผมไปอินเดียกันบ่อย มีหลายครั้งที่ไปนั่งอยู่ริมแม่น้ำคงคา เห็นชิ้นส่วนของศพที่ไหม้ไม่หมดลอยมากับน้ำ ในเวลานาทีเดียวกัน ก็มีผู้คนลงไปดำผลุบดำโผล่ และดื่มน้ำในแม่น้ำคงคาด้วยหน้าตาที่อิ่มบุญ ไม่รังเกียจเถ้าซากศพ เพราะเชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์ สามารถชำระบาปและรักษาโรคได้.

 

 

 

 นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯได้เก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำคงคา ช่วงที่ไหลผ่านเมืองหริวอร์, กันปุระ, พาราณสี, ปัตนา และกัลกัตตาไปศึกษาที่ห้องปฏิบัติการในอเมริกา และได้นำมารายงานในที่ประชุมนักวิทยาศาสตร์ที่เมืองปัตนาว่า "มันเป็นเครื่องแสดงว่า แม่น้ำคงคามีปัญหาสุขภาพของสิ่งแวดล้อม และถ้าหากแพลงก์ตอนต้องตายเกลี้ยง ในแม่น้ำก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย" และกล่าวเสริมว่า "เป็นเพราะการทิ้งขยะมูลฝอยลงแม่น้ำ ไปเลี้ยงให้พวกแบคทีเรียเจริญเติบโต"
 



เคยมีการประมาณว่า นับแม่น้ำคงคาช่วงตั้งแต่เมืองกอมุก ไปจนไหลลงสู่อ่าวเบงกอล ระยะทาง 2,510
กม.ได้มีการปล่อยน้ำโสโครกทิ้งลงสู่แม่น้ำเป็นปริมาณเกือบ 1 พันล้านลิตร

 

 คนอินเดียออกเสียงชื่อแม่น้ำนี้ว่า กังกา

คุณอรุณ เฉตตีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อินเดีย แผ่นดินถิ่นมหัศจรรย์ ซึ่งจัดพิมพ์โดยศูนย์อินเดียศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า น้ำในแม่น้ำคงคานั้นแม้จะขุ่นและดูสกปรก แต่เมื่อตักใส่ภาชนะทิ้งไว้นานเท่าใดก็ตาม จะไม่มีตะกอนนอนก้นแม้แต่น้อย และไม่ว่าจะเก็บไว้ที่อุณหภูมิใดก็ตาม ก็จะไม่มีการเน่าเสีย

นักวิทยาศาสตร์จากส่วนต่างๆ ของโลกได้เดินทางมาตรวจสอบเรื่องนี้ และลงความเห็นว่า น้ำในแม่น้ำคงคาเกิดจากการละลายของหิมะไหลเซาะแก่งหิน แร่ธาตุ สมุนไพร มีอุณหภูมิที่ปรับตัวเองอยู่ตลอดเส้นทางตามฤดูกาลที่ไหลผ่าน ก็อาจแปรสภาพเป็นน้ำที่มีตัวยาเจือปนโดยอัตโนมัติได้

ส่วนจากหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ซึ่งเราได้อ่านในอินเดีย เขาอ้างไว้ว่าในแม่น้ำคงคามีจุลินทรีย์อยู่ชนิดหนึ่ง ซึ่ง mutate เป็นสายพันธุ์เฉพาะที่มีอยู่ในแม่น้ำคงคา และมีอยู่หนาแน่นในบริเวณท่าน้ำที่มีการทิ้งศพกันมากๆ จุลินทรีย์ชนิดนี้จะขจัดเชื้อโรคและแบคทีเรียอื่นๆ ทำให้น้ำในแม่น้ำคงคาไม่มีเชื้อโรคแม้จะมีศพลอยอยู่ทั่วไป ก็มีพวกฤาษีโยคีลงไปอาบน้ำอยู่ใกล้กับท่าน้ำที่มีศพลอยอยู่นั้นโดยไม่ได้รับเชื้อโรคใดๆ เช่นกัน

จุลินทรีย์ดังกล่าว ยังเป็นคำตอบด้วยว่าทำไมน้ำในแม่น้ำคงคาจึงไม่เน่าเสีย และเหตุใดจึงมีความเชื่อสืบต่อกันมานานนับพันปีว่า การไปอาบน้ำในแม่น้ำดังกล่าวสามารถรักษาโรคได้

  มันกลายเป็นแหล่งหมักจุลินทรีย์อย่างเยาะครับ พวกเชื้อโรคมันก็มีทั้งดีไม่ดี
ไปหมักกันไปกันมา  พวกตัวร้าย ก็ตายหมด คนก็ดันคิดว่าแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์
แต่จริง ๆ มันสกปรกมาก  ส่วนคนที่นั้นอาบมาตั้งแต่เด็ก เลยมีภูมิสะสมครับ
ลองเป็นคนบ้านเราไปอาบเล่น ขึ้นมาผื่นขึ้น รับเชื้อประหลาด ๆ เต็มแน่ครับ

พอดีเห็นป้าเช็งทำน้ำหมักขยะมาเป็นยารักษาโรค  ผมคิดว่าแม่น้ำคงคาก็อาจเป็น
แหล่งหมักชีวภาพขนาดใหญ่ก็ได้  ข้อดีคือคนตายจะได้ไม่ต้องมีงานศพ ทิ้งลงแม่น้ำนี่แหละ
ต้องไปสืบดูประวัติศาสตร์ครับ ว่าทำไมคนแถวนั้นให้ทิ้งศพในแม่น้ำ อาจมักง่าย
แล้วเลยสร้างเป็นความเชื่อขึ้นมาทีหลัง

ส่วนใหญ่ความเชื่อมันซ่อนเหตุผลเบื้องหลังแล้วสืบต่อเป็นวัฒนธรรมครับ ที่พวกอินเดีย
มีระบบวรรณะ ก็เพราะพวกแขกขาว อยากรักษาเผ่าพันธ์จากคนพื้นเมืองเท่านั้นเอง
หรือคนเยอรมันชอบกินเบียร์ เพราะมีช่วงสงครามที่ศัตรูปล่อยยาพิษในแม่น้ำไรน์
เลยทำให้กินน้ำตามแหล่งธรรมชาติไม่ได้ ก็กินเบียร์แทน

 

 

 

จุฬาตรีคูณ อาจหมายถึง

  • จุฬาตรีคูณ (นิยาย) บทประพันธ์แนวโศกนาฏกรรมของพนมเทียน นักเขียนชาวไทย ประพันธ์เสร็จเมื่อ พ.ศ. 2491
  • จุฬาตรีคูณ (ภูมิศาสตร์) สถานที่แม่น้ำสายสำคัญในอินเดีย คือ แม่น้ำคงคาและแม่น้ำยมุนา ไหลมาบรรจบกัน
  • เพลงจุฬาตรีคูณ เพลงของวงสุนทราภรณ์ (เนื้อร้องโดย แก้ว อัจฉริยกุล)

 

 น้ำจากคงคานั้นถือว่าเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปของมนุษย์ทั้งหลายได้ ซึ่งแม่น้ำที่ใช้ชำระบาปของมนุษย์ได้จะมีอยู่สองสายคือ


    * แม่น้ำคงคาตลอดสาย
    * แม่น้ำยมนา

บริเวณ ต้นน้ำที่เขายาดาคีรีของ ท่านฤาษียาดาชี ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ลักษมีนาราซิมฮา แม่น้ำคงคานี้เมื่อจะประกอบพิธีต่างๆ จะต้องนำน้ำจากพระคงคานี้ไปร่วมในพิธีด้วย

โดย ปกติแล้วบรรดาฤาษีในอินเดียจะมีหม้อน้ำติดตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะบรรจุน้ำจากแม่น้ำคงคา บริเวณที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือ "ตริเวนี" หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า "จุฬาตรีคูณ" ซึ่งมีแม่น้ำคงคาและยมนาใหลมาบรรจบกัน และเชื่อว่ามีแม่น้ำสรัสวตีไหลมาจากใต้ดินมาบรรจบกันที่นี่ด้วย ชาวฮินดูนิยมที่จะตักน้ำจากแม่น้ำคงคาไปใช้ในการสรงน้ำเทวรูปและอาบกิน

 

 

                    

 

 

 

 

                        

 

 

 

 . และ ทีวี)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

26 ก.พ. 15.15 สถานการณ์การชุมนุม
ของ กลุ่ม กปปส.และแนวร่วม ยอดรวม4800คน ประกอบด้วย
- เวที กปปส. 5 เวที

1. เวทีแยกปทุมวัน
( ถ.พญาไท แยกราชเทวี จนถึงแยกสามย่าน ถ.พระราม 1 แยกเจริญผล-แยกเฉลิมเผ่า ) ยอด800 คน...

2. เวทีแยกราชประสงค์
( ถ.ราชดำริ แยกราชประสงค์-แยกประตูน้ำ ถ.พระราม 1 แยกเฉลิมเผ่า –แยกราชประสงค์) ยอด 300 คน

3. เวทีสวนลุมพินี-สีลม
( ถ.พระราม 4 และ ถ.สีลม ) ยอด2000 คน

4.เวที อโศก
( ถ.อโศกมนตรี แยกอโศก-สุขุมวิท และ แยกอโศก-เพชรบุรี ) ยอด300 คน

5. เวทีแจ้งวัฒนะ
( หน้าศูนย์ราชการฯ ) ยอด 300 คน
- กลุ่ม ปปปป.หรือ กปท. และ กองทัพธรรม

1.เวทีแยกผ่านฟ้า
(ถ.ราชดำเนิน อนุสาวรีย์ ปชต. -แยกผ่านฟ้า-แยกมัฆวานฯ ) ยอด 400 คน
- กลุ่ม คปท.

1.เวทีสะพานชมัยฯ
(ถ.พิษณุโลก แยกสวนมิกสกวัน- แยกพานิชยการ ) ยอด 500 คน
- ไปปิดกระทรวงต่าง ๆ สถานที่ราชการ และปิดแยกเพิ่มเติม

1.มท. กลุ่ม กปปส. ( นปป. ) ยอด 100 คน
2. กรมพลังงานทดแทนฯเชิงสะพานยศเส กลุ่ม กลุ่ม กปปส. (กคป. ) ยอด 100 คน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                       หนูทดลอง

 

รู้ไปโม้ด
โดย...น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 




เรื่องของหนูกับวิทยา ศาสตร์ เข้าเว็บไซต์วิชาการดอทคอมมีคำอธิบายว่า นิยามของสัตว์ทดลองไม่ได้จำกัดอยู่แค่กระต่ายหรือหนูตะเภาเท่านั้น แต่รวมถึงสัตว์ทุกประเภทที่นำมาใช้ทดลอง ไม่ว่าจะเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย หรือลิงชิมแปนซี



แต่เหตุผลสำคัญที่หนูกลายเป็นสัตว์ทดลองอันดับต้นๆ เพราะหนูเป็นสัตว์ที่มีประสาทสัมผัสไว อย่างในสมัยก่อนที่ชาวเรือมักจะใช้หนูเป็นสัญญาณเตือนภัย จากที่หนูจะสละเรือก่อนเรือล่มเสมอ นอกจากนี้ประสาทสัมผัสของหนูก็ไวกว่ามนุษย์หลายเท่านัก ก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวจะเห็นหนูวิ่งกันพล่าน



ความเหมือนของหนูกับมนุษย์อีกอย่างคือหนูมีจำนวนยีนพอๆ กับมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าวิวัฒนาการของมนุษย์กับหนูแยกกันเมื่อประมาณ 80 ล้านปีก่อนนักวิทยาศาสตร์รวมทั้งนักเรียนนักศึกษาถือกันว่าสัตว์ทดลองเป็นอาจารย์ใหญ่



หากไม่มีหนูเหล่านั้นวิทยาการของมนุษย์อาจจะล้าหลังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรก็เป็นได้ เพราะการนำยา หรือนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้กับมนุษย์โดยตรงออกจะดูเป็นการสุ่มเสี่ยงถึงผล กระทบที่อาจตามมา



เมื่อมีการนำสัตว์มาทดลองมากขึ้น คำถามของสังคมที่ตามมาคือ การกระทำเหล่านี้เป็นการทรมานสัตว์หรือไม่ เพราะเมื่อนำสัตว์มาทดลองแล้วเกิดผลกระทบโรคร้ายเหล่านั้นย่อมเกิดแก่สัตว์ทดลองโดยตรง เป็นชีวิตที่โดนบังคับให้สละด้วยความไม่เต็มใจ แม้จะก่อให้เกิดประโยชน์ในสังคมมากมายเพียงใด



นักวิทยาศาสตร์หรือผู้ทดลองก็ตระหนักเห็นถึงโทษภัยในข้อนี้ ดังนั้น จึงพยายามใช้สัตว์ทดลองเท่าที่จำเป็น โดยในปี 2528 ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ สภาองค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยวิทยาศาสตร์การแพทย์ จัดการประชุมระหว่างผู้ใช้สัตว์ทดลองและกลุ่มผู้คัดค้าน ก่อนจะได้ผลสรุปเป็นแนวทางปฏิบัติในการใช้สัตว์เพื่อในการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



 

 

 

 

 



ตามหลักฐานพบว่า มีการนำหนูมาใช้ในการทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ.2164 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี คือ ธีโอฟิลุส มุลเลอร์ และ โยฮันส์ เฟเบอร์ โดยผ่าตัดหนูเพื่อศึกษาถึงอวัยวะภายใน



จากนั้นหนูก็ถูกนำมาใช้ในการทดลองบ่อยขึ้น เช่น นำหนูไปเลี้ยงในห้องทดลอง เพื่อศึกษาอิทธิพลของการขาดอาหารและออกซิเจนต่อคุณภาพชีวิตของหนู หรือนำไข่ของพยาธิตัวตืดมาให้หนูกิน พบว่าหนูเป็นมะเร็งตับภายในเวลา 6 เดือน เป็นต้น



คุณประโยชน์ที่ได้จากการทดลองจากหนูเกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นศึกษาสาเหตุและการรักษาโรคความดัน การปลูกถ่ายอวัยวะ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคผิวหนัง โรคกระเพาะ โรคตับ และโรคไขกระดูก



สำหรับประเทศไทยมีบันทึกว่า มีการใช้สัตว์ทดลองครั้งแรกที่โรงพยาบาลศิริราช ในปีพ.ศ.2432 ก่อนเริ่มใช้ที่สถานเสาวภาใน พ.ศ.2460 จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่าสัตว์ทดลองเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานทดลองของนักวิทยาศาสตร์ไทยมากว่า 120 ปีมาแล้ว



การตื่นตัวเกี่ยวกับสัตว์ทดลองในไทยเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในปี พ.ศ.2514 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และ มหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องศูนย์เลี้ยงสัตว์ทดลองระหว่าง 3 สถาบัน มอบหมายให้มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้ดำเนินการ ใช้สถานที่ที่วิทยาเขตศาลายาเป็นที่ก่อตั้งศูนย์เลี้ยงสัตว์ทดลอง



ต่อมาคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้จัดตั้งโครงการศูนย์สัตว์ทดลองในปี 2517 และได้รับความเห็นชอบจากทบวงมหาวิทยาลัยให้เป็นสำนักสัตว์ทดลองแห่งชาติในปี 2530 ซึ่งเป็นส่วนราชการที่อยู่ในสังกัดของมหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

 

 

           

             

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    

 

 

จำเป็นต้องทำพิธีขอขมาด้วยเหรอ ไหนว่าเป็นอรหันต์ ก็ไม่ควรจะมาสนใจว่าใครจะออกข่าวว่ายังงัยนี่ ขันธ์5เนี่ยละทิ้งได้แล้วสำหรับอรหันต์น่ะ อนาถแท้ๆวงการศาสนาเสื่อมหมด แล้วเถรสมาคมทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ??

 

 

 

                        

                              ขันธ์ 5 คืออะไร

สรรพสิ่งทั้งหลายในอนันตจักรวาลนั้น แยกประเภทได้เป็น 3 ส่วน (ดูแผนผังด้านล่างประกอบ) คือ

1.) ส่วนที่เป็นวัตถุทั้งหลาย ได้แก่ สสารทั้งหลาย แสง สีทั้งหลาย เสียง กลิ่น รส ความเย็น ความร้อน ความอ่อน ความแข็ง ความหย่อน ความตึง อาการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ช่องว่างต่างๆ อากาศ ดิน น้ำ ไฟ ลม สภาพแห่งความเป็นหญิง เป็นชาย เนื้อสมองและระบบของเส้นประสาททั้งหลาย อันเป็นฐานให้จิตเกิด รวมทั้งอาการแห่งความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป ดับไปของวัตถุทั้งหลายด้วย
ซึ่งรวมเรียกว่ารูปขันธ์ (ขันธ์ = กอง หมวด หมู่)

2.) ส่วนที่เป็นความรู้สึกนึกคิด และความคิดทั้งหลาย รวมเรียกว่านามขันธ์ แยกได้ 4 ชนิดคือ

2.1) เวทนาขันธ์ คือความรู้สึกเป็นสุขทางกาย ทุกข์ทางกาย โสมนัส(สุขทางใจ) โทมนัส(ทุกข์ทางใจ) อุเบกขาหรืออทุกขมสุขเวทนา(เป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์)

2.2) สัญญาขันธ์ คือความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ คือส่วนที่ทำหน้าที่ในการจำนั่นเอง (ไม่ใช่เนื้อสมอง แต่เป็นส่วนของความรู้สึกนึกคิด เนื้อสมองนั้นจัดเป็นรูปขันธ์ เนื้อสมองเป็นเหมือนสำนักงาน ส่วนนามขันธ์ทั้งหลายเหมือนผู้ที่ทำงานในสำนักงานนั้น)

2.3) สังขารขันธ์ คือส่วนที่ปรุงแต่งจิต คือสภาพที่ปรากฎของจิตนั่นเอง เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทาน(สภาพของจิตที่สละสิ่งต่างๆ ออกไป) ความเมตตา กรุณา มุทิตา สมาธิ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ท้อถอย ความง่วง ความละอาย ความเกรงกลัว ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัว เจตนาในการทำสิ่งต่างๆ ความลังเลสงสัย ความมั่นใจ ความเย่อหยิ่งถือตัว ความเพียร ปิติ ความยินดีพอใจ ความอิจฉา ความตระหนี่ ศรัทธา สติ ปัญญา การคิด การตรึกตรอง

2.4) วิญญาณขันธ์ หรือจิต คือผู้ที่รับรู้สิ่งทั้งปวง คือรับรู้ความรู้สึกต่างๆ
ตั้งแต่ ข้อ 2.1 จนถึงข้อ 2.3 และเป็นผู้รับรู้ถึงส่วนที่เป็นรูปขันธ์ทั้งหลายด้วย อันได้แก่เป็นผู้รับรู้สิ่งทั้งหลาย ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง รวมถึงเป็นผู้รับรู้ในสภาวะแห่งนิพพานด้วย

3.) นิพพาน คือสภาวะที่พ้นจากรูปขันธ์และนามขันธ์ทั้งปวง
หรือสภาวะจิตที่พ้นจากความยึดมั่นผูกพันธ์ในสิ่งทั้งปวง รวมถึงไม่ยึดมั่นในนิพพานด้วย
นิพพาน = นิ + วาน (ในภาษาบาลีนั้น ว. กับ พ. ใช้แทนกันได้ วาน จึงเท่ากับ พาน)
นิ = พ้น
วาน = สิ่งที่เกี่ยวโยงไว้ ได้แก่ ตัณหาคือความทะยานอยาก และอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง
นิวาน หรือนิพพาน แปลตามตัวจึงหมายถึงความพ้นจากเครื่องเกี่ยวโยง(ตัณหาและอุปาทาน) นั่นเอง

สรุปแล้วขันธ์ 5 ประกอบด้วย

1.) รูปขันธ์
2.) เวทนาขันธ์
3.) สัญญาขันธ์
4.) สังขารขันธ์
5.) วิญญาณขันธ์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

[Image: 1958187_462993833827960_235186901_n.jpg] 

 

 

 

 

รูปภาพ : -----------------------สัญาณชัด(2)-----------------------(บทความ)</p><p>.                                      <br />...........สิ้นเสียงระเบิดเมื่อคืนที่ผ่านมา นั่นคือสัญญาณบอกเริ่มเดินเกมส์ <br />ที่วางไว้ รู้สึกได้ถึงความอมหิต ของคนที่วางเเผนทำ อยากให้ใคร่ครวญดูสักนิด</p><p>                                            หากมีคนคิดว่า ฝ่ายรัฐบาลทำ รอบทำร้ายประชาชน ขอให้คิดสองอย่าง <br />หากเป็นคุณข้วางระเบิดคุณจะขว้างไส่ใครระหว่างประชาชนที่ไม่รู้เรื่องเเค่มาชุมนุม<br />กับคนหน้าดำเเขนคอก  สองขว้างระเบิดใส่ผู้ชุมนุมรัฐบาลได้อะไร มีเเต่เสียกับเสีย </p><p>                                             ถามต่อเเล้วถ้ามีระเบิดเกิดขึ้นมากๆ มีการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก <br />อะไรจะเกิดขึ้น ตอบให้ บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย มีคนบาดเจ็บล้มตาย <br />รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ เข้าทาง...........รัฐประหาร</p><p>                                                  ก็ถามกันซึ่งๆหน้า รัฐบาลอยากได้รัฐประหารไหม ตอบให้ ไม่เอา<br />ถามต่อเเล้วใครอยากได้รัฐประหาร เกมส์นี้ลงทุนเปิดประตูบ้านให้ <br />เเต่ที่ไม่กล้าทำกันเพราะมีมวลชนอีกฝ่ายจ้องอยู่ มีต่างประเทศมองอยู่ <br />เเละไม่มีเอกภาพเพียงพอ ขึนทำไปเข้าเนื้อ เผือกร้อนอยยู่ในมือคนอื่นนะดีเเล้ว<br />ขืนไปรับมา คนรับมา....ซวย</p><p>                                                  อันว่าเกมส์..ใจดำ..ของคนหน้าดำเเขนคอก ฝ่ายเเดงจำได้ขึ้นใจ<br />รู้รสรู้เหลี่ยม มองทะลุเห็นไปถึงข้างใน เเต่ลึกเเค่ไหน<br />ว่างๆสะกิดคนเสื้อเเดงถามเค้าดูเค้ารู้เค้าเห็นอะไร ฟังเเล้วร้องไอ่หยา <br />ฝีมือคนหน้าดำเเขนคอก ต้องการอำนาจ ต้องสังเวยอีกกี่ศพ ก็นับกันไปเรื่อยๆ</p><p>                                                     ที่หลงมัวเมาอยู่หน้าเวที บอกตามตรง หวั่นใจ ไม่รู้วันไหน <br />เค้าจะเชือดเพื่อเซ่นสังเวย เกมส์เปิดประตูบ้านให้เข้ามาทำรัฐประหาร<br />มันคงต้องใช้หลายชีวิต ให้มากพอที่จะชอบธรรมให้ผู้ถืออำนาจขนรถถังออกมา.........ใจดำ</p><p>                                           มีคำถามค้างคาอยู่สองสามเรื่อง ที่ฝากไว้ ซื้อที่ดิน280ล้านของลุงกำนัน<br />ตกลงเงินได้มาจากไหน ถ้าจำไม่ผิด หลังทำม๊อบมาได้สักระยะ คนที่มีชื่อบนที่ดินเขียนเฟรส <br />บอกกับสังคมลุงกำนันไปหยิบยืมเป็นหนี้สินมากมายเอามาทำม๊อบถึงขนาดต้องขายที่ดิน<br />เเล้วมาตอนนี้ไปซื้อที่ดินมันคืออะไร วาน....ตอบ ลูกตัวได้ที่ดิน ลูกเลี้ยงได้หมายศาล</p><p>                                            เป็นเรื่องที่ต้องประณามกันเสียหน่อย สงครามยังเว้นเด็กเมื่อวานฟังเเล้วสดุ้ง <br />ลุงกำนันลามไปน้องไปป์ พ่อจะเลี้ยงไหมถ้ายิ่งลักษณ์ตาย เพราะไม่รู้ว่าลูกใคร <br />ตรงนี้ขอประณาม เเล้วขอถามย้อนกลับ ก่อนด่าว่าใครมั่วใคร ให้ย้อนกลับไปดูครอบครัวตัวเองเสียก่อน<br />เจ้าขิงนี่ลูกใคร เเล้วถ้าพ่อมันตาย ใครจะเลี้ยงดู.........อันนี้เรื่องจริง</p><p>                                                  สกิดไว้สาวกทั้งหลาบ คนหน้าดำเเขนคอก ใจดำกว่าที่พวกท่านคิดเยอะ <br />ไม่มีคุณงามความดีอะไรปรากฎ ที่ผ่านมาก็ทำเรื่องเลวร้ายไม่ใช่น้อย <br />หลับหูหลับตาเชื่อไม่คิดไม่ไตร่ตรองระวังเป็นเหยื่อ กว่าจะรู้ความจริง ถ้ายังรอดมีชีวิตอยู่ครบสามสิบสอง <br />ก็เเค่เจ็บใจ เเต่หากมาพบความจริง บนร่างการพิกลพิการ มีบาดเเผลฝากไว้ หรือต้องสูญเสียคนที่เรารักไป .อันนี้เกินอธิบาย</p><p>                                            เป็นเรื่องน่าตกใจ ฟังสาวกเพื่อนสลิ่ม บอกไม่สนใจ อดีตกำนัน<br />เหมือนเเมวจับหนูสีอะไรก้ได้ คนที่ไปม๊อบพูดตรงกัน อย่าไปสนใจอดีตของกำนัน <br />ฟังเเล้วอยากจะขรรม....อดีตคนมันฟ้องอยู่กลายๆ หากจะกลับตัวกลับตนมันต้องค่อยๆพิสูจน์ให้สังคมเข้าใจ <br />ไม่ใช่ลุกขึ้นมาเช้าล้างหน้าเเปรงฟัน เเล้วบอกกลับใจมาเเล้ว ทำเพื่อชาติบ้านเมือง อันนี้ลืมไปหรือเปล่า<br />ย้อนไปสามปีก่อน ตายไป98ศพ บาดเจ็บ สองพัน..........บาปหนา</p><p>                                         นับหนึ่งไปเเล้ว รอนับสองนับสามนับกันไปเรื่อยๆ รักษาเนื้อรักษาตัวกันให้ดีๆ <br />อย่าไปเพิ่มตัวเลขผู้เสียสละเพื่อให้คนหน้าดำเเขนคอกได้อำนาจไป  <br />ถามอีกสั้นๆ ลุงกำนันได้อำนาจถามจริงๆเถอะคิดว่าเค้าจะทำอย่างที่พูดจริงหรือก่ายหน้าผากคิด  </p><p>                                               ประเทศไทยวันนี้ไม่มีใครกลัวใคร ผู้หลักผู้ใหญ่ หิวโหยอำนาจ<br />โดดลงมาเเย่งส่วนเเบ่ง เก็บไว้เผื่อลูกหลานในอนาคต เสวยสุข กอบโกยเก็บเกี่ยว <br />ปากบอกทำเพื่อชาติ มือก็โกยใส่กระเป๋าไปเรื่อย  จริงๆก็เก็บเกี่ยวมานานมากเเล้ว ปล่อยให้ประชาชนคนไทย <br />ได้ลิ้มรสมั่งท่านควรกรุณา ขืนยังยือเเย่งชามข้าวฉุดกระชากรากดึงกันเเบบนี้.<br />.............ระวังประชาชนจะย้อนของเก่าที่ทำไว้.........จะหาว่าไม่เตือน</p><p>jaiกระทิง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

    

  

 

 

 



         

guest
ArjanPong

Post : 2014-02-17 19:52:21.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ผงะ! สุ่มตรวจตลาดนัดที่นครสวรรค์ พบใช้น้ำยาดองศพ

 

 

   ผงะ! สุ่มตรวจตลาดนัดที่นครสวรรค์ พบใช้น้ำยาดองศพ

 

 

 แม่ค้ามักง่ายใช้ “น้ำยาดองศพ” ใส่ในเห็ดฟาง-นางฟ้า-เห็ดหอมสด-ผัก-ขิงซอย-กระชาย ตรวจพบที่ตลาดสด ตลาดนัด รวม 5 แห่ง ในนครสวรรค์ เฉลี่ยพบสูงเกือบร้อยละ 25 บางแห่งตรวจพบเกือบร้อยละ 60 สธ.ชี้ภัยน้ำยานี้อันตรายทั้งพ่อค้าแม่ค้า ประชาชน ถึงขั้นเสียชีวิต แถมเป็นสารก่อมะเร็ง กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ออกตรวจต่อเนื่อง หากพบให้ลงโทษเด็ดขาด สั่งสาวถึงแหล่งผลิตต้นตอ

 

 

 

          อึ้ง! แม่ค้าใช้น้ำยาดองศพแช่ เห็ด ขิง กระชาย สธ.ชี้อันตรายถึงชีวิต 

 

 

 

 

        นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในปี 2557 นี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีนโยบายควบคุมความปลอดภัยอาหารบริโภค ซึ่งอาหารเป็นปัจจัยสี่จำเป็นของการสร้างสุขภาพดี และทำลายสุขภาพประชาชนไปพร้อมๆ กัน หากมีสารอันตรายหรือมีเชื้อโรคปนเปื้อน เนื่องจากขณะนี้พบว่าประชาชนป่วยและเสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากเป็นอันดับ 1 ซึ่งสาเหตุของโรคดังกล่าวเกิดมาจากการบริโภคอาหารด้วย การเสียชีวิตยังไม่มีวี่แววจะลดลง และโรคนี้ใช้เวลาก่อตัวนานหลายปี กว่าจะปรากฏอาการ ผู้ที่เป็นมักไม่ค่อยรู้ตัว โดยกระทรวงจะดูแลทั้งอาหารนำเข้า อาหารที่ผลิต และจำหน่ายในประเทศ ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ สุ่มตรวจเฝ้าระวังอาหารอย่างต่อเนื่อง เน้นสารอันตรายที่เป็นปัญหา มักมีการลักลอบใส่ในอาหารสด 6 ชนิด ได้แก่ สารบอแรกซ์ สารฟอกขาว สารกำจัดศัตรูพืชตกค้าง สารกันรา สารฟอร์มาลิน (Formalin) และสารเร่งเนื้อแดง และให้ควบคุมมาตรฐานความสะอาดแหล่งจำหน่ายอาหารทั้งตลาดสด ตลาดนัด ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารแผงลอย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประชาชน
       
        นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า ได้รับรายงานผลการสุ่มตรวจประเมินอาหารปลอดภัยของกรมอนามัยในช่วงปลายเดือนมกราคม 2557 ในตลาดที่จังหวัดนครสวรรค์ 5 แห่ง ที่อำเภอเมือง อำเภอท่าตะโก อำเภอชุมแสง ประกอบด้วย ตลาดสด 2 แห่ง และตลาดนัด 3 แห่ง โดยเก็บอาหารตรวจทั้งหมด 275 ตัวอย่าง ผลการตรวจไม่พบมีการปนเปื้อนสารบอแรกซ์ และสารฟอกขาว

 

แต่ที่น่าตกใจก็คือพบการใช้สารฟอร์มาลิน หรือน้ำยาฉีดศพ น้ำยาดองศพ มาใช้กับอาหารสด เพื่อไม่ให้เน่าเสียง่าย โดย 5 ตลาด ตรวจพบ 102 ตัวอย่าง เฉลี่ยร้อยละ 25 บางแห่งเช่นในตลาดสดขนาดใหญ่ในเมือง พบร้อยละ 59 อาหารที่ตรวจพบ ได้แก่ กุ้ง ปลาหมึก ปลาหมึกกรอบ ขิงหั่นฝอย กระชายหั่นฝอย เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหอมสด ถั่วฝักยาว สไบนาง จึงถือว่าเป็นเรื่องที่มีอันตรายมาก เป็นการใช้สารฟอร์มาลินผิดวัตถุประสงค์ และห้ามใช้ในอาหารอย่างเด็ดขาด เนื่องจากสารชนิดนี้มีอันตรายสูง เป็นสารก่อมะเร็ง สารชนิดนี้เป็นอันตรายทั้งคนใช้ แม่ค้า และผู้บริโภค จึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขดำเนินการเรื่องนี้อย่างเข้มงวดจริงจัง และให้สาวถึงแหล่งต้นตอให้ได้ เพื่อลงโทษให้เด็ดขาด
       
        ด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า อาหารกลุ่มที่ตรวจพบใส่ฟอร์มาลินที่กล่าวมานี้ ที่ผ่านมามักจะตรวจพบสารฟอกขาว การพบสารฟอร์มาลินสูงขึ้นอาจเป็นเพราะพ่อค้า-แม่ค้า อาจจะเปลี่ยนจากการใช้สารฟอกขาวใส่อาหารเพื่อให้คงสภาพสด ไม่หมองคล้ำ หรือไม่เน่าเสีย มาเป็นการใช้สารฟอร์มาลินแทน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร หากทานเข้าไปจะก่อให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะไม่ออก กดประสาทส่วนกลางทำให้หมดสติได้ กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ ฉบับ 93 พ.ศ. 2528 ห้ามใช้ในอาหาร ผู้ใดละเมิดใส่ในอาหารต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับฐานผลิตอาหารที่ไม่บริสุทธิ์
       
        ดร.นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า ต้องขอความร่วมมือผู้ประกอบการตลาดสด ตลาดนัด ให้เข้มงวดความปลอดภัยอาหารที่จำหน่ายในตลาด เพื่อร่วมกันคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ควรจะมีการสอบย้อนไปจนถึงแหล่งค้าส่งและแหล่งปลูกว่า จะมีการนำสารฟอร์มาลินมาใส่ในขั้นตอนไหน โดยต้องทำงานแบบประสานกันทุกหน่วย ทั้งหน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานด้านการเกษตร เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน สิ่งสำคัญคือ การสื่อสารความรู้ อันตราย และสถานการณ์การปนเปื้อนให้แก่ผู้ค้าขาย รวมถึงประชาชนผู้บริโภค เพื่อสร้างความตระหนัก ความรับผิดชอบ และความร่วมมือในการเฝ้าระวังสารปนเปื้อน 

 

สำหรับสารฟอร์มาลิน หรือฟอร์มัลดีไฮด์ มีลักษณะเป็นน้ำใส กลิ่นฉุน ระเหยง่าย หากได้รับในปริมาณที่สูง หรือมีความเข้มข้นมาก สารชนิดนี้จะเปลี่ยนเป็นกรด มีฤทธิ์ทำลายเซลล์ในร่างกาย ทำให้เซลล์ตายได้ โดยฟอร์มัลดีไฮด์ มีพิษต่อระบบต่างๆ เกือบทั่วทั้งร่างกาย คือต่อระบบทางเดินหายใจ หากได้รับรูปของไอระเหย แม้จะปริมาณต่ำๆ ถ้าถูกตาจะระคายเคืองตามาก ทำให้เป็นแผล ถ้าสูดดมเข้าไปจะทำให้หลอดลมบวม แสบจมูก เจ็บคอ ไอ หายใจไม่ออก ปอดอักเสบ น้ำท่วมปอด ถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นแม่ค้าพ่อค้าที่จำหน่ายอาหารที่แช่ฟอร์มาลิน ก็จะมีสิทธิ์สูดดมไอระเหยของฟอร์มาลินออกจากน้ำที่แช่ได้ตลอดเวลา และสูดเข้าโดยตรงด้วย เป็นอันตรายต่อตัวเองหากรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนฟอร์มัลดีไฮด์ในปริมาณมาก จะทำให้ปวดศีรษะอย่างรุนแรง หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก ปากและคอแห้ง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้องอย่างรุนแรง กระเพาะอาหารอักเสบ เป็นแผล และยังพบว่าสารชนิดนี้เป็นสารก่อมะเร็งด้วย นอกจากนี้ยังมีผลต่อผิวหนัง เมื่อสัมผัสจะเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นคัน เป็นผื่นแดงเหมือนลมพิษ จนถึงผิวหนังไหม้เป็นสีขาวได้หากสัมผัสโดยตรง
       
        "วิธีสังเกตว่าผักที่ซื้อมามีฟอร์มาลินหรือไม่นั้น ควรดมที่ใบหรือหักก้านดม ถ้ามีกลิ่นฉุนแสบจมูกก็ไม่ควรซื้อ หรือสังเกตดูผักที่วางขายว่าสด ใบงาม เกินความเป็นจริง ไม่มีรูพรุนจากการกัดของแมลงเลย ตั้งขายไว้เป็นวันๆ ยังไม่เหี่ยว ก็ไม่ควรเลือกซื้อ เพราะอาจมีฟอร์มาลินและสารพิษฆ่าแมลงซึ่งยังไม่หมดฤทธิ์ สะสมอยู่ด้วย ในกรณีที่ซื้อมาแล้วยังไม่แน่ในว่าอาจมีฟอร์มาลินติดมาอีก ก็ควรนำผักมาล้างน้ำไหล 5-10 นาที หรือแช่น้ำนิ่งราว 1 ชั่วโมง ซึ่งมีรายงานว่า ฟอร์มาลินส่วนมากจะถูกชะล้างออกไปหมด ส่วนการเลือกซื้อเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ตลอดจนปลา ต้องสังเกตว่าลักษณะเนื้อนั้นสดผิดปกติหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเนื้อที่ไม่แช่ฟอร์มาลินวางขายในตลาดสด ถ้าถูกแดดถูกลมนานๆ เนื้อแดงๆ นั้นจะเหี่ยว หรือถ้ามีกลิ่นฉุนๆ แปลกๆ แสบจมูก ก็ไม่ควรจะซื้อมาบริโภค และในการบริโภคทุกครั้ง ต้องทำอาหารทุกชนิดให้สุกด้วยความร้อน เนื่องจากความร้อน จะทำลายฟอร์มาลินได้” อธิบดีกรมอนามัยกล่าว

 

 

           

 

 

 

 

 

 

 

 

 ทำแบบนี้จะได้ประกาศกฎอัยการศึกใช่ไหม

 

 

 

 

 

 

 16.45น. ระเบิดลงที่หน้าเวที่ รปส. 2ลูก มีคนบาดเจ็บ6-7คน

[Image: 5522_561166960646762_1971697198_n.jpg]

[Image: 1900046_561166987313426_1452037022_n.jpg]

[Image: 1896794_561167017313423_2105815282_n.jpg] 

 

 

 

ระเบิดเริ่มถี่
เขาคงต้องการเร่งเกม
ก่อนที่เสื้อแดงและพลเอกพัลลภจะมาเต็มตัว



กปปส และแนวร่วมร้อยชื่อ
เร่งกันใหญ่ สร้างสถานะการณ์
ยิงและขว้างระเบิดที่ตราด เด็กตาย
ยิงศาล เพื่ออะไร
ระเบิดราชประสงค์เด็กตาย


ตอนนี้ พธม ที่สะพานชมัย
กำลังดราม่า เรียกร้องให้ประยุทธออกมาด่วน
แถมมีการโหนและดราม่าน้ำตาไหลน้ำตาเหล็ด
ปลุกปั่นเรื่องกองกำลังเขมรอีกมากมาย
เพื่อให้สอดคล้องกับ ทหารรับจ้างโจร ที่กุข่าวนี้มาเล่น
เห็นชัดเจนว่ามันกำลังจะทำอะไร

แผนเน่าๆ แนวเรื่องเก่าๆ
แต่ยังจะเอามาใช้อีก

น่าเบื่อ.........

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 เหตุการณ์ที่ตราด ไม่ใช่ฝีมือ รัฐบาล นปช และ ตำรวจแน่นอน

 

ตราด ไม่ใช่ถิ่นเสื้อแดง

สส ก็ เป็น ปชป ผูกขาดมาทุกสมัย คงรู้ว่า หัวคะแนน มือปืน นักเลง ก็ต้องเป็น คนของ ปชป

ตราดเป็นจังหวัดเล็กๆมี สส แค่คนเดียวมาตลอด ติดชายแดน เข้าออกยาก ใครทำอะไรรู้หมด

ตราด อยู่ในการดูแล ของ กองกำลัง จันทบุรีตราด ของ ทร.

มือปืนที่มา เป็นรถกระบะ สองคัน ทำอย่างใจเย็นไม่รีบร้อน เน้นคุณภาพ แสดงว่ามีคนดังในตราดหนุนหลัง และเป็นคนในพื้นที่ชำนาญทาง รู้ทางหนีทีไล่ดี 

ที่สำคัญ ยิงใส่แต่ประชาชน ไม่ยิงใส่แกนนำบนเวที

เมื่อคืน ผมคุยกับพี่น้องเสื้อแดง ที่ใกล้ชิด แดงใต้ดิน เขาบอก แดงใต้ดินมีจริง มีเยอะด้วย และที่ตราด ไม่ใช่ ฝีมือแดงใต้ดิน

***ป๊อปคอร์น สร้างสถานการณ์1000%***

ทำไมต้องเลือกสร้าง สถานการณ์ที่นี่?

ตอบ เพราะตราด อยู่ติดเขมรแต่เป็นถิ่น ปชป. จะได้ป้ายสีว่า เป็นผลงาน ทหารเขมร ตามที่ พลเรือตรี วินัย หัวหน้าหน่วยsealเคยพูดไว้

 

 ถ้ารัฐบาลอยู่เบื้องหลังการปาระเบิดผู้ที่มาชุมนุมจริง รัฐบาลจะได้ประโยชน์อะไร
มีแต่จะเติมเชื้อไฟให้ลุกลามบานปลายมากยิ่งขึ้น ถ้ารัฐบาลทำจริงทำแต่เฉพาะพวกแกนนำไม่ดีกว่าหรอ

 

 ชัดๆ  ที่บรรทัดทอง....

คนขับรถของ สส. ปชป.  เป็น คนโยนระเบิด เอง.....

ที่อื่นๆ  ยังไม่แน่ว่าใคร..

 

 

 

 

 

 

 

"นปช.ลั่นกลองรบ" ประชุม 5,000 แกนนำภูมิภาค-ท้องถิ่นทั่วประเทศ พร้อมยกระดับการต่อสู้_ทุกภาคส่วนย้ำ ได้เวลาโต้กลับแล้ว! 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       ขบวนการ ขวางช่วยชาวนาโผล่มาอีกแล้ว

 

 

'ปรีดิยาธร'ย้ำรัฐบาลออกบอนด์ทำไม่ได้
"ปรีดิยาธร"แนะรัฐบาลต้องไม่เข้าไปกีดขวางการดำเนินธุรกิจภาคเอกชน ย้ำออกพันธบัตร เพื่อนำเงินมาจ่ายให้กับชาวนาทำไม่ได้เพราะรัฐบาลรักษาการ
 


[Image: news_img_564873_1.jpg]

 
 
 
 
 
 
วานนี้ (21ก.พ.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาวิชาการเรื่อง "ปฏิรูปเศรษฐกิจ กู้ไทยพ้นวิกฤต" เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี โดยมีม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายนิพนธ์ พัวพงศกร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจรายสาขา ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมชนบท สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และนายธนวรรธน์ พลวิชัย ที่ปรึกษาหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมเสวนาในครั้งนี้
 

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะหลังนั้นชะลอตัวลงมา เป็นผลมาจากการขาดแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เพราะปัจจุบันรัฐบาลเข้าไปทำธุรกิจแข่งกันเอกชน อย่างในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเดิมทีเอกชนทำได้ดีมาก แต่รัฐบาลก็เข้ามาทำ และกลับทำให้ตลาดเสียหาย
 

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร บอกอีกว่า สำหรับแนวทางที่รัฐบาลจะออกพันธบัตร เพื่อนำเงินมาจ่ายให้กับชาวนา ไม่สามารถทำได้ เพราะอยู่ในช่วงรัฐบาลรักษาการ ทั้งนี้สิ่งที่ง่ายที่สุดในการหาทางออกคือให้รัฐบาลลาออก และตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด จะแก้ปัญหาง่ายที่สุด

 

 

".....ทำไมการที่รัฐบาลเข้าไปช่วยให้ชาวนาได้ขายข้าวในราคาที่สูงกว่าเดิม......โดยให้พ่อค​้าคนกลางต้องเพ่ิ่มต้นทุนในการซื้อเพื่อการขายหรือส่งออก.....แทนที่จะให้พ่อค้าไปกด​หัวชาวนาและเป็นผู้กำหนดราคาซื้อกับชาวนาเองเหมือนที่เคยทำมา.....มันทำให้พ่อค้าคนก​ลางขาดทุนมากมายจนจะฉิบหายขายตัวที่ต้อง"ขาดทุนกำไร"เพราะงานนี้ จนพวกศักดินาอย่างปรีดิยาธรต้องออกมาปกป้องพ่อค้าคนกลางด้วยการเหยียบหัวชาวนา แบบไม่ต้องอับต้องอายเชียวหรือ



สมัยอภิสิทธิ์ รัฐประกันราคาข้าว มันก็เท่ากับรัฐบาลเข้าไปออกทุนส่วนหนึ่งให้กับพ่อค้าคนกลาง ตันละ 2,500.-บาท.....เงินส่วนนี้กลายเป็นกำไรงาม ๆ ของพ่อค้าคนกลางเพราะไม่ต้องจ่ายต้นทุนส่วนนี้......แถมชาวนาที่เช่านาทำกลับไม่ได้ร​ับเงินเพราะเจ้าของนารับไป.....แบบนี้หรือที่ทำให้เศรษฐกิจดี



เศรษฐกิจจะดีได้ รัฐบาลต้องคล่องตัวในการทำโครงการใหญ่ต่าง ๆ ......แต่"ลูกอีช่างฟ้อง" มันนั่งขัดขารัฐบาลทุกย่างก้าว ขยับตัวไม่ได้เลยแม้แต่จะหายใจ.....แล้วจะเอาเศรษฐกิจดีมาจากไหน.....บวกกับแม่งงงงก​่อม๊อบมากี่เดือนแล้ว ลองมาเป็๋นรัฐบาลที่โดนแบบรัฐบาลชุดนี้เขาโดนบ้าง...เอาไหม....อยากเห็นนักไอ้ที่ว่า​เก่งนักเก่งหนาน่ะ จะง่อยรัปทานหรือเปล่า..........
คงอยากเป็นนายกคนกลาง เป็นหัวหน้าพรรค ปชป หรือเป็นสภาประชาชนมั้ง........................."

 

(โดย คุณ ชาติอนุรักษ์)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  ในที่สุด...ก็เผยออกมา...

 

 

 

คนพวกนั้นมันย่ามใจ

เคยกดขี่ข่มเหงประชาชน...ด้วยการแย่งชิงอำนาจของประชาชน

เอาไปแบ่งสรรปันส่วนกันเฉพาะพวกพ้อง...ได้ตำแหน่ง อำนาจ เงินเดือน

 

แล้วใช้อำนาจที่ช่วงชิงไป...ย้อนกลับมากดขี่ ข่มเหงประชาชนต่อไปอีก

ถามประชาชนว่า...มาถึงวันนี้แล้วยังจะยอมให้เขาเหยียบหัวซ้ำซากอีกรึเปล่า

 

 

 

 

 

 

 

 

เตือน! ติดแก๊ส NGV-LPG ราคาถูก มีสิทธิ์บึ้ม ตาย95%!

 

 

 

 

 


          ในงาน เสวนาเรื่อง เปลี่ยนรถไปใช้แก๊ส : ภยันตรายใกล้ตัว? เตือนผู้ติดตั้งแก๊สราคาถูกระวังรถระเบิด ชี้บึ้มทีเดียวมีสิทธิ์ตายสูง ถังไม่ได้คุณภาพเหมือนเก็บระเบิดไว้ในรถ 

          วันที่ 6 สิงหาคม ที่โรงพยาบาลราชวิถี ในการประชุมวิชาการกรมแพทย์ ประจำปี 2551 มีการเสวนาเรื่อง เปลี่ยนรถไปใช้แก๊ส : ภยันตรายใกล้ตัว? นพ.ประวิทย์ ลิ้มควรสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลิดสิน กล่าวว่า เนื่องจากภาวะน้ำมันแพง ทำให้คนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว หันมาใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติ โดยการติดตั้งแก๊สแอลพีจี หรือเอ็นจีวี ซึ่งหากวิธีการติดตั้ง ถังก๊าซไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ทางการแพทย์ถือว่ามีความเสี่ยงอันตราย

           โดยอุบัติเหตุที่เกิดจากการติดตั้งแก๊ส เกิดขึ้นได้ 3 ประเภท คือ 

          1. แก๊สรั่วโดยไม่ระเบิด ซึ่งหากมีการรั่วของแก๊สเกิดขึ้นก็จะได้กลิ่น แม้แก๊สไม่มีพิษทำลายประสาท แต่จะเกิดการสะสมเป็นอันตราย และยังแย่งอากาศในการหายใจขณะที่อยู่ในรถด้วย 

          2. การติดไฟ ซึ่งแอลพีจี มีขีดจำกัดในการติดไฟได้ 2-9% ขณะที่เอ็นจีวี อยู่ที่ 5-15% ส่วนอุณหภูมิการติดไฟ แอลพีจี 480 องศา เอ็นจีวี องศา ในแง่ความปลอดภัยการติดไฟของแอลพีจีง่ายกว่า

          3. การระเบิด ซึ่งเกิดจากสภาพการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่มีความร้อน จนเกิดประกายไฟ ทำให้มีพลังงานดันออกมามหาศาล   

          "รถที่ปรับแต่งติดแก๊ส เปรียบได้กับนั่งอยู่กับระเบิด ซึ่งหากติดเอ็นจีวีก็เท่ากับมีลูกระเบิด ที่มีความดันถึง 3,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ส่วนแอลพีจีมีความดันอยู่ที่ 120 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ซึ่งในทางการแพทย์ หากเกิดระเบิด มีความดันเพียง 58-80 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ส่งผลให้เสียชีวิตถึง 95% แรงระเบิด ช็อคเวฟ จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายในส่วนที่เป็นลม คือ ซึ่งจะทำให้เยื้อแก้วหูทะลุ ปอด ลำไส้แตก ส่วนแรงประทะโดยตรงจากเศษวัสดุจากตัวรถที่มากระแทก ก็จะทำให้เกิดการฉีกขาดของร่างกายภายนอก เหมือนโดนยิงทะลุทะลวง" นพ.ประวิทย์กล่าว  

          ดร. อธิคม บางวิวัฒน์ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า แก๊สทั้ง 2 ประเภทมีอันตรายหรือไม่ขึ้นอยู่กับมาตรฐานความปลอดภัยของอุปกรณ์ที่นำมาติดตั้ง ซึ่งทั้งแอลพีจีและเอ็นจีวี ต่างก็มีอุปกรณ์ที่ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัย ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) เป็นมาตรฐานสากลอยู่แล้ว ซึ่งผ่านการทดสอบโดยการเผาไฟ ใช้แรงกระแทก ยิงปืนใส่ ก็จะไม่ระเบิด 

          "สิ่งสำคัญคือ หากตัดสินใจจะติดตั้งแก๊สที่สำคัญคืออย่าขี้เหนียว หรืออยากได้ของถูก อุปกรณ์ หรือถังทั้งแอลพีจี และเอ็นจีวี ต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด มีราคาแพงอยู่แล้ว ดังนั้น ของที่มีราคาถูกจึงไม่มี และอาจถูกหลอกได้อุปกรณ์ ติดตั้ง และถังแก๊สที่ไม่มีคุณภาพ และเด็กปัญหาเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้ และควรจะติดตั้งถังแก๊สในศูนย์ที่ได้รับการรับรองจากกรมขนส่งทางบก ซึ่งมี138 แห่ง และมีศูนย์ติดตั้งยอดเยี่ยม 22 แห่ง การตรวจคุณภาพทุก 1 ปี แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ปัจจุบันมี ผู้ตรวจสอบด้านคุณภาพความปลอดภัยน้อย เอ็นจีวีมีเพียง 49 แห่ง มีศูนย์ตรวจสอบตัวถังเพียง 7 แห่ง เท่านั้น" ดร.อธิคมกล่าว 

 

 

 

       

                      

 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 
เผยโฉมหัวหน้าการ์ดกบฏเมือก
[Image: 1780753_406181832859499_1315874506_n.jpg][Image: 1959451_579309458831530_217668574_n.jpg]

[Image: 1620549_664257040301116_443151176_n.jpg]
[Image: 1959747_580045032078296_1233390677_n.jpg]
 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานีหลายสมัย เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการหลายกระทรวง

 

สุเทพ เทือกสุบรรณ มีชื่อเรียกเล่น ๆ จากสื่อมวลชนโดยทั่วไปว่า "เทพเทือก" (มาจากการย่อ ชื่อและนามสกุล "สุเทพ เทือกสุบรรณ")

 

ในวัยหนุ่มสุเทพเคยดำรงตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านตำบลท่าสะท้อนอำเภอพุนพินจังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยวุฒิการศึกษา ระดับปริญญาโท จากสหรัฐอเมริกา ทำให้จนถึงขณะนี้ บางครั้งยังมีคนเรียกว่า "กำนันสุเทพ"

 

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 พรรคประชาธิปัตย์ประกาศจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเงาขึ้น สุเทพ เทือกสุบรรณได้รับเลือกจากที่ประชุมพรรค ให้ทำหน้าที่ "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเงา" ปลายปี พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคพรรคพลังประชาชน ส่งผลให้รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สิ้นสุดลง สุเทพ มีบทบาทสำคัญในการประสานงานให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ทำให้อดีตพรรคร่วมรัฐบาลสมชาย รวมถึง สส.กลุ่มเพื่อนเนวิน เปลี่ยนขั้วมาสนับสนุนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[ต้องการอ้างอิง] และสุเทพได้ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง[1] ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552 ขณะที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดชลบุรี สุเทพได้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบ พนักงานเจ้าหน้าที่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติ งานตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มี ความร้ายแรงในท้องที่เมืองพัทยาและจังหวัดชลบุรี [2] ในช่วงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ปี พ.ศ. 2553 ได้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการ

 

ปัจจุบัน สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองและพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นผู้นำการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในปี 2556

 

 ประวัติ

สุเทพ เทือกสุบรรณเกิดวันที่ 7 กรกฎาคมพ.ศ. 2492 เป็นบุตรจรัส เทือกสุบรรณ กำนันตำบลท่าสะท้อนอำเภอพุนพินจังหวัดสุราษฎร์ธานี และละม้าย เทือกสุบรรณ มีพี่น้องท้องเดียวกัน 6 คนคือ สุเทพ เทือกสุบรรณ ศิริรัตน์กับนางรัชนี (เป็นคู่แฝด) เชน เทือกสุบรรณ จิราภรณ์ เทือกสุบรรณ ธานี เทือกสุบรรณ และกิ่งกาญจน์ เทือกสุบรรณ

 

สุเทพสำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต (รัฐศาสตร์) จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2515 และสำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาโท M.A. Political Sciences จาก Middle Tennesse State University ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2518 หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทกลับมา สุเทพได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น กำนันตำบลท่าสะท้อน ต่อจากผู้เป็นบิดา และชนะเลือกตั้ง ทำให้ได้เป็นกำนันขณะมีอายุได้ 26 ปี โดยมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทจากต่างประเทศ

 

ปัจจุบัน สุเทพ เทือกสุบรรณ สมรสกับศรีสกุล พร้อมพันธุ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา มีบุตรชาย 1 คน บุตรสาว 2 คน คือ แทน เทือกสุบรรณ, น้ำตาล เทือกสุบรรณ และน้ำทิพย์ เทือกสุบรรณ [3]

 

บทบาททางการเมือง

สุเทพ เข้าสู่วงการเมืองระดับประเทศ ได้เป็น ส.ส.จังหวัดสุราษฎร์ธานี สมัยแรกเมื่อปี พ.ศ. 2522 และหลังจากนั้นสามารถชนะเลือกตั้ง ได้เป็น ส.ส. อย่างต่อเนื่องถึง 10 สมัย[ต้องการอ้างอิง] และดำรงตำแหน่งสำคัญระดับรัฐมนตรี คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2 สมัย และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

 

กรณี ส.ป.ก.4-01

สมัยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สุเทพถูกพรรคฝ่ายค้านคือ พรรคชาติไทย ที่มีบรรหาร ศิลปอาชาเป็นหัวหน้าพรรค เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ กรณีเกิดการทุจริตในการแจกที่ดินทำกินแก่เกษตรกร หรือที่เรียกกันว่า ส.ป.ก.4-01 โดยในครั้งนั้นพรรคชาติไทยมี เนวิน ชิดชอบ เป็นกำลังสำคัญนำอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลให้ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ต้องตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะมีการลงมติ และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2538

 

บทบาทหลังเลือกตั้ง 2548

หลังการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548พรรคประชาธิปัตย์ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหารพรรคครั้งใหญ่ สุเทพได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรค และพอดีกับมีบทบาทอย่างมากในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 โดยเป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นฟ้องพรรคไทยรักไทย[ต้องการอ้างอิง] และต่อมาพรรคไทยรักไทยถูกวินิจฉัยให้ยุบพรรค

 

ในการจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี พ.ศ. 2551 ซึ่งสุเทพเป็นผู้ที่มีบทบาทในการประสานงานจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนั้น จนได้รับการขนานนามว่า "ผู้จัดการรัฐบาล"[ต้องการอ้างอิง] และได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 สุเทพ ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากติดปัญหาการถือครองหุ้น[ต้องการอ้างอิง] แต่ยังคงดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเช่นเดิม

 

ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 สุเทพ ได้ลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี[4] เพื่อกลับไปลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกครั้งแทนตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่งการเลือกตั้งดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นที่มาของการถูกมองว่าสุเทพ ต้องการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเตรียมตัวเป็นนายกรัฐมนตรีสำรอง ในกรณีที่ถูกยุบพรรค[ต้องการอ้างอิง] ภายหลังได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จึงได้กลับเข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง[5]

 

การดำรงตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์

สุเทพเคยดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระหว่างปี พ.ศ. 2542-2546 กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ระหว่างปี พ.ศ. 2546-2548 และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548-2554

 

กรณีก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่ง

โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจทดแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 396 แห่ง มูลค่า 5,848 ล้านบาท เข้าข่ายการฮั้วประมูล เพราะมีการรวบสัญญาการดำเนินการมาเป็นสัญญาเดียว จากที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอให้มีการทำเป็นหลายสัญญา

 

เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุการอนุมัติโครงการดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 ต่อมา สุเทพยกเลิกแนวทางการจัดจ้างเป็นรายภาค ให้จัดจ้างรวมกันทั้งหมดแทน เมื่อ 11 ต.ค.2553 เลยทำให้มีบริษัทเดียวที่ชนะการประมูลการก่อสร้างในครั้งนี้ไป

 

ในขณะนี้ สุเทพได้ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทต่อนาย ธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่ศาลาอาญาต่อกรณีนี้ด้วยเห็นว่า ตนได้ดำเนินการไปตามความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศาลอาญา รัชดา มีคำสั่งประทับรับฟ้องแล้ว [6]

 

เลขาธิการ กปปส.

ดูบทความหลักที่ การประท้วงในไทย พ.ศ. 2556
Wiki letter w.svg ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ได้
 

หมายจับในข้อหากบฎ

ศาลอาญาอนุมัติหมายจับสุเทพ เทือกสุบรรณ และพวก ในข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ และอนุมัติหมายจับแกนนำ คปท.กรณีบุกกระทรวงการต่างประเทศด้วย

 

หลังจากที่พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุมัติหมายจับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส. ในข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ, กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือ มิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด่างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็นว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ และเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแต่ไม่เลิก ซึ่งล่าสุดศาลได้อนุมัติหมายจับดังกล่าวแล้ว

 

นอกจากนี้ ศาลอาญายังได้อนุมัติหมายจับนายนิติธร ล้ำเหลือ, นายอุทัย ยอดมณี, นายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี และ นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. ในข้อหาร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายในเวลากลางคืน, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และทำให้เสียทรัพย์กรณีบุกรุกกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นเหตุให้ประตูเลื่อนไฟฟ้าเสียหาย 4 บาน ซึ่งศาลได้ไต่สวนพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวม 7 ปาก ขณะที่นางสาวพวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความกลุ่ม คปท.ที่ยื่นคำร้องคัดค้านหมายจับ นำพยานเข้าเบิกความจำนวน 2 ปาก

 

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าผู้ร้องมีหลักฐานพอสมควรว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 4 คน กระทำความผิดอาญาและมีโทษจำคุก 3 ปีขึ้นไป จึงมีคำสั่งอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 4 คน

 

ขณะเดียวกันวันที่ 26 พฤศจิกายนพ.ศ. 2556 เวลา 15.00 นาฬิกา ศาลได้มีคำสั่งให้เพิกถอนหมายจับ นายสุเทพ ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 และความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ และมาตรา 216 ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 กรณีนำมวลชนเข้าปิดล้อม ขับไล่ข้าราชการ บุกยึดสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เป็นที่ชุมนุม ด้วย

 

เนื่องจากศาลเห็นว่า นายสุเทพ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ในข้อหาร่วมกันกบฏ ซึ่งมีอัตราโทษที่สูงกว่า และมีอายุความถึง 20 ปี จึงให้บังคับใช้หมายจับฉบับนี้แทนฉบับเดิม[7]

ประวัติการดำรงตำแหน่งทางการเมือง

  • เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี 10 สมัย (พ.ศ. 2522, 2526, 2529, 2531, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539, 2550, 2554)
  • เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ 2 สมัย (พ.ศ. 2544 และ 2548)
  • เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายชวน หลีกภัย) พ.ศ. 2524
  • เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายชวน หลีกภัย) พ.ศ. 2524-2526
  • เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายบัญญัติ บรรทัดฐาน) พ.ศ. 2526-2529
  • รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2529-2531
  • ประธานคณะกรรมาธิการการเกษตร พ.ศ. 2531
  • รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2535-2537
  • ประธานคณะกรรมาธิการคมนาคม พ.ศ. 2539
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2540-2543
  • กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ. 2546-2548
  • เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ. 2548-ปัจจุบัน
  • ประธานคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2554
  • ผู้อำนวยการศูนย์ความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2551-2554
  • ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2553
  • ประธานคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2554
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเงา พ.ศ. 2551[8] และ พ.ศ. 2554
  • รองนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2551-2554

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

  • พ.ศ. 2535 - Order of the White Elephant - Special Class (Thailand) ribbon.pngเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาประมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[9]
  • Order of the Crown of Thailand - Special Class (Thailand) ribbon.pngเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฏ (ม.ว.ม.)

 

 

 

 

 

.............................................................

 

 

 

 

 

 

 

                             ถ่ายคลิปติดวิญญาณเจ้าหญิงไดอาน่า

 

 

 

กรุ๊ปทัวร์จีนขนลุก ถ่ายคลิปติดภาพวิญญาณของเจ้าหญิงไดอาน่าบนซุ้มหน้าต่างกระจกสี ของโบสถ์คริสต์ ที่สกอตแลนด์

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า (23 ม.ค.) ในเว็บไซต์ชื่อดังยูทูปได้มีการนำภาพบันทึกวิดีโอโพสต์ลงเผยแพร่ ซึ่งเป็นภาพวิญญาณของเจ้าหญิงไดอาน่าแห่งราชวงศ์อังกฤษผู้ล่วงลับ ปรากฏบนซุ้มหน้าต่างกระจกสี ของโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่ง ในเมืองกลาสโกว์ แคว้นสกอตแลนด์ ที่กรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นใหญ่บันทึกไว้แต่ก็ไม่ได้สังเกตความผิดปรกติใดๆ จนกระทั่งไปดูที่บ้านจึงเห็นภาพดังกล่าว

 

ด้านนายไมเคิล โคเฮน นักเขียนเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติแห่งออสเตรเลีย ที่กำลังทำการพิสูจน์ภาพบันทึกวิดีโอชุดนี้ รวมกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า สิ่งที่เห็นอาจเป็นไปได้ทั้งภาพลวงตา จากการหักเหของมุมแสงกับกระจก หรือเป็นดวงวิญญาณของเจ้าหญิงไดอาน่าจริงๆ ซึ่งกรณีนี้พระองค์อาจมีความผูกพันกับสกอตแลนด์ เนื่องจากพระมารดาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในสกอตแลนด์ ก่อนจะสิ้นชีพิตักษัยในปี 2547

 

 

 

 

อังกฤษฟื้นคดีเจ้าหญิงไดอาน่า เผยคนในราชวงศ์สั่งลอบปลงพระชนม์

เจ้าหญิงไดอาน่า

 
 

           อังกฤษฟื้นคดีการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอาน่า หลังได้รับข้อมูลว่าหน่วย SAS ส่องไฟใส่หน้าคนขับรถเจ้าหญิง เพื่อลอบปลงพระชนม์อย่างแนบเนียน

           เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2556 เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษ รายงานว่า คดีการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอาน่า ถูกรื้อขึ้นมาสืบสวนอีกครั้ง หลังมีหลักฐานชี้ว่าอาจเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง โดยได้รับข้อมูลจากภรรยาคนในหน่วยงานสเปเชียลแอร์เซอร์วิส (SAS) หรือหน่วยรบพิเศษของกองทัพอากาศ ว่ามีคนส่องไฟใส่หน้าคนขับรถของเจ้าหญิง จนนำมาซึ่งอุบัติเหตุดังกล่าว พร้อมเผยเป็นคำสั่งจากคนในราชวงศ์เอง

           รายงานระบุว่า สำนักงานตำรวจนครหลวงของอังกฤษ หรือ สกอตแลนด์ ยาร์ด ได้ตัดสินใจรื้อคดีการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอาน่าขึ้นมาสอบสวน หลังเหตุเกิดขึ้นนานกว่า 16 ปีแล้ว เพราะมีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อ 16 ปีก่อนนั้น เป็นการฆาตกรรมไม่ใช่อุบัติเหตุ โดยจากการรวบรวมหลักฐานพยานตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อุบัติเหตุอันน่าเศร้าในครั้งนั้นจริง ๆ แล้วอาจเกิดขึ้นจากฝีมือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วย SAS และจากคำเปิดเผยของภรรยานายทหารนายหนึ่ง ได้ระบุว่า สามีของเธอเล่าให้เธอฟังว่า หน่วย SAS มีความสามารถที่จะปลงพระชนม์เจ้าหญิงไดอาน่าอย่างแนบเนียน อุบัติเหตุในครั้งนั้น เกิดจากการส่องไฟใส่หน้าคนขับรถของเจ้าหญิง ขณะเดินทางผ่านอุโมงค์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จนทำให้คนขับรถตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน จนนำมาซึ่งอุบัติเหตุที่ช็อกคนทั่วโลก

           นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยด้วยว่า ปฏิบัติการของหน่วย SAS ในครั้งนั้น ได้รับคำสั่งมาจากคนในราชวงศ์เองที่ไม่พอใจที่เจ้าหญิงไดอาน่าทรงคบหากับชายมุสลิม

           ทั้งนี้ สำหรับคดีอันน่าเศร้าดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ เจ้าหญิงไดอาน่า และนายโดดี อัล ฟาเยด ลูกชายของมหาเศรษฐี โมฮัมหมัด อัล ฟาเยด กำลังเดินทางออกจากโรงแรมในฝรั่งเศส ก่อนที่รถของพระองค์จะเร่งความเร็วเพื่อหลบหนีช่างภาพที่ขับรถติดตามเพื่อถ่ายภาพ จนกระทั่งคนขับรถไม่สามารถควบคุมรถยนต์ให้วิ่งต่อไปอย่างปลอดภัยได้ จึงประสบอุบัติเหตุ ทำให้คนขับรถและนายโดดีเสียชีวิตทันที ส่วนเจ้าหญิงไดอาน่านั้นสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา ซึ่งแม้ว่าพ่อของนายโดดีจะเชื่อว่าเหตุดังกล่าวเป็นการฆาตกรรม แต่จากการสอบสวนอย่างละเอียดในครั้งนั้น ศาลก็ได้สรุปว่าเป็นคดีอุบัติเหตุในที่สุด โดยโทษว่าเป็นผลจากการขับรถโดยประมาทของคนขับรถที่ดื่มจนเมามาย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       7 ทักษะที่เด็กนักเรียนยุคไอทีขาดหายไป

 

 

                               7 ทักษะที่เด็กนักเรียนยุคไอทีขาดหายไป !/สรวงมณฑ์  สิทธิสมาน คอลัมน์ พ่อแม่ลูกปลูกรัก  

 

 

เด็กยุคนี้เติบโตขึ้นมาค่อนข้างมีความสะดวกสบายมากกว่ายุคก่อนมาก
       หลายสิ่งอย่างในชีวิตได้มาง่ายเพราะพ่อแม่จัดหาให้ทุกอย่าง ยามหิวเมื่อไรก็ได้กินเมื่อนั้น หนำซ้ำสามารถสั่งมากินที่บ้านก็ได้ อยากได้อะไรก็ได้ ยิ่งมีเครื่องมืออิเลคทรอนิกส์ ก็ยิ่งเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นไปอีก

 

 

                     7 ทักษะที่เด็กนักเรียนยุคไอทีขาดหายไป !/สรวงมณฑ์  สิทธิสมาน คอลัมน์ พ่อแม่ลูกปลูกรัก  

 

 

 พอเข้าสังคมโรงเรียนก็เลยมีนิสัยรักสบายติดตัว และกลายเป็นปัญหาของเด็กนักเรียนจำนวนมากที่คนเป็นคุณครูถึงกับต้องกุมขมับ เพราะการเรียนรู้ของเด็กนักเรียนยุคนี้ทำให้เกิดปัญหามากมาย ยกตัวอย่างเรื่องการบ้าน ที่คุณครูพบว่า เดี๋ยวนี้การบ้านของเด็กไม่ใช่ของเด็กอีกต่อไป เพราะมีตัวช่วยมากมาย ตั้งแต่ผู้เป็นพ่อแม่ และเครื่องมืออิเลคทรอนิคส์ที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการทำงาน


       ถ้าเป็นเพียงการอ่านประกอบ หรือช่วยค้นหาบางเรื่องก็ยังพอทำเนา แต่ปัจจุบัน เด็กส่วนใหญ่ใช้วิธีลอกการบ้านผ่านอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการทำรายงาน ก็ใช้วิธีเดียวกัน ซึ่งบางวิชาคุณครูก็รู้เท่าทัน บางวิชาก็รู้ไม่เท่าทัน


       ในขณะที่เด็กนักเรียนในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการทำการบ้าน ทำรายงาน ต้องมีการค้นคว้าหาข้อมูลในห้องสมุด ต้องขวนขวาย ดิ้นรนที่จะต้องไปเสาะแสวงหาข้อมูล ถ้าทำงานเป็นกลุ่มก็ต้องมีการแบ่งงาน มีการคิดก่อนลงมือทำ ในขณะที่ปัจจุบันใช้อินเทอร์เน็ต แค่ปลายนิ้วก็สามารถได้ข้อมูลเพียบ บางคนใช้วิธีคัดลอก ตัด แปะ อีกต่างหาก


       และเจ้าสิ่งต่างๆ ที่สะดวกสบายมากขึ้น จึงเป็นต้นเหตุทำให้เด็กนักเรียนรุ่นใหม่ขาดทักษะชีวิตในหลายด้านทีเดียว
       อะไรบ้าง ?


       หนึ่ง ทักษะการคิด
       ส่วนใหญ่พ่อแม่จะคิดให้หรือคิดแทน และบางคนถึงขั้นทำให้ลูกหมดทุกอย่าง ไม่ค่อยได้ปล่อยโอกาสให้ลูกได้ฝึกคิด หรือพอปล่อยให้ลูกคิดเอง พ่อแม่มักจบลงที่ความคิดของลูกไม่ได้เรื่อง สุดท้ายก็จะทำให้ลูกไม่อยากคิด เพราะคิดทีไร พ่อแม่ก็ไม่สนใจอยู่แล้ว หรือคิดว่าความคิดของตัวเองไม่เข้าท่า ฉะนั้นก็เลยไม่ชอบคิด และเมื่อเข้าสู่รั้วโรงเรียนก็มักจะเชื่อฟังคุณครู และมักจะไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง


       สอง ทักษะค้นคว้า หาข้อมูล
       ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือทางอิเลคทรอนิคส์ จึงทำให้เด็กรุ่นนี้ มักค้นหาข้อมูลผ่านทางโลกออนไลน์มากกว่าจะไปค้นคว้าหาข้อมูลจากหนังสือ และมักจะทำการลอกข้อความต่อกันมาเป็นทอดๆ คุณครูบางคนถึงกับต้องปวดหัว เพราะการบ้านของเด็กบางครั้งคัดลอกมาเหมือนกันหมด แม้แต่คำผิดก็ยังผิดเหมือนกัน เด็กจึงขาดการเรียนรู้ถึงการค้นคว้า การจะหาข้อมูลว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ต้องค้นคว้าในหมวดหมู่อะไร และเคยชินกับการลอกข้อมูลมากกว่าจะไปเสาะแสวงหาความจริงจากข้อมูล

 


             7 ทักษะที่เด็กนักเรียนยุคไอทีขาดหายไป !/สรวงมณฑ์  สิทธิสมาน คอลัมน์ พ่อแม่ลูกปลูกรัก  

 

  สาม ทักษะการทำงานเป็นทีม
       
เวลาทำงานร่วมกัน จำเป็นที่จะต้องทำงานกันเป็นทีม แต่การเรียนการสอนในบ้านเรา ไม่ค่อยเน้นเรื่องนี้ เด็กๆที่ได้รับการบ้านเป็นกลุ่ม ก็จะมีคนทำไม่กี่คน คนที่ไม่ทำก็ไม่ทำเหมือนเดิม ยิ่งเดี๋ยวนี้สามารถค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต จึงทำให้เกิดการคัดลอกข้อมูล แทบจะไม่ได้เรียนรู้เรื่องการทำงานเป็นทีม ไม่ได้เรียนรู้เรื่องการแบ่งหน้าที่กันอย่างไร แต่จะเป็นการแบ่งกันไปคัดลอกข้อมูลของใครของมัน แล้วนำมารวมกันซะมากกว่า


       สี่ ทักษะความมุ่งมั่นพยายาม
       ข้อนี้สำคัญมากแต่เด็กก็ขาดกันมากจริงๆ แนวโน้มจะขาดกันทั่วโลก เพราะเด็กจะสนใจจุดหมายปลายทางมากกว่าจะสนใจความมุ่งมั่นพยายามระหว่างทาง
       เด็กส่วนใหญ่ขาดความมุ่งมั่นพยายามในการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ เวลาเจองานที่ยากก็จะท้อ ไม่อยากทำ ทำให้มีผลกระทบมากโดยเฉพาะเวลาเรียน ซึ่งเมื่อชั้นเรียนสูงขึ้นวิชาการก็ยากขึ้นเรื่อยๆ หรือเวลาที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเจอปัญหา ถ้าไม่มีความพยายามมุ่งมั่น แม้ว่าจะเก่งขนาดไหนก็ไม่มีทางจัดการกับปัญหาหรืออุปสรรคไปได้

      

 ห้า ทักษะเรื่องความอดทน
       ผู้ใหญ่ต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ให้เด็กได้เรียนรู้ช่วยเหลือตัวเอง อย่าทำให้ทุกอย่างด้วยความรักที่เกินพอดี เพราะหากทำให้ทุกอย่าง เด็กจะไม่มีทางรู้ว่าเขาทำอะไรเองได้บ้าง หากมีคนคอยช่วยอยู่ตลอด แต่ควรจะค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ อาจลำบากบ้าง ยากบ้าง นั่นคือการฝึกความอดทน
    

   หก ทักษะแก้ไขปัญหา
       
สืบเนื่องจากการฝึกความอดทน จะตามมาด้วยการฝึกแก้ไขปัญหา ต้องเริ่มจากให้เขาช่วยเหลือตัวเองให้ได้ก่อน จากนั้นให้เด็กได้ลองแก้ไขปัญหาบ่อยๆ ง่ายบ้าง ยากบ้าง โดยดูตามวัยของเด็กเป็นหลัก รวมไปถึงการฝึกให้เขารู้จักที่จะขอความช่วยเหลือในยามจำเป็นก็เป็นเรื่องที่เขาควรจะต้องเรียนรู้ด้วย
    

   เจ็ด ทักษะความใฝ่เรียนรู้ 
       เด็กจำนวนไม่น้อยที่ขาดความใฝ่เรียนรู้ และขาดแรงจูงใจ มักเกิดจากการเลี้ยงดูที่ขาดการฝึกเรื่องวินัยและการควบคุมตนเอง ทำให้เด็กมักใช้วิธีหลีกเลี่ยงและหาข้ออ้างแก้ตัวอยู่เสมอ ฉะนั้น ผู้ใหญ่ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกทำ เลือกเรียนหรือเลือกกิจกรรมที่ชอบ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เด็กอยากเรียนรู้
       การฝึกให้เด็กมีประสบการณ์ตรงโดยให้โอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์จริงจะช่วยให้เด็กได้เข้าใจบทเรียนได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้เด็กได้มีโอกาสศึกษาใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง
       ท้ายที่สุด พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกด้วย

       เพราะ..เมื่อลูกเข้าไปอยู่ในรั้วโรงเรียน เขาจะมีภูมิต้านทานชีวิตที่จะได้ฝึกทักษะชีวิตในด้านอื่นๆ ด้วย และทักษะเหล่านี้จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
         

 โดยคุณ สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน คอลัมน์ พ่อแม่ลูกปลูกรัก

 

 

 

     

          

 

 

 

 

 

 

 

       ศาลแพ่งไม่ยกเลิก พรก แต่ห้ามสลายม๊อบ

 

 

                             

 
 
 
ศาลแพ่งไม่เพิกถอนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ห้ามสลายการชุมนุมยึดคำสั่งศาลรธน.ที่วินิจฉัยว่าการชุมนุมเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ

ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษา กรณี นายถาวร เสนเนียม ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยและมีคำสั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะรอง ผอ.ศรส. จำเลยในคดีฟ้องเพิกถอนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งศาลได้วินิจฉัยแล้วเห็นว่า นายถาวร เสนเนียม มีอำนาจในการยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่รบ.ก็มีอำนาจในการประกาศใช้ พร..ก.ฉุกเฉินได้ เนื่องจากเป็นกฎหมายพิเศษให้อำนาจฝ่ายบริหาร ใช้ดุลยพินิจในการแก้ไขสถานการณ์ที่มีร้ายแรงให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว

โดยศาลวินิจฉัยต่อว่าแม้รัฐบาลมีอำนาจออกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ก็ห้ามใช้ประกาศและข้อกำหนดที่ออกโดยพ.ร.ก.ฉุกเฉินเนื่องจากยืดตามศาลรธน.ที่วินิ​จฉัยว่าการชุมนุมเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ รวมถึงมีคำสั่งห้ามรัฐบาลและศรส.เข้าสลายการชุมนุม



แปลกดีนะ

บอกเป็นอำนาจของ รัฐบาลที่จะประกาศและใช้อำนาจ พรกฉุกเฉินได้
แต่ห้ามสลายม๊อบตามคำวินิจฉัยของศาล รฐน
อย่างนี้ก้าวล่วงอำนาจรัฐ ก้าวล่วงอำนาจฝ่ายบริหารหรือไม่นี่

สงสัยต้องพาคนไปตัดแว่นที่ร้านแว่นหลายคน
และต้องหาจานดาวเทียมหรือต้องส่งคนไปจูนทีวีที่บ้านคนบางคน
ให้ทีวีในบ้านรับช่องอื่นได้บ้าง ไม่ใช่เปิดดูได้แต่ช่องบลูสกายช่องเดียว

การชุมนุมที่สงบ ปราศจากอาวุธ แต่มีคนเจ็บตาย ถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลรัฐธรรมนูญและตลก รับรองคุณภาพแล้ว
ถึงเห็นๆว่าไม่จริง ก็ไม่ตัดสินให้ขัดกับศาลพวกเดียวกัน
คงต้องตัดสินให้เป็นแนวเดียวกันตามนโยบาย
ต่อไปนี้จะเป็นมาตรฐาน
ปิดถนนได้ ยึดสถานที่ราชการได้ทุกแห่ง
เดินเพ่นพ่าน ตามล่านายกได้ ยุยงให้ทำลายธนาคารทำลายเศรษฐกิจได้
ยิงตำรวจ ซ้อมตำรวจได้ ทำร้ายประชาชนได้ ไม่ผิด
ตั้งด่านเถื่อนได้ ขัดขวางการเลือกตั้งได้
มีระเบิดได้ มีปืนสงครามได้ แต่มองไม่เห็นว่าเป็นอาวุธร้ายแรงอย่างใด
คงเห็นเป็นด้ามไม้กวาดมั้ง
มียาเสพติด มีใบกระท่อม มีกัญชาได้ ไม่ได้เห็นเป็นสิ่งเสพติด
คงเห็นเป็นยาชูกำลัง

จำไว้นะครับ จะได้เป็นมาตรฐาน
เดี๋ยวคงมีคนอื่นเอาอย่างมั่ง


หรือนี่เป็นการตัดสินจากข้อมุลเดิม
เมื่อมีข้อมูลใหม่อย่างเมื่อวาน
ศรส ควรยื่นใหม่เพื่อแก้ไขคำสั่งศาลอีกหรือไม่
ว่าที่ห้ามไม่ให้สลายนะ ข้อมูลความเป็นจริงมันเปลี่ยนไปแล้ว

 

 

 

 

 

    ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ นอสตราดามุสเมืองไทย

 

 

 





ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย โพสต์โดยคุณ WOODYTALK CH สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

          

 

 

ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ นอสตราดามุสเมืองไทย กับคำทำนายภัยพิบัติประเทศไทยปีนี้ ในวู้ดดี้เกิดมาคุย

          เคยสร้างความประหลาดใจให้ใครหลายคนมาแล้ว เกี่ยวกับคำทำนายของ "ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ" ในเรื่องภัยพิบัติ ตั้งแต่ครั้งเหตุการณ์ตึกเวิล์ดเทรดถล่ม เหตุการณ์สึนามิ เมื่อปี 2547 และเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศไทยเมื่อปี 2554 จนได้รับฉายานามว่า.. "นอสตราดามุสเมืองไทย" ล่าสุดรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยจึงไม่รอช้าเชิญ ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ มาพูดคุยทำนายภัยพิบัติประเทศไทยปีนี้ เมื่อค่ำคืนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557

          โดย  ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ 11 กันยาที่สหรัฐฯ ให้ฟังว่า ครั้งแรกตนยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์เกิดที่ไหน คือเห็นตึกสูงมากแล้วมีอะไรมาชนจนระเบิด จนกระทั่งตนเปิดหนังสือฉบับภาษาอังกฤษแล้วพบตึกเวิลด์เทรดซึ่งเป็นตึกที่ตนเห็น ตนจึงบอกผู้ใหญ่ในวงการทหาร รวมถึงวันที่จะเกิดเหตุด้วยว่าเป็นวันที่ 11 กันยายน แต่ผู้ใหญ่ก็ตอบว่า มันจะเป็นไปได้เหรอ

          และทุกครั้งที่ตนเตือนจะต้องบอกวันเสมอ อย่างเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ตนบอกทุกคนที่ได้ไปบรรยายให้ฟัง ตอนเห็นภาพนี้เห็นที่กรุงเทพฯ แต่ไปทำพิธีที่ท้ายเหมือง เพราะตนมั่นใจว่าจะต้องเกิดที่ภูเก็ต ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ตนถูกนักวิทยาศาสตร์ รวมถึง ดร.สมิธ ออกมาว่าเยอะ ว่าตนไม่รู้จริง สึนามิไม่เคยเกิดในไทย แต่ตนก็บอกว่า ไม่ใช่ไม่เคยมี แต่คุณเกิดไม่ทัน มันเคยเกิดเมื่อ 4,000-5,000 ปีที่แล้ว จนกระทั่งศูนย์กลางและเมืองใหญ่กลางมหาสมุทรอินเดียล่มหายไป

          ส่วนที่รู้ได้อย่างไรว่าจะเกิดที่ภูเก็ตนั้น ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ กล่าวว่า ตนตั้งคำถามในใจ ส่วนคนที่ตอบซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เชื่อมต่อกันด้วยคลื่นบางอย่าง เขาตอบมาว่าอันดามัน ซึ่งในวันที่ 25 ธันวาคมก่อนเกิดเหตุ ตนและเพื่อน ๆ ได้ไปที่ปากช่อง

          เมื่อถามว่าทำไมจึงไม่เตือนหน่วยราชการนั้น ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ กล่าวว่า ถ้าไม่เตือน อาจารย์จะพิมพ์บทสวดมนต์เป็นแสน ๆ ใบเหรอ ตนเตือนมาตลอดบอกให้ช่วยกันสวดมนต์ ซึ่งมีลูกศิษย์ตน 7 คนที่รอดชีวิต ตนได้ให้บทสวดและเตือนเขาไป ปรากฏว่าตอนเช้าลูกศิษย์โทรมาร้องไห้บอกว่า ที่ตนเตือนเกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว และที่ตนไปเขาใหญ่ในวันก่อนเกิดเหตุนั้นเพราะที่นั่นเป็นเขาสูง และมีเสาวิทยุเยอะ ที่เราสามารถเชื่อมพลังงานเพื่อยิงสัญญาณได้



ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ นอสตราดามุสเมืองไทย

ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ นอสตราดามุสเมืองไทย

 

 


          ทั้งนี้ ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ เล่าด้วยว่า การที่หยั่งรู้อนาคตนั้น เรียกว่า ญาณวิถี คนทรงญาณ การที่จิตสงบ เป็นสมาธิระดับสูง เกิดจากการที่เรามีอยู่แล้วตั้งแต่อดีตชาติและฝึกด้วย ตนไม่ใช่หมอดู หรือนักพยากรณ์ แต่สิ่งที่ตนเห็นยังไม่มีอะไรที่ไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างที่เห็นเกิดขึ้นหมด ครั้งแรกที่เห็นคือ 4-5 ขวบ ตนเห็นขโมยขึ้นบ้านและถูกตีอยู่ที่ระเบียง ตนจึงบอกผู้ใหญ่ในบ้าน ซึ่งเขาก็เชื่อ หลังจากนั้นไม่เกิน 7 วันก็มีขโมยขึ้นบ้านจริง ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นตนยืนยันได้ว่าไม่ใช่จินตนาการเพราะตนใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเอง 15-18 ปี


          และเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ กล่าวว่า ตนได้คุยกับ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา จึงเริ่มศึกษาเรื่องฟิสิกส์ คลื่นพลังงานแม่เหล็กต่าง ๆ จนเริ่มเข้าใจว่า ถ้าสมาธิ จิตเราดี เคิร์ฟในสมองจะมีความถี่ห่าง ซึ่งสามารถจับจูนคลื่นพลังงานต่าง ๆ ที่มีรอบตัว นอกจากนี้ตนยังได้สอนน้อง ๆ ให้ฝึกสร้างพลังงานขึ้นมาเอง เพื่อให้ได้สัมผัสพลังงานจริง ๆ โดยการถูมือและเคาะนิ้ว ซึ่งจะช่วยการสร้างสเต็มเซลล์ เพราะหลังเดือนพฤษภาคมปีนี้ โลกจะเริ่มเปลี่ยนแปลง และมนุษย์จะเริ่มกลายพันธุ์ !

          โดยโครงสร้างดีเอ็นเอเราจะผิดปกติ เพราะความไม่สมดุลของยีนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก เกิดจากสิ่งที่ร่างกายสะสม มลพิษสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รวมถึงปัจจัยทางสมอง ทุกวันนี้มนุษย์อยู่กับสนามพลังงานแม่เหล็กซึ่งพร้อมที่จะเปลี่ยนกระบวนการเซลล์ของเราให้ผิดปกติ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมปัจจุบันคนเราถึงเป็นมะเร็งกันเยอะมาก โดยภาพเหล่านี้ตนเห็นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน มนุษย์มีหนอกที่หลัง แขนและมือสั้นกว่าปกติ แต่หนาใหญ่ เท้าขาผิดปกติ จะว่าเหมือนมนุษย์โบราณก็ไม่ใช่เพราะอันนั้นดูแข็งแรง แต่อันนี้ดูปวกเปียก เป็นภาวะที่ไม่สมดุลเลย ซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นที่ ถ้าพื้นที่ไหนไม่มีเทคโนโลยี และไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กมากก็อาจจะไม่เป็นมาก

          ส่วนที่หลาย ๆ คนมักจะสงสัยว่าเรื่องที่ตนเตือนจริงหรือเปล่า อยากดังหรือเปล่า ทำไมจึงตั้งฉายานอสตราดามุส ตนไม่ได้ตั้งเอง สื่อเป็นผู้ตั้งให้ เพราะเราไม่ได้อยากดัง และไม่ได้คิดที่จะเอาความรู้หรือความสามารถพิเศษมาทำมาหากินหรือทำให้ตัวเองโด่งดัง ซึ่งพระ ซินแส บอกว่า ตนเป็น 1 ในสิบล้านคน และเป็นหน้าที่ที่ตนจะต้องลงมาทำบางอย่าง ตนเป็นพรหม คือผู้ที่สำเร็จแล้ว ปฏิบัติแล้ว และไม่มาเกิดก็ได้ จะเกิดก็ได้

          ส่วนที่คนไทยนับถือพระสยามเทวาธิราชนั้น ท่านเสด็จกลับข้างบนแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2523 เพราะหมดวาระของท่านแล้ว กรุงเทพฯ สร้างมา 200 กว่าปีแล้ว ทุกอย่างมีกำหนดอายุขัยทั้งนั้น เทวดาที่รักษาเมืองก็มีอายุขัยเช่นกัน โดยพระสยามเทวาธิราชสร้างในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 และสมเด็จพระพุฒาจารย์โตอัญเชิญจิตวิญญาณของเทวดามาพิทักษ์รักษา แต่ ณ ปัจจุบันพระสยามเทวาธิราชกลับไปแล้ว ส่วนพรหมที่ดูแลประเทศไทยอยู่ตอนนี้คือพระอัสดายุ ซึ่งมนุษย์จะไม่สามารถเห็นได้เลยถ้าตนไม่ได้เปิดมิติของสวรรค์

          และเหตุการณ์ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้นั้น ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ กล่าวว่า หลังวันที่ 13-18 กุมภาพันธ์ จะมีเรื่องน่าตื่นเต้นตกใจเกิดขึ้น มีแผ่นดินทรุดตัวและแยกยุบในพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง กทม. และปริมณฑล คล้ายธรณีพิโรธ เห็นสายฟ้าฟาด ฟ้าผ่าลงมาที่สถานีไฟฟ้าย่อย ทำให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง จะมีไฟไหม้ขนาดรถกระเช้าขึ้นไม่ถึง เห็นตึกสูงถล่ม ถึงเวลาฟ้าดินจะชำระล้าง ส่วนทางออกนั้น หากเชื่อในกรรมดี มีสติอยู่กับลมหายใจ สร้างแต่กรรมดี ไม่สร้างอกุศลกรรม พลังงานบวก คิดบวก สิ่งต่าง ๆ จะเชื่อมโยงกับพลังงานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ และหมั่นสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติธรรม นอกจากนี้ที่สหรัฐอเมริกาจะมีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง แถวแคลิฟอเนียร์ จอร์เจีย

          และหลังพฤษภาคม สนามพลังงานแม่เหล็กโลกจะเคลื่อน คนจะเดินไม่ได้ เสียการทรงตัว ต้องคลานกันทั้งโลก เพราะเกิดการสวิงตัวของสนามแม่เหล็ก ซึ่งเราต้องรักษาร่างกายให้สมบูรณ์ หายใจให้เป็น หายใจให้ลึก อย่าให้ท้องผูก ออกกำลังกาย ทำยังไงก็ได้ให้เราแข็งแรง

          ขณะที่ทางด้าน ดร.สมิธ กล่าวถึงคำทำนายของ ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ ว่า คำว่าธรณีพิโรธมีจริง แต่ไม่เคยเกิดขึ้นในไทย ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อแผ่นดินไหวรุนแรงเกิดขึ้นห่างกรุงเทพฯ 300-350 กม. ถ้าคลื่นแผ่นดินไหวผ่านพื้นดินอ่อน มันจะขยายอัตรากำลังพลังงานขึ้นอีก 2 เท่าครึ่ง กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนดินเลน ถ้ามีคลื่นแผ่นดินไหวขนาดกลางหรือใหญ่ผ่านมา อัตราการขยายพลังงานจะเพิ่มขึ้น ถ้าเข้ามาจริง ๆ กรุงเทพฯ ก็จะเป็นอย่างที่ ดร.กัญจิรา บอก มีตึกถล่มแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นที่เม็กซิโกมาแล้ว

          ส่วนเรื่องการสวิงตัวของสนามแม่เหล็กนั้นอาจเกิดจากการที่ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานออกมา มันจะกระทบต่ออากาศ แผ่นดินไหว ซึ่งเว็บไซต์องค์การนาซาจะมีบอกไว้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ  บอกอาจจะเกิดได้แน่ใน 200-300 ปี เพราะพลังงานสะสมในใจกลางโลกต้องปลดปล่อยออกมา ทำให้พื้นผิวโลกมีการเคลื่อนตัว

 

 

 
*ชื่อของ “ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ” เคยถูกกล่าวขวัญถึงอย่างมากหลังจากทำนายเกี่ยวกับ “ภัยพิบัติใหญ่” แล้วมีคนนำออกมาเผยแพร่ ซึ่งภายหลังบุคคลผู้นี้ก็ออกมายืนยันว่าเป็นคำทำนายของตนเองจริง แต่ข้อมูลที่เผยแพร่มีความผิดเพี้ยนไป อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์หลายครั้งก็ทำให้มีหลายคนติดตามดูผลคำทำนายว่า...แม่น-ไม่แม่น ?? เธอผู้นี้เป็นใคร-อย่างไร ?? วันนี้ทีม “วิถีชีวิต” จะพาไปทำความรู้จัก.....

@@@@@

     ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ เล่าว่า ในอดีตเป็นกลุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ณ วันนี้มีอาชีพเป็น “นักวิทยาศาสตร์การแพทย์” เรียน จบจากต่างประเทศ จบปริญญาโทด้านชีวเคมีและพันธุกรรมจากออสเตร เลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งปัจจุบันให้ความสนใจการนั่งสมาธิและการ “ค้นคว้าทางจิต” โดยเป็นประธานชมรมวิถีธรรม-วิถีไท ทั้งนี้ กับ “สัมผัสพิเศษ” หรือ “ซิกซ์เซนส์” ดร.กัญจีราบอกว่าเกิดกับตัวตั้งแต่เด็ก

     ครั้งหนึ่งได้บอกคนรู้จักว่าอีกไม่กี่วันจะมีอุบัติเหตุมีฝรั่งตายหลายคน แล้วก็มีรถทหารจัสแม็กซ์คว่ำตายจริง ๆ และเมื่อตอนลงไปทำงานในพื้นที่ภาคใต้ก็เห็นภาพโจรก่อการร้ายจะซุ่มโจมตีก่อนล่วงหน้าจึงเล่าให้หัวหน้าฟัง ซึ่งก็เกิดขึ้นจริง หรือการปฏิวัติยุค รสช. ก็บอกผู้ใหญ่ไปไม่ถึง 1 สัปดาห์ก็เกิดขึ้น ทั้งยังเคยทำนายว่าคนไทยจะมีนายกรัฐมนตรีที่มีชื่อทิศใต้ซึ่งขณะนั้นไม่มีใครคาดคิด แต่ผลก็ออกมาตามนั้น และยังมีอีกหลายคำทำนายที่ตอนแรกฟังแล้วอาจจะดูไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง อาทิ สงครามอิรัก วิกฤติค่าเงินบาท เหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด จนทำให้เจ้าตัวถูกเรียกว่าเป็น “นอสตราดามุสหญิง...เมืองไทย”

“คนมักถามว่ารู้ได้อย่างไร เราก็บอกว่าคำตอบมีอยู่แล้ว เพียงแต่จะเจอคำตอบเมื่อไหร่ เหมือนนักวิจัยเก็บข้อมูลไปเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งก็มีคำตอบให้ บางคนมองว่างมงาย แต่เราคิดว่าเรื่องจิตสามารถอธิบายให้เป็นรูปธรรมในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ จึงตั้งใจค้นคว้าเพื่อหาคำตอบ”

     ในช่วงเริ่มต้นค้นคว้านั้น ดร.กัญจีรา บอกว่า เกิดเหตุประหลาดหลายครั้ง เช่นมีโอกาสเจอ “อ.ภาวาด บุนนาค” ซึ่งไม่เคยเจอตัวจริงกันเลย แต่พบกันในนิมิต 5 ครั้ง ได้กล่าวอะไรหลายอย่าง ทำให้เกิดความต้องการรู้ อยากศึกษาค้นคว้าพิสูจน์ แต่กว่าจะตามหาเจอท่านก็ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็ได้คุยกับคนสนิทของท่านว่าสิ่งที่ท่านบอกนั้นจริงหรือไม่ ปรากฏว่าจริง เรื่องการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ตรงนี้ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจ

ช่วงปี 2531-2532 เริ่มจริงจัง ทุ่มเท นั่งสมาธิ สวดมนต์ จากนั้นก็ฝึกสมาธิบำบัดซึ่งเป็นศาสตร์หนึ่งที่เอาสมาธิมาผนวกกับการเคลื่อนไหวที่ได้ประโยชน์กับร่างกาย แล้วให้จิตเฝ้าระวังดูการเคลื่อนไหวของเรา

*“ส่วนการทำนาย ทุกครั้งก็ไม่ได้พูดส่งเดช แต่มีหลักความเป็นไปได้ ส่วนใหญ่จะมองจะวิเคราะห์เป็นรายปี ถามว่าเคยพลาดไหม ตรงนี้แหละที่แปลก อย่างเหตุการณ์พายุนาร์กีสที่พม่า แผ่นดินไหวที่จีน ก็เคยเตือนไว้ตอนปี 2548-2549 ว่ามันจะเกิด มันก็เกิดขึ้นในปี 2551 จริง ๆ”

ปลายปี 2550 เตือนย้ำเรื่องพม่า จีน และต่อที่อินโดนีเซีย เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และกระทบถึง ศรีลังกากับอินเดีย ต่อเนื่องมาที่ลาว ซึ่งถ้าลาวแผ่นดินไหวไทยก็ต้องเจอ แต่ไม่รู้ว่าวงจรนี้จะเกิดเมื่อใด ?

     สำหรับคำทำนายที่เกี่ยวกับไทย ดร.กัญจีรา บอกว่า “สัญญาณอันตรายจะเกิดขึ้นด้วยคลื่นความถี่ ภาพภัยพิบัติล่าสุดที่เห็นคือ ภูเขาไฟในอินโดนีเซียปะทุและระเบิด เกิดคลื่นยักษ์ในอ่าวไทย ไม่ใช่สึนามิ แต่จะเป็นคลื่นที่ระลอกแล้วระลอกเล่าถาโถมเข้ามาพร้อม กับพายุที่มีความรุนแรงกว่าปกติ คนที่อยู่แถวริมทะเลจะได้รับผลกระทบ อาทิ เพชรบุรี สมุทร ปราการ”

     ดร.กัญจีรา อธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่า จากภาพที่เห็นตั้งสมมุติฐานว่าบริเวณอ่าวไทย เลียบชายฝั่งเป็นดินใหม่ที่มีโคลน เมื่อมีการขยับตัวของแผ่นดินเกาะสุมาตราก็จะมี ลักษณะเหมือนโดมิโน เมื่อตรงนี้ขยับตรงโน้นก็ขยับต่อทีละนิดไปเรื่อย ๆ ในอ่าวไทยมีหลุมใหญ่จากการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ สูบน้ำมันมานาน 20-30 ปี ของเหลวถูกสูบขึ้นมา ความสมดุลของโลกก็สูญเสียไป ฉะนั้นแผ่นดินต้องเลื่อนลงไปทดแทน พื้นทรายทรุดตัวลงช้า ๆ สิ่งที่เข้าไปแทนที่คือ ทราย ฟองอากาศ พื้นดินจะขยับไปเรื่อย ๆ ซึ่งต้องมีผลกระทบ

“ภายใน 3-6 เดือนข้างหน้านี้ ไทยจะพบภัยพิบัติธรรมชาติรุนแรง จะเกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก แผ่นดินทรุด กรุงเทพฯ น้ำจะท่วมแผ่นดินไหวมีตึกสูงถล่ม ภาคใต้จะเกิดคลื่นพายุหนัก โดยภัยธรรม ชาติจะเกิดขึ้น 3 ช่วงคือ 1.วันที่ 26-27 ก.ค., 2.วันที่ 17-18 ส.ค., 3.ช่วงรอยต่อของวันที่ 23 ต.ค.-7 พ.ย. ซึ่งจะเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดที่กระทูน อ.พิปูน จ.นครศรีธรรม ราช แต่ครั้งนี้เกิดขึ้นที่ภาคเหนือ จะมีน้ำป่าไหลหลากรุนแรง ภูเขาเกิดแตก โดยเฉพาะที่ น่าน แพร่ และที่ อ.เถิน จ.ลำปาง เพราะมีการขุดเจาะภูเขาทำเหมืองกันมาก”

     นักวิทยาศาสตร์ผู้สนใจค้นคว้าทางจิตบอกต่อไปว่า... ถนนบ้านเราสร้างตามใจนักการเมือง ไม่ใช่ผังเมือง ทำให้ถนนหลายสายเหมือนกับเขื่อนกั้นน้ำจากภาคเหนือสู่ภาคใต้ ทำให้มีน้ำท่วมขังหลายพื้นที่ และเคยดูไว้เมื่อปี 2549 ว่าปี 2551 นี้น้ำฝนจะมากกว่าปกติ เพราะร่องความกดอากาศเคลื่อนที่สู่ภาคเหนือ แล้วนำลมมรสุมมาตก ทำให้ปริมาณน้ำในภาคเหนือเกิดการสะสม พอมากเข้าก็ไหลลงใต้ มีน้ำทะเลหนุน ทำให้ภาคกลางที่เป็นพื้นที่ลุ่มหรือทำให้กรุงเทพฯ ต้องเจอน้ำท่วมใหญ่แน่นอน “ไม่ถึงขนาดกับมิดหัว ประมาณเอวถึงอก” แม้จะมีการสร้างเขื่อนเพื่อแก้ไข แต่ก็คงแก้ไม่ได้ เพราะไม่ทันแล้วกับวิกฤติต่าง ๆ ที่รุนแรงที่จะเกิดขึ้น



     ดร.กัญจีรายังบอกด้วยว่า สิ่งที่เห็นไม่ใช่ญาณ ไม่ใช่นิมิต แต่เป็นคลื่นที่มีการเก็บข้อมูลไว้แล้วส่งเข้ามา โดยที่สามารถรับคลื่นตรงนั้นได้ ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ทุกคนมีพลังงาน “คลื่นแม่เหล็ก” ที่ออกมารอบตัว แต่ตนเองมีคลื่นละเอียดกว่าจึงสัมผัสเข้าถึงได้ดีกว่า และแปรผลออกมาเป็นภาพ และเมื่อคลื่นจิตในสมองสงบก็สามารถ จูนคลื่นในอากาศได้ ทำให้รับรู้หรือเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ ทั้งที่เคยเกิดและยังไม่เกิดขึ้น

“วิกฤติต่าง ๆ ที่รุนแรงจะเกิดขึ้นใน 2 ปีนี้” เป็นอีกคำทำนายระทึกขวัญที่ “ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ” ระบุ และกำลังรอการพิสูจน์ความแม่น ของ “นอสตราดามุสหญิง...เมืองไทย” คนนี้ !!.

'ความจริง...ที่รอการพิสูจน์ ?'

     ดร.กัญจีราบอกว่า ตามวงจรโลกทุก 500 ปีโลกจะสวิงกลับ เช่นเมื่อ 1,000 ปีที่แล้วจีนเจริญรุ่งเรืองมาก แล้วถดถอย ตะวันตกเจริญพัฒนาขึ้น และช่วงนี้ตะวันตกถดถอยลง ตะวันออกก็จะกลับมาเฟื่องฟูอีก จะสวิงไปมาแบบนี้ ซึ่งคิดตามหลักวิทยาศาสตร์อาจเป็นผลจากพลังงานแม่เหล็กโลกที่เคลื่อนที่ตลอดเวลา ที่สำคัญทุก 3,000 ปีโลกจะเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศวิทยาทุกครั้ง จะเกิดขึ้นเพราะวงจรของโลก จากคลื่นพลังงานที่หมุนรอบโลก หรือแม้แต่สสารที่อยู่ในโลกก็มีการเคลื่อนย้ายหมุนเวียน ซึ่งวงจรพลังงานที่เคลื่อนที่มีผลต่อสสาร เมื่อสสารข้างในเคลื่อนที่ มันก็มีผลต่อเปลือกโลก ผลกระทบก็จะเกิดกับมนุษย์และธรรมชาติที่อยู่บนพื้นพิภพ

ก่อนหน้านี้ ดร.กัญจีราจะเก็บตัว เพิ่งจะยอมเปิดให้สัมภาษณ์กับทีมวิถีชีวิต ซึ่ง ดร.กัญจีราบอกว่า ที่ให้สัมภาษณ์เพราะอยากเตือนสติคน อยากให้คนไทยตระหนักรู้ โดยช่วงนี้เป็นช่วงรอยต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก ซึ่งได้เคยทำนายเตือนมาตั้งแต่ปี 2545 ว่าในช่วงปี 2551-2552 จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

     “ภัยที่เกิดขึ้นนอกจากรับรู้ด้วยโสตประสาทและตาที่สามแล้ว ยังได้ศึกษาข้อมูลวิทยาศาสตร์ แผนที่โลก ภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา เพราะสิ่งที่พูดต้องชัดเจนและตรวจสอบได้ ที่ออกมาพูดวันนี้เพื่อให้เกิดสติ ตระหนักรู้ ไม่ประมาทกับชีวิต พร้อมทั้งเตือนหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เตรียมรับมือปัญหา เพื่อจะได้แก้ไขทัน คนเราวันหนึ่งต้องตาย เมื่อมีชีวิตอยู่อย่าหายใจทิ้งไปวัน ๆ เร่งสร้างกุศลบารมี และความดี สิ่งนี้เท่านั้นที่จะติดตัวเราไปได้ ไม่ได้ต้องการอวดอ้างตัวหรืออยากดัง ไม่ใช่หมอดู ไม่ใช่นักโหราศาสตร์ นักพยากรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดคือความจริง ที่รอการพิสูจน์” ดร.กัญจีรากล่าว.


ขอขอบคุณ
ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์ วันที่ 13 กรกฎาคม 2551

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 การแถลงการของนายกวันนี้พูดได้ดีมาก ตรงๆ

 

 

เรียนพี่น้องชาวนาและพี่น้องชาวไทยที่รักยิ่ง

วันนี้ดิฉันในฐานะหัวหน้ารัฐบาลขอโอกาสพี่น้องชาวนาและประชาชนคนไทยทุกคนเพื่อจะได้ม​าพูดจาปราศรัยกับท่านเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่ปัจจุบันมีข้อสงสัยหลา​ยประการ

ก่อนอื่นดิฉันขอยืนยันถึงเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ที่ดีของรัฐบาลต่อโครงการรับจำนำข​้าวดิฉันเชื่อมั่นตั้งแต่เมื่อพรรคเพื่อไทยได้นำเสนอโครงการนี้ และพี่น้องประชาชนได้ให้ความไว้วางใจพรรคและตัวดิฉัน ว่าโครงการจะยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตเพื่อสร้างความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืนให้กับชาวนาไทยทุกคน

ซึ่งในอดีตชาวนาที่ถึงแม้จะเป็นกระดูกสันหลังของชาติและเมื่อคนไทยทุกคนกินข้าว จึงย่อมต้องสำนึกในบุญคุณของชาวนา แต่ก็น่าเศร้าที่ว่า ถึงแม้ข้าวทุกเมล็ดทำให้เราเติบใหญ่ แต่ชาวนากลับถูกเอารัดเอาเปรียบถูกกดขี่ข่มเหง ต้องทนตรากตรำหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาโดยตลอด

ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลก็ประสบความสำเร็จ บรรลุเป้าหมาย ชาวนามีรายได้เพิ่ม ทั้งยังเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจรากหญ้า และการเติบโตของระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

สำหรับการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินโครงการนั้นมีความชัดเจนถึงที่มาของแหล่งเงิน​ทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการ แน่นอนที่สุด

- ประการแรก คือ รายได้จากการระบายข้าวในตลาด ซึ่งมีกระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพหลัก
- ประการที่สอง คือ เงินจากการบริหารจัดการของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีตามกลไกปกติของกระทรวงที่จะจัดเงินมาสนับสนุน รวมถึงอนุมัติให้ ธกส. กู้เงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการรับจำนำข้าวจากสถาบันการเงินต่างๆ​ ทั้งภาครัฐและเอกชนภายในวงเงินที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

ประชาชนเห็นถึงผลที่ชัดเจน เงินตกถึงมือเกษตรกรตัวจริง โครงการจึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง

พี่น้องชาวนาและพี่น้องชาวไทยที่รักยิ่ง

เป็นที่น่าเสียดายว่าความฝันความหวังที่จะลืมตาอ้าปากของชาวนาไทยกำลังโดนเกมการเมือ​ง สร้างกระบวนการบ่อนทำลายอันรวดเร็วจนจะหมดสิ้นลงในไม่ช้า ดิฉันมีความเสียใจและต้องขอโทษพี่น้องชาวนา ที่เหตุการณ์เอาชาวนาเป็นตัวประกันของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ทำให้รัฐบาลไม่สามารถดำเนินโครงการได้ด้วยความราบรื่นอย่างที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในปั​จจุบันแต่ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขวากหนามมากเพียงใด ดิฉันก็จะไม่ย่อท้อ และยืนหยัดต่อสู้เพื่อพี่น้องชาวนาต่อไป

เกมการเมืองที่ดิฉันกล่าวถึง มาจากกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลมีแนวทางที่จะล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และตั้งรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น ดิฉันเข้าใจว่าความคิดที่เห็นต่างนั้นมีได้ และการชุมนุมประท้วงเป็นสิทธิเสรีภาพของทุกคน แต่เมื่อดิฉันได้ยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชนแล้ว ทุกฝ่ายก็ควรที่จะมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าเขาต้องการนโยบายใด และให้ผู้ใดเป็นผู้บริหารประเทศ

แต่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลไม่ยอมดำเนินการตามกติกาที่เป็นสากลไม่เข้าสู่การเลือกตั้ง และยังคงดำเนินยุทธวิธีที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อประเทศชาติโดยรวม และยังพร้อมที่จะใช้ทุกช่องโหว่เพื่อทำลายนโยบายที่ประชาชนได้ประโยชน์ อย่างเช่น โครงการจำนำข้าว

ขณะนี้การบ่อนทำลายโครงการจำนำข้าวไปถึงขั้นการสกัดกั้นที่จะไม่ให้รัฐบาลจ่ายเงินค่​าข้าวให้กับชาวนาการขัดขวางทำกันอย่างเป็นกระบวนการ เพื่อให้การจัดหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการรับจำนำข้าวจะต้องสะดุดหยุดลง หรือชะลอการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันควรทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ซึ่งในความเป็นจริงหากทุกฝ่ายมีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหา หากทุกธนาคารและผู้บริหารจะเห็นใจและมีน้ำใจต่อชาวนาไทย เข้าใจถึงความเดือดเนื้อร้อนใจ การบริหารการเงินของรัฐบาลก็จะเดินหน้าได้ ดิฉันยืนยันว่าเงินทุกบาทรัฐบาลรับผิดชอบอยู่แล้ว เงินของธนาคารก็มีหลักประกันตามกฎหมาย จึงไม่มีใครสามารถนำเงินฝากของทางธนาคารไปใช้ในทางที่ผิด

นอกจากนี้ ในปัจจุบันสถาบันการเงินมีสถานะที่มั่นคง และที่สำคัญสภาพคล่องในระบบการเงินการธนาคารนั้นมีสูงมาก ดังนั้น ทางธนาคารสามารถดำเนินการปล่อยกู้ตามขั้นตอนเพื่อช่วยเหลือชาวนา โดย ไม่ทำให้ทางธนาคารมีความเสี่ยงมากจนไม่สามารถบริหารจัดการได้

การดำเนินการในครั้งนี้ก็ไม่เหมือนในอดีตที่การบริหารการเงินผิดพลาดทำให้สถาบันการเ​งินต้องปิดตัวลง และการบริหารงบประมาณของโครงการเป็นไปตามหลักวินัยการเงินการคลังมาอย่างต่อเนื่อง ธนาคาร ผู้บริหาร และพนักงานสมาชิกสหภาพซึ่งเป็นธนาคารของรัฐจึงไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว ทุกขั้นตอนมีกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีรองรับอยู่อย่างถูกต้อง

มีกระบวนการกล่าวหาและตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการบริหารโครงการรับจำนำข้าวทั้งโ​จมตีทางการเมืองและกฎหมายว่า โครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริตคอรัปชั่นที่เป็นระบบระดับนโยบาย ซึ่งดิฉันขอยืนยันว่าในระดับนโยบายไม่มีการสร้างวิธีที่จะโกงเงินดังที่ถูกกล่าวหา และในระดับปฏิบัติหากมีการรั่วไหล ดิฉันก็ต้องการเห็นการตรวจสอบที่เข้มงวด และยินดีในกระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจ​ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยไม่เลือกปฏิบัติและมีความเสมอภาคภายใต้หลักนิติธรรมโดยไม่มีความลำเอียงหรือวาระท​างการเมืองที่ซ้อนเร้นเพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว นอกจากโครงการดีๆ จะถูกทำลาย ความน่าเชื่อถือของระบบและกระบวนการตรวจสอบก็จะสูญศรัทธาไปด้วย

พี่น้องชาวนาและพี่น้องประชาชนที่รักยิ่ง

ในระหว่างที่พี่น้องชาวนารอการเบิกจ่ายเงินนั้น รัฐบาลตระหนักถึงความยากลำบากจึงได้กำหนดมาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเท่​าที่จำเป็นของปัญหาที่เกิดขึ้นโดยทางธ.ก.ส.จะขยายเวลาการชำระหนี้ออกไปเป็นระยะเวลา 6 เดือน

นอกจากนี้ เพื่อให้พี่น้องได้เข้าถึงเงินกู้เพื่อนำไปใช้ในเตรียมการผลิตในฤดูกาลต่อไปที่กำลัง​จะมาถึง ธ.ก.ส.จะขยายวงเงินให้ลูกค้ารายปัจจุบัน โดยสามารถใช้หลักค้ำประกันที่ได้วางได้กับธ.ก.ส. โดยมาตรการนี้ครอบคลุมถึงชาวนาที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของทางธ.ก.ส.ด้วย โดยพี่น้องชาวนาสามารถสมัครเป็นสมาชิกและยื่นความจำนงที่ ธ.ก.ส.สาขาใกล้บ้าน สำหรับชาวนาที่อยู่ภายใต้สถาบันเกษตร (สหกรณ์) สามารถขอเงินกู้จากสหกรณ์ได้เช่นกัน

สุดท้ายนี้ ดิฉันในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ขอยืนยันอีกครั้งว่ารัฐบาลจะปกป้องรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องชาวนาและพี่น้องประชาชน​ทุกคนดิฉันจะไม่ยอมให้เกมการเมืองมาเอารัดเอาเปรียบเอาพี่น้องเป็นตัวประกัน ดิฉันขอความร่วมมือและความเห็นใจของทุกฝ่ายต่อความทุกข์ยากของพี่น้องชาวนา ทุกหยาดเหงื่อของพวกเขา มีค่ามากต่อวิถีชีวิตของคนไทยทุกคน เราจะต้องไม่ปล่อยให้กระดูกสันหลังของชาติพิกลพิการ ชาวนาไทยจะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้ และมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับคนไทยทุกคน
 

 

 

 

 

 

 

 

              อาการ เดจาวู : รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า?

 

 

 

                 

 

 

 

เคยเกิดอาการแปลกๆ บ้างไหม

อาการที่เหมือนกับตัวเองฝันไป แล้วฝันก็เป็นจริง
อาการที่เห็นภาพและอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา แล้วก็เป็นจริง
อาการเหมือนคนมาเตือนให้ระวังภัยและเตือนภัยแล้วก็เกิดขึ้น
อาการเหมือนตกหลุมรักโดยฉับพลัน...คนนี้ใช่เลย
อาการที่คล้ายกับเคยพบเห็น เคยอยู่ในสถานที่ต่างๆ ทั้งที่ไม่เคยไปมาก่อน


นั่นแหละครับ เรียกว่าอาการ เดจาวู

ตัวอย่างเหตุการณ์

อับบราฮับ ลินคอร์น ก็เคยเห็นเดจาวู เขาเห็นว่าตนจะโดนลอบสังหารและไม่มีใครหยุดได้ ก่อนนอนเขาได้กล่าวอำลากับทหารที่รักษาการนอกห้องประธานาธิบดีว่า ลาก่อนเราคงไม่ได้เจอคุณอีกแล้ว หลังจากนั้น เขาก็โดนลอบยิงเข้าที่หน้าอกเสียชีวิตทันที

บางคนรู้สึกว่าตนนั่งรถทัวร์กลับต่างจังหวัดตอนดึก ระหว่างทางเห็นอุบัติเหตุข้างทาง แล้วก็ผ่านไป สักพักก็เห็นอีก เห็นอยู่เรื่อย ที่สำคัญเป็นรถคันเดิม คนเดิม บางทีกำลังหันมามองเขาด้วย โดนที่ไม่ใช่ฝันแน่นอน พอรู้สึกตัวอีกที รถจอด ปรากฏว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเหมือนที่เคยเห็น

มนุษย์ในบางครั้งมีความรู้สึกว่า ตนเองเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าในฝันหรือในอดีต เช่น ไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ไม่เคยไปมาก่อน เดินไปยืนที่ระเบียงแล้วรู้สึก ตนเองคุ้นกับระเบียงนี้ มุมนี้ และการยืนแบบนี้..

เมื่อได้พบใครเป็นครั้งแรกแล้วเกิดอาการ ?ปิ๊ง? ขึ้นมาทันที...ใช่เลย เขาคนนี้แหละที่เคยปรากฏในจินตนาการของเรา

บางคนที่เคยเขียนภาพทิวทัศน์จากจินตนาการ แล้วก็ได้ไปพบทัศนียภาพนั้นตรงกับที่เขียนไว้เป๊ะๆ... เนินตรงนั้น...ต้นไม้ใหญ่ตรงนั้น...วัวกำลังยืนเคี้ยวเอื้องอยู่ตรงนั้น


เดจาวู ทางการแพทย์เขาเรียกว่า การไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้า ในสมองเกิดการผิดปกติครับ คือ ไหลไปยังไงไม่รู้ทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้

แต่โดยความเชื่อของเราเองแล้วนั้น ที่เรียกว่าเดจาวู นี่เป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคนและทุกเวลา คือมันเป็นทั้งโลกคู่ขนาน และเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอันยาวไกล ( ชาติก่อนๆโน้น ) คล้ายๆกับ ทฦษฎีสัมพันธภาพ ของไอน์สไตน์ล่ะครับ คือสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซ้ำ อีกเหมือนกับการที่ เรากลับชาติมาหลายๆชาติ นั่นแหละครับ

ทฤษฏีของเดจาวู

เดจาวู (ฝรั่งเศส:ทฤษฏีของเดจาวู D?j? vu เดชาวู แปลว่า เคยได้พบเห็นมาแล้ว) คำว่าเดจาวูได้บันทึกขึ้นมาจากนักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศส Emile Boirac (1851?1917) ในหนังสือ L'Avenir des sciences psychiques (แปลว่า อนาคตของวิทยาศาสตร์จิตวิทยา)

อาการเดจาวูคือรู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นเคยพบมาแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งพบครั้งแรก โดยเราอาจจะคิดว่าเราเพ้อฝันไป

เดจาวู เป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคน และทุกเวลา อาจเป็นอดีตชาติ อาจเป็นโลกคู่ขนาน อาจเป็นพลังจิต หรืออาจเป็นแค่ภาพลวงตาทางสมอง

ทฤษฎีแรก อดีต

สิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีก เราจะผ่านประสบการณ์มากมาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำ แล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน

เดจาวู เป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ.. ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า เดจาวู มันเกิดจากการที่ขณะหลับ จะมีการหลับอยู่หลายขั้น (ประมาณ 5 ขั้น) ถ้าเห็นอนาคตที่เคยทำ ก็จะอยู่ประมาณขั้นที่ 3 ยิ่งขั้นมากขึ้น ความสัมพันธ์กับร่างกายและวิญญาณ จะยิ่งห่างไกลกันออกไป ถ้าหลับลึกถึงขั้นที่ 5 ก่อนหลับจะรู้สึกชาตามร่างกายทั้งตัว ขยับตัวเองไม่ได้ พูดไม่ได้ (ลักษณะที่คนทั่วไปเรียกว่าถูกผีอำ) ถ้าหลับในสภาพนี้ อัตราค่าซิงโครกับร่างกายจะลดต่ำ ลงจนเหลือ 0 แล้ววิญญาณก็จะหลุดออกจากร่างกาย

ทฤษฎีที่สอง พลังจิต

บ้างก็ว่า เดจาวู เป็นพลังจิตรูปหนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นทิพจักขุญาณ (ความรู้คล้ายตาทิพย์) ซึ่งได้มาจากการเจริญสมถะภาวนาในหมวดของกสิณ 3 กองคือ เตโชกสิณ (กสิณไฟ), โอทากสิณ (กสิณสีขาว) และ อาโลกสิณ (กสิณแสงสว่าง) จากทั้งหมด 10 กอง

เราทุกคนมีพลังจิต เพียงแต่จะอ่อนจะเข้ม บางทีเพราะเราไม่ได้ฝึก จะเก็บกดไว้ภายใน วันดีคืนดีก็ล้นออกมา ตามตำรา ถ้าได้ฝึก เราสามารถควบคุมได้

มีนักพยากรณ์หลายคน พยากรณ์ได้จากการเพ่ง ว่ากันว่า มีผู้หนึ่งมีเดจาวูแรงกล้ามาก หาใครเปรียบได้ไม่ เขาชื่อ นอสตราดามุส

ทฤษฎีที่สาม จักรวาลคู่ขนาน

อธิบายเกี่ยวกับ โลกคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนานก่อน หมายถึง จักรวาลที่ดำเนินไปพร้อมกับจักรวาลที่เราอยู่นี้ ทฤษฎีนี้นักฟิสิกส์ริเริ่มคิดขึ้นมา มีเหตุการณ์ที่เราลังเลอยู่ 2 ทาง แต่เราก็ตัดสินใจไปทางหนึ่ง แล้วคิดไหมว่า ถ้า ณ วันนั้นเราตัดสินใจเป็นอย่างอื่น อะไรจะเกิดขึ้น

ในโลกนี้ที่เรามีตัวตนอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันก็มีเราอีกคนหนึ่งในอีกโลกหนึ่ง และมีโลกคู่ขนานมากมายนับไม่ถ้วน

ทฤษฎีสุดท้าย คิดไปเอง

ตามแนวคิดของหลักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า เกิดจากสมองแปลข้อมูลผิดพลาด พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ได้เห็นมาแล้วหรอก แต่คิดไปว่าเห็นมาแล้ว

ทางการแพทย์เรียกว่า การไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองเกิดการผิดปกติ สมองคนเราก็เหมือนเครื่องจักรย่อมเกิดข้อผิดพลาดได้บ้าง ทำให้การกระทำที่กำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้น คลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้


โดย khonsurin
baanmaha.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ร.ต.อ.เฉลิม ยืนยัน ขอคืนทำเนียบพรุ่งนี้ 08.00น. เตรียมพร้อมTVถ่ายสด เริ่มจากการเจรจา ตามหลักสากล

15.08 ร.ต.อ.เฉลิม ประกาศ วันพรุ่งนี้ 18 ก.พ.นี้เวลา 08.00 น.ที่ บชน.ขอให้สื่อมวลชนไปร่วมสังเกตการณ์กับมาตรการขอคืนพื้นที่สถานที่ราชการ 5 จุด คือ
1.ทำเนียบรัฐบาล
2.กระทรวงมหาดไทย
3.กระทรวงพลังงาน
4.สะพานผ่านฟ้า
5.ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยการปฎิบัติการในวันพรุ่งนี้จะแจ้งจุดปฏิบัติการอีกครั้ง เนื่องจากต้องประเมินสถานการณ์ และมั่นใจว่าจะมีวิธีการในการปฏิบัติการ

ทั้งนี้ ศรส.มอบหมายช่อง 11 และช่อง 9 ถ่ายทอดสด การขอคืนสถานที่ราชการและถนน จากม็อบ กปปส. โดยจัดรายการพิเศษ ชื่อ “ภารกิจ คืนความสงบ กทม.” หรือ Peace for Bangkok Mission

  

 

สุเทพ ตอนนี้ ที่ช่องบลูสกาย

 
ประกาศ แตกหัก แน่ๆ วันที่ 19 นี้ สุดท้ายกันแล้ว / พรุ่งนี้ชวนไปทำเนียบ > ยก 5 แล้วมั้งครับ ใครจะอยู่ ใครจะไป คงรู้กัน ไม่รู้ใครจะโดนน๊อค !!!!
 
 
 
 
 

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-02-13 19:01:34.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  อำเภอผักไห่ สมัยขอมเรืองอำนาจ

 

 

                                       

 

 

 

                อำเภอผักไห่ สมัยขอมเรืองอำนาจ  

 

 

 

 

 ประวัติความเป็นมา

       สมัยขอมเรืองอำนาจ บริเวณพื้นที่อำเภอผักไห่นี้อยู่ในอาณาเขตเมือง "เสนาราชนคร" หรือเมือง "อโยธยา" ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านแห่งอาณาจักรทวาราวดีของขอม โดยขอมสร้างเมืองลพบุรี (ละโว้) เป็นเมืองอุปราช สร้างเมืองอโยธยาเป็นเมืองหน้าด่าน (ต่อมาเมืองอโยธยาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเสนาราชนคร)

       เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลง สมัยพระเจ้าอู่ทองได้สร้างเมืองใหม่ในอาณาเขตเก่าของเมืองเสนาราชนคร ขนานนามว่า "กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา" มีอาณาเขตรวมบริเวณพื้นที่อำเภอผักไห่ด้วย โดยบริเวณนี้อยู่ระหว่างสุพรรณบุรีกับกรุงศรี-อยุธยา จึงเป็นเส้นทางเดินทัพหรือเป็นบริเวณที่ไทยรบกับพม่าในบางครั้ง เช่นตามประวัติศาสตร์ไทยรบพม่าครั้งที่ 24พระยาเสนารับอาสามารบพม่าที่มีมังมหานรธาเป็นแม่ทัพ รบกันที่บริเวณนี้ (บ้านจักราช ตำบลจักราช) รวมทั้งหลังจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสร็จศึกยุทธหัตถีที่ดอนเจดีย์ ก็เสด็จผ่านนำช้างมาอาบน้ำกินไหลบัวในบริเวณบ้านจักราชแล้วจึงเสด็จไปทางบ้านตาลานกลับกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่ 417 ปี ก็เสียเมืองให้แก่พม่า เมื่อกู้เอกราชได้ เมืองหลวงย้ายไปตั้งที่กรุงธนบุรี และเรียกบริเวณเมืองกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา ว่าเมือง "กรุงเก่า"

       สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้แบ่งเขตการปกครองของพระนครศรีอยุธยา(กรุงเก่า) ออกเป็น 4 แขวง ได้แก่ แขวงนครใน แขวงอุทัย แขวงรอบกรุง และแขวงเสนา โดยพื้นที่อำเภอผักไห่นี้อยู่ในแขวงเสนา มีอาณาเขตรวมผักไห่ เสนา บางบาล และบางไทรทั้งหมด ครั้นสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3ทรงเห็นว่าแขวงเสนา ประชาชนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น และมีอาณาเขตกว้างขวางมาก ยากแก่การปกครอง จึงแบ่งแยกพื้นที่ เขตเสนาตอนเหนือเป็น "แขวงเสนาใหญ่" และพื้นที่เขตเสนาตอนใต้เป็น "แขวงเสนาน้อย" (ที่ตั้งของที่ว่าการแขวงเสนาใหญ่ อยู่ในเขตอำเภอผักไห่ในปัจจุบัน)

       ต่อมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.2438 ได้ทรงเริ่มการปกครองตามระบบมณฑล-เทศาภิบาล มีสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้แบ่งเขตเสนาใหญ่ออกเป็น 2 ตอนตอนบนให้เป็นแขวงเสนาใหญ่ (อำเภอผักไห่) ตอนใต้เป็นแขวงเสนากลาง (อำเภอเสนา)  และแบ่งเขตเสนาน้อยออกไปอีก 2 แขวง คือแขวงเสนาใน (อำเภอบางบาล) และแขวงเสนาน้อย (อำเภอบางไทร) จึงกล่าวได้ว่าอำเภอผักไห่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2438 แต่ตอนนั้นใช้ชื่อว่าเสนาใหญ่

       เมื่อได้แบ่งเขตเสนาตอนบนออกเป็นแขวงเสนาใหญ่และแขวงเสนากลางแล้ว ที่ว่าการแขวงเสนาใหญ่ ครั้งแรกตั้งอยู่ที่บ้านตึกของหลวงวารีโยธารักษ์ (อ่วม) ตำบลอมฤต หมู่ที่ 3 เหนือปากคลองบางทองในขณะนี้ โดยหลวงวารีโยธารักษ์เป็นนายอำเภอ คนแรก   ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2440 ได้ย้ายที่ว่าการแขวงเสนาใหญ่ไปตั้งชั่วคราวที่ศาลาท่าน้ำวัดตาลานเหนือ ตำบลตาลาน อยู่ได้ประมาณปีเศษก็ย้ายมาตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 4 ตำบลผักไห่ในปัจจุบัน   ใน พ.ศ.2450-2471 พระเสนากิจพิทักษ์ เป็นนายอำเภอ ได้โอนตำบลบางหลวงโดด ตำบลบางหลวงเอียง ตำบลบางหลวงเมือง ตำบลบางหัก ตำบลทางช้าง และตำบลวัดตะกู ไปขึ้นกับอำเภอบางบาล โดยเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2460 เปลี่ยนชื่อจากอำเภอเสนาใหญ่มาเป็นอำเภอผักไห่ตามชื่อตำบลที่ตั้ง

      ชื่อตำบลผักไห่นี้ สันนิษฐานว่าคำว่า"ผักไห่" เพี้ยนมาจากคำว่า "ปากไห่" หรือ "ปากไห้" ซึ่งมีหลักฐานจากการเขียนนิราศของนายมีศิษย์สุนทรภู่ เมื่อตามเสด็จพระปิยมหาราชเสด็จประพาสต้นอำเภอผักไห่ เมื่อ พ.ศ.2414 ก็เขียนคำว่า "ปากไห่"

      "จวนเวลาสิ้นแสงสุรีย์ฉัน ถึงป่าโมกเรือมาพร้อมหน้ากัน เรือหลวงนายสิทธิ์นั้นคอยละห้อยใจ โปรดเกล้าเข้าผูกกับท้ายพระที่นั่ง คงคาหลั่งแลเชี่ยวเป็นเกลียวไหล เข้าคลองเอกราชเร็วครรไล ตามน้ำไหลออกคลองลาดน้ำเค็ม พวกขุนนางต่างตามหลามข้างหลัง ไม่รอรั้งแจวหน่วงจ้วงเต็มเล่ม ระยะทางไกลทายาทลาดน้ำเค็ม ฝีพายเต็มเหนื่อยอ่อนไม่ผ่อนพักพอยามหนึ่งถึงสถานย่านปากไห่ เห็นโคมไฟตามแดงแจ้งประจักษ์ เขาตั้งเครื่องบูชาดูหน้ารัก เสด็จพักพลับพลาในสาครวัดชีตาเห็นเป็นแต่เขาเล่ากันว่า ท้าวอู่ทองหนีห่าเที่ยวหลบซ่อน หยุดที่นี่สร้างเจดีย์ริมทางจร ยอพระกรเสี่ยงด้วยพระบารมี..."

       " ?จนรุ่งแจ้งแสงสางสว่างฟ้า ดูคูหาถิ่นฐานบ้านปากไห่ เรือนสะพรั่งสองฝั่งคงคาลัย ลำน้ำไหลแพรายขายสินค้าพอเสียงแตรแซ่ก้องในท้องน้ำ เดือนอ้ายขึ้นเก้าค่ำจำมาสา พระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงทรงนาวา จนถึงลาดชะโดดูเห็นบ้านชลธารมากท่วมถึงเคหา แล้วเสด็จเสร็จกลับมาพลับพลา ดูคะเนเวลาห้าโมงตี "


       ในนิราศสุพรรณบุรี ซึ่งนายมีเขียนเมื่อปีมะโรงฉอศก ก็ได้เขียนว่า "ปากไห่" เช่นกัน ดังนี้

       " แต่เที่ยวลัดทุ่งท่าเหมือนหน้าน้ำ ทั้งสองลำล่องเลื่อนจนเฟือนหลง ไปถึงบ้านปากไห่เหมือนใจจง แล้ววกวงออกทุ่งเที่ยวมุ่งมอง เห็นบัวหลวงบัวขมน่าชมดอก ช่างงามงอกนับแสนดูแน่นหนอง เห็นบัวขาวขาวล้วนนวลละออง"

       คำว่า "ปากไห่" นี้ ก็เพี้ยนมาจากคำว่า "ปักให้" อีกทีหนึ่ง โดยมีเกร็ดที่มา เล่ากันว่า มีตากับหลานปลูกบ้านอยู่ทางตอนเหนือของบ้านเศรษฐี เศรษฐีปลูกบ้านใหญ่โตมาก คนสมัยนั้นเรียกว่า "บ้านใหญ่" (ตำบลบ้านใหญ่ในปัจจุบัน)  และเรียกบ้านตากับหลานว่า "บ้านตาหลาน" (เพี้ยนเป็นตำบลตาลานในปัจจุบัน) เศรษฐีเป็นหลานเขยของตา ส่วนตาเป็นชนชั้นผู้ปกครอง (กำนัน)  โดยทุ่งผักไห่อยู่ทางเหนือบ้านตาหลาน

       บ้างก็ว่าเดิมที่ตอนเหนือบ้านตาหลานเป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่มีชื่อ ตาซึ่งเป็นชนชั้นผู้ปกครองจึงช่วยกันกับหลานปักเขตกำหนดขนาดที่ให้ชาวบ้านจับจองไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของแต่ละครอบครัว ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกบริเวณที่ ตาหลานปักเขตให้นี้ว่า "ทุ่งตาหลานปักให้" และเพี้ยนเป็น "ตาหลานปากไห่" จนถึง "ตาลานผักไห่" ในปัจจุบัน

       บ้างก็ว่า ที่ดินเหนือบ้านตาหลานนี้ เป็นที่ดินของเศรษฐีบ้านใหญ่ และเศรษฐียกให้ตาหลานไว้ทำมาหากิน โดยเศรษฐีปักเขตให้ตาหลานไว้เป็นกรรมสิทธิ์ ชาวบ้านจึงเรียกว่า "ทุ่งปักให้ตาหลาน" และเพี้ยนเป็น "ผักไห่ตาลาน" ในปัจจุบัน

       คำว่า "ผักไห่" นี้ มีผู้รู้บางท่านได้เล่าไปอีกอย่างว่า เป็นชื่อหญ้าชนิดหนึ่ง ใช้เป็นสมุนไพรมีใบคล้ายใบไผ่ เลื้อยแผ่ไปตามดิน ลอยขึ้นในน้ำขังหรือในที่ลุ่มชื้นแฉะ ลักษณะคล้ายผักปราบ (บ้างก็ว่าต้นผักไห่ก็คือต้นผักปราบ) มีอยู่มากในสมัยนั้นจึงเรียกว่าทุ่งผักไห่ และต่อมาเป็นตำบลผักไห่ ปัจจุบันหญ้าชนิดนี้หาได้ยากมาก เนื่องจากราษฎรใช้พื้นที่ทำการเกษตรกันโดยทั่วไป

       นอกจากนี้คำว่าผักไห่ยังเป็นชื่อหนึ่งของมะระขี้นก (ภาคใต้ ภาคเหนือ และจังหวัดนครราชสีมา เรียกมะระขี้นกว่าผักไห่)ซึ่งอาจเคยมีอยู่มากที่ตำบลผักไห่

       อีกพวกหนึ่งว่า คำว่า"ปากไห่" มาจากคำว่า ปากไห หมายถึงภาษีปากไห (ไหผักดอง ไหปลาร้า) แต่บางคนว่าสมัยก่อนมีการเก็บภาษีปากเรือ ไม่เห็นว่ามีการเก็บภาษีปากไห

       ถึงจะไม่สามารถสรุปได้มั่นคงว่าคำว่าผักไห่หมายถึงสิ่งใด แต่ที่เชื่อถือได้เพราะมีเอกสารอ้างอิงคือ ในปี พ.ศ. 2414 เรียกที่นี่ว่าปากไห่  และเปลี่ยนเป็นเรียกว่าผักไห่มาตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2460 (เป็นชื่อตำบลมาก่อนจะเป็นชื่ออำเภอ) เมื่อ "ผักไห่" เพี้ยนมาจากคำว่า "ปากไห่"  ฉะนั้น ผักไห่ จึงไม่ใช่ชื่อ "ผัก" ส่วนคำว่า ปากไห่ จะมีความหมายว่าอย่างไร หรือเพี้ยนมาจากคำใดอีกต่อหนึ่งนั้น ไม่ชัดเจน

 

ที่มา :  phakhai.ayutthaya.police.go.th

 

 

 

 

 

                 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

              รูปภาพ : Likeสาระ @loving_friday  </p><p>#อย่าปล่อยให้คนโกงมีที่ยืนในสังคม #ของเข้าตัว #ที่นี่ตอแหลแลนด์ #กรั๊กกกๆๆๆ

 

 

 

 

 

ตะลึง “บริษัท”ประธานต้านคอรัปชั่น จ่อ “โกง”ซะเอง! เอกสารศุลากรมัด “โตโยต้าไทย”

 ที่ “ประมนต์ สุธีวงศ์”เป็นประธาน ส่อเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์พรีอุส 1.1หมื่นล้าน!!

 
 
 
 
 
 
 
 
 

                    ตะลึง “บริษัท”ประธานต้านคอรัปชั่น จ่อ “โกง”ซะเอง! เอกสารศุลากรมัด “โตโยต้าไทย”ที่ “ประมนต์ สุธีวงศ์”เป็นประธาน ส่อเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์พรีอุส 1.1หมื่นล้าน!!

 

 

 

“สังคมไทย” อยู่ยากขึ้นทุกวัน … บางคน “รู้หน้า” ก็ “ไม่รู้ใจ”… บางคน “ข้างนอกสุกใน” แต่ “ข้างในกลับเป็นโพรง” … ซ้ำร้าย “บางคน” ป่าวประกาศว่า “ต่อต้านกระบวนการโกง”  … บางครั้งบางที “ตัวตน” ที่แท้จริงอาจจะ “สวนทาง” กับ “ภาพภายนอก” ชนิด “หน้ามือกับหลังเท้า” ก็เป็นได้ !!!


…
ทีมงานพระนครสาส์น ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการรถยนต์จำนวนมากมาระยะหนึ่งว่า ผู้ประกอบการรถยนต์รายใหญ่บางรายได้ ดำเนินการทางธุรกิจด้วยการเอาเปรียบสังคมและประชาชนอย่างรุนแรง ด้วยการพยายามที่จะหลบเลี่ยงการจะต้องเสียภาษีบางประเภทในอัตราที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในการประกอบธุรกิจเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทของตัวเอง  จึงได้พยายามตรวจสอบอย่างหนักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

 

ล่าสุดตรวจสอบพบว่า สำนักงานศุลากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้ดำเนินการตรวจสอบและสอบสวน กรณี “บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด” นำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ TOYOTA รุ่น Prius จำนวนมากจากการนำเข้าสินค้าต่างล็อต-ต่างครั้ง ซึ่งพบว่ามีปริมาณและส่วนส่วน ที่นำมาประกอบเข้ากันเป็นรถยนต์สำเร็จรูปได้จำนวนมาก โดยในการนำเข้านั้นเป็นการแยกสำแดงชนิดสินค้าและประเภทพิกัดตามของนั้นๆและใช้สิทธิยกเว้นอากรและลดอัตราอากรตามมาตรา 12 และยกเว้นอากรและลดอัตราอากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากญี่ปุ่นนั้นไม่ถูกต้อง


โดยพบว่า ในช่วงเดือนมิถุนายน 2555 “ฝ่ายปฏิบัติการตรวจสอบ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแฉลมฉบัง” ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติดังกล่าวและได้จัดทำ “ใบทักท้วงการตรวจสอบอากร” ระบุว่า สินค้าที่นำเข้าโดย “บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด” ซึ่งเป็นชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าโดยแยกเป็นสิ้นส่วนต่างๆ ในลักษณะ CKD (COMPLETE KNOCK DOWN) และมีปริมาณสอดคล้องต้องกัน เพื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วสามารถประกอบเป็นรถยนต์สำเร็จรูปได้เป็นจำนวนมาก  โดยกรณีดังกล่าวไม่สามารถแยกชำระอากรตามรายชนิดสินค้าได้ 

 

เมื่อตรวจสอบข้อมูลในส่วนของเครื่องยนต์พบว่ารหัสเครื่องยนต์ขึ้นต้นด้วย 2ZR นั้นเป็นรหัสเครื่องยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบ 1,797 ลบ.ซม. ของรถยนต์ TOYOTA รุ่น Prius ดังนั้น จึงเห็นควรให้สินค้าตั้งแต่รายการที่ ( …เลขที่รายการสินค้า… ) จัดเข้าประเภทพิกัด 8703.23.41 อัตรา 80% ในฐานะรถยนต์ ที่เป็นชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์ที่ความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,800 ลบ.ซม. ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) ประเภทที่ระบุถึงของใด ให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์หรือยังไม่สำเร็จ

 

หากว่าในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว และให้หมายรวมถึงของที่ครบสมบูรณ์ หรือสำเร็จแล้ว (หรือที่จำแนกเข้าประเภทของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จตามนัยแห่งหลักเกณฑ์นี้) ที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกัน หรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน

 

 

pr1

( ตัวอย่าง “ใบทักท้วงการตรวจสอบอากร” 2 ใน 240 ใบทักท้วงฯ สินค้า 240 ครั้ง ครั้งละนับพันรายการแตกต่างกันไป) 

pr2

 

 

โดยมีการประเมินมูลค่าในจำนวนที่ชำระไม่ถูกต้องและเรียกเก็บ “ค่าอากรขาเข้า,ค่าภาษีสรรพสามิต,ค่าภาษีเพื่อมหาดไทย และค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม” ตามจำนวนที่ขาดไปทั้งหมด


จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติของสินค้าที่นำเข้าในลักษณะข้างต้นจำนวนมากกว่า 240 ครั้งและมีนำเข้าครั้งละนับพันรายการ!!!


จากนั้น “สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง” ได้ดำเนินการตรวจสอบตามการ “ทักท้วง” ดังกล่าวเพื่อประเมินมูลค่าความเสียหายและเรียกเก็บอัตราภาษีต่างๆที่ขาดไป ซึ่งต่อมาในเดือน “พฤศจิกายน 2555″ ได้มีการออก “แบบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรขาเข้า/ขาออกภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่นๆ” เพื่อแจ้งกับ “บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด” จำนวนกว่า 240 ฉบับ ตามจำนวนสินค้าที่ได้มีการนำเข้าและเสียภาษีไม่ถูกต้อง

 

 

prh

( ตัวอย่าง”ใบแจ้งการประเมิน/เรียกเก็บอากรฯ” 1ใน240 ใบแจ้งฯ ตามจำนวนการนำเข้า )

โดยแบ่งเป็น “อากรขาเข้า” ที่ขาดไป จำนวน 7,411,906,701.31 บาท (เจ็ดพันสี่ร้อยสิบเอ็ดล้านเก้าแสนหกพันเจ็ดร้อยหนึ่งบาทสามสิบเอ็ดสตางค์)


เป็น “ค่าภาษีสรรพสามิต” ที่ขาดไป จำนวน 2,685,234,718.87 บาท (สองพันหกร้อยแปดสิบห้าล้านสองแสนสามหมื่นสี่พันเจ็ดร้อนสิบแปดบาทแปดสิบเจ็ดสตางค์)


เป็น “ค่าภาษีเพื่อมหาดไทย” ที่ขาดไป จำนวน 211,930,500.39 บาท (สองร้อยสิบเอ็ดล้านเก้าแสนสามหมื่นห้าร้อยบาทสามสิบเก้าสตางค์)


และเป็น “ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม” ที่ขาดไป จำนวน 1,386,459,717.96 บาท (หนึ่งพันสามร้อยแปดสิบหกล้านสี่แสนห้าหมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยสิบเจ็ดบาทเก้าสิบหกสตางค์)


ซึ่งเท่ากับว่า   “บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด” ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม ในการนำเข้าสินค้าและเสียภาษีไม่ถูกต้องครั้งนี้จำนวนมากถึง 11,695,531,638.53 บาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหกร้อยเก้าสิบห้าล้านห้าแสนสามหมื่นหนึ่งพันหกร้อยสามสิบแปดบาทห้าสิบสามสตางค์)


จากการตรวจสอบพบว่า “บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ไทยแลนด์ จำกัด” นั้นมี “นายประมนต์ สุธีวงศ์” ประธานองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (ประเทศไทย) เป็น “ประธานคณะกรรมการบริษัทฯ”


“องค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (ประเทศไทย)” เจ้าของ สปอตโฆษณาต่อต้านคอรัปชั่น “อย่าให้คนโกงมีที่ยื่น” อันลือลั่น !!


“บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย” ที่มี “ประมนต์ สุธีวงศ์” เป็น “ประธานคณะกรรมการบริษัท” กลับ “ถูกเรียกเก็บภาษี” จากการกระทำที่อาจจะเข้าข่ายหลบเลี่ยงภาษีและชำระภาษีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท !!!
กรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น “ประมนต์ สุธีวงศ์” …ระวัง !!!
ระวัง…ไม่มีที่ยืน !!!!!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 โดย คุณทรงวิทย์.......

 

 

 

             

 

 

   

 

 

       

 

 

 

 

      แพทย์ไทยสุดเจ๋งรักษา'เอดส์'หายขาด

 

ทั่วโลกตะลึงแพทย์ไทยโชว์ผลงานวิจัยเด็ดรักษา"เอดส์"หายขาดหากตรวจDNAหลังมีเซ็กส์เสี่ยงไม่เกิน 1 อาทิตย์ ยันกินยาติดต่อกันไม่เกิน 5 ปี ควบคุมเชื้อได้ทันที

 

          ภายหลังการประชุมแพทย์และนักวิจัยเกี่ยวกับโรคเอดส์และโรคติดเชื้อฉวยโอกาสระดับโลก หรือ "CROI 2013" (The Conference on Retroviruses and Opportunistic Infections) ณ เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3-6 มีนาคม ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่า นักวิจัยจากประเทศไทยได้เผยแพร่ผลงานสร้างความฮือฮาให้แก่สมาชิกในที่ประชุมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรกให้มีโอกาสหายขาดได้
 
          ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ให้ข้อมูลว่า การประชุมครั้งนี้มีการเสนองานวิจัยใหม่ๆ จากทั่วโลก แต่ที่ได้รับความสนใจมีผู้สอบถามข้อมูลมากสุด คือ งานวิจัยของแพทย์หญิงไทยเกี่ยวกับการทดลองกับอาสาสมัครของคลินิกนิรนาม ที่มาตรวจเชื้อเอชไอวีแล้วพบในระยะเริ่มแรกไม่เกิน 1 อาทิตย์ หลังจากรับเชื้อแล้วให้กินยาสูตรเบื้องต้นทันที หลังเฝ้าติดตามผลปรากฏว่าแทบจะไม่พบเชื้อหลงเหลืออยู่ในร่างกายหรือพบบางส่วนที่น้อยมาก ทำให้แพทย์ทั่วโลกอยากได้ข้อมูลเรื่องนี้เพิ่มเติม ถือเป็นงานวิจัยเรื่องเอดส์ของไทยที่มีชื่อเสียงในระดับโลก หากในอนาคตสามารถยืนยันการรักษาเอดส์ได้หายขาดจริง ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีของผู้ติดเชื้อเอดส์รายใหม่
 
          "เงื่อนไขสำคัญคือ คนที่จะรักษาหายได้ หมายถึงต้องเริ่มกินยาตั้งแต่ติดเชื้อมาใหม่ๆ เพราะเชื้อเอชไอวียังไม่แพร่กระจายออกไป แต่ก่อนแพทย์มีความเชื่อว่าต้องให้ภูมิคุ้มกันลดลง จึงจะให้เริ่มกินยา แต่งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า หากผู้ใดสงสัยว่าไปมีเซ็กส์เสี่ยงหรืออาจได้รับเชื้อเอดส์เข้าร่างกายด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม ให้รีบมาตรวจ ถ้าพบเร็วแล้วให้กินยาทันทีจะมีโอกาสรักษาหายได้มากกว่า คำว่ารักษาหายหมายถึงร่างกายควบคุมไม่ให้เชื้อเอชไอวีทำลายภูมิคุ้มกันในร่างกายได้เองโดยไม่ต้องกินยาทุกวันทั้งชีวิตเหมือนผู้ป่วยเอดส์ทั่วไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้หมดสิ้น 100 เปอร์เซ็นต์ อยากขอร้องให้ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงรีบมาตรวจหาเชื้อทันทีที่สงสัยหรือรู้ตัวแล้ว อย่าปล่อยไว้นาน เพราะถ้าติดเชื้อนานจะรักษาหายขาดไม่ได้ ขอให้มาตรวจฟรีได้ที่คลินิกนิรนาม" ศ.นพ.ประพันธ์ แนะนำ
 
          ด้าน รศ.พญ.จินตนาถ อนันต์วรณิชย์ นักวิจัยโรคเอดส์ ศูนย์วิจัยโรคเอดส์สภากาชาดไทย หัวหน้าโครงการวิจัยการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีระยะเฉียบพลัน เล่าถึงความเป็นมาว่า ในแต่ละปีมีผู้มาตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่คลินิกนิรนามจำนวนมาก โดยใช้วิธีตรวจหาเชื้อในเลือดแบบปกติทั่วไป หรือตรวจแอนติบอดี หรือตรวจหาจากการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อของร่างกาย หมายความว่า ร่างกายต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2 อาทิตย์ขึ้นไปในการตรวจพบเชื้อไวรัส ทำให้การรักษาเริ่มได้ช้า แต่งานวิจัยนี้ใช้ระบบแน็ต (NAT: Nucleic Acid Amplification Testing) เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ปลอดภัยและแม่นยำ เพราะตรวจจากสารพันธุกรรม เพียงแค่สงสัยว่ารับเชื้อเอดส์มา 5 วันขึ้นไปก็ตรวจพบได้แล้ว ใช้เวลาเพียง 1-2 วัน เมื่อรู้ผลเร็วและรีบกินยาทันทีจะช่วยหยุดการแพร่เชื้อไปอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย
 
          "การวิจัยนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2552 โชคดีที่อาสาสมัครให้ความร่วมมือเต็มที่ เพราะต้องตัดสินใจเร็วมาก จากวันที่ยืนยันผลแน่ชัดและเริ่มกินยาใช้เวลาไม่เกิน 5 วัน ในปีแรกมีอาสาสมัคร 10 คน ตอนนี้มีอาสาสมัครในงานวิจัย 95 คน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผลปรากฏว่าหลังกินยาต้านเอชไอวีเต็มสูตรทันทีทุกวันก็ไม่พบเชื้อแอบหลบซ่อนในเลือดหรือในเม็ดเลือดขาว อย่างไรก็ตาม ก็มีตรวจพบในบางคน แต่เป็นจำนวนเชื้อที่น้อยมากๆ คาดว่ากินยาต่อเนื่องไม่เกิน 5 ปี ร่างกายอาจควบคุมเชื้อได้เอง ไม่ต้องกินยาทั้งชีวิตอีกต่อไป ตอนนี้คงต้องคอยดูผลที่แน่ชัดจากอาสาสมัครปีแรก หากหยุดกินยาแล้วเชื้อไม่แพร่กระจายก็ถือว่าประสบความสำเร็จ" รศ.พญ.จินตนาถ กล่าว
 
          รศ.พญ.จินตนาถ ยอมรับว่า เป็นงานวิจัยที่ทำได้ยาก เนื่องจากต้องหาคนไข้ให้เร็วและให้กินยาทันที ทำให้นักวิจัยในต่างประเทศทำไม่ค่อยได้ เพราะหลายปัจจัย เช่น ต้องมีจำนวนคนติดเชื้อเอชไอวีมากพอ มีเทคโนโลยีสูง ใช้เจ้าหน้าที่วิจัยจำนวนมาก อาสาสมัครมีส่วนสำคัญที่สุด อาสาสมัครไทยมีจิตอาสาในการเข้าร่วมโครงการ ยิ่งไปกว่านั้น การตรวจหาผู้ติดเชื้อเอชไอวีเริ่มต้นที่ร่างกายยังไม่สร้างแอนติบอดีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน แม้แต่คลินิกนิรนามมีผู้มาตรวจ 6 หมื่นคน พบว่าติดเชื้อเอชไอวี 5,000 คน แต่เป็นผู้ติดเชื้อเริ่มแรกแค่ไม่ถึง 100 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายรักชาย
 
          เนื่องจากเป็นงานวิจัยที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก เงินทุนเริ่มต้นได้มาจากกรมแพทย์ทหารบกสหรัฐ เพื่อให้อาสาสมัครไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านยาและการตรวจหาเชื้ออย่างต่อเนื่อง รศ.พญ.จินตนาถจึงตั้งใจว่าจะเขียนเป็นบทความทางวิชาการเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารนานาชาติ เมื่องานวิจัยข้างต้นได้เผยแพร่ออกไปทั่วโลก อาจช่วยให้ขอทุนจากแหล่งวิจัยได้ ซึ่งจะทำให้งานวิจัยสามารถพัฒนาต่อไปได้โดยไม่หยุดชะงัก  
 
          นายบริพัตร ดอนมอญ ตัวแทนเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี กล่าวว่า รู้สึกดีใจหากค้นพบวิธีรักษาผู้ติดเชื้อรายใหม่โดยไม่ต้องกินยาตลอดชีวิต กว่าสิบปีแล้วที่ต้องกินยาทุกวัน เช่นเดียวกับผู้ป่วยอีกประมาณ 2 แสนคนทั่วประเทศไทย จึงอยากขอร้องให้รัฐบาลช่วยดูแลเรื่องสูตรยาต้านไวรัสด้วย โดยเฉพาะเรื่องสิทธิบัตรยาไม่ควรทำตามเงื่อนไขของกลุ่มประเทศยุโรปที่เป็นตัวแทนบริษัทยายักษ์ใหญ่ 
 
          ทั้งนี้ สถิติจากยูเอ็นเอดส์ (UNAIDS) ระบุว่า ปี 2554 พบทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี 34 ล้านคน เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2.5 ล้านคน เฉลี่ยเพิ่มนาทีละ 5 คน ประเทศไทยคาดการณ์ว่า ในปี 2555 มีผู้ติดเชื้อเอดส์ประมาณ 5 แสนราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ปีละ 9,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 1 คน และร้อยละ 80 เปอร์เซ็นต์ติดเชื้อจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

 

 

 

 

( จาก คุณหมอเหยเป่ย)

 

 ...คนใกล้ตัวเหยเป่ยอย่างคนงานที่บ้านก็เช่นกันจ่ะ ไม่พบเชื้อเช่นกัน ตอนที่เป็นใหม่ๆผอมแห้งแรงน้อย ไปตรวจ CD4 ไม่ถึง 200 จ่ะ อันตรายมาก ทางบ้านเหยเป่ยเลยรับช่วยออกค่าดูแลรักษา พาไปที่ รพ.รามา ตอนแรกไปทุกๆ 15 วัน หลังจากนั้นทุกๆ 1 เดือน ทุกๆ 2 เดือน ตอนนี้กลายเป็นทุกๆ 6 เดือน แต่ต้องมีระเบียบวินัยในการทานยานะจ๊ะ เพราะเหยเป่ยเคยพาเขาไปนั่งฟังคุณหมออธิบาย ท่านบอกว่าเชื้อ HIV เหมือนสปริงเราทานยาทุกวันจะกดเชื้อให้หายหรือหมดไปเรื่อยๆ แต่ถ้าหากเรางดหรือหย่อนยานเรื่องระเบียบการดูแลตัวเอง เชื้อก็จะกลับมามีเหมือนเดิมได้เร็วมากๆ และล่าสุดเขาไปตรวจไม่พบเชื้อแล้วจ่ะ และเป็นอย่างนี้มา 3 ครั้งหลังที่ตรวจก็ไม่พบ สุข���าพสมบูรณ์แขงแรงดี...

 

 

(จากคุณหมอเย็นฤดี)

 

ข่าวดีตอนนี้ึคือ มีการรายงานอย่างชัดเจนแล้วว่า สามารถรักษาคนไข้ชาวเยอรมันได้สำเร็จเป็นคนแรก
โดยการใช้องค์ประกอบ 3 อย่าง คือ
1.คนที่ไม่เป็น HIV
2.มีกลุ่มเม็ดเลือดขาวที่ตรงกัน
3.CCR5 ผิดปกติ (มีแนวโน้มต่อต้านเชื้อ HIV)

วิธีการรักษาของกรณีนี้คือ การใช้ stem cell ของคนที่มีองค์ประกอบสามอย่างข้างต้นมาถ่ายให้แก่คนที่เป็นโรค
เซลล์เม็ดเลือดขาวที่สร้างมาใหม่ก็จะอยู่ในรูปแบบที่เชื้อทำลายและแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนไม่ได้ ซึ่งนั้นเมื่ออาศัยร่วมกับการทานยาควบคุมระดับเชื้อ ก็จะทำให้เชื้อลดน้อยลงจนหมดไปในที่สุด

โดยในคนไข้ที่ทำได้นั้น ในสองปีของการรักษาพบว่าไม่มีเชื้อ HIV อยู่เลย ซึ่งยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะให้ผลตลอดไปหรือไม่ (แต่ก็นับว่าน่ายินดีแล้ว)ซึ่งถึงแม้ว่าการที่จะหาองค์ประกอบข้างต้นให้ครบเป็นเรื่องยาก เพราะ ในคนเอเชียมี CCR5 ที่ผิดปกติน้อยยยยมากมาก มีมากในกลุ่มชาวยุโรป แต่ปัจจุบันความก้าวหน้าทาง bioinformation มีค่อนข้างมากแล้ว ดังนั้นการนำเซลล์ของผู้ติดเชื้อ มาเหนี่ยวนำให้เกิดการกลายพันธุ์ของ CCR5 แล้วเปลี่ยนเป็น stem cell ฉีดเข้าไขสันหลัง ก็อาจไม่ใช่สิ่งเกินตัวในอนาคตอันใกล้ รับรองว่าวิธีการนี้จะถูกนำมาพัฒนาปรับปรุงใช้ในการรักษาอย่างแน่นอน ผู้ติดเชื้อมีหวังแน่ๆๆครับ

นอกจากนี้เท่าที่ผมทราบมา พบว่า มีหลายกรณีแล้วนะครับที่รักษาให้หายได้โดยไม่ใช้ยาต้าน ซึ่งไม่สามารถรายงานออกมาได้ อันเนื่องมาจากอำนาจเงินของบรรดาบริษัทยา ที่สำคัญที่สุดโรคนี้ไม่ได้น่ากลัวครับ วงการแพทย์ในหลายประเทศยอมรับแล้วนะครับว่า คนไข้ที่ป่วยเป็น HIV สามารถมีชีวิตเป็นปกติจนแก่ตายได้
สำหรับผมโรคเบาหวาน มะเร็ง และอีกสารพัดยังน่ากลัวมากกว่าโรคนี้เลย (แต่ก่อนผมก็กลัว จนเมื่อได้เรียนลึกๆๆเข้าก็พบว่า มันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย)
เป็นกำลังใจให้คนที่ติดเชื้อทุกคนครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    

                              

 

 

 

 

 

       ******* ก็แค่อยากจะเล่าให้ฟัง เฉยๆ *******

 
 
 
 
 
 


โอ้ หละหนอ ประเทศไทย

 

 

 

 

 

 

                              
            

 

 

 

        

 

 

แนะนำให้แกนนำ กปปส มอบตัวเถอะครับ เดี๋ยวก็ได้ประกันตัวแล้ว

 
 
 
ไม่เกิน 10 วันหรอกครับ เดินไปเดินมาในคุกเดี๋ยวก็ได้ออกแล้ว อย่าไปคิดว่าจะเหมือนเสื้อแดง ไม่เหมือนหรอกครับ รายนั้น เขาห้ามประกันตัว ขังลืม ถึงแม้จะใช้กฎหมาย พรก ฉุกเฉิน ฉบับเดียวกันก็ตาม นี้เป็นวิธีการหาทางลงที่ดีที่สุด ได้ใจสาวกด้วย ใจกล้า สมกับเป็นผู้กล้า มีตัวช่วยขนาดนี้แล้ว ยังมองไม่เห็นทางลงอีกหรือครับ  

ปล.
 


                            
 
 

เมือปี 53 ในรัฐบาลไอ้ร์ค เสื้อแดงถูกจับล่ามโซ่ขณะรักษาตัวในรพ.กรณีข้อหาฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน ศาลไม่ให้ประกัน!!!

แต่..กฎหมายเดียวกัน ปีนี้"ศาล"ใจดีสั่งปล่อย สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ด้วยเหตุผลที่สุดยอดมาก!!!"ชี้กักขังนานเกินความจำเป็น(4 วัน) ส่วนประเด็นจะไปปลุกปั่นม็อบนั้นเป็นเรื่องของอนาคต" โดยไม่มีข้อห้ามใดๆ

    

 

                      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                       พญามังกรเอาเเต่ได้

 

 

 

แผนการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำลานซางในประเทศจีนที่เป็นรูปธรรมแล้วในขณะนี้มีอยู่ 8 เขื่อน สร้างเสร็จแล้วสองเขื่อน คือ เขื่อนม่านวาน (Manwan) เริ่มปั่นกระแสไฟฟ้าได้เมื่อปี 2539 และเขื่อนต้าเฉาซาน (Dachaoshan) สร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว และในขณะนี้กำลังก่อสร้างเขื่อนเซียววาน (Xiaowan) ซึ่งมีความสูงถึง 300 เมตร เท่ากับตึกระฟ้า 100 ชั้น นอกจากนี้ยังเดินหน้าก่อสร้างเขื่อนจิงฮง โดยจีนประเมินว่าเขื่อนทั้ง 8 ที่เรียงรายอยู่บนแม่น้ำโขงตอนบน (อีกสี่เขื่อนคือ เขื่อนนัวจาตู้ (Nuozhadu) เขื่อนกงกว่อเฉียว (Gongguoqiao) เขื่อนกันลันปา (Ganlanba) และเขื่อนเมงซอง (Mengsong)) จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 15,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะป้อนให้กับเมืองอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ทางชายฝั่งตะวันออกของจีน และบางส่วนมีแผนจะขายไฟฟ้าให้กับประเทศไทยด้วย

 

 

สถานะภาพของเขื่อนต่างๆ ของจีน

 

เขื่อน

 

ความสูง (เมตร)

 

กำลังการ ผลิตไฟฟ้า (เมกกะวัต์)

 

จำนวนประชาชน ที่จะถูกอพยพ

 

สถานภาพ ปัจจุบัน

 

ปี่ที่แล้วเสร็จ

 

มันวาน

 

126

 

1,500

 

3,513

 

แล้วเสร็จ

 

1996

 

ดาเฉาฉาน

 

110

 

1,350

 

6,054

 

กำลังก่อสร้าง

 

2003

 

เซียววาน

 

300

 

4,200

 

32,737

 

กำลังก่อสร้าง

 

2012

 

จิงฮง

 

118

 

1,500

 

2,264

 

ช่วงการศึกษา ความเป็นไปได้

 

2010

 

เนาซาดู

 

254

 

5,000

 

23,826

 

ช่วงการศึกษา ความเป็นไปได้

 

2017

 

กอนเกาเคียว

 

130

 

750

 

-

 

-

 

-

 

กันลันบา

 

-

 

150

 

-

 

-

 

-

 

เมงซอง

 

-

 

600

 

-

 

-

 

-

 

 

 

 

 

 

 

 

 

               

 

 

 

โครงการเขื่อนในประเทศจีน

 

จีนยังเดินหน้าสร้างเขื่อนใหญ่


- ในขณะที่ประเด็นการสร้างเขื่อนใหญ่เป็นประเด็นถกเถียงไปทั่วโลก และมีการยอมรับกันว่า ในอดีตที่ผ่านมา เขื่อนขนาดใหญ่เป็นนวัตกรรมที่สร้างความหายนะให้กับมนุษยชาติในระยะยาวมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับ โดยเฉพาะในแง่ของการเปลี่ยนวิถีชีวิตของแม่น้ำ และของผู้คนที่มีชีวิตโดยอาศัยแม่น้ำในการดำรงชีวิต


- อย่างไรก็ตาม ประเทศจีน เป็นประเทศหนึ่งที่ยังมุ่งหน้าสร้างเขื่อน ด้วยเหตุผลทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม


- ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์และบทเรียนในประเด็นรับผลกระทบจากเขื่อนมาไม่น้อย การเคลื่อนไหวในประเด็นเขื่อนใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดี การเคลื่อนไหวในระยะหลังจากการเปิดประเทศ และปรับระบบเป็นการค้าแบบทุนนิยม ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในช่วงก่อนการปราบปรามนักศึกษา ประชาชนในปี 2532 ที่จตุรัสเทียนอันเหมิน คือการเคลื่อนไหวในกรณีเขื่อนทรีกอดจ์ (Three Gorges) บนแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งซึ่งเป็นแม่น้ำสายที่ยาวเป็นอันดับ 3 ของโลก


- เขื่อน Three Gorges เริ่มสร้างเมื่อปี 1986 และคาดหวังว่าจะใช้เวลา 18 ปีในการสร้าง หากสร้าง เสร็จ จะกลายเป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือจะผลิตไฟฟ้าจำนวน 20,000 เมกกะวัตต์ เขื่อนแห่งนี้จะเปลี่ยนสภาพแม่น้ำนี้ให้เป็นเส้นทางเดินเรือลงทะเล และรัฐบาลจีนประกาศว่าเขื่อนนี้จะป้องกันปัญหาน้ำท่วมให้คนหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ในเขตตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำ


- อย่างไรก็ตาม การสร้างเขื่อน Three Gorges จะทำให้คน 1.2 ล้านคนต้องอพยพโยกย้าย พื้นที่ซึ่งเคยเป็นที่เกษตรที่สมบูรณ์จำนวนจำนวน 2 แสนไร่จะหายไปในพื้นที่อ่างน้ำของเขื่อนที่มีความยาวถึง 600 กิโลเมตร เขื่อน Three Goreges จึงสร้างความหวาดวิตกให้กับประชาชนและรัฐบาลท้องถิ่น นักวิชาการและผู้ที่คัดค้านการสร้างเขื่อนนี้ พยายามเสนอประเด็นคัดค้านว่า ความเสียหายที่แน่ชัดเสียหายต่อการใช้แม่น้ำในพื้นที่ที่ครอบคลุมไปถึง 14 ตัวเมือง จะไม่สามารถประเมินได้ และเขื่อนจะไม่สามารถบรรลุการป้องกันน้ำท่วมในเขตตอนกลางและตอนล่างได้ แต่กลับจะสร้างมีปัญหาน้ำท่วมที่ร้ายแรงในเขตตอนบนของแม่น้ำ ทำให้ทั้งพื้นที่เกษตร หมู่บ้าน และสถานที่ทางประวัติศาสตร์จำนวนมหาศาลสูญเสียไป


- หลังจากการปราบปรามที่จตุรัสเทียนอันเหมิน กระบวนการต่อสู้เรื่องเขื่อนเรื่องเขื่อนภายในประเทศจีน มีความยากลำบากอย่างยิ่ง ผู้นำการเคลื่อนไหวถูกจับกุมคุมขังและถูกเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม กระบวนการเรียกร้องยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในประเทศที่ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนในการสร้าง เช่นในประเทศแคนาดา ที่ภาคประชาสังคม เรียกร้องความรับผิดชอบต่อรัฐบาลของตน ซึ่งเป็นผุ้จ่ายเงินภาษีของประเทศถึง 14 ล้านเหรียญ สำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้าง โดยมีธนาคารโลกให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

 

เขื่อนในเขตแม่น้ำโขงตอนบน (แม่น้ำลานซาง)


- ประเทศจีนมีแผนสร้างเขื่อนจำนวน 8 เขื่อนในทางตอนบนของแม่น้ำโขง เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ เขื่อนแมนวาน (Manwan) สร้างเสร็จเป็นเขื่อนแรกเมื่อปี 2539 ในปีเดียวกันนั้น ได้เริ่มสร้างเขื่อนดาเชาชาน (Dachaochan) ถัดมาในปี 2544 รัฐบาลยูนนานสร้างเขื่อนเซียววาน (Xiaowan) สำหรับเขื่อนอื่นๆ อยู่ในระหว่างการวางแผนเช่นเขื่อนจิงฮอง (Jinghong) เขื่อนนัวซาดู (Nuozhadu) เขื่อนกองกัวเคียว (Gongguoqiao) เขื่อนกันลันบา (Ganlanba) และเขื่อนเมงซอง (Mengsong)

 

บทบาทประเทศไทยและผุ้สนับสนุนการสร้างเขื่อน


- แม้ว่ารัฐบาลจีน โดยธนาคารพัฒนาจีน (China Development Bank: CDB) จะดำเนินการหาเงินเพื่อสร้างเขื่อน แต่ก้ได้รับการสนับสนุนในหลายด้านจากหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย


- รัฐบาลไทยและจีนทำสัญญาร่วมกันในการสร้างเขื่อนจิงฮองขนาด 1,500 เมกกะวัตต์ และกำลังต่อรองกันเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนนัวซาดู


- บริษัทต่างประเทศ เข้าไปมีส่วนในการระดมทุนในการสร้างเขื่อน เช่นบริษัทจากอเมริกา

- ธนาคารพัฒนาเอเชีย ให้เงินกู้เพื่อสร้างสายส่งไฟฟ้าของเขื่อนนาเชาชาน

 

ปัญหาในกระบวนการสร้างเขื่อนของจีน


- การดำเนินการไม่โปร่งใส เนื่องจากไม่มีการปรึกษาหารือกับประเทศทางตอนล่าง โดยเฉพาะประชาชน ผู้ใช้แม่น้ำโขงโดยตรงทำให้ไม่มีการตั้งคำถาม หรือตรวจสอบกระบวนการสร้างเขื่อน การที่จีนไม่ใช่สมาชิกคณะกรรมการแม่น้ำโขง ยิ่งช่วยให้จีนสามารถใช้ความเป็นเอกเทศดำเนินการต่างๆ โดยลำพัง


- การศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างเขื่อนในเขตจีน ไม่ปรากฏว่ามีการศึกษาความเป็นไปได้ และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมของประเทศทางตอนล่าง

 

ปัญหาสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมจากการสร้างเขื่อน


- เปลี่ยนวงจรการไหลของน้ำ กระแสน้ำและปิดกั้นการพัดพาของตะกอนในแม่น้ำ เป็นการเปลี่ยนสภาพทางนิเวศน์วิทยาของแม่น้ำอย่างสุดโต่ง และจะมีผลกระทบโดยตรงกับการใช้แม่น้ำของประชาชนในประเทศจีนเอง และต่อประเทศในตอนล่าง คือพม่า ลาว ไทย กัมพูชา และเวียตนาม


- การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด จะมาจากการเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำ และวงจรการขึ้นลงของกระแสน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเกษตร และการประมง ที่เป็นหัวใจสำคัญของการใช้แม่น้ำโขง


- หากมีการสร้างเขื่อนจำนวนมากในจีน จะมีปัญหารุนแรงเกิดขึ้นจากเขื่อนอื่นๆ กับประเทศทางตอนล่างของแม่น้ำโขงอย่างแน่นอน การเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนของเขื่อนต่างๆ จะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดน้อยลง มีผลกระทบกับการเดินทาง และการวางไข่ของปลา ในขณะเดียวกัน การปล่อยน้ำออกจากเขื่อนในฤดูแล้ง จะเพิ่มระดับน้ำในแม่น้ำให้มากกว่าธรรมชาติ การทำการเกษตรริมฝั่งและเขตพื้นที่น้ำท่วมถึงของประเทศทางตอนล่าง ซึ่งมีความหลากหลาย และพึ่งพาระบบน้ำท่วมตามธรรมชาติ ก็จะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง นอกจากนั้น เขื่อนยังจะเก็บกักตะกอนของแม่น้ำซึ่งทำให้พื้นที่เกษตรอุดมสมบูรณ์ และเป็นประโยชน์กับปลา ไม่ให้ไหลลงไปยังประเทศทางตอนล่างตามธรรมชาติ แต่จะทับถมอยู่ในเขื่อนต่างๆ แทน


- ถึงแม้ว่าประชาชนจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเขื่อนในจีน แต่ในช่วงเดียวกันกับที่เขื่อนแมนวานสร้างเสร็จและเริ่มเก็บกักน้ำ ประชาชนในเขตอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ตั้งข้อสังเกตว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดต่ำลง น้ำขุ่น และการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลงไป ความเสียหายที่เห็นได้ชัด และมีผลกระทบโดยตรงกับรายได้ของชาวบ้านคือการที่สาหร่ายน้ำจืด หรือไก ซึ่งเป็นพืชที่ชาวบ้านเก็บขายน้อยลงมาก เนื่องจากไกต้องการน้ำสะอาด และไหลอย่างสม่ำเสมอ


- ดร. ไทสัน โรเบิร์ต จากสถาบันวิจัยเขตร้อนสมิธโซเนียน สหรัฐอเมริกา กล่าวว่าการสร้างเขื่อนในจีน จะทำให้ระบบการอุทกศาสตร์ของทะเลสาปเขมร “เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง” เนื่องจาก ในหน้าฝน น้ำจากแม่น้ำโขงจะหนุนให้ระดับน้ำในทะเลสาปเขมรสูงขึ้น และท่วมเป็นบริเวณกว้าง กลายเป็นแหล่งจับปลาน้ำจืดที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และในฤดูแล้ง น้ำจากทะเลสาปเขมรจะไหลลง กลับสู่สายน้ำโขง การสร้างเขื่อนจะทำให้กระแสน้ำไม่เป็นไปตามธรรมชาติ แต่กลับมีปริมาณการท่วมแช่ขังอยู่ตลอดปี

 

โครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ (Project for Ecological Recovery : PER) และโครงการฟื้นฟูนิเวศวิทยาในภูมิภาคอินโดจีนและพม่า (Towards Ecological Recovery and Regional Alliance : TERRA)

 

 

 

‘วอชิงตัน’ ไม่ยอมรับ ‘แผนที่เส้นประ 9 เส้น’ อ้างกรรมสิทธิ์ทะเลจีนใต้ของ ‘ปักกิ่ง’
 
       (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
       
       US rejects China's nine-dash line
       By Parameswaran Ponnudurai
       10/02/2014
       
       เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ สหรัฐฯออกมาแถลงอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ไม่ยอมรับแผนที่เส้นประ 9 เส้นเรียงรายเป็นรูปตัวยู ซึ่งจีนใช้เป็นหลักฐานยืนยันอำนาจอธิปไตยของตนเหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้ ทั้งนี้ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายราย ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ของสหรัฐฯย่อมช่วยเสริมส่งชาติผู้อ้างกรรมสิทธิ์ดินแดนในทะเลจีนใต้รายอื่นๆ ให้อยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังกำลังกลายเป็นการจัดเตรียมเวทีสำหรับการที่นานาชาติจะจับมือกันออกมาประจันหน้าในทางกฎหมายกับปักกิ่ง
       
       เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ สหรัฐฯออกมาแถลงอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ไม่ยอมรับแผนที่เส้นประ 9 เส้นเรียงรายเป็นรูปตัวยู (U-shaped, nine-dash line) ซึ่งจีนใช้เป็นหลักฐานยืนยันอำนาจอธิปไตยของตนเหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้ ทั้งนี้ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายราย ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ของสหรัฐฯย่อมช่วยเสริมส่งชาติผู้อ้างกรรมสิทธิ์ดินแดนในทะเลจีนใต้รายอื่นๆ ให้อยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังกำลังกลายเป็นการจัดเตรียมเวทีสำหรับการที่นานาชาติจะจับมือกันออกมาประจันหน้าในทางกฎหมายกับปักกิ่งอีกด้วย
       
       ก่อนหน้านี้ วอชิงตันพูดอยู่เสมอว่าตนเองไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่กำลังแข่งขันกันประกาศอ้างอธิปไตยเหนือดินแดนในทะเลจีนใต้ ไม่ว่าจะเป็นจีน, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, มาเลเซีย, ไต้หวัน, หรือบรูไน รวมทั้งบอกว่าคัดค้านการใช้กำลังใดๆ ก็ตามเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาดังกล่าวนี้
       
       ทว่า พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า สิ่งที่ แดเนียล รัสเซล (Daniel Russel) ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (U.S. Assistant Secretary of State for East Asian and Pacific Affairs) ไปแถลงต่อคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรอเมริกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้ทำให้ความกำกวมคลุมเครือเช่นนี้หมดสิ้นลงในทางเป็นจริง
       
       รัสเซลบอกว่าตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การอ้างกรรมสิทธิ์ดินแดนทางทะเลในทะเลจีนใต้นั้น “ต้องมีต้นตอที่มาจากสภาพลักษณะของผืนแผ่นดิน” และดังนั้นการที่จีนใช้แผนที่เส้นประ 9 เส้นเป็นหลักฐานสนับสนุนการประกาศกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนทางทะเล โดยที่ไม่ได้อ้างอิงอยู่กับลักษณะพื้นที่ภาคพื้นดินซึ่งตนเองได้ทำการอ้างกรรมสิทธิ์เอาไว้อยู่แล้ว “จึงไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ”
       
       เขากล่าวต่อไปว่า ประชาคมระหว่างประเทศย่อมยินดีต้อนรับ ถ้าหากจีนจะอธิบายขยายความหรือปรับเปลี่ยนข้ออ้างตามเส้นประ 9 เส้นของตนเสียใหม่ เพื่อทำให้มันสอดคล้องลงรอยกับกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ
       
       “ผมคิดว่ามีความจำเป็นที่เราจะต้องทำให้ชัดเจนว่า ต้องการหมายความว่าอะไรกันแน่ เมื่อสหรัฐฯพูดว่าเราไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่กำลังแข่งขันกันอ้างกรรมสิทธิ์อ้างอธิปไตย เหนือลักษณะพื้นที่ภาคพื้นดินที่พิพาทกันอยู่” ในภูมิภาคนี้ รัสเซลบอก
       
       **แผนที่ประวัติศาสตร์**
       
       จีนนั้นแตกต่างจากประเทศอื่นๆ การกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนืออาณาบริเวณประมาณ 90% ของทะเลจีนใต้ของปักกิ่ง ไม่ได้อิงอยู่กับข้อกล่าวอ้างในเรื่องหมู่เกาะเฉพาะเจาะจงใดๆ หรือลักษณะของพื้นที่ภาคพื้นดินใดๆ หากแต่อิงอาศัยแผนที่ประวัติศาสตร์ฉบับหนึ่ง ซึ่งจีนยื่นแสดงต่อสหประชาชาติอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2009
       
       แผนที่ดังกล่าวประกอบด้วยขีดเส้นประรวมทั้งสิ้น 9 เส้นเรียงรายเป็นรูปตัว “ยู” (U) ไล่ตั้งแต่ชายฝั่งด้านตะวันออกของเวียดนาม ลงมาจนถึงใกล้ๆ ตอนเหนือของอินโดนีเซีย จากนั้นก็กลับขึ้นเหนือไปอีกจนกระทั่งถึงชายฝั่งด้านตะวันตกของฟิลิปปินส์
       
       เส้นประ 9 เส้นนี้ พวกผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากลงความเห็นว่าไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (United Nations Convention on the Law of the Sea ใช้อักษรย่อว่า UNCLOS) ปี 1982 โดยที่ในเนื้อหาของอนุสัญญาฉบับนี้ ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับการอ้างกรรมสิทธิ์ชนิดที่อ้างอิงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
       
       เจฟฟรีย์ แบเดอร์ (Jeffrey Bader) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาในเรื่องจีนของประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐฯ ได้หยิกยกอ้างอิงคำแถลงของรัสเซลนี้ และบอกว่า “ถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯออกมากล่าวต่อสาธารณชนด้วยคำแถลงอันเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า สิ่งที่เรียกกันว่า ‘เส้นประ 9 เส้น’ … เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศ”
       
       “จากการปฏิเสธไม่ยอมรับเส้นประ 9 เส้นนี้อย่างเปิดเผย ผู้ช่วยรัฐมนตรีรัสเซล และคณะรัฐบาลโอบามา ก็ได้ลากเส้นแบ่งของเราเองออกมา ณ จุดที่ถูกต้องชัดเจนมาก” แบเดอร์ ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของสถาบันบรูคกิ้งส์ (Brookings Institution) ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงวอชิงตัน ระบุเอาไว้เช่นนี้ในรายงานชิ้นหนึ่ง
       
       วอชิงตันได้ทำให้เป็นที่ชัดเจนว่า ข้อคัดค้านของตนนั้นเป็นข้อคัดค้านที่ “ยืนอยู่บนหลักการ อิงอยู่กับกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ใช่เป็นแค่ออกมาคัดค้านการกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ เพียงเพราะการกล่าวอ้างดังกล่าวคือการอ้างสิทธิ์ของฝ่ายจีนเท่านั้น” เขาอธิบาย
       
       อย่างไรก็ดี คำแถลงของรัสเซล ได้ถูกมองเมินไม่ยอมรับในทันทีจากฝ่ายปักกิ่ง ทั้งนี้แดนมังกรกำลังมีท่าทีก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ในการยืนกรานผลักดันการกล่าวอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนในภูมิภาคของตน จนกำลังกลายเป็นการเติมเชื้อโหมเพลิงให้แก่ความตึงเครียดต่างๆ ในน่านน้ำซึ่งทรงความสำคัญทั้งทางด้านการประมง, การเดินเรือ, และการสำรวจขุดเจาะน้ำมันแห่งนี้
       
       “มีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯบางคนกำลังตั้งข้อหาต่อจีนอย่างไม่มีมูล” หง เหล่ย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าว
       
       โฆษกผู้นี้บอกด้วยว่า แผนที่เส้นประ 9 เส้นนั้น เกิดขึ้นมาเมื่อปี 1948 หรือ 1 ปีก่อนหน้าการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วยซ้ำ อีกทั้ง “ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนที่สืบทอดอำนาจกันเรื่อยๆ มา”
       
       **เรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล็ก**
       
       การที่วอชิงตันออกมาปฏิเสธอย่างเปิดเผยว่าไม่ยอมรับแผนที่เส้นประ 9 เส้น “ต้องถือเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่ทีเดียว” จูเลียน คู (Julian Ku) อาจารย์ด้านนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮอฟสตรา (Hofstra University) ที่ตั้งอยู่ในนิวยอร์กให้ความเห็น
       
       มัน “แสดงให้เห็นแนวทางที่สหรัฐฯกำลังจะใช้กฎหมายระหว่างประเทศมาเป็นดาบ ในการท้าทายพฤติการณ์ของจีนในภูมิภาคนี้” เขาพูดเอาไว้เช่นนี้บน “โอปินิโอ จูริส” (Opinio Juris) เวทีออนไลน์สำหรับการอภิปรายกันอย่างมีข้อมูลความรู้และการถกเถียงกันอย่างมีชีวิตชีวาในประเด็นทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
       
       เขาแสดงความประหลาดใจที่ในทางเป็นจริงแล้วรัฐบาลสหรัฐฯยังไม่เคยหยิบยกแถลงเหตุผลโต้แย้งเช่นนี้มาก่อนเลย
       
       คำแถลงของรัสเซล “สอดคล้องเข้ากันได้อย่างสบายกับจุดยืนที่มีนานแล้วของรัฐบาลสหรัฐฯในเรื่องเกี่ยวกับลักษณะที่ควรจะเป็น ในการกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนทางทะเล”
       
       เท่าที่ผ่านมา วอชิงตันมักจะไม่ค่อยชัดเจนอยู่บ้างเล็กน้อย ว่ามีจุดยืนที่เป็นกลางต่อแผนที่เส้นประ 9 เส้นหรือไม่ แต่รัสเซลเข้ามายุติความคลุมเครือนี้ให้หมดสิ้นไปแล้ว คูบอก
       
       ทางด้านแบเดอร์ขยายความคิดเห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯยังควรที่จะสร้างความกระจ่างชัดเจนต่อเหล่าชาติผู้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนในทะเลจีนใต้รายอื่นๆ ตลอดจนต่อพวกประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเช่น สิงคโปร์ และ ไทย ว่าวอชิงตันนั้นคาดหมายให้พวกเขาออกมาแถลงต่อสาธารณชน ปฏิเสธไม่ยอมรับแผนที่เส้นประ 9 เส้นโดยใช้เหตุผลเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศเช่นเดียวกัน
       
       “สหรัฐฯควรที่จะทำให้เป็นที่แน่ใจว่า แนวทางการมองปัญหาของตนในเรื่องนี้จะไม่ถูกเห็นไปว่าเป็นการกระทำตามอำเภอใจฝ่ายเดียว” เขาบอก “ความจริงมันก็ไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้วละ แต่บางครั้งประเทศอื่นๆ อาจเลือกใช้ท่าทีเงียบเฉยเมื่อในที่สาธารณะ แล้วกลับแสดงความสนับสนุนเมื่อพูดกันเป็นการส่วนตัว”
       
       สำหรับอาจารย์คูมองว่า ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯที่ออกโรงโดยผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศคราวนี้ ยังเป็นการยื่นเสนอ “โรดแมปทางกฎหมาย” ต่อประเทศอื่นๆ ซึ่งมิได้เป็นผู้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนในภูมิภาคนี้อีกด้วย
       
       “นี่เป็นจุดยืนทางกฎหมายที่แทบจะไม่ก่อให้เกิดการโต้แย้งอะไรเลย ดังนั้นจึงควรเป็นที่ยอมรับกระทำตามได้อย่างง่ายๆ ทั้งสำหรับอียู, แคนาดา, หรือออสเตรเลีย” ทั้งนี้ถ้าหากพวกเขาไม่กังวลว่ามันจะเป็นการสร้างความขุ่นเคืองให้แก่จีน คูบอก
       
       **การท้าทายของฟิลิปปินส์**
       
       การกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์โดยอาศัยแผนที่เส้นประ 9 เส้นของจีนนี้ ได้ถูกฟิลิปปินส์ท้าทายอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว ในเวทีของสหประชาชาติ
       
       ทั้งนี้มะนิลาได้หยิบเอาเรื่องนี้ฟ้องร้องต่อศาลพิเศษระหว่างประเทศของ UNCLOS เมื่อ 1 ปีก่อน โดยบอกว่าแผนที่เส้นประ 9 เส้นจะนำเอามาใช้อ้างอิงไม่ได้ตามหลักการของอนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายทะเลของยูเอ็น
       
       UNCLOS นั้นระบุว่า รัฐที่อยู่ริมชายฝั่งอย่างเช่นฟิลิปปินส์ สามารถที่จะอ้างสิทธิ์ครอบครองดินแดนทางทะเลในระยะทางห่างจากฝั่ง 12 ไมล์ทะเล และสามารถประกาศอาณาบริเวณห่างจากฝั่ง 200 ไมล์ทะเลว่าเป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (economic exclusion zone) ซึ่งตนมีสิทธิที่จะทำการประมงและขุดค้นทรัพยากรใต้ทะเลได้
       
       นับเป็นครั้งแรกที่ปักกิ่งถูกท้าทายโดยอาศัยอนุสัญญาฉบับนี้ ซึ่งมีกว่า 160 ประเทศได้ลงนามพร้อมทั้งให้สัตยาบันแล้ว รวมทั้งจีนและชาติผู้ออกกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนในทะเลจีนใต้รายอื่นๆ สำหรับสหรัฐฯนั้นไม่ได้ร่วมลงนามด้วยซ้ำอย่าว่าแต่ให้สัตยาบัน เนื่องจากมีวุฒิสมาชิกบางคนแสดงความกังวลว่าอนุสัญญาฉบับนี้จะจำกัดการค้า อีกทั้งเป็นการยินยอมให้พวกองค์กรระหว่างประเทศเข้ามามีอำนาจควบคุมเหนือผลประโยชน์ของสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น
       
       ในปี 2012 จีนได้เข้าควบคุมเกาะ “สคาร์โบโร โชล (Scarborough Shoal) ซึ่งเป็นเกาะปะการังในทะเลจีนใต้ซึ่งมีศักยภาพความสำคัญทางยุทธศาสตร์ โดยที่ปักกิ่งกับมะนิลากำลังพิพาทช่วงชิงเกาะนี้กันอยู่ แต่ฟิลิปปินส์เป็นผู้ถืออำนาจในการปกครองเอาไว้
       
       การปฏิเสธไม่ยอมรับแผนที่เส้นประ 9 เส้นของวอชิงตันคราวนี้ บังเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีเบนิโญ อากีโน ของฟิลิปปินส์ พยายามหาความสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศในการต้านทานการกล่าวอ้างดินแดนของจีน อีกทั้งเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯจะเดินทางมาเยือนเอเชีย ในความพยายามที่จะชดเชยหลังจากที่เขาต้องยกเลิกกำหนดการตระเวนเยี่ยมภูมิภาคนี้ไปเมื่อปีที่แล้ว ทั้งนี้ประเทศที่โอบามาจะเยือนแน่ๆ ก็คือ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, และฟิลิปปินส์ (หมายเหตุผู้แปล- ตามประกาศอย่างเป็นทางการของทำเนียบขาวเมื่อวันพุธที่ 12 ก.พ. ชาติเอเชียอีกรายหนึ่งซึ่งโอบามาจะเยือนในเที่ยวนี้ด้วยคือ เกาหลีใต้)
       
       “ถ้าหากในตอนนี้ เราพูดว่าต้องยินยอมให้แก่บางสิ่งบางอย่างซึ่งเราเชื่อว่าผิด แล้วมันจะมีหลักประกันอะไรว่าสิ่งที่ผิดนี้จะไม่ขยายใหญ่โตต่อไปเรื่อยๆ” อากีโนกล่าวเช่นนี้ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ “ต้องรอถึงจุดไหนกันล่ะ คุณจึงจะพูดว่า ‘พอกันที’ ครับ ที่จริงแล้วโลกจะต้องพูดคำนี้ออกมาได้แล้ว”
       
       **เขตป้องกันภัยทางอากาศ**
       
       การที่ปักกิ่งแสดงการยืนกรานแข็งกร้าวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการปกป้องการกล่าวอ้างสิทธิ์ทางดินแดนของตนในภูมิภาคนี้ ยังสะท้อนออกให้เห็นในกรณีอื่นๆ อีก เช่น เมื่อเร็วๆ นี้แดนมังกรประกาศเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (air defense identification zone ใช้อักษรย่อว่า ADIZ) ในทะเลจีนตะวันออก โดยครอบคลุมไปถึงหมู่เกาะที่ญี่ปุ่นควบคุมอยู่ หรือการที่จีนออกระเบียบกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เพื่อจัดระเบียบการทำประมงภายในทะเลจีนใต้ โดยครอบคลุมถึงอาณาบริเวณอันใหญ่โตมหึมา
       
       มีการกะเก็งคาดเดากันสะพัดว่า ปักกิ่งยังจะประกาศใช้เขต ADIZ ในทะเลจีนใต้อีกด้วย ซึ่งทำให้วอชิงตันออกมาเตือนว่าความเคลื่อนไหวเช่นนี้อาจทำให้กองทัพสหรัฐฯถึงขั้นต้องปรับเปลี่ยนสถานะและตำแหน่งแห่งที่ในภูมิภาคก็ได้
       
       “เราคัดค้านการที่จีนจะจัดตั้งเขต ADIZ ขึ้นในพื้นที่อื่นๆ เป็นต้นว่า ในทะเลจีนใต้” อีแวน เมเดริรอส (Evan Medeiros) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกิจการเอเชีย ณ สภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ บอกกับสำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
       
       “เราได้บ่งบอกอย่างชัดเจนมากๆ กับฝ่ายจีนว่า เราจะถือเรื่องนี้ (การจัดตั้งเขต ADIZ ขึ้นมาอีก) ว่าเป็นพัฒนาการที่มีลักษณะยั่วยุและสั่นคลอนเสถียรภาพ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องการปรากฏตัวของเราในภูมิภาคนี้ ตลอดจนในเรื่องสถานะและตำแหน่งแห่งที่ทางการทหารของเราในภูมิภาคนี้” เมเดริออส กล่าว
       
        ข้อเขียนชิ้นนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง วิทยุเอเชียเสรี (Radio Free Asia ใช้อักษรย่อว่า RFA) ทั้งนี้วิทยุเอเชียเสรีก่อตั้งขึ้นโดยรัฐบัญญัติของรัฐสภาสหรัฐฯ และได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งจากเงินให้เปล่าของรัฐบาลสหรัฐฯ ปัจจุบัน RFA เป็นผู้ดำเนินการสถานีวิทยุและบริการข่าวสารทางอินเทอร์เน็ต

 

 

 

 

                

 

 

 

 

 

 

    "เจ้าสัวซีพี" ออกโรงเตือนสติปัญหาข้าววันนี้

 

 

 
 
 
 
 
 
"เจ้าสัวซีพี" ออกโรงเตือนสติปัญหาข้าววันนี้ พูดชัด ! ให้เก็บข้าวในสต็อค เพื่อเป็นคลังข้าว ความมั่นคงของคลังอาหารโลก แนะควรเก็บไว้อย่างน้อย 1 รอบการผลิต และให้ขายเมื่อเมื่อราคาข้าวสูง

"..รัฐไม่ต้องเร่งระบายข้าว ส่วนกรณีที่รัฐบาล ต้องแบกสต๊อกข้าวสารในเวลานี้ ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านตันจากโครงการรับจำนำข้าว มองว่าไม่น่าห่วง เพราะหากต้องการ ความปลอดภัยทาง ด้านความมั่นคงด้านอาหาร เราต้องเก็บสต๊อกไว้อย่างน้อย 6 ล้านตัน หรือต้องเก็บไว้หนึ่งรอบการผลิต ไม่ใช่ขายจนเกลี้ยง เพราะหากมีข้าวขาดตลาด ชาวบ้านเคยซื้อครั้งละ 5 กิโลกรัม เพิ่มเป็น 10 กิโลกรัม .."

" เราจะทำอย่างไรไม่ให้เสียแสนล้าน ต้องเก็บข้าวเอาไว้ และทำอย่างไร ให้ราคาสูง คุณขายไปก่อน ผมขายทีหลัง ผมขายน้อยได้เงินมาก ที่เกินนั้นได้ฟรี แล้วผมไปหาข้าวประเทศอื่นไปขาย เช่น ซีพีวันนี้ก็เริ่มซื้อข้าวจากกัมพูชาไปขายทั่วโลก เขาก็พอใจเพราะเรา ไปช่วยเขา.."

"..นี่คือธุรกิจสมัยใหม่ ผมจะไม่สู้กับเวียดนาม สู้กับพม่า แต่จะสู้ด้วยการเพิ่มมูลค่า สู้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ และการแปรรูป เขาขายข้าวสาร ผมขายข้าวผัด ขายข้าวสำเร็จรูป ทำไมผมต้องไปแข่งขัน ขายข้าวราคาถูกๆ ซึ่งผู้ที่จะเสียหาย คือชาวนา และรัฐบาล.."

ปล.จริงๆหลักการค้าขายแบบนี้พวกพ่อค้ารู้เหมือนกัน
แต่ตอนนี้รัฐบาลไม่มีทางเลือกจากกรณีโดนกดดันเรื่องไม่ให้กู้เงิน
และโดนพวก กปปส ประโคมข่าวว่าข้าวเน่า ข้าวล้นโกดัง
คงรอให้ราคาขึ้นแล้วขายอาจจะไม่ไหว.......................................

 

 

 

 

 

รัฐก็ยังไม่อยากขายแต่ทำไงได้ กู้ไม่ได้ ประโคมข่าวว่าข้าวเน่า ตอนนี้ที่ทำได้ก็คือขายข้าวให้รู้ว่าข้าวไม่เสีย เขาเรียกร้องกันก็ต้องให้แหละ 

 

 

" แล้วผมไปหาข้าวประเทศอื่นไปขาย เช่น ซีพีวันนี้ก็เริ่มซื้อข้าวจากกัมพูชาไปขายทั่วโลก"

ฟังประโยคนี้แล้วคิดอย่างไรกันบ้างครับ

 

 

กลัวข้าวไทย ไปดัมพ์ตลาดข้าวที่เจ้าสัวไปซื้อมาจาก กัมพูชา ไปขายไง

ข้าวไทยมาขายปุ๊บ ราคาตก เส้าสัวขาดทุน

ให้มอดกินข้าวไทยไปก่อน จนกว่าเจ้าสัวจะขายหมด

 

 OK ถ้างั้นรัฐ เอาไปจำนำต่อกับ ซีพี จบมะ...นก

 

 

 

 

 

 

 

 

                           พระธรรมเทศนา เรื่อง วันมาฆบูชา

 

พระธรรมเทศนา

เรื่อง วันมาฆบูชา

โดย สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสรมหาเถร ป.ธ.๙) 

ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ วันที่ ๙ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๒

 **************

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ.

 

 

 

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสรมหาเถร ป.ธ.๙)

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสรมหาเถร ป.ธ.๙)

 

ณ บัดนี้ จักแสดงพระธรรมเทศนาอัปปมาทกถา พรรณนาเรื่องความไม่ประมาท เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา เพิ่มพูนอัปปมาทธรรมสัมมาปฏิบัติของท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ซึ่งได้ประกอบบุรพกิจ คือกิจเบื้องต้น ได้แก่ การบูชาพระ ไหว้พระ ทำวัตรพระ รักษาศีล แล้วตั้งใจสดับพระธรรมเทศนา จนกว่าจะยุติด้วยเวลา

 

เนื่องในวันนี้เป็นวันมาฆบูชาหรือเป็นวันมาฆปุรณมี ดิถีเพ็ญเดือน ๓ ซึ่งเราท่านทั้งหลายรู้กันว่า เป็นวันมาฆบูชา หรือเป็นวันที่สมเด็จบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์คือหัวใจพระพุทธศาสนา เราท่านทั้งหลายจึงควรไม่ประมาทในคำสอนส่วนนี้ นำมาประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดสิริสวัสดิ์แก่ตน ทุกท่านทุกคน โดยเฉพาะวันนี้ซึ่งเรียกกันว่า วันมาฆปุรณมีดิถีเพ็ญเดือน ๓ เป็นวันที่พระสงฆ์องค์อรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมกัน โดยมิได้มีการนัดหมายประการหนึ่ง

 

วันนั้นเป็นวันที่ดาวมาฆฤกษ์หรือดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ เต็มดวง ซึ่งเรียกกันว่า วันดิถีเพ็ญ ประการหนึ่ง ท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ บวชเฉพาะพระพักตร์หรือบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือบวชต่อพระพักตร์ หรือรับการอุปสมบทจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง นี้ประการหนึ่ง และท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้ชักชวน ไม่ได้กำหนดว่า วันนี้เราจะมาประชุมกัน เป็นวันที่ท่านมาประชุมกันโดยพร้อมเพรียงกัน จึงเรียกว่า มีความอัศจรรย์ในกาลครั้งนั้น ถือว่าวันนี้เป็นวันอัศจรรย์ที่พระสงฆ์องค์อรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์มาประชุมกัน ท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ทุกรูปทุกองค์ บวชเฉพาะพระพักตร์ หรือบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อความพร้อมแห่งอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างนี้ ท่านจึงเรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต เป็นอัศจรรย์พิเศษ มีครั้งเดียว พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์คือคำสอนที่เป็นหลักพระพุทธศาสนา เพื่ออนุรูปแก่กาลเวลา จะนำเอาคำสอน เพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายได้กำหนดจดจำ หรือจำง่าย ๆ ว่า คำสอนของพระพุทธศาสนา หรือหลักของพระพุทธศาสนานั้นมีลักษณะหรือมีหลักอย่างนี้

 

สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่กระทำความชั่วทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าความชั่ว จะเป็นความชั่วเล็กน้อยก็ตาม ใหญ่ก็ตาม หรือความเลวร้ายความไม่ดี ทุจริต อกุศลทั้งหลาย ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ควรกระทำ ไม่กระทำ นี้เป็นคำสอนข้อแรก

 

กุสลสฺสูปสมฺปทา การยังกุศลหรือความดีความชอบ สุจริต จะน้อยก็ตาม มากก็ตาม ให้เกิดขึ้น ให้มีขึ้น ให้ถึงพร้อม นี้เป็นคำสอนข้อที่สอง

 

สจิตฺตปริโยทปนํ การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว หรือการชำระจิตของตนให้สะอาดปราศจากเครื่องเศร้าหมอง คือโลภ โกรธ และหลง นี้เป็นคำสอนข้อที่สาม

 

สามประการนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์  นี่เป็นคาถาเบื้องต้น ต่อจากนั้นก็ประทานต่อไปอีกว่า

 

ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ความอดทนคือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างเยี่ยมยอด เป็นความดีอย่างเยี่ยมยอด หรือเป็นความดีให้ถึงความเจริญ ให้ถึงความดับทุกข์ได้อย่างเยี่ยมยอด เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น เราก็อาศัยหลักธรรมคำสอนนี้เป็นเครื่องระงับเครื่องดับ ใช้ความอดความทน ไม่แสดงกิริยาอาการผิดแผกหรือให้เสียหายเกิดขึ้น

 

นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์กล่าวว่าพระนิพพานเป็นธรรมอันเยี่ยมยอด พระนิพพานนี้เป็นหลักสุดยอดของพระพุทธศาสนา คือเป็นการดับทุกข์ หรือดับเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ ดับราคะ โทสะ โมหะ ทั้งสิ้น ผู้ที่ถึงพระนิพพานจะถึงแดนสุขอันแท้จริง ซึ่งไม่ใช่สุขซึ่งมีอามิสเจือปน เป็นสุขสุดยอด พึงเข้าใจว่าพระนิพพานเป็นธรรมเยี่ยมยอดของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ชาวพุทธทั้งหลายทำบุญกุศลส่วนใด จะเป็นทาน ศีล ภาวนา ก็ปรารถนาพระนิพพาน

 

น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต บุคคลที่ฆ่าบุคคลอื่นหรือเบียดเบียนบุคคลอื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ หรือไม่ชื่อว่าเป็นผู้สงบ เพราะฉะนั้น การเบียดเบียนผู้อื่นก็ดี ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพราะเหตุใด ๆ ก็ดี ทำลายชีวิตหรือฆ่าผู้อื่นนั้น ไม่ชื่อว่า สมณะ

 

ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร การสำรวมในพระปาฏิโมกข์หรือการสำรวมในพระวินัย คือเว้นจากข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ทำตามข้อที่พระองค์ทรงอนุญาต

 

มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค คือรู้จักประมาณในการรับประทาน รับประทานแต่พอเหมาะพอควร ไม่ให้มากจนเกินไป ไม่ให้น้อยจนเกินไป ไม่ให้รับประทานด้วยตัณหาคือความอยาก หรือความโลภ รู้จักความพอเหมาะพอดีในการบริโภค

 

ปนฺตญฺจ สยนาสนํ การนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันพอเหมาะพอควร ไม่นั่งนอนบนที่นอนอันสูงใหญ่เกินประมาณ

 

อธิจิตฺเต จ อาโยโค การประกอบอธิจิตหรือการประกอบสมาธิภาวนา วิปัสสนาภาวนา การทำใจของตนให้บริสุทธิ์ด้วยการเจริญสมถกรรมฐาน หรือวิปัสสนากรรมฐาน

 

ที่กล่าวมานี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เท่าที่อาตมภาพนำมากล่าวโดยย่อหรือแต่หลักคำบาลีพร้อมทั้งคำแปล เพียงเพื่อจะรักษาเวลา ให้ญาติโยมทั้งหลายเข้าใจว่า ในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนไว้อย่างนี้ เหตุที่ทรงสอนอย่างนี้ก็เพื่อจะให้พระสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์นั้นนำเอาหลักธรรมคำสอนนี้ไปประกาศพระศาสนา เป็นแนวทางของพระพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้รับพระโอวาทปาฏิโมกข์หรือคำสอนเนื่องในวันมาฆบูชานี้แล้ว ต่างท่านต่างองค์ก็ไปประกาศพระศาสนา สอนให้ประชาชนละบาป บำเพ็ญบุญ และทำใจของตนให้พ้นจากเครื่องเศร้าหมอง คือโลภ โกรธ และหลง

 

ในหลักทางนั้น ผู้สอนหรือผู้ปฏิบัติก็ย่อมจะกระทบกับการตำหนิติเตียนหรือการว่ากล่าว การใส่ร้าย หรืออย่างหนึ่งอย่างใดจะเกิดขึ้น จึงมีคำสอนต่อมาเป็นเครื่องประกอบการพิจารณาว่า ความอดทนความอดกลั้นเป็นตบะเป็นความดีอย่างเยี่ยมยอด พระนิพพานเป็นธรรมะอันสูงสุดของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า พระนิพพานเป็นธรรมะอันเยี่ยมยอด ผู้ที่ฆ่าผู้อื่นเบียดเบียนสัตว์อื่นให้เดือดร้อนนั้นจะเป็นสมณะไม่ได้หรือเป็นผู้สงบไม่ได้ ก็เตือนว่า สมณะจะต้องอยู่ในความสงบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ทำลายชีวิตจิตใจของผู้อื่น เป็นเครื่องเตือนให้ผู้ที่รับคำสั่งคำสอนนั้นมีเมตตากรุณาในผู้อื่นสัตว์อื่น และการบริโภคอาหารแต่พอเหมาะพอควร ทำตนให้เป็นผู้ที่เขาเลี้ยงง่าย หรือให้ผู้อื่นเลี้ยงได้โดยง่าย เพราะชีวิตของสมณะหรือของพระภิกษุนั้นต้องอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพ เขาให้อย่างไร พอใจอย่างนั้น มีอย่างไรได้อย่างไร พอใจเช่นนั้น นี้เป็นความพอเหมาะพอควร หรือเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค

 

ส่วนการนั่งการนอน ก็นอนพอรักษาอิริยาบถให้เป็นไป คือตามธรรมดา จะนั่งอยู่ตลอดก็เป็นไปไม่ได้ จะเดินตลอดหรือยืนตลอดก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีการนั่งการนอนเป็นการพักผ่อนอิริยาบถ รักษาอิริยาบถ แต่ไม่นอนเพื่อความสบาย ไม่นอนอย่างชาวโลกทั้งหลายเขานอน และให้อยู่ในเสนาสนะอันสงัด หมายถึงให้อยู่ในป่า ในเสนาสนะป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่าง เพราะการทำสมาธิจิตนั้นต้องอาศัยป่า เรือนว่าง หรือโคนไม้ ซึ่งเป็นที่สงบสงัด ก็จะบังคับจิตทำจิตให้สงบได้โดยง่าย จึงสอนให้อาศัยเสนาสนะอันสงัด และการประกอบอธิจิตคือการเจริญสมาธิภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนานั้นเป็นเรื่องที่ควรกระทำ เพราะผู้ที่ทำจิตสงบได้หรือทำจิตให้รู้แจ้งเห็นจริงนั้นมีโอกาสจะเข้าถึงพระนิพพานในอนาคตกาล นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงสอนอย่างนี้ จะในอดีตที่ล่วงแล้วก็ดี หรือจะมาในภายหน้าก็ดี จะต้องมีคำสั่งสอนอย่างนี้ จึงเป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ขอให้ญาติโยมสาธุชนทั้งหลายกำหนดนัยแห่งโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแก่พระสงฆ์องค์อรหันต์ทั้งหลาย และประพฤติปฏิบัติตาม จะได้ชื่อว่าเป็นการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยปฏิบัติบูชา

 

เนื่องในวันมาฆบูชานี้ เราท่านทั้งหลายจะได้ทำศาสนกิจหรือกิจเกี่ยวกับการบูชา อย่างที่เป็นอยู่ มีการให้ทาน มีการรักษาศีล มีการเจริญสมาธิภาวนา และมีการเดินเทียนเวียนทักษิณาวัฏเป็นพุทธบูชา ในวันนี้ วัดชนะสงครามมีกิจพิเศษเกี่ยวกับการก่อสร้าง ซึ่งท่านอาจารย์ สมชาย ท่านถวายพระพุทธบาทจำลองมาไว้ที่หลังพระอุโบสถ อาตมภาพก็อนุญาตให้ญาติโยมสักการะบูชา ก็สักการะบูชามาเป็นเวลานานพอสมควร เห็นว่า วันนี้ มีโอกาสที่จะกระทำมณฑปหรือที่คลุมบังไม่ให้ฝนตกลงไปนองอยู่ในรอยพระพุทธบาท เพื่อญาติโยมจะได้กราบไหว้บูชาได้สะดวก ทำพิธีสร้างมณฑป ที่สร้างนี้สร้างเพื่ออะไร เพื่อให้เป็นพุทธบูชา เสนาสนะถาวรวัตถุที่เราทำ จะเป็นอุโบสถก็ดี หรือศาลาการเปรียญก็ดี สร้างไว้ก็เพื่อบำเพ็ญกุศล ประกอบศาสนกิจกัน แต่มณฑปนี้สร้างเป็นพุทธบูชาเพื่อคลุมพระบาท แล้วให้เกิดศรัทธาปสาทะคือความเชื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้น ให้ตั้งใจว่า เราจะทำเป็นพุทธบูชา บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในปูชากถา ท่านยกตัวอย่างว่า การกระทำบูชาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ก็ดี เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วก็ดี ถ้าเราตั้งจิตตั้งใจเสมอกัน ผลที่ได้รับนั้นก็จะเสมอกัน มีบาลีรับรองว่า

 

ติฏฺฐนฺเต นิพฺพุเต วาปิ          สเม จิตฺเต สมํ ผลํ ฯ

 

พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็ดี เสด็จดับขันธปรินิพพาน

แล้วก็ดี เมื่อบุคคลตั้งใจไว้เสมอ ผลที่ได้รับก็ย่อมเสมอกัน ฯ

 

เพราะฉะนั้น ขอให้ญาติโยมตั้งใจบูชาเป็นพุทธบูชา ผลของความตั้งใจหรือกุศลจิตส่วนนี้ก็จะติดตามท่านทั้งหลายไปทั้งปัจจุบันนี้และภายหน้า เพราะฉะนั้น ขอให้ญาติโยมสาธุชนเข้าใจตามนัยนี้

 

เวลานี้ก็เป็นเวลาสมควรที่อาตมภาพจะยุติพระธรรมเทศนา เพื่อจะได้ประกอบการบูชาในกาลต่อไป ในเบื้องต้น ขอแจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า ต่อจากเทศน์จบนี้ก็จะมีการบวงสรวงเทพยเจ้า ตลอดจนสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ผู้สร้างวัดชนะสงคราม และญาติโยมอดีตที่อุปถัมภ์บำรุงวัดชนะสงคราม หรือเจ้าของวัดที่บริจาคสร้างที่ ประกาศให้รู้ว่า วันนี้จะมีการสร้างมณฑปถวายเป็นพุทธบูชา ให้เทพยดาอารักษ์ทั้งหลายได้รับทราบรับรู้ นี้ประการหนึ่ง ซึ่งจะได้ทำพิธีต่อไปหลังจากเทศน์จบนี้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายร่วมอนุโมทนาแล้วก็ไปร่วมพิธีทำการบวงสรวงหรือบูชา หลังจากนั้นแล้ว ก็จะมาร่วมกันยกเสามณฑป พิธียกทำเป็น ๔ ต้น ยกทีละต้น ต้นเสาเอก แล้วก็มาเสาโท แล้วก็รองลงมา ๆ ใช้สายสิญจ์เป็นเครื่องผูก แสดงว่าน้ำใจหรือพร้อมกันว่า เราร่วมส่วนกุศลในส่วนนี้

 

ใช้สายสิญจ์เป็นเครื่องยึดถือ แต่ถ้าหากญาติโยมไม่ได้ถือสายสิญจ์ ยืนอยู่ห่าง ไม่สะดวกเพราะเหตุใดก็ตาม ขอให้ส่งใจหรือใช้ใจให้พร้อมที่จะยกอนุโมทนาส่วนกุศลส่วนนี้กับญาติโยม ก็ได้ยกได้ทำ นี้เป็นประการที่สอง หลังจากนั้นแล้ว จะยกเสาที่สอง ที่สาม ที่สี่ เป็นลำดับไป ให้เสร็จในวันนี้ เพราะงานไม่มากนัก ให้ทุกคนตั้งใจทำเป็นพุทธบูชาว่า มณฑปหลังนี้สร้างขึ้นเป็นพุทธบูชา บูชาพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งพระองค์มีพระเมตตา มีพระกรุณาในสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า จนกระทั่งถึงเราท่านทั้งหลาย มีพระปัญญาคุณ คือ รอบรู้ทั้งคดีโลกและคดีธรรม ทรงพระบริสุทธิคุณ คือ ถือพระกำเนิดเกิดในขัตติยราชสกุล แม้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณก็โดยไม่มีครูไม่มีอาจารย์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ถึงความเป็นสัมมาสัมพุทธะก็ด้วยพระองค์เอง เราตั้งใจบูชาพระองค์ ซึ่งเพียบพร้อมด้วยพระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณดังกล่าวมา ขอให้ญาติโยมทุกท่านตั้งใจอย่างนี้ อาตมภาพเชื่อว่า กุศลก็จะพึงเกิดมีเกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลายทุกคนที่มีความตั้งใจ และจะติดตามส่งผลให้ได้มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ขอให้ญาติโยมทั้งหลายจงตั้งใจทำพุทธบูชาดังกล่าวมา

 

วิสัชนาพระธรรมเทศนาอัปปมาทกถาพอสมควรแก่เวลา ขอยุติพระธรรมเทศนาแต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                   [Image: 10095_665560096820043_1859258695_n.jpg] 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                          ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย

 

 

โดยคุณ ชูวิทย์ กมลวิษิฎร์ I'm No.5

 

 

ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับอดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ท่านหนึ่ง แต่กรุณาอย่าถามว่าเป็นใคร เพราะผมไม่มีนิสัยหักหลัง ความลับว่าเขาคือใครจะตายไปพ...ร้อมกับผม

 

อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ท่านนี้บ่นให้ผมฟังว่า พรรคประชาธิปัตย์คิดผิดที่บอยคอตไม่ยอมลงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพราะหากพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจลง โอกาสชนะได้ ส.ส. เป็นจำนวนมากแบบถล่มทลาย แลนด์สไลด์ จากสถานการณ์ต่อต้าน "ระบอบทักษิณ" ที่ร้อนแรง มีคนที่อยู่ตรงกลางสนับสนุนเป็นจำนวนมาก

 

เรื่องคอรัปชั่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายสำคัญ "จำนำข้าว" ของรัฐบาลพังไม่เป็นท่า ชาวนาออกมาทวงเงิน ฆ่าตัวตาย คะแนนประชาธิปัตย์จะถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยได้มาก่อน ทั้งจากภาคใต้ที่เป็นฐานเสียงของตาย กวาดเรียบไปยัน กทม.และภาคกลาง ลามไปถึงหัวเมืองใหญ่ๆในภาคอีสานและเหนือ กระแสไปตามการสื่อสารที่สมัยนี้รวดเร็วด้วยอินเตอร์เน็ต 3G แม้แต่ในชนบทท้องทุ่งนา

 

ต่อให้พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง ก็ไม่มีทางจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคอย่างบรรหาร สุวัจน์ อนุทิน สนธยา จะพาเหรด "เสียบเพื่อชาติ" อยู่กับประชาธิปัตย์ด้วยพลังสนับสนุนมหัศจรรย์ อีกทั้งอธิการบดี อาจารย์ หมอ หอการค้า ไม่ต้องมาเดินออกหน้าให้เมื่อย พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายค้านร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งลักษณ์จะกลายเป็นผู้นำฝ่ายค้านหญิงคนแรกของประวัติศาสตร์ไทย การเลือกตั้งจะไม่วุ่นวาย ไม่มีความรุนแรง ไม่มีใครต้องตายอย่างที่เป็นอยู่ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ จะโล่งอก ไม่ต้องพลิกตำราหากฎหมายใดมารองรับ

 

อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ท่านนี้กล่าวให้ฟังอีกว่า สถานการณ์ตอนนี้พรรคใกล้แตก อย่าคิดว่าเป็นพรรคเก่าแล้วแตกไม่ได้ บรรดา ส.ส. ประชาธิปัตย์ต้องกล้ำกลืนฝืนทน เพราะไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร ฝากชีวิตไว้กับคุณสุเทพคนเดียว ที่ตอนนี้ไปไกลกู่ไม่กลับ ค้างอยู่บนถนนสามเดือนแล้วปิดเกมส์ไม่ลง ทั้งๆที่น่าจะปิดได้ตอนกระแสม็อบถึงจุดสูงสุด ปั่นราคาได้ตามใจชอบ รัฐบาลยอมทุกอย่าง คนกลางในกองทัพสนับสนุนขนาดให้แบ่งคนละครึ่ง แต่ดันบอกปัดว่าจะเอาหมด คุณสุเทพไม่คุยไม่เจรจากับคนกลางคนใดทั้งสิ้น จริงๆแล้วหาคนกลางไม่ได้เพราะปิดประตูบ้านทุกบาน

 

จวบจนบัดนี้ ได้แต่หวังลมๆแล้งๆให้องค์กรกลางยื่นมือมาช่วย ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน

 

เพราะถึงแม้จะรักเพื่อน เอาใจช่วยสักเพียงไหน แต่หากเพื่อนทำตัวแบบนี้ เป็นภาระให้มากเกินไป ต้องขอลา ตัวใครตัวมัน เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์สอนใจ

 

โบราณเขาบอกว่า "ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย" ตอนนี้คงต้องบอกว่า "อยู่พรรคผิด คิดจนพรรคทลาย"

 

 

 

 

 

 

 

 

โดย คุณทรงวิทย์.......

 

 

 

 

 

ไม่เข็ดนะ..ทำเป็นมาล้อเล่นกับอำนาจมหาชน..!! เด๋วก็โดนส้นตีนอีกอ่ะ

 

เงื่อนไขของม๊อปกบฏ ที่ลุงของไอ้ขิงนำมาเสนอต่อ นายกฯปูคือไรรู้มั้ย?? กูขำจริงๆ..!!

"..ถ้ารัฐบาล*ยอม*จัดเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด แล้วให้พรรคประชาธิปัตย์ลงเลือกตั้งได้.. ม๊อปทุกกลุ่มจะยุติทันที .."...

ท่านนายกฯฟังแล้วยิ้มกริ่ม..ยิ้มน้อยๆ..แล้วตอบว่า.."..ดิฉันตัดสินใจเองลำพังไม่ได้หรอกคร่ะ ก็เอาเป็นว่า รัฐบาลรับทราบคร่ะ จะนำไปพืจารณานะคะ.."

อยากจะตะโกนบอกนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ จริงๆเลยว่า.. ครั้งที่แล้ว..ปี54 ถูกตีเกือบตายในรถ ที่ ก.มหาดไทย เพราะความ...แบบนี้.. ผ่านมา4ปีแล้ว ยังคิด...ๆอยู่เหมือนเดิม..

นี่แสดงว่าบทเรียนครั้งนั้น ที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่มอบให้..ยังไม่เข้าสมองเท่าไรนัก!!

การร่วมชั้นเรียนที่ มิลฟิลด์ กับใครคนหนึ่ง..ไม่ได้ทำให้ท่านนายกฯปูเค้าต้องเกรงใจหรอกนะ..เพราะนี่เรื่องของความถูกต้องตามกฏหมาย และเป็นเรื่องกฏกติกาของชาติ.

.คนหนึ่ง คนนั้นที่ว่า..เค้ากำลังหาทางฟื้นฟูบางสิ่ง และกำลังเร่งทำ IO เค้าไม่ช่วยมึงหรอก..เพราะนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประชาชนส่วนใหญ่.. ที่เค้าแคร์!!และหวังจะให้เป็นรากฐานในการฟื้นฟูเสาหลักของชาติต่อไปในวันหน้า..!!ดูเพิ่มเติม

 
 

ไม่เข็ดนะ..ทำเป็นมาล้อเล่นกับอำนาจมหาชน..!! เด๋วก็โดนส้นตีนอีกอ่ะ </p><p>เงื่อนไขของม๊อปกบฏ ที่ลุงของไอ้ขิงนำมาเสนอต่อ นายกฯปูคือไรรู้มั้ย?? กูขำจริงๆ..!! </p><p>"..ถ้ารัฐบาล*ยอม*จัดเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด แล้วให้พรรคประชาธิปัตย์ลงเลือกตั้งได้.. ม๊อปทุกกลุ่มจะยุติทันที .."</p><p>ท่านนายกฯฟังแล้วยิ้มกริ่ม..ยิ้มน้อยๆ..แล้วตอบว่า.."..ดิฉันตัดสินใจเองลำพังไม่ได้หรอกคร่ะ ก็เอาเป็นว่า รัฐบาลรับทราบคร่ะ จะนำไปพืจารณานะคะ.."</p><p>อยากจะตะโกนบอกนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ จริงๆเลยว่า.. ครั้งที่แล้ว..ปี54 ถูกตีเกือบตายในรถ ที่ ก.มหาดไทย เพราะความ...แบบนี้.. ผ่านมา4ปีแล้ว ยังคิด...ๆอยู่เหมือนเดิม..</p><p>นี่แสดงว่าบทเรียนครั้งนั้น ที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่มอบให้..ยังไม่เข้าสมองเท่าไรนัก!! </p><p>การร่วมชั้นเรียนที่ มิลฟิลด์ กับใครคนหนึ่ง..ไม่ได้ทำให้ท่านนายกฯปูเค้าต้องเกรงใจหรอกนะ..เพราะนี่เรื่องของความถูกต้องตามกฏหมาย และเป็นเรื่องกฏกติกาของชาติ.</p><p>.คนหนึ่ง คนนั้นที่ว่า..เค้ากำลังหาทางฟื้นฟูบางสิ่ง และกำลังเร่งทำ IO เค้าไม่ช่วยมึงหรอก..เพราะนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประชาชนส่วนใหญ่.. ที่เค้าแคร์!!และหวังจะให้เป็นรากฐานในการฟื้นฟูเสาหลักของชาติต่อไปในวันหน้า..!!

 

เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวsmiley

 

 

                   

 

 

                      ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย

 

 

โดยคุณ ชูวิทย์ กมลวิษิฎร์ I'm No.5

 

 

ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับอดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ท่านหนึ่ง แต่กรุณาอย่าถามว่าเป็นใคร เพราะผมไม่มีนิสัยหักหลัง ความลับว่าเขาคือใครจะตายไปพ...ร้อมกับผม

 

อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ท่านนี้บ่นให้ผมฟังว่า พรรคประชาธิปัตย์คิดผิดที่บอยคอตไม่ยอมลงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพราะหากพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจลง โอกาสชนะได้ ส.ส. เป็นจำนวนมากแบบถล่มทลาย แลนด์สไลด์ จากสถานการณ์ต่อต้าน "ระบอบทักษิณ" ที่ร้อนแรง มีคนที่อยู่ตรงกลางสนับสนุนเป็นจำนวนมาก

 

เรื่องคอรัปชั่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายสำคัญ "จำนำข้าว" ของรัฐบาลพังไม่เป็นท่า ชาวนาออกมาทวงเงิน ฆ่าตัวตาย คะแนนประชาธิปัตย์จะถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยได้มาก่อน ทั้งจากภาคใต้ที่เป็นฐานเสียงของตาย กวาดเรียบไปยัน กทม.และภาคกลาง ลามไปถึงหัวเมืองใหญ่ๆในภาคอีสานและเหนือ กระแสไปตามการสื่อสารที่สมัยนี้รวดเร็วด้วยอินเตอร์เน็ต 3G แม้แต่ในชนบทท้องทุ่งนา

 

ต่อให้พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง ก็ไม่มีทางจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคอย่างบรรหาร สุวัจน์ อนุทิน สนธยา จะพาเหรด "เสียบเพื่อชาติ" อยู่กับประชาธิปัตย์ด้วยพลังสนับสนุนมหัศจรรย์ อีกทั้งอธิการบดี อาจารย์ หมอ หอการค้า ไม่ต้องมาเดินออกหน้าให้เมื่อย พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายค้านร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งลักษณ์จะกลายเป็นผู้นำฝ่ายค้านหญิงคนแรกของประวัติศาสตร์ไทย การเลือกตั้งจะไม่วุ่นวาย ไม่มีความรุนแรง ไม่มีใครต้องตายอย่างที่เป็นอยู่ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ จะโล่งอก ไม่ต้องพลิกตำราหากฎหมายใดมารองรับ

 

อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ท่านนี้กล่าวให้ฟังอีกว่า สถานการณ์ตอนนี้พรรคใกล้แตก อย่าคิดว่าเป็นพรรคเก่าแล้วแตกไม่ได้ บรรดา ส.ส. ประชาธิปัตย์ต้องกล้ำกลืนฝืนทน เพราะไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร ฝากชีวิตไว้กับคุณสุเทพคนเดียว ที่ตอนนี้ไปไกลกู่ไม่กลับ ค้างอยู่บนถนนสามเดือนแล้วปิดเกมส์ไม่ลง ทั้งๆที่น่าจะปิดได้ตอนกระแสม็อบถึงจุดสูงสุด ปั่นราคาได้ตามใจชอบ รัฐบาลยอมทุกอย่าง คนกลางในกองทัพสนับสนุนขนาดให้แบ่งคนละครึ่ง แต่ดันบอกปัดว่าจะเอาหมด คุณสุเทพไม่คุยไม่เจรจากับคนกลางคนใดทั้งสิ้น จริงๆแล้วหาคนกลางไม่ได้เพราะปิดประตูบ้านทุกบาน

 

จวบจนบัดนี้ ได้แต่หวังลมๆแล้งๆให้องค์กรกลางยื่นมือมาช่วย ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน

 

เพราะถึงแม้จะรักเพื่อน เอาใจช่วยสักเพียงไหน แต่หากเพื่อนทำตัวแบบนี้ เป็นภาระให้มากเกินไป ต้องขอลา ตัวใครตัวมัน เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์สอนใจ

 

โบราณเขาบอกว่า "ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย" ตอนนี้คงต้องบอกว่า "อยู่พรรคผิด คิดจนพรรคทลาย"

 

 

 

 

 

 

 

 

                      ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย

 

 

โดยคุณ ชูวิทย์ กมลวิษิฎร์ I'm No.5

 

 

ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับอดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ท่านหนึ่ง แต่กรุณาอย่าถามว่าเป็นใคร เพราะผมไม่มีนิสัยหักหลัง ความลับว่าเขาคือใครจะตายไปพ...ร้อมกับผม

 

อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ท่านนี้บ่นให้ผมฟังว่า พรรคประชาธิปัตย์คิดผิดที่บอยคอตไม่ยอมลงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพราะหากพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจลง โอกาสชนะได้ ส.ส. เป็นจำนวนมากแบบถล่มทลาย แลนด์สไลด์ จากสถานการณ์ต่อต้าน "ระบอบทักษิณ" ที่ร้อนแรง มีคนที่อยู่ตรงกลางสนับสนุนเป็นจำนวนมาก

 

เรื่องคอรัปชั่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายสำคัญ "จำนำข้าว" ของรัฐบาลพังไม่เป็นท่า ชาวนาออกมาทวงเงิน ฆ่าตัวตาย คะแนนประชาธิปัตย์จะถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยได้มาก่อน ทั้งจากภาคใต้ที่เป็นฐานเสียงของตาย กวาดเรียบไปยัน กทม.และภาคกลาง ลามไปถึงหัวเมืองใหญ่ๆในภาคอีสานและเหนือ กระแสไปตามการสื่อสารที่สมัยนี้รวดเร็วด้วยอินเตอร์เน็ต 3G แม้แต่ในชนบทท้องทุ่งนา

 

ต่อให้พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง ก็ไม่มีทางจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคอย่างบรรหาร สุวัจน์ อนุทิน สนธยา จะพาเหรด "เสียบเพื่อชาติ" อยู่กับประชาธิปัตย์ด้วยพลังสนับสนุนมหัศจรรย์ อีกทั้งอธิการบดี อาจารย์ หมอ หอการค้า ไม่ต้องมาเดินออกหน้าให้เมื่อย พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายค้านร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งลักษณ์จะกลายเป็นผู้นำฝ่ายค้านหญิงคนแรกของประวัติศาสตร์ไทย การเลือกตั้งจะไม่วุ่นวาย ไม่มีความรุนแรง ไม่มีใครต้องตายอย่างที่เป็นอยู่ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ จะโล่งอก ไม่ต้องพลิกตำราหากฎหมายใดมารองรับ

 

อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ท่านนี้กล่าวให้ฟังอีกว่า สถานการณ์ตอนนี้พรรคใกล้แตก อย่าคิดว่าเป็นพรรคเก่าแล้วแตกไม่ได้ บรรดา ส.ส. ประชาธิปัตย์ต้องกล้ำกลืนฝืนทน เพราะไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร ฝากชีวิตไว้กับคุณสุเทพคนเดียว ที่ตอนนี้ไปไกลกู่ไม่กลับ ค้างอยู่บนถนนสามเดือนแล้วปิดเกมส์ไม่ลง ทั้งๆที่น่าจะปิดได้ตอนกระแสม็อบถึงจุดสูงสุด ปั่นราคาได้ตามใจชอบ รัฐบาลยอมทุกอย่าง คนกลางในกองทัพสนับสนุนขนาดให้แบ่งคนละครึ่ง แต่ดันบอกปัดว่าจะเอาหมด คุณสุเทพไม่คุยไม่เจรจากับคนกลางคนใดทั้งสิ้น จริงๆแล้วหาคนกลางไม่ได้เพราะปิดประตูบ้านทุกบาน

 

จวบจนบัดนี้ ได้แต่หวังลมๆแล้งๆให้องค์กรกลางยื่นมือมาช่วย ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน

 

เพราะถึงแม้จะรักเพื่อน เอาใจช่วยสักเพียงไหน แต่หากเพื่อนทำตัวแบบนี้ เป็นภาระให้มากเกินไป ต้องขอลา ตัวใครตัวมัน เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์สอนใจ

 

โบราณเขาบอกว่า "ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย" ตอนนี้คงต้องบอกว่า "อยู่พรรคผิด คิดจนพรรคทลาย"

 

 

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-02-09 20:19:31.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  หลุมดำเเห่งการเวลา

 

 

 

 

 

         โปรเจคลับ "ฟิลลาเดเฟีย" การเดินทางข้ามเวลา

  

 

 

 

การเดินทางข้ามเวลา เป็นเรื่องที่เรามักจะอ่านพบในนิยายวิทยาศาสตร์หลายๆ เรื่อง อันที่จริงแล้วการเดินทางข้ามเวลา ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝันในนิยายเท่านั้น หากแต่ในความเป็นจริงแล้วได้มีการเดินทางข้ามเวลาเกิดขึ้นจริงๆ!เพียงแต่ว่าการเดินทางข้ามเวลาที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเหตุบังเอิญที่เกิดจากการทดลองโครงการลับที่ใช้ในทางทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

โครงการ "เรนโบว์"

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเรือสหรัฐ ได้ทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางการทหาร เพื่อนำไปใช้ในการสงคราม หนึ่งในการทดลองนั้นคือ การพยายามทำให้เรือพิฆาตไม่ปรากฏบนจอเรดาร์ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นการทดลองเทคโนโลยีล่องหนครั้งแรกของโลก

โครงการ "เรนโบว์" (Project Rainbow) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า การทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment) ได้ทำการทดลองขึ้นที่ฐานทัพเรือสหรัฐในฟิลาเดเฟีย ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1943 โดยการใช้เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ติดตั้งบนเรือรบ

สนามแม่เหล็กที่ถูกสร้างขึ้นจะทำการเบี่ยงเบนคลื่นเรดาร์ ทำให้คลื่นเรดาร์ไม่กระทบลำเรือและสะท้อนกลับไปยังตัวรับสัญญาณ ข้าศึกจึงไม่สามารถใช้เรดาร์ในการตรวจจับเรือรบดังกล่าวได้ ไม่เพียงแต่เท่านั้นสนามแม่เหล็กยังได้หักเหการเดินทางของแสง ทำให้เรามองไม่เห็นมันอีกด้วย ซึ่งหลักการดังกล่าวเหมือนกับการที่เราเห็นภาพลวงตาบนท้องถนนในวันที่แดดแรง (Mirage)



 
เปิดตำนาน

เช้าวันที่ 22 กรกฏาคม ค.ศ. 1943 เวลา 9:00 น. การทดลองที่นำไปสู่การเดินทางข้ามเวลาได้เริ่มขึ้น บนเรือพิฆาต เอลดริจ หรือ ดีอี173 (USS Eldridge - DE-173) เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กเริ่มทำงานมันสร้างหมอกควันสีเขียวขึ้นทีละน้อยรอบๆ ลำเรือ และเมื่อหมอกควันสีเขียว เริ่มจางลง เรือเอลดริจ ก็หายไปจากจอเรดาร์ และจากสายตาผู้คนที่เฝ้าดูการทดลองครั้งนั้น


 
USS Eldridge - DE-173

ประมาณ 15 นาทีต่อมา ก็มีคำสั่งให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก หมอกควันสีเขียวเริ่มก่อตัวอีกครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างมหันต์!

บรรดาลูกเรือทั้งหมดที่อยู่บนกราบเรือ มีอาการคลื่นเ...ยน อาเจียน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ กองทัพเรือมีคำสั่ง ให้เปลี่ยนลูกเรือชุดใหม่ เพื่อทำการทดลองต่อไป แต่ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน (Dr. John von Neumann) นักวิทยาศาสตร์ผู้รับผิดชอบการทดลองครั้งนี้ ได้คัดค้านขอให้ยุติการทดลองไว้ชั่วคราว เพื่อขอเวลาในการตรวจหาสาเหตุและทำการแก้ไขเสียก่อน



ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน ผู้รับผิดชอบการทดลอง

กองทัพเรือขีดเส้นตายให้กับ ดร. จอห์น ไว้แค่วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 หรือเพียงไม่ถึง 3 สัปดาห์เท่านั้น โดยไม่ได้ให้เหตุผลเลยว่าทำไมการทดลองจึงต้องมีขึ้นภายในวันที่ 12 สิงหาคม นอกเสียจากบอกกับ ดร. จอห์น ว่า พวกเขายังไม่ต้องการให้เรือรบหายไปจริงๆ จากสายตา พวกเขาต้องการเพียงแค่ให้เรือรบไม่ปรากฏบนจอเรดาร์เท่านั้น

การทดลองครั้งประวัติศาสตร์

หลังจากที่ ดร.จอห์น ได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว การทดลองเรือรบล่องหน ก็เริ่มขึ้นอีกครั้งในวันเส้นตายที่กองทัพเรือกำหนดไว้ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 ลูกเรือชุดใหม่ได้ขึ้นประจำการบน เรือพิฆาตเอลดริจ เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กเริ่มทำงาน เวลาผ่านไปราว 60 วินาที ทุกอย่างดูไปได้สวย เรือพิฆาตเอลดริจ เริ่มหายไปจากจอเรดาร์ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเป็นรูป โครงเรือลางๆ ได้ด้วยตา แต่ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างสีฟ้าวาบขึ้น!



เรือพิฆาตเอลดริจ ได้หายไปจากน่านน้ำ!

ดร. จอห์น เริ่มมีอาการระส่ำระสาย เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว แต่ทำไมเหตุการณ์เดิมยังเกิดขึ้น พวกเขาพยายามส่งวิทยุติดต่อกับเรือพิฆาตเอลดริจ แต่ก็ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด

ราว 4 ชั่วโมงต่อมา เรือพิฆาตเอลดริจก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่เดิม เสาอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้ รับ-ส่งคลื่นวิทยุหักโค่นลง เหล่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่างก็รีบรุดไปที่เรือพิฆาตเอลดริจทันที เมื่อไปถึงเรือพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่พบร่างของลูกเรือ 2 คน ถูกดูดจนตัวติดกับพื้นเรือ เหมือนประหนึ่งว่าร่างกายของเขาเป็นโลหะชิ้นหนึ่ง เช่นเดียวกับ ลูกเรืออีก 2 คน ที่ถูกผนังเรือดูดเข้าไปจนติดเป็นส่วนหนึ่งของผนัง ส่วนลูกเรือคนที่ 5 นับว่าโชคดีหน่อยที่เพียงแค่ แขนข้างหนึ่งของเขาเท่านั้นที่ติดอยู่กับผนังเรือ เขายังมีชีวิตอยู่เพียงแต่ว่าต้องตัดแขนเขาเพื่อแยกตัวเขาออกจากผนังเรือ

ลูกเรือหลายคนถูกไฟไหม้ตามร่างกาย และทุกคนมีอาการสติแตก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จะมีก็แต่ลูกเรือที่ประจำการ อยู่ในห้องด้านล่างของตัวเรือเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย และหนึ่งในนั้นก็คือ อัลเฟรด เบเลก (Alfred Bielek)

ผู้ที่เปิดเผยเรื่องราวการทดลองครั้งนี้

ใครคือ "อัลเฟรด เบเลก" ?

อัลเฟรด เบเลก เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1916 ที่รัฐนิวยอร์ก เดิมทีนั้นเขาชื่อ เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน (Edward A. Cameron) เป็นบุตรชายของ อเล็กซานเดอร์ ดันแคน คาเมรอน ซีเนียร์ (Alexander Duncan Cameron, Sr) จบการศึกษา ระดับปริญญาเอก สาขาฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก ประเทศสก็อตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1939

ไม่เพียงแต่เท่านั้น อัลเฟรด ยังจบปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยพรินสตัน และกำลังจะศึกษาต่อปริญญาเอก ที่ฮาร์วาร์ด อาจเป็นเพราะบิดาของเขาเคยรับราชการในราชนาวีสหรัฐ จึงทำให้ อัลเฟรด และน้องชายของเขาเข้ารับราชการในราชนาวีสหรัฐเช่นกัน


 
เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน หรือ "อัลเฟรด เบเลก

4 ชั่วโมงที่หายไป

เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงานเต็มที่ เหล่าลูกเรือก็พบว่าเรือพิฆาตเอลดริจ ได้ปรากฏตัวบนฝั่งแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงได้ลงจากเรือเพื่อมาสำรวจพื้นที่ พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และสุนัขตรวจตราลาดตระเวณอยู่เต็มไปทั่วบริเวณเมื่อมองไปบนท้องฟ้าพวกเขาก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ ฉายไฟสปอตไลท์มาที่พวกเขา แต่ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้จักเฮลิคอปเตอร์

ครู่เดียวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็กรูกันมาที่พวกเขาแล้วพาพวกเขาลงไปยังห้องใต้ดินพวกเขาพบกับชายสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งได้แนะนำตัวเองว่าเขาคือ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน

อัล เฟรด ถึงกับช็อค เพราะเขาเพิ่งจะจากกับ ดร.จอห์น เมื่อสักครู่นี้เอง และเขาก็หนุ่มกว่านี้มาก ดร.จอห์น อธิบายให้ฟังว่าสถานที่นี้คือสถานที่ทดลอง โครงการฟินิกส์ (Phoenix Project) ตั้งอยู่ที่มอนทอก เมืองลองไอส์แลนด์ (Montauk, Long Island)

และ วันนี้คือวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1983 !!

ดร. จอห์น เล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ "การทดลองฟิลาเดเฟีย" ในปี ค.ศ. 1943 จากนั้นก็สั่งให้ทุกคนกลับไปที่เรือ และให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กโดยเร็ว การทดลองฟิลาเดเฟีย ในปี ค.ศ. 1943 และการทดลองฟินิกส์ ในปี ค.ศ. 1983 ได้ก่อให้เกิด "ช่องว่าง" ของเวลาและได้ดูดเอาเรือพิฆาตเอลดริจ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งซึ่งมีเวลาห่างกัน 40 ปี

ดร. จอห์น สั่งให้ทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ ที่จะหยุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก ไม่เช่นนั้นสนามแม่เหล็กจะก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อโลก

เมื่อพวกเขากลับไปที่เรือ ก็ช่วยกันหยิบขวานขึ้นมาทุบไปบนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แผงควบคุม และอุปกรณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง จนในที่สุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กก็หยุดทำงาน และเรือพิฆาตเอลดริจ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เดิม ในปี ค.ศ. 1943 อีกครั้ง

ลูกเรือทุกคนที่รอดชีวิตกลับมาได้จากการทดลองครั้งนั้น ได้ถูกรัฐบาลจัดการล้างสมอง ลบความจำจนหมดสิ้น และได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ พร้อมทั้งสร้างข้อมูลชีวิตใหม่ให้กับพวกเขา และนี่คือเหตุผลที่ เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน ได้หายไปจากโลก และมี อัลเฟรด เบเลก ขึ้นมาแทน

ฟื้นความทรงจำ

อย่างที่กล่าวไว้แหละครับ เดิมที อัลเฟรด ได้ถูกรัฐบาล จับไปล้างสมองและลบความทรงจำไปจนหมดสิ้นแล้ว เขาใช้ชีวิตในชื่อของ อัลเฟรด เบเลก ตลอดมาจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1983 บริษัทสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ "อี เอ็ม ไอ ตรอน คอร์เปอเรชั่น (EMI Thron Corp.)" ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง การทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment)

ภาพยนตร์เรื่องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทดลองที่ อัลเฟรด ได้ประสบมา อีเอ็มไอ ได้กำหนดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1984 แต่เมื่อก่อนจะถึงกำหนดฉายเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายจากรัฐบาลสหรัฐ มีข้อความว่าพวกเขาไม่ประสงค์ให้มีการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐ

อีเอ็มไอ ได้ลงทุนทำการประชาสัมพันธ์และออกกำหนดการ การฉายภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว อีกทั้งเขาก็เพิ่งจะได้รับจดหมายห้ามจากสหรัฐเพียงแค่ 3 วันก่อนวันฉาย อีเอ็มไอ จึงได้ตัดสินใจฉายภาพยนตร์ในสหรัฐ ตามกำหนดการเดิม โดยเสแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่ได้รับจดหมายห้ามจากรัฐบาลสหรัฐ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในรัฐต่างๆ ทั่วประเทศสหรัฐ เมื่อภาพยนตร์เริ่มฉาย ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายเตือนฉบับที่ 2 จากสหรัฐอีก แต่คราวนี้ อีเอ็มไอ ไม่สามารถแกล้งโง่ได้อีก ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมหยุดฉายภาพยนตร์ทันทีทันใด แถมยังได้ส่งจดหมายกลับไปว่า อีเอ็มไอ จะหยุดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งห้ามเป็นคำพิพากษาจากศาลเท่านั้น

แน่นอนว่าเรื่องจ้อยๆ แค่นี้ ทำได้ไม่ยากหรอกครับ เพียงแค่ 2 สัปดาห์ต่อมาก็มีคำสั่งจากศาล ให้หยุดการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็หายไปจากประเทศสหรัฐถึง 2 ปีเต็มๆ ในระหว่างนั้น อีเอ็มไอ ได้พยายามหาหนทางที่จะนำภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเข้าไปในประเทศสหรัฐ จนกระทั่ง 2 ปีผ่านไปพวกเขาก็ประสบความสำเร็จโดยผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาในรูปแบบของวิดิโอเทป และส่งเข้าไปขายในสหรัฐ


 
หนังที่บริษัท อีเอ็มไอ ผลิตออกมา

เมื่อ อัลเฟรด ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ความจำของเขาก็เริ่มกลับมา อัลเฟรด กล่าวว่าในช่วงต้นเรื่องภาพยนตร์สร้างออกมาได้ใกล้เคียงความจริงมาก ส่วนช่วงหลังของภาพยนตร์นั้นมีการเสริมแต่งเรื่องเพื่อให้ภาพยนตร์เป็นที่ประทับใจ

อัลเฟรด ได้พยายามสืบหาผู้ที่รอดชีวิตจากการทดลองครั้งนั้น ในที่สุดเขาก็พบกับ นาวาตรี อลัน แบชเลอร์ (Lt. Commander Alan Batchelor) ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าลูกเรือในการทดลองฟิลาเดเฟีย อลัน จำ อัลเฟรดได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในลูกเรือเอลดริจ และยังบอกกับเขาด้วยว่า เขาไม่ได้ชื่อ อัลเฟรด เบเลก

อลัน ได้สูญเสียความจำบางส่วนไป แต่อย่างน้อยเขาก็จำได้ว่า อัลเฟรด ประจำการอยู่บนเรือร่วมกับน้องชายและยังพอจะจำเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นได้

มาถึงตอนนี้คุณอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของอัลเฟรดเขาหายไปไหน? ผมขอย้อนกลับไปที่เหตุการณ์บนเรือเอลดริจตอนที่หลุดเข้าไปในประตูมิติเวลา ระหว่างที่เหล่าลูกเรือกำลังช่วยกันทำลายเครื่องสร้างสนามพลังอยู่นั้น น้องชายของ อัลเฟรด ได้ตัดสินใจกระโดดลงจากเรือ ครับเขาอยู่ในปี ค.ศ. 1983 ในขณะที่ลูกเรือคนอื่นกลับมาในปี ค.ศ. 1943

การทดลองครั้งสุดท้าย

หลังจากที่เกิดการผิดพลาดในการทดลองเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ราชนาวีสหรัฐ ได้สั่งให้สร้างเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมาใหม่และกำหนดให้มีการทดลองอีกครั้ง แต่คราวนี้จะไม่ลูกเรือ

ราวปลายเดือนตุลาคม เวลาประมาณ 22:00 น. การทดลองได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง พวกเขาได้ใช้สายเคเบิลยาวประมาณ 1,000 ฟุต ผูกติดกับคันบังคับปิด-เปิด เครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก เพื่อใช้เป็นรีโมท (ไม่รู้ว่าจะถือว่าเป็นต้นกำเนิดรีโมทคอนโทรลได้หรือเปล่า?)

เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงาน เรือเอลดริจก็ได้หายไปจากน่านน้ำในฟิลาเดเฟีย มีพยานจำนวนมากเห็นมันไปปรากฏตัวที่ท่าเรือใน นอร์ฟอล์ก รัฐเวอร์จิเนีย นานเป็นเวลาประมาณ 15 นาที แล้วจู่ๆ มันก็หายตัวไป

เรือเอลดริจ กลับมาปรากฏตัวที่ฟิลาเดเฟียอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครปิดเครื่อง แต่เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กได้หยุดทำงานด้วยตัวมันเอง

เมื่อเจ้าหน้าที่ขึ้นไปบนเรือ พวกเขาพบว่าอุปกรณ์จำนวนมากกว่าครึ่งหายไป ห้องควบคุมมีกลุ่มควันเต็มไปหมด พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือเอลดริจ รู้ก็แต่เพียงว่าต้องมีอะไรผิดปรกติอย่างแน่นอน ในที่สุดราชนาวีสหรัฐ ก็ตัดสินใจระงับโครงการเรนโบว์นี้

เรือเอลดริจ ได้ถูกนำมาประกอบอุปกรณ์มาตรฐานของเรือพิฆาตอีกครั้ง เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ใข้ในการทดลองฟิลาเดเฟียถูกยกออก และส่งมันกลับเข้าประจำการตามปรกติ จนกระทั่งปลดประจำการณ์ในปี ค.ศ. 1950

สหรัฐได้บริจาคเรือลำนี้ให้กับประเทศกรีซ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเรือไลออน โดยที่กฏหมายการเดินเรือสากลนั้น ปูมเรือจะต้องติดไปกับเรือด้วยทุกครั้ง ใช่ครับ ปูมเรือเอลดริจก็ติดไปกับเรือด้วย เพียงแต่ว่ามันเริ่ม วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1944 ไม่มีใครทราบว่าปูมเรือก่อนหน้านั้นหายไปไหน ?

ที่มา: Pantip (เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วน)  และ http://board.postjung.com/647486.html

      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

     ชูวิทย์"เผยจุดที่ม็อบไม่ยอมไปปิด

 

 



 

 

 

 

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์การเมืองล่าสุดว่า

ที่ม็อบไม่ยอมไปปิด

กลยุทธ์ปิดล้อมของม็อบ กปปส. เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ นึกอยากจะไปปิดที่ไหนก็ไป โดยไม่มีแผนการณ์รองรับและต่อเนื่อง วันก่อนไปปิด "กรมชลประทาน" สั่งให้ข้าราชการทุกคนออกมาจากตึก แล้วคล้องโซ่ปิดประตู ไม่ยอมให้ใครทำงาน

แล้วบรรดาเกษตรกรชาวนาจะไปเอาน้ำที่ไหน? ใครจะเป็นคนวางแผนให้? เพราะกรมชลประทานมีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมวางแผนจัดสรรน้ำให้กับเกษตรกรทั้งประเทศ คุณคิดว่าทำอย่างนี้ฉลาดหรือโง่? เท่ากับทำร้ายเกษตรกรไทยทั้งประเทศ ไหนบอกว่าเห็นใจชาวนา อย่างนี้เท่ากับไปฆ่าชาวนาชัดๆ

แกนนำประกาศทุกวี่ทุกวัน “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” แต่ไม่ประสบความสำเร็จเสียที เพราะไปปิดสารพัดที่ ไม่ว่ากระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ เลยเถิดไปถึงกรมการกงสุล สถานที่ทำพาสปอร์ต ไปทำร้ายประชาชนให้เดือดร้อนเข้าไปอีก

ไม่เห็นรัฐบาลจะ “เดือดเนื้อร้อนใจ” ตรงไหน แต่เกษตรกรยันประชาชนเขาเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า

สถานที่เดียว ที่ม็อบไม่เคยไปแตะต้อง อันเป็นหัวใจของการชัตดาวน์กรุงเทพฯคือ “ศาลาว่าการกทม.” ที่เสาชิงช้า อู่ข้าวอู่น้ำของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นที่ที่คุณสุขุมพันธ์พรรคประชาธิปัตย์ ดำรงค์ตำแหน่งผู้ว่าฯอยู่ ไม่ใช่ของพรรคเพื่อไทย จึงไม่เคยไปปิด สั่งให้ราชการออก เอาโซ่ไปคล้อง เป็นการเลือกที่รักมักที่ชัง เล่นการเมืองแบ่งพรรคแบ่งพวก ฝั่งไหนเป็นประโยชน์กับพรรคตัวเองไม่แตะต้อง ฝั่งไหนเป็นของพรรคตรงข้ามก็ตามย่ำยี

ปากบอกจะหานายกฯคนกลางมาปฏิรูป ทำแบบนี้จะปฏิรูปไหวหรือ? เห็นชัดๆว่าปกป้องแต่ผลประโยชน์ของพรรคตัวเอง คนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ดูหมากการเมืองไม่ออก ต้องให้ชูวิทย์มาบอก

ส่วนที่ม็อบประกาศให้ตำรวจเร่งจับคนยิง ปาระเบิดทำร้ายม็อบ แต่ระเบิดที่ "บรรทัดทอง" ผู้ชุมนุมตายไปหนึ่ง นายประคอง ชูจันทร์ กลับทำเฉย แรกๆตรวจพบห้องพักในตึกร้าง บอกว่าเป็นคลังอาวุธ แต่ดันเป็นเจ้าหน้าที่เทศกิจ เลยปล่อยจนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย เพราะเกี่ยวข้องกับ กทม. เลยเว้นวรรคให้ ไม่สนใจติดตามเพราะกลัวจะเข้าตัว

แล้วยังมีเรื่อง "ถุงทราย" ที่กทม.อ้างว่าเอาไว้ป้องกันน้ำท่วม ทำไปทำมา กลายเป็นว่าเอาไปให้ม็อบ คปท. ใช้ล้อมทำเนียบรัฐบาล ให้มันได้แบบนี้สิครับ ม็อบ กปปส. หรือ ม็อบ คปท. ควรจะเรียกว่า ม็อบ กทม. สนับสนุนกันชัดๆไปเลย ไม่ต้องปากว่าตาขยิบ

มันเป็นเรื่องของการแย่งชิง "อำนาจการเมือง" ประชาชนตกเป็นเหยื่อ ปากเป่านกหวีด ตาลอยละห้อย เหมือนต้องมนต์หมอผีพ่นคาถา เป่ากระหม่อมทุกค่ำคืน โดยไม่สนว่าประชาชนที่ไหนจะเดือดร้อน

ธาตุแท้ของนักการเมืองที่ลาออกเฉพาะชื่อ แต่ในใจยังสิงสถิตย์ทำประโยชน์ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ อะไรที่เป็นประโยชน์ ยินยอมพร้อมใจถวายหัวทำให้ ส่วนอะไรที่เป็นของพรรคตรงข้าม ต้องทำลายกันเสียให้ยับเยินป่นปี้

ม็อบนอนกันข้างถนน กินข้าวกล่อง ส่วนบรรดาแกนนำนอนอินเตอร์คอนฯ กับ ดุสิตธานี กินบุฟเฟ่ต์หลากชนิด

หากยังไม่รู้ก็รู้ไว้เสียด้วย บรรดาหมอ วิศวะ ดารา ประชาชน ทั้งนายทุนท่อน้ำเลี้ยง ช่วยตื่นจากภวังค์ เอานกหวีดออกจากปาก แล้วจะรู้ว่าถูกนักการเมืองหลอกใช้ มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาการเมือง ผลประโยชน์ของพรรคตัวเองแท้ๆ

 

 

 

 

 

 

′การ์ด กปปส.-กปค.′ ทะเลาะวุ่น ถึงขั้นวางมวย ต้องหย่าศึกโกลาหล เสวนาปฏิรูปพลังงานหวิดล่ม

 

 

 

 

เสวนาปฏิรูปพลังงาน กปปส.หวิดล่ม หลัง ′กปค.′ ขอร่วมวงด้วยแต่การ์ดไม่อนุญาตอ้างต้องมีรายชื่อเท่านั้น ปั่นป่วนจนถึงขั้นลงมือชกต่อยกัน

 
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ห้องประชุมชั้น 5  หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แยกปทุมวัน กปปส.ได้จัดเสวนาสานพลังสู่การปฏิรูปในหัวข้อ “การปฏิรูปด้านพลังงาน โดยเชิญนักวิชาการด้านพลังงานเข้าร่วม อาทิ  นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายสรรเสริญ สมะลาภา น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ นางอาณิก อัมระนันท์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา พร้อมด้วย นพ.ระวีมาศ ฉมาดล และตัวแทนกองทัพประชาชนและเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (กคป.) ซึ่งชุมนุมที่บริเวณหน้ากระทรวงพลังงาน จำนวนกว่า 50 คน ได้เดินมาร่วมการเสวนาด้วย

 

แต่ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นที่หน้าห้องประชุม มีการประทะกันระหว่างการ์ด กปปส. กับกลุ่ม กคป. เนื่องจากตัวแทน กปค.จะขอเข้าร่วมฟังการเสวนาด้วย แต่การ์ด กปปส.ไม่อนุญาตโดยอ้างว่าจะให้เฉพาะผู้ที่มีรายชื่อรับเชิญเท่านั้น ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ กลุ่ม กคป.ที่ระบุว่าพวกตนก็มีข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานต้องการนำเสนอด้วย พยายามดึงดันจะเข้าห้องประชุม แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ผู้ชุมนุมโวยวายเป็นการปิดกั้นประชาชน ถ้าทำแบบนี้ก็ปฏิรูปด้านอื่นไม่ได้ ขอให้ไปเรียกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ มาคุยกัน

 

จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการโต้เถียงผลักดันกันอย่างมีอารมณ์ ถึงขั้นชกต่อยกันนานกว่า 5 นาที ทำให้หลายคนได้ห้ามปรามจนในที่สุดห้องเสวนาต้องยุติลง และต้องเปิดห้องประชุมใหญ่เพื่อให้กลุ่ม กคป.ได้เข้าร่วมประชุมด้วยทุกคนโดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังด้วย

 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่บรรยากาศการชุมนุมกปปส.ที่แยกปทุมวัน ตั้งแต่ช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ กทม.ได้มาทำความสะอาดรอบพื้นที่การชุมนุมเพื่อสุขอนามัยของกลุ่มผู้ชุมนุม ส่วนบนเวทีปราศรัยแนวร่วมยังคงสลับกันขึ้นปราศรัยขับไล่รัฐบาลอย่างต่อเนื่องสลับกับการแสดงดนตรี  สำหรับความเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิกาาร กปปส. ช่วงเช้าได้ร่วมประชุมกับแกนนำเรื่องการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยสมทบทุนการเคลื่อนไหวของชาวนาและการประกันตัวนายสนธิญาณชื่นฤทัยในธรรม แกนนำ กปปส.ถูกควบคุมตัวตามหมายจับฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
 
 
 
 

                   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       ขอทานให้ชาวนา ได้วันละ 10 กว่าล้าน จริงหรือ ??



วันละ 10 กว่าล้านนี่มันต้องเดินรับเงินกันแค่ไหนหว่า
กรรมกรคนจนแบบผมชักงง.
เงิน 10 ล้านนี่ ถ้าเป็นแบงค์ 1000 ทั้งหมด ก็คือหนัก 10 กิโลหล่ะครับ
แต่ถ้ามีทั้งแบงค์ 20 แบงค์ 100 แบงค์ 500 บาทด้วยมันก้อคงเบ้อเร่อเท่า

มาดูกรรมวิธีการรับเงินของ ขอทานจอมตรอแหลคนนี้กันดูครับ
หากเดินรับกันแบบนี้ 10 ล้านบาทคือแบงค์พันล้วน ๆ หมื่นใบ
หากเอามาเชื่อมต่อกัน โดยแบงค์พัน 1 ใบจะยาวราว ๆ 16.5 cm
จะได้ระยะทาง ทั้งสิ้น 1,650 เมตรครับ แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบงค์พันลวน ๆ และไม่ได้เชื่อมต่อกันแบบนี้

ถ้าเราลองอิมเมจตามความเป็นจริงจากภาพที่เราเห็น
กับภาพที่สร้างไว้ ถ้าตีตัวเลขกลม ๆ โดยการประมาณการว่า

ให้ราคาแบบเทพ ๆ เลนว่า เดิน 1 นาที ได้เงินบริจาก 1000 บาท
และเช่นเดิม สมมุติได้แบงค์ 1000 มาล้วน ๆ
ดังนั้น 10 ล้านบาท จะต้องได้แบงค์ 1000 บาท มา 1 หมื่นใบครับ

คิดคำนวณ กำนัลได้นาทีละ 1000 บาทก้อต้องใช้เวลา 1 หมื่น นาทีในการเดินรับตังส์
คิดคำนวณ กำนัลได้นาทีละ 1000 บาทก้อต้องใช้เวลา 167 ชั่วโมงในการเดินรับตังส์
คิดคำนวณ กำนัลได้นาทีละ 1000 บาทก้อต้องใช้เวลา 6.9 วันในการเดินรับตังส์แบบ มาราทอนไม่ต้องหลับต้องนอน 555++


เอาไงดีล่ะ ใครหลอกใครล่ะเนี่ย 555+


เครดิต http://thaienews.blogspot.com/

 

 

 

 

 

          ′อนุสรณ์′ถามม็อบชาวนา 15 ข้อ ก่อนยกระดับปิดคลังข้าว

 

 

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษก พท. แถลงถึงกรณี นายระวี รุ่งเรือง ประธานศูนย์ข้าวชุมชนภาคตะวันตก ระบุว่าวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ม็อบชาวนาจะยกระดับการชุมนุมปิดคลังข้าวว่า การประกาศยกระดับการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลไม่เป็นผลดีต่อชาวนาในภาพรวมที่เดือดร้อ​นจริงๆ ดังนั้นจึงขอนำเสนอ 15 คำถามที่ม็อบชาวนาควรตอบ ก่อนยกระดับการชุมนุมเพราะอาจส่งผลกระทบต่อชาวนาตัวจริงที่เดือดร้อนจริง

1.การที่ม็อบชาวนาต้องการให้นายกฯและ ครม.ลาออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการนั้น ทำไม่ได้ด้วยข้อกฎหมาย แล้วการที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ลาออกจะทำให้เกิดการจ่ายเงินค่าจำนำข้าวรวดเร็วได้อย่างไร อีกทั้งมีอะไรเป็นหลักประกันว่าการจ่ายเงินจำนำข้าวจะเกิดขึ้นจากกลุ่มคนตรงกันข้ามก​ับรัฐบาลที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการจำนำข้าวตั้งแต่ต้น

2.แปลกประหลาดเกินไปหรือไม่ ที่ปกติไม่มีเจ้าหนี้คนไหน อยากให้ลูกหนี้หนีหายหรือตายจาก ตราบที่ยังไม่ได้เงินใช้หนี้คืน จะอย่างไรลูกหนี้ก็ต้องรับผิดชอบหามาคืนให้ได้ แต่ม็อบชาวนากลับผลักไสให้รัฐบาลที่เป็นลูกหนี้ให้พ้นไป สุ่มเสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นการนำทุกข์ชาวนาตัวจริงมาต่อรองในเกมการเมืองเพื่อเป้​าหมายขับไล่รัฐบาลหรือไม่

3.การที่ม็อบชาวนาต้องการให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลาง ที่แกนนำอยากได้มาทำหน้าที่ ก็ไม่สามารถกู้เงินได้อยู่ดีเพราะติดขัดข้อกฎหมาย ดังนั้น วิธีที่จะช่วยชาวนาได้รวดเร็วที่สุดคือต้องสนับสนุนหรือสร้างบรรยากาศให้สถาบันการเง​ินปล่อยกู้โดยเร็ว

4.ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันหาวิธีให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พยายามจัดการเลือกตั้งในเขตที่ยังเลือกตั้งไม่สำเร็จแล้วตั้งรัฐบาลใหม่ให้ได้โดยเร็​ว ก็จะสามารถกู้เงินมาชำระหนี้ให้ชาวนาได้อย่างมั่นคง เพราะสถานะรัฐบาลรักษาการอาจมีความสุ่มเสี่ยงและถูกตั้งแง่ด้านข้อกฎหมาย

5.ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าไม่มีการชุมนุมของ กปปส. ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไม่ลาออกยกพรรค รัฐบาลก็ไม่มีเหตุต้องยุบสภา การกู้เงินมาจ่ายค่าจำนำข้าวกับชาวนาก็จะไม่เกิดปัญหาอะไร

6.ท่านคิดว่ารัฐบาล พท. เพื่อชาวนา จะกล้าโกงชาวนา แล้วเงินในโครงการจำนำข้าวกว่า 7 แสนล้านบาท จาก 4 ฤดูการผลิตที่จ่ายตรงถึงมือชาวนา ไม่มีผลต่อความผูกพันใดๆ ระหว่างชาวนา ซึ่งเป็นเจ้าของรัฐบาล กับพรรคเพื่อไทย เพื่อชาวนาเลยหรือ

7.ท่านทราบหรือไม่ ขณะนี้แกนนำม็อบที่ใกล้ชิดและเชื่อมโยงกับเครือข่ายกับม็อบ กปปส.กำลังทำให้ปัญหาเงินจำนำข้าวเป็นปัญหาการเมือง จนแยกกันไม่ออก เพราะเป้าหมายของแกนนำคือการให้นายกรัฐมนตรีและ ครม.ลาออก การเคลื่อนไหวแทบทุกครั้งมีการใช้ทรัพยากรของ กปปส.และกรุงเทพมหานคร

8.ท่านทราบหรือไม่ที่มีหลายฝ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ วิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหว ว่าม็อบชาวนารอบนี้ มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกับม็อบยางพาราที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ฐานที่มั่นของพรรคการ​เมืองบางพรรค ทั้งการปิดถนน มุ่งไปสู่การสร้างสถานการณ์ตึงเครียด ทำลายระบบเศรษฐกิจ พุ่งเป้าไปสู่การโค่นล้มรัฐบาล

9.ท่านทราบหรือไม่ แกนนำบางส่วนกำลังทำให้ชาวนาที่เดือดร้อนจริงๆ เผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์มากยิ่งขึ้น เพราะยิ่งปลุกระดมกันออกมามากเท่าไหร่ ก็เท่ากับกดดันสถาบันการเงิน กดดันสหภาพ กดดันลูกค้าที่ฝากเงิน โอกาสที่จะปล่อยกู้ ดังนั้นโอกาสจะได้เงินจึงลดลงเป็นการผลักโอกาสในการได้เงิน ให้ห่างไกลออกไป

10.ท่านพึงพอใจ มั่นใจและมีความสุขดีกับการสร้างภาพ เดินรับเงินบริจาคช่วยเหลือลมๆ แล้งๆ 10 ล้านบาท เพื่อใช้ในการฟ้องร้องรัฐบาลให้รัฐบาลเพื่อไทย เพื่อชาวนา พ้นไปจริงๆ หรือ

11.ท่านรู้หรือไม่ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เป็นต้นตอของปัญหาโครงการจำนำข้าวนี้ในหลายขั้นตอน ตั้งแต่เดินสายวางงานเป็นปีๆ เปิดเวทีผ่าความจริงที่หวังผลในการโค่นล้มรัฐบาล และเป็นตัวการสำคัญในการขัดขวางเงินกู้ 130,000 ล้านบาท โดยการสร้างภาพ หาเงินมาช่วย 10 ล้าน ท่านว่าทดแทนกันได้หรือ

12.ท่านรู้หรือไม่ ถ้าท่านต้องการชุมนุมแสดงพลังที่ตรงจุด ถูกฝา ถูกตัว ท่านควรจะต้องไปชุมนุมที่หน้าพรรคการเมืองเก่าแก่ ที่เป็นปฐมบทกระบวนการทำลายโครงการจำนำข้าว ถือเป็นการทำลายข้าวไทยของจริง ทั้งการโพนทะนาว่าข้าวไทยในสต๊อกมีอยู่จำนวนมาก ข้าวเน่า เสื่อมประสิทธิภาพ มีสารปนเปื้อนรับประทานแล้วตาย มีการทุจริต มีการสวมสิทธิจากเพื่อนบ้าน ถ้าท่านเป็นรัฐบาลในต่างประเทศ ท่านจะกล้าสั่งซื้อข้าวไทยหรือไม่ นี่จึงเป็นเหตุให้ไทยเสียแชมป์ส่งออกข้าวในที่สุด

13.ท่านคิดว่าการทุจริตหากมีเกิดขึ้น มันมีเฉพาะในโครงการจำนำข้าวเท่านั้นหรือ โครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตร ในรัฐบาลก่อนไม่มีปัญหาการทุจริตเลยหรือ แล้วทำไมส่วนไหนที่มีปัญหาเราไม่แก้ส่วนนั้น หลังคารั่ว เราต้องเผาบ้านทั้งหลังทิ้งหรือ

14.ท่านรังเกียจหรือไม่พึงพอใจโครงการจำนำข้าว ที่ทำให้ท่านมีรายได้มากกว่าโครงการรับประกันข้าวถึง 3 เท่า ได้ช่วยชาวนาให้มีรายได้กว่า 3.26 ล้านครอบครัวคุณภาพชีวิตดีขึ้น จริงๆ หรือ

15.ท่านต้องการให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยยกเลิกโครงการจำนำข้าวจริงๆ หรือ หรือทุกรัฐบาลจากนี้ไป ห้ามทำโครงการจำนำข้าว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา หรือโครงการในลักษณะแบบนี้อีกต่อไป

"พท.ขออภัยพี่น้องชาวนาตัวจริงที่เดือดร้อนในครั้งนี้ และยืนยันว่าโครงการจำนำข้าวเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อชาวนามากกว่าโครงการประกั​นราคาของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แต่เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลเป็นรัฐบาลรักษาการ จึงอาจมีอุปสรรคในการหาเงินมาชำระชาวนา แต่รัฐบาลได้พยายามหาเงินมาชำระให้โดยเร็วที่สุด จึงอยากขอโอกาสและความเห็นใจจากพี่น้องชาวนาทุกท่าน" นายอนุสรณ์กล่าว


ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...&subcatid=
 
 
 
 
 
 
 
   จาก FB หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)
 


.....ตอนนี้ได้มีขบวนการใส่ร้ายป้ายสีปล่อยข่าวโจมตีมาว่า หลวงปู่กว้านซื้อภูเขา ที่ดินปลูกบ้านหรู บุกรุกป่า ที่เชียงใหม่ ก็ขอชี้แจงให้ทุกท่านทราบกันไปเลยว่าซื้อที่ดินไปทำไม

เนื่องจากหลวงปู่ได้ทำโครงการ "ลูกช่วยพ่อปลูกป่า" โดยการปลูกพันธ์ไม้ยืนต้นตามแนวทางพระราชดำริของในหลวง พระองค์ทรงเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ เพราะป่าไม้เป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญและมีคุณค่าต่อมนุษย์ และต่อสิ่งมีชีวิตเป็นอเนกอนันต์ และเป็นที่ทราบกันว่า ในปัจจุบันนี้ ป่าไม้ถูกทำลายไปจำนวนมาก ท่านจึงให้มูลนิธิธรรมะอิสระไปสำรวจพื้นที่หาซื้อที่ดินเสื่อมโทรม ที่ถูกบุกรุกทำลายจากกลุ่มนายทุน (ในนามมูลนิธิธรรมอิสระ) เพื่อที่จะปลูกป่าและดูแลรักษา สุดท้ายก็คืนผืนป่ากลับสู่แผ่นดิน.....

 
 
ที่มา http://thaienews.blogspot.com/2014/02/bl..._8229.html
 
 
 


[Image: 15121_1456662357881359_773928058_n.jpg]

[Image: 7778_566015326828554_1770388233_n.jpg]

[Image: Picture111.png]

[Image: Picture112.png]

[Image: Picture113.png]

[Image: Picture114.png]

[Image: Picture116.png]

ที่มา http://www.go6tv.com/2014/02/3_7870.html

[Image: 1920481_826154884064836_1263367525_n.jpg] 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ปลูกป่า ต้อง "ตัดต้นเก่า" ออกก่อนด้วยหรือ
ปลูกป่า ต้อง "ไถพรวน" หน้าดินก่อนด้วยหรือ
ปลูกป่า ต้อง "เผาป่าเก่า" ก่อนด้วยหรือ

จริงๆถ้าจะ "สร้างป่า" แค่  ปล่อยให้ต้นเก่ามันโตแข่งกัน เดี๋ยวเดียวก็ แน่นแล้ว
อย่ามาแถ "สร้างภาพ" นักบุญเลย
 
 ถ้าจะช่วยปลูกป่าจริงๆ เขาจะใช้วิธีเช่าป่าจากกรมป่าไม้เอานะครับ เห็นหลายองค์กรทำกันเพื่อพัฒนาป่า.......................
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 


แดน บีช แบรดลีย์



            วิธีการรักษาคนไข้ที่แพทย์ใช้รักษานั้นมีหลากหลายวิธี  เริ่มจากการใช้สมุนไพร  ยารักษาโรค  การฉีดวัคซีนป้องกัน  หรือแม้กระทั่งใช้วิธี "การผ่าตัด"  หรือที่เรียกกันว่าการแพทย์ด้าน "ศัลยศาสตร์"   ซึ่งเป็นการแพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือการผ่าตัดเข้าในร่างกายของผู้ป่วย  เพื่อค้นหาอาการหรือรักษาความผิดปกติของโรคหรืออาการบาดเจ็บ

            การผ่าตัด  นับเป็นวิธีการที่แพทย์ใช้รักษาคนไข้ซึ่งมีวิวัฒนาการมายาวนาน   รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว  มนุษย์รู้จักการผ่าตัดมานานกว่า 6500 ปีแล้ว  โดยมีการค้นพบหลักฐานการใช้เครื่องมือโบราณเพื่อเจาะกระโหลกศีรษะทั้งสองข้างให้เป็นรู  เรียกวิธีการนี้ว่า ทรีแพนนิ่ง (Trepanning)   ซึ่งเชื่อว่าสามารถรักษาโรคทางสมอง เช่น โรคลมชัก ปวดศีรษะ ไมเกรน  และโรคทางจิตเวชได้  โดยมีการขุดพบโครงกระดูกโบราณที่มีการเจาะกระโหลก ทั้งในยุโรป เอเชีย และชาวอินเดียนแดง

            แต่สำหรับประเทศไทยนั้น  เริ่มมีการผ่าตัดทางการแพทย์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 3  โดย หมอบรัดเลย์  แพทย์ชาวอเมริกัน  ซึ่งเรารู้จักกันกันดีในฐานะที่เป็นผู้เริ่มต้นการพิมพ์อักษรไทยในประเทศไทยเป็นครั้งแรก  ซึ่งนอกเหนือจากนี้แล้วหมอบรัดเลย์ยังเป็นผู้เริ่มต้นการผ่าตัดเป็นครั้งแรกขึ้นในประเทศไทยอีกด้วย

            โดยเมื่อ วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2378  หมอบรัดเลย์ได้ทำการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกที่หน้าผากของผู้ป่วยรายหนึ่งออก  และทีสำคัญคือในสมัยนั้นยังไม่มีการใช้ยาสลบ  ซึ่งเป็นการผ่าตัดก่อนหน้าที่จะมีการนำเอาอีเทอร์มาใช้เป็นยาสลบในประเทศไทยถึง 13 ปี

             แม้การผ่าตัดในครั้งนั้นจะประสบความสำเร็จและเป็นการผ่าตัดครั้งแรกในประเทศไทยก็จริง  แต่การผ่าตัดครั้งนั้นนับว่าไม่ได้เป็นที่รู้จักกันมากนัก  เพราการผ่าตัดครั้งสำคัญที่ทำให้คนไทยได้รู้จักกับการแพทย์แผนปัจจุบันนั่นก็คือ  อุบัติเหตุในงานเฉลิมฉลองวัดประยูรวงศ์ศาวาส   ซึ่งเป็นงานใหญ่จึงได้มีการยืมเอาปืนใหญ่มาใช้เพื่อจุดไฟพะเนียง  โดยการเอาโคนกระบอกฝังลงดิน ให้ปลายชี้ขึ้น และอัดดินปืนเข้าไปให้แน่น  เพื่อจะได้กลายเป็นไปพะเนียงที่ยิ่งใหญ่  แต่แล้วพอจุดไฟ ปืนใหญ่ก็แตกออก เพราะอัดดินปืนไว้แน่น สะเก็ดกระบอกปืนปลิวว่อน  ทำให้คนที่อยู่ใกล้ตายทันที 8 คน และมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

            หมอบรัดเลย์และคณะแพทย์มิชชันนารีจึงเดินทางมาเพื่อรักษาผู้บาดเจ็บ  ซึ่งในเหตุการณ์นั้นได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้รับบาดแผลฉกรรจ์  หมอบรัดเลย์จึงคิดเห็นว่าต้องตัดแขนและขาทิ้ง  ซึ่งคนไทยในสมัยนั้นยังไม่มีความรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน  จึงมีความเชื่อว่าหากถูกตัดอวัยวะแขนและขาทิ้งจะทำให้เสียชีวิต

            แต่พระภิกษุรูปนั้นได้ตัดสินใจให้หมอบรัดเลย์ทำการผ่าตัดแขนของตนทิ้ง  ทั้งที่ยังไม่มีการใช้ยาสลบและยาชา  ซึ่งการผ่าตัดครั้งนี้ได้มีผู้คนมาดูเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้นตกใจเป็นจำนวนมาก  ทางด้านหมอบรัดเลย์และคณะมิชชันนารีจึงต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมากในการผ่าตัด  เพราะหากทำการผ่าตัดแล้วพระภิกษุเกิดเสียชีวิต  ก็จะทำให้ชาวบ้านหมดศรัทธาและไม่เชื่อถือในการแพทย์แผนปัจจุบัน

            แต่แล้วการผ่าตัดนั้นก็สำเร็จไปได้ด้วยดี  พระภิกษุรูปนั้นมีชีวิตรอดแม้จะต้องเสียแขนข้างหนึ่งไป  ทำให้หมอบรัดเลย์และคณะมิชชันนารีได้รับความยกย่องและนับถือจากคนไทยเป็นจำนวนมาก

            แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีจะวิวัฒนาการก้าวหน้าไปมาก  ทำให้การผ่าตัดในวงการแพทย์สามารถทำได้อย่างสะดวกและปลอดภัยต่อผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น  แต่เรายังคงต้องขอบคุณหมอบรัดเลย์  แพทย์ชาวอเมริกันคนนี้ที่นำเทคโนโลยีการผ่าตัดเข้ามาใช้เป็นคนแรกของประเทศไทย  ทำให้คนไทยรู้จักการผ่าตัดและการแพทย์แผนปัจจุบันมากยิ่งขึ้


ที่มา :
http://vcharkarn.com/varticle/57358

 

 

 

 

 

 

                    

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ?โรค‘เซลฟี่’โจ๋ไทยเสพติด โพสต์รูปแลกกดไลค์ แฉขาดความมั่นใจ?

 

 

 

   โรค‘เซลฟี่’โจ๋ไทยเสพติด โพสต์รูปแลกกดไลค์ แฉขาดความมั่นใจ

 

 

จาก น.ส.พ เดลินิวส์ 10/2/57

 

ถ่ายรูปตัวเองโพสต์แลกกดไลค์ แสดงความคิดเห็น จิตแพทย์ระบุควรทำแค่บางโอกาส มากไปเป็นสัญญาณเตือนถึงการขาดความมั่นใจในตัวเอง อาจส่งผลถึงอนาคตกลายเป็นคนโลเล ชอบจับผิดคนอื่น ขี้อิจฉา

 

 

วานนี้ (9ก.พ.) พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้คนทั่วโลกนิยมใช้สื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำรวจการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในปี 2556 พบว่า ทั่วโลกมีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน ใช้งานอินสตาแกรมมากกว่า 1 ร้อยล้านคนต่อเดือน ส่วนในประเทศไทยพบว่ามีประชาชน ใช้เฟซบุ๊กถึง 19 ล้านคน ใช้อินสตาแกรม ถึง 8 แสนคนต่อวัน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยแล้วเพิ่มขึ้นเดือนละ 10 ล้านคน

 

พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า เรื่องที่น่าห่วงขณะนี้ พบว่าประชาชนทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะวัยรุ่นนักเรียน นักศึกษา นิยมพฤติกรรมที่เรียกว่า เซลฟี่ (selfie) กันมาก คือถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบถต่าง ๆ แล้วนำไปเผยแพร่บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไม่ว่าจะทำอะไร ไปที่ไหน หรือกินอะไร เพื่อให้เพื่อนในสังคมออนไลน์ทั้งที่รู้จักจริง และรู้จักในสังคมออนไลน์ได้รับรู้มากดไลค์ (Like) ถูกใจในรูปภาพ พฤติกรรมเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพจิตในอนาคตได้โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และส่งผลต่ออนาคต การงาน และการพัฒนาประเทศอย่างคาดไม่ถึง

 

“เซลฟี่ จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล การลงรูปเพราะอยากได้การตอบรับจากสังคม และการได้ยอดกดไลค์ ถือว่าเป็นรางวัล ซึ่งเป็นหลักปกติของมนุษย์ทั่วไป ถ้าอะไรที่ทำแล้วได้รางวัลก็จะทำซ้ำแต่ว่ารางวัลของแต่ละบุคคลมีผลกระทบต่อความรู้สึกไม่เท่ากันบางคนลงรูปไปแล้วได้แค่สองไลค์เขาก็มีความสุขแล้วเพราะถือว่าพอแล้ว แต่บางคนต้องให้มียอดคนกดไลค์มาก ๆ พอมากแล้วก็ยิ่งติดเพราะถือว่าเป็นรางวัล ในทางตรงกันข้ามหากได้รับการตอบรับน้อยไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ ทำใหม่แล้วก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจะส่งผลต่อความคิดของตัวเอง บุคคลนั้นสูญเสียความมั่นใจและส่งผลต่อทัศนคติด้านลบของตัวเองได้ เช่น ไม่ชอบตัวเอง ไม่พอใจรูปลักษณ์ตัวเอง แต่หากบุคคลนั้นสามารถรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้เป็นปกติได้ เซลฟี่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต” พญ.พรรณพิมล กล่าว

 

พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า นักจิตวิทยาในสหรัฐอเมริกาได้ให้ข้อคิดว่า เซลฟี่ สามารถกัดกร่อนความมั่นใจความภาคภูมิใจในตัวเองได้ หากถ่ายรูปตัวเองเผยแพร่บนโลกออนไลน์เป็นบางโอกาส ถือเป็นการมีส่วนร่วมในสังคมออนไลน์ แต่หากมากไปและคาดหวังจดจ่อว่าจะมีใครเข้าดู เข้ามาแสดงความคิดเห็น แสดงว่าเซลฟี่กำลังสร้างปัญหา และเป็นสัญญาณหนึ่งบอกถึงการขาดความมั่นใจในตัวเอง ล่าสุดสาธารณสุขประเทศอังกฤษได้ออกมาประกาศว่า อาการเสพติดโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ถือเป็นโรคอย่างหนึ่ง ในแต่ละปีมีชาวอังกฤษเข้ารับการบำบัดมาก กว่า 100 ราย

 

พญ.พรรณพิมล กล่าวอีกว่า ความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคน เพราะจะทำให้คนพอใจในตัวเอง มีความสุข มีสมาธิ ไม่กังวล ไม่โหยหาความรักและความสนใจจากคนอื่น ๆ กล้าทำในสิ่งใหม่ที่เหมาะสม มีความเป็นผู้นำกล้าเผชิญความจริง มีบุคลิกภาพดีเป็นมิตรกับคนทุกคน หากขาดความมั่นใจในตนเองแล้วจะเกิดความกังวล ลังเล ชีวิตไม่มีความสุข เมื่อมีความคิดสะสมไปเรื่อย ๆ อาจมีความผิดปกติทางจิตใจอารมณ์ได้ง่าย เช่น หวาดกลัวหวาดระแวง เครียดอิจฉา ชอบจับผิดคนอื่น ซึมเศร้า อาจทำพฤติกรรมแปลก ๆ มีลักษณะตรงข้ามกับความมั่นใจตัวเอง เช่น การแต่งกาย การใช้คำพูด หรือประชดชีวิต เช่น ดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด เป็นต้น

 

รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวด้วยว่าหากเยาวชนไทยเป็นผู้ที่ขาดความมั่นใจ จะทำให้ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใหม่ในชีวิต มักทำตามคนอื่น เป็นผู้ลอกเลียนแบบ หรือทำซ้ำ ๆ ในสิ่งที่ทำมาแล้ว พัฒนาตนเองยาก มีผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ทำให้จำนวนผู้นำน้อยลง ครอบครัวขาดเสาหลักที่มั่นคง โอกาสการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ เป็นไปได้ยากขึ้น ส่วนวิธีป้องกันการเสพติดเซลฟี่ และการสร้างความมั่นใจตัวเองบนโลกความเป็นจริง ต้องให้ความสำคัญกับคนรอบข้างที่เป็นสิ่งแวดล้อมจริงในชีวิตประจำวัน หากิจกรรมยามว่างทำกับคนในครอบครัว เพื่อน ๆ เช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง และข้อสำคัญให้ยอมรับในความแตกต่างของคน ที่ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน และที่สำคัญต้องฝึกความอดทนให้กับตัวเอง เพราะการถ่ายเซลฟี่ไม่สามารถที่จะทำได้ตลอดเวลา ครั้งไหนที่ทำไม่ได้ต้องยอมฝืนใจที่จะไม่ทำ หากผ่านจุดนั้นไปได้ ในครั้งต่อ ๆ ไป ก็จะสามารถควบคุมพฤติกรรมการถ่ายเซลฟี่ได้เช่นกัน.

 

 

 

 

               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 [Image: 1616621_830581010300953_137076908_n.jpg?...3fe324c966] 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เรี่ยไรเงินจากม๊อบเพื่อช่วยชาวนา แต่ขัดขวางธนาคารไม่ให้ปล่อยกู้ให้เงินชาวนา เล่นอะไรกันอยู่

 
 
 
 
 
ทีแรกเข้าใจว่ามีเจตนาดี  ที่รวมเงินเพื่อให้ชาวนา

แต่กลับล้อม ธกส กรุงไทย ออมสิน เพื่อให้ไม่มีเงินจ่ายค่าข้าวให้ชาวนา

เล่นอะไรกันครับ เอาความเดือดร้อนของชาวนามาเล่น

อันนี้ไม่สนับสนุนครับ

 

 

               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                           ชาเขียวเย็นอันตราย

 

 

 


 

 

 

 

ชาเขียวร้อนเป็นคุณ ชาเขียวเย็นเป็นโทษ!! คุณเชื่อมั้ย? แม้ว่าการดื่มชาจะไม่ใช่วัฒนธรรมดั้งเดิมของคนไทย แต่ในยุคหลังๆมานี้คนไทยเราเริ่มนิยมจิบชากันมากขึ้น โดยเฉพาะชาเขียวที่ขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งเรียกได้ว่าญี่ปุ่นเค้าเป็นเจ้าทางด้านนี้ เพราะรู้จักรสชาติและคุณค่าของชาเขียวมานับ 100 ปี ด้วยญี่ปุ่นเป็นเมืองหนาว เขาก็มักจิบชาเขียวอุ่นๆกันส่วนไทยเราร้อนตับจะแล่บ เลยซดชาเขียวเย็นกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ทว่า...ประโยชน์และโทษที่จะได้รับนั้นมันต่างกันสุดขั้วเลยทีเดียว

ชาเขียว มีคุณสมบัติลดและต้านอนุมูลอิสระที่เป็นพิษในร่างกายของคน โดยจะขับออกมาทางอุจจาระ และขับไขมันส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นั่นเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาเขียวร้อน ที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันตั้งแต่เด็กจนแก่แต่คนไทยส่วนมากด้วยความที่ไม่รู้จักคุณสมบัติที่แท้จริงของชาเขียว เลยทำให้คิดเอาเองว่าแค่ดื่มชาเขียวก็ได้ประโยชน์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้อนหรือเย็นก็ตาม แต่เห็นทีคราวนี้ต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่แล้วล่ะครับ

ชาเขียวมีประโยชน์มากมายยังไง ก็ย่อมมีโทษเช่นกัน เนื่องจากชาเขียวมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่มันร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกัน หากดื่มชาเขียวตอนที่มันเย็นแล้วจะทำให้เกิดโทษ เนื่องจากชาเขียวเย็นไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระสารพิษออกจากร่างกาย แล้วยังทำให้สารพิษเกาะตัวกันแน่น อันเป็นสาเหตุของ "มะเร็ง" อีกต่างหาก

อีกทั้ง ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และไปอุดตันตามผนังลำไส้ อันเป็นบ่อเกิดแห่งโรคร้าย เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ เป็นต้น

หากยังไม่เชื่อกันล่ะก็ ลองทดสอบดูก็ได้ค่ะ แค่นำชาเขียวแช่เย็นเทใส่ชามก๊วยเตี๊ยว คุณจะเห็นว่าแป๊บเดียวมีคราบไขมันลอยเด่นบนน้ำก๊วยเตี๊ยว หรือเกาะเป็นคราบที่ชาม เหอๆ แล้วนึกสภาพหากเราดื่มเข้าไปในร่างกายเราล่ะ??!!

 

 

 

                       ระวังกาเเฟลดน้ำหนัก

 

ผู้หญิง กับความสวยงามเป็นของคู่กัน จะด้วยหน้าตาที่สวยงาม หรือรูปร่างที่สมส่วนต่างเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ หากมีคุณสมบัติตามที่กล่าวมาข้างต้นไม่ครบก็ต้องดิ้นรนหาทางเพิ่มเติมในส่วนที่สึกหรอ หรือไม่สมบูรณ์ หรือไม่พึงพอใจ แล้วแต่ว่าใครจะเลือกวิธีทาน หรือวิธีฉีด ก็จะเลือกตามความพึงพอใจ และจำนวนเงินในกระเป๋า

จากการสอบถามคนใกล้ๆตัว มักให้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่านิยมวิธีทานกาแฟลดน้ำหนัก เนื่องจากราคาไม่แพง และหากเริ่มมีอาการผิดปกติ ก็เลือกที่จะไม่ทานต่อได้ ที่เห็นเป็นที่นิยมทานกันจนเกร่อในขณะนี้

ทุกวันนี้ ดื่มกันจนนิยมไปทั่วประเทศและลามถึงขั้นส่งไปต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป อีกด้วย แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ กาแฟลดความอ้วนที่ว่านี้ สหภาพยุโรปตรวจพบสารไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งเป็นสารต้องห้ามในกาแฟลดความอ้วนที่ส่งไปจากไทยทางพัสดุไปรษณีย์ถึง 9 ครั้ง (ก.ย.? ธ.ค.2555)

ในช่วง 4 เดือน ตรวจพบสารต้องห้ามทั้งหมด 9 ครั้ง เกิดอะไรขึ้น ผู้ผลิตไม่รู้ถึงอันตราย หรือจงใจผสมเข้าไปเพื่อหวังผลในการโฆษณาชวนเชื่อ  ถ้ายังไม่รู้บอกตรงนี้เลยว่า สารไซบูทรามีน (Sibutramine) เป็นสารควบคุมพิเศษที่ห้ามซื้อขายในร้านขายยาโดยไม่มีใบสั่งของแพทย์ อีกทั้งเป็นสารต้องห้ามทั้งในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เม็กซิโก รวมถึงประเทศไทย เพราะจัดว่าเป็นสารอันตรายต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หากใช้ในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

วันนี้ ขอเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อผู้ขายง่ายๆ ว่ากาแฟจะช่วยลดความอ้วนได้ เพราะส่วนใหญ่ล้วนใส่สารลดความอ้วน ไซบูทรามีน (Sibutramine) ที่มีผลข้างเคียงสูง เช่น ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็ว แม้จะไม่มากแต่มีผลให้ต้องหยุดบริโภค และอาจมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และเบื่ออาหาร  ทางที่ดีหากต้องการลดน้ำหนัก ควรควบคุมการทานอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย ร่างกายแข็งแรง และสวยสมส่วน

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/55344.html

 

 

 

 

 

 

 

 

             

 

 

 

 

 

 

 

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-02-03 20:19:51.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  การปฎิวัตฝร้่งเศษ

 

                                         

 

 

           การปฎิวัติฝรั่งเศษ

 

 

 

                                 

 

 

 

 การเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งใหญ่ของโลกมนุษย์ทุกวันนี้ มีที่มาจากปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่ถือกำเนิดขึ้นในทวีปยุโรปและอเมริกา จนในที่สุดนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นั่นก็คือการปฏิวัติประชาธิปไตยของนายทุน อันเป็นการเปลี่ยนผ่านจากสังคมการผลิตแบบศักดินามาสู่ยุคการผลิตแบบทุนนิยมสมัยใหม่ จนทำให้สังคมขับเคลื่อนมาสู่การปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่สำคัญ จนทำให้สังคมโลกเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ที่อาณาเขตและพรมแดนระหว่างประเทศต่างๆผนวกเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างเช่นทุกวันนี้

                การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ อันเป็นที่มาของหลักสิทธิเสรีภาพและระบอบรัฐธรรมนูญ เพื่อนำมาสุ่การสถาปนารัฐทุนนิยม ก็คือการปฏิวัติฝรั่งเศส เมื่อปี คศ. 1789 (พ.ศ 2334) ถือเป็นแม่แบบการปฏิวัติเปลี่ยนผ่านสังคมแบบศักดินา มาเป็นทุนนิยม

                ระบบศักดินา เป็นสังคมที่พัฒนามาจากสังคมทาส เมื่อบรรดาทาสก่อการลุกขึ้นสู้ ก่อการกบฏ เพื่อปลดปล่อยตนเองให้หลุดพ้นจากความเป็นทาสด้วยรูปแบบต่างๆ จนในที่สุด นายทาสถูกความจำเป็นให้ต้องแบ่งที่ดินของตนออกไปเป็นแปลงเล็กๆให้กับทาสและชาวนา เพื่อทำการกดขี่ขูดรีดในรูปแบบการเกณฑ์แรงงานและการส่งค่าเช่า หรือการแบ่งปันผลิตการเกษตรให้กับเจ้าศักดินา ระบอบการปกครองแบบสมบูรณายาสิทธิราชสถาปนาขึ้นมาในสังคมแบบศักดินาที่มีอำนาจสูงสุด เป็นผู้ครอบครองผืนดินทั้งหมดและแบ่งปันการถือครองที่ดินให้กับขุนนาง ลดหลั่นกันไปจนถึงระดับทาส-ไพร่ติดที่ดิน ในสังคมแบบศักดินาจึงมีการรบพุ่งฆ่าฟันกัน มีการเกณฑ์ทหารเพื่อให้ออกไปรบแย่งชิงหรือปล้นสะดมครอบครองดินแดนของคนอื่น ขยายอาณาเขตการปกครองของระบอบขุนนางให้กว้างขวางออกไป ทำการกวาดต้อนเชลยข้าศึกให้เข้ามาเป็นทาส ? เป็นไพร่ ทำงานแบบบีบบังคับให้กับรัฐศักดินา

                แต่เมื่อสังคมมีการพัฒนาพลังการผลิตที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น หัตถกรรมพื้นฐานที่รับใช้การเกษตร จึงค่อยๆแยกตัวเป็นอิสระจากเกษตรกรรม กลุ่มพ่อค้า นายภาษีอากรและขุนนางส่วนหนึ่ง ทำการผลิตและการพาณิชกรรมกว้างขวางมากยิ่งขึ้น จนนำมาสู่การคิดค้นเครื่องจักรทันสมัย ดังเช่นการประดิษฐ์เครื่องจักรกลไอน้ำ ที่นำมาใช้เป็นพลังขับเคลื่อนของการผลิตขนาดใหญ่ เป็นที่มาของโรงงานอุตสาสหกรรม ทำให้มีความจำเป็นของการใช้แรงงานเสรีมากยิ่งขึ้น แต่ในระบบศักดินา แรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานทาส-ไพร่ติดที่ดิน ที่ถูกครอบครองและควบคุมโดยเหล่าเสนาอำมาตย์ขุนน้ำขุนนางทั้งหลาย โดยที่ทาส-ไพร่เหล่านี้ปราศจากสิทธิเสรีภาพอย่างสิ้นเชิง

                เหล่าขุนนางในยุคศักดินา ครอบครองทรัพย์สินมหาศาล ได้รับการยกเว้นไม่เสียภาษี ในขณะที่รัฐศักดินาใช้กำลังทหาร เข้าไปรีดนาทาเร้นเก็บภาษีและค่าเช่าที่ดินสูงจากชาวนา รวมทั้งการเกณฑ์แรงงานให้เข้าไปทำงานให้พวกเหล่าขุนนาง พวกชนชั้นกลางและพ่อค้าซึ่งกำลังก่อตัวขึ้นจากการเฟื่องฟูของเมืองและการค้าทางทะเล จึงเกลียดชังอำนาจ สิทธิพิเศษของพวกขุนนางและอำนาจที่เกินขอบเขตของเหล่าชนชั้นสูง

                สมัยนั้น สังคมของฝรั่งเศส สามารถแบ่งได้เป็น 3 ฐานันดร คือ คือ ฐานันดรที่1 กษัตริย์และ ขุนนาง มีประมาณ 400,000 คน ฐานันดรที่ 2. นักบวช มีประมาณ 115, 000 คน ฐานันดรที่สาม (tiers ?tat) เป็นส่วนที่เหลือของประเทศ เช่น ชนชั้นกลางและชาวนา (ประมาณ 25.5 ล้านคนในสมัยนั้น) สองฐานันดรแรกซึ่งมีจำนวนเพียงเล็กน้อย ถือครองที่ดินส่วนมากของประเทศ และมีตัวแทนอยู่ในรัฐสภา ทำให้ฐานันดรที่ 3 ไม่พอใจเนื่องจากมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันอยู่มาก

                ระบบการบริหารประเทศล้าหลังของผู้นำฝรั่งเศสในยุคนั้น ไม่เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เช่น การเก็บภาษีอย่างไม่เป็นระบบ ( อัตราภาษีศุลกากรในแต่ละจังหวัดต่างกัน , การเก็บภาษีไม่ทั่วถึง, ประเภทภาษีล้าสมัย) ระบบกฎหมายยุ่งเหยิง (ส่วนเหนือของประเทศใช้กฎหมายจารีตประเพณีอย่างอังกฤษ, ส่วนใต้ใช้กฎหมายโรมัน) การยกเว้นภาษีให้สองฐานันดรแรกที่มีฐานะร่ำรวย ทำให้ฐานันดรที่สามที่มีฐานะยากจนอยู่แล้วต้องรับภาระภาษีของประเทศไว้ทั้งหมด เมื่อสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำสงครามสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย จึงทรงรีดเอากับประชาชน ทำให้มีความเป็นอยู่แร้นแค้นยิ่งขึ้น อีกทั้งในยามสงบราชสำนักยังใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย

สาเหตุของการปฏิวัติฝรั่งเศส  ค.ศ.1789

                เหตุการณ์ปฏิวัติในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ.1789 หรือที่เรียกว่า การปฏิวัติใหญ่ฝรั่งเศส เป็นการเปลี่ยนแปลงทางการ เมือง การปกครองที่สำคัญ เพราะเป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของกษัตริย์ใน ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และสถาปนาการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญขึ้นแทน

                สาเหตุของการปฏิวัติใหญ่ฝรั่งเศส  ค.ศ.1789  สรุปได้ 3 ประการ คือ

                1 ปัญหาทางเศรษฐกิจ  ฝรั่งเศสกำลังประสบภาวะฝืดเคืองทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดจากการใช้จ่ายเพื่อการ ทำสงครามต่าง ๆ โดยเฉพาะในสงครามประกาศอิสรภาพของ ชาวอเมริกัน ระหว่าง ค.ศ.1776 ? 1781 เพื่อสนับสนุนให้ชาวอาณานิคมต่อสู้กับอังกฤษ

                ด้วยสาเหตุดังกล่าว รัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ( Louis  XVI , ค.ศ. 1776-1792 ) จึงมีนโยบายจะเก็บภาษีอากรจากประชาชนเพื่อชดเชยรายจ่ายที่ต้องสูญเสียไป จึง สร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ

                2. ความเหลื่อมทางสังคม  ฝรั่งเศสมีโครงสร้างทางสังคมแบบชนชั้น โดยฐานะของผู้คนในสังคมมีสองกลุ่ม ใหญ่ ๆ คือ  ชนชั้นอภิสิทธิ์และชนชั้นสามัญชน แต่ในทางปฏิบัติทางการจะแบ่งฐานะของ พลเมืองออกเป็น 3 ชนชั้นหรือ 3 ฐานันดร  ( Estates )  ได้แก่

ฐานันดรที่ 1 คือ พระและนักบวชในคริสต์ศาสนา และฐานันดรที่ 2 คืน ขุนนางและชนชั้นสูง ทั้งสองฐานันดรเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์  มีจำนวนประมาณร้อยละ 2 ของจำนวนประชากรทั้งหมด มีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายและหรูหรา

ฐานันดรที่ 3 คือ สามัญชน ส่วนใหญ่เป็นชาวนาที่ยากจนและถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก รวมทั้ง พวกชนชั้นกลาง เช่น พ่อค้า ช่างฝีมือ และปัญญาชน ฯลฯ

                3. ความเสื่อมโทรมของระบอบการปกครองแบบเก่า  กษัตริย์ฝรั่งเศสในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทรงมีพระราชอำนาจเป็นล้นพ้นไม่ มีขอบเขตจำกัดและทรงอยู่เหนือกฎหมายของบ้านเมืองโดยเฉพาะในรัชสมัยของพระ เจ้าหลุยส์ที่ 16 มีหลายครั้งที่ทรงใช้อำนาจโดยไม่ฟังเสียงประชาชน ทรงไม่สนพระทัยการบริหาร บ้านเมือง อีกทั้งยังทรงอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระนางมารี อังตัวเนตต์        ( Marie Antoinette ) พระราชินี ซึ่งทรงนิยมใช้จ่ายในพระราชสำนักอย่างฟุ่มเฟือย

อรุณรุ่งการปฏิวัติฝรั่งเศส Les ?tats g?n?raux

                ในปี พ.ศ. 2331 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เรียกประชุมสภา les ?tats g?n?raux ซึ่งมีการประชุมครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2157 ก่อนหน้าการประชุม ได้มีการถวายฎีกาทั่วประเทศ มีการควบคุมและห้ามการเผยแพร่ใบปลิวที่มีเนื้อหาเสรีจนน่าจะเป็นอันตราย เนคเกร์ที่ถูกเรียกกลับมาดำรงตำแหน่งในปี พ.ศ. 2331 ได้เรียกร้องให้มีการเพิ่มจำนวนตัวแทนจากชนชั้นที่ 3 ให้มากขึ้นเป็น 2 เท่า เพราะจำนวนตัวแทนในขณะนั้นมีน้อยเกินไป และเขายังเรียกร้องให้ปลดตัวแทนบางส่วนจากชนชั้นที่ 1 และ 2 อีกด้วย

                สภา les ?tats g?n?raux ได้มีการประชุมที่พระราชวังแวร์ซายส์ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2332 การประชุมครั้งนี้ใช้ระบบลงคะแนนคือ 1 ฐานันดรต่อ 1 เสียง ซึ่งไม่ยุติธรรม เพราะฐานันดรที่สามซึ่งมีจำนวนถึง 90% ของประชากรกลับได้คะแนนเสียงเพียง 1 ใน 3 ของสภา และวิธีการลงคะแนนนี้จะทำให้ฐานันดรที่สามไม่มีทางมีเสียงเหนือกว่า 2 ฐานันดรแรก โดยเสนอให้ลงคะแนนแบบ 1 คน 1 เสียงแทน เมื่อข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ ทำให้ตัวแทนฐานันดรที่ 3 ไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงไม่เข้าร่วมการประชุม และไปตั้งสภาของตนเองเรียกว่า Assembl?e Nationale ซึ่งเปิดประชุมเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ปีเดียวกัน. สภานี้ยังมีตัวแทนจากฐานันดรที่ 1, 2 บางส่วนเข้าร่วมประชุมด้วย ได้แก่ตัวแทนส่วนใหญ่ของชนชั้นนักบวช และตัวแทนที่เป็นขุนนางหัวสมัยใหม่นำโดยมิราโบ

                สภา Assembl?e Nationale นี้ประกาศว่าสภาของตนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ขึ้นภาษี เนื่องจากไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ ที่สนับสนุนแต่ขุนนางและพระสงฆ์ พระเจ้าหลุยส์พยายามหาทางประนีประนอมโดยเสนอว่าจะจัดประชุมสภา les ?tats g?n?raux ขึ้นอีกครั้งพวกขุนนางและพระสงฆ์ตอบตกลง แต่สมาชิกสภา Assembl?e Nationale ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมประชุม โดยไปจัดการประชุมของตัวเองขึ้นที่สนามเทนนิส (สมัยนั้นเรียกว่า Jeu de paume) ในวันที่ 20 มิถุนายน โดยมีมติว่าจะไม่ยุบสภานี้จนกว่าประเทศฝรั่งเศสจะได้รัฐธรรมนูญ

       
เปิดฉากการปฏิวัติ

               หลังจากที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกกดดันจากกองทัพ พระองค์ก็ทรงเรียกร้องให้ตัวแทนจาก 2 ฐานันดรแรกเข้าร่วมประชุมสภา Assembl?e Nationale ด้วยเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดสภาใหม่ในวันที่ 9 กรกฎาคมคือ Assembl?e Nationale Constituante เพื่อร่างรัฐธรรมนูญ

การยึดคุกบาสตีย์

               แต่หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าหลุยส์ก็ ได้รับการกดดันอีกครั้งจากพระนางมารี อองตัวเนต และพี่ชายของพระเจ้าหลุยส์คือ Comte d'Artois ซึ่งจะได้เป็น พระเจ้าชาร์ลส์ที่สิบในอนาคต ทำให้พระองค์ทำการเรียกกองทหารที่จงรักภักดีต่อพระองค์จากต่างประเทศเข้ามา ประจำการในกรุงปารีสและ พระราชวังแวร์ซายส์ ทำให้เกิดความโกรธแค้นในหมู่ประชาชน นอกจากนี้พระเจ้าหลุยส์ยังทรงปลดเนคเกร์ลงจากตำแหน่งอีกครั้ง ทำให้ประชาชนออกมาก่อจราจลเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม วันที่ 13 กรกฎาคมมีการจัดตั้งคอมมูนปารีส (Paris Commune) อารมณ์ปฎิวัติเริ่มแพร่กระจาย ไปทั่วปารีส มีการตั้งกองกำลังแห่งชาติ (National Guards) มีมาร์กีส์ เดอ ลาฟาแยตต์ (Marquis de Lafayette) เป็นผู้บังคับการ

              วันที่ 14 กรกฎาคม1789 ( พศ.2332) เริ่มการโจมตีคุกบาสติลย์ (Bastille) พวกชาวไร่ชาวนาไม่ยอมเสียภาษี และเริ่มโจมตีบ้านขุนนาง (กรกฎา-สิงหา) และยึดคุกบาสตีย์ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์พระราชอำนาจของกษัตริย์ได้ในวันที่ 14 กรกฎาคม

วันที่ 14 กรกฎาคม ของทุกปี ถือเป็นวันชาติฝรั่งเศสในปัจจุบันนี้

               หลังจากนั้นพระเจ้าหลุยส์ก็เรียก เนคเกร์มาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในวันที่ 16 กรกฎาคม เนคเกร์ได้พบกับประชาชนที่ศาลาว่าการกรุงปารีส ( l'H?tel de Ville) ซึ่งถูกประดับไปด้วยธงสามสีคือแดง ขาว น้ำเงิน วันเดียวกันนั้น Comte d'Artois ก็ได้หนีออกนอกประเทศ ถือเป็นสมาชิกราชวงศ์คนแรก ๆ ที่หนีออกนอกประเทศในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส

                หลังจากนั้นไม่นาน เทศบาลและกองกำลังติดอาวุธของประชาชน ( Garde Nationale) ก็ได้ถูกตั้งขึ้นอย่างรีบเร่งโดยประชาชนชาวปารีส โดยในไม่ช้าทั่วประเทศก็มีกองกำลังติดอาวุธของประชาชนตามอย่างกรุงปารีส

ผลของการปฏิวัติในช่วงแรก

-การยุติสิทธิพิเศษต่าง ๆ

                สภา Assembl?e Nationale ได้ประกาศว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน และล้มเลิกสิทธิการงดเว้นภาษีของคณะสงฆ์ รวมทั้งให้ทุกคนมีโอกาสในการประกอบอาชีพทุกอย่างเท่าเทียมกัน ภายหลังจากการลงมติของสภาฯ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ คือวันที่ 3-4 สิงหาคม 2332 ซึ่งได้รับมติสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากสมาชิกสภา

คำประกาศสิทธิของมนุษย์และพลเมือง หรือ La d?claration des droits de l'homme et du citoyen

                เป็นคำประกาศที่ปูทางไปสู่การ ร่างรัฐธรรมนูญ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปรัชญารู้แจ้ง( Enlightened) ซึ่งเป็นปรัชญาที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น และคำประกาศนี้ได้แบบอย่างจากรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ คำประกาศนี้ผ่านการพิจารณาของสภาฯ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมพ.ศ. 2332 มีเนื้อหาหลักแสดงถึงหลักการพื้นฐานของการปฏิวัติ ภายใต้คำขวัญที่ว่า "เสรีภาพ, เสมอภาค, ภราดรภาพ"

                ในขณะนั้นมีข่าวลือในหมู่ประชาชน ว่าจะมีการยึดอำนาจคืนของฝ่ายนิยมระบอบเก่าเมื่อชาวปารีสรู้ข่าวก็มีการตื่น ตัวกันขนานใหญ่ ดังนั้นประชาชนชาวปารีสซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิง ได้เดินขบวนไปยังพระราชวังแวร์ซายส์และเชิญพระเจ้าหลุยส์พร้อมทั้งราชวงศ์มา ประทับในกรุงปารีส ในวันที่ 5-6 ตุลาคม ปีเดียวกัน โดยมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่อนุรักษ์นิยมตามเสด็จกลับกรุงปารีสด้วย

                สำหรับสภา Assembl?e Nationale ในขณะนั้นประกอบด้วยสมาชิกที่หัวก้าวหน้าเป็นส่วนมาก แต่มีภารกิจสำคัญอันดับแรกของสภาคือการดำรงสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ ดังนั้นจึงยังไม่มีการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ในขณะนั้น

การปฏิรูปครั้งใหญ่


รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของฝรั่งเศสมีผลบังคับใช้เมื่อปลายปี พ.ศ. 2332 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้

    * ตำแหน่งต่าง ๆ ในราชการไม่สามารถตกทอดไปยังลูกหลาน
    * จังหวัดต่าง ๆ ถูกยุบ , ประเทศถูกแบ่งเป็น 83 เขต (d?partements)
    * ศาลประชาชนถูกก่อตั้งขึ้น
    * มีการปฏิรูปกฎหมายของฝรั่งเศส
    * การเวนคืนที่ ธรณีสงฆ์ แล้วนำมาค้ำประกันพันธบัตร ที่ออกเพื่อระดมทุนจากประชาชน มาแก้ไขปัญหาหนี้ของประเทศ

การปฏิรูปสถานะของพระสงฆ์

การจับกุม ณ วาเรนน์

                 มีข่าวลือสะพัดอย่างหนาหูว่า พระนางมารี อองตัวเนตนั้น ได้แอบติดต่อกับพี่ชายของพระองค์ คือ จักรพรรดิลีโอโปลด์ที่ 2 แห่งออสเตรีย เพื่อที่จะให้ จักรพรรดิยก ทัพมาโจมตีฝรั่งเศสและคืนอำนาจให้ราชวงศ์ แพระเจ้าหลุยส์]]นั้นไม่ได้พยายามหนีออกนอกประเทศหรือรับความช่วยเหลือ แต่จะทรงหนีไปตั้งมั่นอยู่กับนายพลบุยเล่ ที่จงรักภักดีและสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่พระองค์ พระองค์เสด็จออกจากพระราชวังทุยเลอรีส์ในตอนกลางคืนของวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2334 แต่ทรงถูกจับได้ที่เมืองวาเรนน์ ในวันที่ 21 มิถุนายนพ.ศ. 2334 ส่งผลให้ความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อพระองค์นั้นลดลงอย่างมาก พระองค์ถูกนำตัวกลับมากักบริเวณในกรุงปารีส

การสิ้นสุดของสภาร่างรัฐธรรมนูญ

                 แม้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของสภาฯ จะนิยมระบอบประชาธิปไตยโดยให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ มากกว่าระบอบสาธารณรัฐก็ตาม แต่ ณ ขณะนั้น พระเจ้าหลุยส์ก็ไม่ได้มีบทบาทมากไปหว่าหุ่นเชิด พระองค์ถูกบังคับให้บฏิญาณตนต่อรัฐธรรมนูญ และให้ยอมรับเงื่อนไขที่ว่า เมื่อพระองค์กระทำการกระทำใดๆที่จะชักนำให้กองทัพต่างชาติมาโจมตีฝรั่งเศส หรือ กระทำสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้ถือว่าพระองค์สละราชสมบัติโดยอัตโนมัติ

                  ขณะเดียวกันนั้น ฌอง ปิแอร์ บริสโซต์ ได้ร่างประกาศโจมตีพระเจ้าหลุยส์ มีสาระสำคัญว่า พระเจ้าหลุยส์ทรงสละราชสมบัติไปตั้งแต่พระองค์เสด็จออกจากพระราชวังทุยเลอรี ส์แล้ว ฝูงชนจำนวนมากพยายามเข้ามาใน ชอง เดอ มาร์ส เพื่อลงนามในใบประกาศนั้น ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ขอร้องให้เทศบาลปารีสช่วยรักษาความสงบ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุด กองทหารองครักษ์ ภายใต้การบัญชาการของลาฟาแยตต์ ก็ได้เข้ามารักษาความสงบ ฝูงชนได้ปาก้อนหินใส่องครักษ์ ในช่วงแรก องครักษ์โต้ตอบด้วยการยิงขึ้นฟ้า แต่ไม่สำเร็จ จึงจำต้องยิงปืนใส่ฝูงชน ทำให้ประชาชนตายไปประมาณ 50 คน

                  หลังจากการสังหารหมู่ครั้งนี้ ทางการก็ได้ดำเนินการปราบปรามพวกสมาคมนิยมสาธารณรัฐต่างๆ รวมทั้งหนังสือพิมพ์ของพวกนี้อีกด้วย หนังสือพิมพ์เพื่อนประชาชน ( l'ami du peuple) ของมาราต์ บุคคลที่มีแนวคิดแบบนี้เช่น มาราต์และเดสมูแลงต่างพากันหลบซ่อน ส่วนดังตงหนีไปอังกฤษ

                  ขณะที่ภายในฝรั่งเศสกำลังวุ่นวาย เหล่าราชวงศ์ของยุโรป โดยมีแกนนำคือกษัตริย์แห่งปรัสเซีย จักรพรรดิออสเตรีย และพระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ ก็ได้ร่วมมือกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือให้พระเจ้าหลุยส์มีอิสรภาพสมบูรณ์และให้ยุบสภา Assembl?e Nationale หากสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น ก็จะโจมตีฝรั่งเศสเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย แต่ประชาชนชาวฝรั่งเศสไม่สนใจต่อคำประกาศดังกล่าว และเตรียมการต่อต้านอย่างแข็งขัน โดยส่งกำลังทหารไปยังชายแดน.

                  การต่อสู้ขับเคี่ยวระหว่างระบอบ กษัตริย์และสาธารณรัฐดำเนินการอย่างเข้มข้น และขยายผลสะเทือนไปทั่วทั้งยุโรป วันที่ 27 สิงหาคม 1791(พศ.2334) มีการประกาศพิลนิทซ์ (Declaration of Pillnitz) ปรัสเซียกับจักรวรรดิออสเตรีย ประกาศสงครามกับฝรั่งเศสเพื่อรักษาระบอบกษัตริย์ ในปีถัดมา วันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1792 สภานิติบัญญัติภายใต้พรรคจิรองแดงประกาศสงครามกับออสเตรีย วันที่11 กรกฎาคม กองทัพออสเตรียเข้าสู่ฝรั่งเศส

                 วันที่ 27 กรกฎาคม ฝ่ายออสเตรียออกประกาศบรุนสวิก ( Brunswick Manifesto) ขู่ทำลายกรุงปารีสหากกษัตริย์เป็นอันตราย ประชาชนโกรธแค้นคำประกาศนี้

                 วันที่ 10 สิงหาคม ฝูงชนบุกพระราชวังตุยเลอรี (Tuilleries) สังหารทหารรักษาการชาวสวิต ดังตองจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวและตั้งสภาแห่งชาติ (National Convention)

                 วันที่ 22 สิงหาคม คศ.1792 ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐครั้งที่หนึ่งยกเลิกระบอบกษัตริย์

                 ค.ศ.1793 วันที่ 21 มกราคม พระเจ้าหลุยส์ถูกปลงพะชนม์ด้วยเครื่องกิโยตีน เพราะทรงถูกกล่าวหาว่า ทรยศต่อชาติ

                 ค.ศ.1793-4 เริ่มยุคน่าสะพึงกลัว (Reign of Terror) โรเบสปิแอร์ (Robespierre) ได้ครองอำนาจ

                 วันที่ 16 ตุลาคม ปลงพระชนม์พระนาง มารี อังตัวเนตต์ ด้วยกิโยตีน และมีการสังหารพวกจิรองดิสต์ไม่น้อยกว่า 60 คน

                 การปฏิวัติฝรั่งเศส กินเวลาในช่วงระหว่างปีคศ. 1789-1799 ( พ.ศ.2332-2342) ในการโค่นล้มระบอบกษัติย์ หลังจากสถาปนาระบอบสาธารณรัฐสำเร็จแล้วไม่นาน มีการแย่งชิงอำนาจรัฐระหว่างกลุ่มชนชั้นปกครองด้วยกันเอง จนนำมาสู่ค.ศ. 1799 นาย พลนโปเลียน โบนาปาร์ต ยึดอำนาจจากคณะมนตรี และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกงสุลคนแรกของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุด นโปเลียนดำรงตำแหน่งกงสุลในปี ค.ศ. 1799 - ค.ศ. 1803 ก่อนที่นโปเลียนจะสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิในเวลาต่อมา

                 หลังจากนั้นฝรั่งเศสต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกหลายครั้ง สลับกันระหว่างแบบกษัตริย์ กับแบบสาธารณรัฐ จนกระทั่งปัจจุบัน

                 ฝรั่งเศส ผ่านกระบวนการสร้างระบอบสาธารณรัฐ มาถึง สาธารณรัฐที่ 5 ( ค.ศ. 1958 - ปัจจุบัน)
นาย พลชาร์ล เดอ โกลใช้ระบบประธานาธิบดีที่เลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง แทนระบบรัฐสภาแบบเดิม ซึ่งคงอยู่มาถึงปัจจุบัน สาธารณรัฐที่ 5 ของฝรั่งเศสมีประธานาธิบดีมาทั้งหมด5 คนดังนี้

- นาย พลชาลส์ เดอ โกล ค.ศ. 1958 - ค.ศ. 1969
- ชอร์ช ปงปีดู ค.ศ. 1969 - ค.ศ. 1974
- วาเลรี ชีสการ์ แดสแตง ค.ศ. 1974 - ค.ศ. 1981
- ฟรองซัว มีแตรอง ค.ศ. 1981 - ค.ศ. 1995
- ชาก ชีรัก ค.ศ. 1995 ? ปัจจุบัน        

 

 ปฏิวัติฝรั่งเศส ภาคสรุป

                การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นการปฏิวัติใหญ่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าทางการเมืองทั่วยุโรป โดยมีสาเหตุทางด้านการคลังเป็นพื้นฐาน
เป็นการปฏิวัติโดยกลุ่มชนชั้น กลางที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองโดยการล้มล้างการปกครองในระบอบ เก่า (Ancient Regime) หรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolutism) มาสู่อำนาจอธิปไตยของประชาชน

สาเหตุทั่วไปของการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 ประกอบด้วย

ด้านการเมือง

1. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงไม่เข็มแข็งพอไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารประเทศจึงเปิดโอกาสให้คณะ บุคคลบางกลุ่มเข้ามามีสิทธิร่วมในการบริหารประเทศ
2. สภาท้องถิ่น (Provincial Estates) เป็นสภาที่มีอยู่ทั่วไปในฝรั่งเศส และตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของขุนนางท้องถิ่น เริ่มกลับเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง
3. สภาปาลมองต์ (Parlement) หรือศาลสูงสุดของฝรั่งเศส ทำหน้าที่ให้การปรึกษากับกษัตริย์มีสิทธิ์ยังยั้งการออกกฎหมายใหม่ (Vito) ซึ้งเป็นสภาที่เป็นปากเป็นเสียงของประชนเคยถูกปิดไปแล้ว กลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้ง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงยอมให้สภาปามองต์แสดงบทบาทสามารถต่อรองขอสิทธิบางอย่างทางการเมือง
4. สภาฐานันดรหรือสภาทั่วไป (Estates General) ที่จัดตั่งขึ้นในยุคกลางในสมัยพระเจ้าฟิลิปที่ 4 เพื่อต่อต้านอำนาจของสันตปาปา ซึ่งมีผลทำให้เกิดชนชั้นของประชาชน 3 ชนชั้นคือ พระ ขุนนาง และสามัญชน, ในปี ค.ศ. 1789 สถานะทางด้านการคลังของประเทศเกิดปัญหาขาดดุลอย่างหนัง ทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เปิดสภานี้ขึ้นมาใหม่หลังจากจากที่ถูกปิดไปถึง 174 ปี เพื่อขอเสียงสนับสนุนจากตัวแทนของประชาชนในการขอเก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่เกิดปัญหาการนับคะแนนเสียงขึ้น จนกลายเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติในเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 1789
5. ประเทศฝรั่งเศสไม่มีรัฐธรรมนูญ ทำให้การปกครองเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และประชาชนไม่ได้รับการคุ้มครอง

ด้านเศรษฐกิจ

1. สืบเนื่องมาจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยในราชสำนัก เป็นปัญหาสั่งสมมาจนถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
2. เป็นปัญหาสืบเนื่องมาจากการที่ฝรั่งเศสเข้าไปพัวพันกับสงครามในต่างประเทศ มากเกินไป โดยเฉพาะสงครามกู้เอกราชของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776 จึงทำให้เกิดค้าใช้จ่ายสูง
3. เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพเศรษฐกิจจากภาคเกษตรกรรมมาสู่ภาคอุตสาหกรรม ทำให้เกิดวิกฤตการทางการเกษตร ราคาอาหารสูงขึ้นไม่สมดุลกับค่าแรงที่ได้รับ การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นมา คือชนชั้นกลาง (พ่อค้า นายทุน) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการปฏิวัติ
4. พระเจ้าหลุยส์ไม่สามารถตัดค่าใช้จ่ายในราชสำนักได้ แต่ก็พยายามแก้ไขโดย
- ปรับปรุงการเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก่อให้เกิดการไม่พอใจในกลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่เคยเสียภาษี
- เพิ่มการกู้เงิน ซึ่งก็ช่วยทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยมากขึ้นด้วยเช่นกัน
- ตัดรายจ่ายบางประการ เช่น การเลิกเบี้ยบำนาน ลดจำนวนค่าราชการ ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ ยังส่งผลถึงการทำงานของราชการไม่มีประสิทธิภาพ
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากแก้ไขที่ไม่ตรงจุด จึงไม่สามารถตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงไปได้

ด้านสังคม

1. การรับอิทธิพลทางความคิดของชาวต่างชาติ จาการที่ฝรั่งเศสเข้าไปช่วยสหรัฐอเมริกาทำสงครามประกาศอิสภาพจากอังกฤษ จึงทำให้รับอิทธิพลทางความคิดด้านเสรีภาพนั้นกลับเข้ามาในประเทศด้วย อิทธิพลทางความคิดที่สำคัญที่รับมาคือจากบรรดานักปรัชญากลุ่ม ฟิโลซอฟส์ (Philosophes) นักปรัชญาคนสำคัญคือ วอร์แตร์, จอห์น ล็อค, รุสโซ่
2. เกิดปัญหาความแตกต่างทางสังคม อันเนื่องมาจากพลเมืองแบ่งออกเป็น 3 ฐานันดร คือ
- ฐานันดรที่ 1 พระ
- ฐานันดรที่ 2 ขุนนาง
- ฐานันดรที่ 3 สามัญชน
ฐานันดร ที่ 1 และ 2 เป็นกลุ่มที่มีอภิสิทธิ์ชน คือไม่ต้องเสียภาษี ทำให้กลุ่มฐานันดรที่ 3 ต้องแบกรับภาระทั้งหลายอย่างเอาไว้เช่น การเสียภาษี การจ่ายเงินค่าเช่าที่ดิน และการถูกเกณฑ์ไปรบ กลุ่มฐานันดรที่ 3 ถือเป็นกลุ่มไม่มีอภิสิทธิ์ชน

สาเหตุปัจจุบันของการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1789

                   เมื่อ ประเทศฝรั่งเศสประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงทรงเปิดประชุมสภาฐานันดร (Estates General) ในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1789 เพื่อขอคะแนนเสียงของตัวแทนของประชาชนทุกกลุ่มช่วยกันแก้ไขปัญหาทางการคลัง แต่ได้เกิดปัญหาขึ้นเพราะกลุ่มฐานันดรที่ 3 เรียกร้องให้นับคะแนนเสียงเป็นรายหัว แต่กลุ่มฐานันดรที่ 1 และ 2 ซึ่งได้ร่วมมือกันเสมอนั้นเสนอให้นับคะแนนเสียงแบบกลุ่ม จึงทำให้กลุ่มฐานันดรที่ 3 เดินออกจากสภา แล้วจัดตั้งสภาแห่งชาติ (National Assombly) เรียกร้องให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ปิดห้องประชุม
ต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1789 สภาแห่งชาติได้ย้ายไปประชุมที่สนามเทนนิส และร่วมสาบานว่าจะไม่ยอมแพ้และไม่ยอมแยกจากกันจนกว่าจะได้รับชัยชนะ และต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใช้ในการปกครองประเทศ
ในขณะเดียวกันกับ ความวุ่นวายได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปารีส และได้ขยายตัวออกไปทั่วประเทศ ฝูงชนชาวปารีสได้รับข่าวลือว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กำลังจะส่งกำลังทหารเข้ามาปราบปรามความฝูงชนที่ก่อวุ่นวายในปารีส
ดัง นั้น ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 ฝูงชนจึงได้ร่วมมือกันทำลายคุกบาสติล(Bastille) ซึ่งเป็นสถานที่คุมขังนักโทษทางการเมือง และถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองในระบอบเก่า

ผลจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1789

1. เปลี่ยนจากการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (คนเดียว) มาสู่ระบอบสาธารณรัฐ (หลายตน)
2. มีการล้มล้างกลุ่มอภิสิทธิชน พระและขุนนางหมดอำนาจ, กลุ่มสามัญชน กรรมกร ชาวนา และโดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลาง เข้ามามีอำนาจแทนที่
3. ศาสนาจักรถูกรวมเข้ากับรัฐ ทำให้อำนาจของสันตะปาปาถูกควบคุมโดยรัฐ
4. เกิดความวุ่นวายทั่วประเทศเพราะประชนชนบางส่วนยังติดอยู่กับการปรครองแบบเก่า
5. มีการทำสงครามกับต่างชาติ
6. มีการขยายอิทธิพลแนวความคิดและเป็นต้นแบบของการปฏิวัติเไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรป

 

ที่มา  :  วีกีพีเดีย

 

 

 

 

              

 

 

 

 

 

 

 ตอนี้เป็นห่วงเห็นใจชาวนา ทั้งที่เคยด่ามาตลอด

 

 

 

โดย ลุงธรรม

 

 

                           [Image: 1391837975-1391740517-o.jpg]

 
 
คงจำกันได้เมื่อม๊อบกบถเริ่มใหม่ๆ แต่ละตัวที่ขึ้บนเวที.กบถ ต่างออกมาพูดเป้นเสียงเดียวกันว่าต้องปฏิรูป..คนจนๆชาวนา ชาวไร่ ไม่มีการศึกษา ไม่ควรมีสิทธิืมีเสียงเท่าคนกทม./คนที่มีการสึกษา...หลายคนถึงกับพูดว่า

ชาวนาคือภาระของชาติ..พวกเขาต้องเอาเงินที่รัฐเก้บภาษีไปดูแลชาวนา
ชาวนาคนจนไร้การศึกษา ไม่ควรจะมีสิทธิืเท่าพวกเขา
และยังพ่นต่อว่า ถ้าชาวนาไม่มีหรือไม่ปลูกข้าวขาย..เขาก้มีเงินซื้อข้าวจากต่างประเทศกิน
บางคนพุดว่าชาวนาไม่เคยมีบุญคุณกับพวกเขา เพราะข้าวทุกเม็ดที่เขากิน เขาซื้อ

สารพัดที่ม๊อบกบถ ที่จะดูถูกดูแคลนชาวนา..และยิ่งกว่านั้น...เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกสาวกม๊อบกบถที่ทำงานอยู่ตาม
ธ.ของรัฐ ยังบีบผุ้บริหารไม่ให้รัฐบาลกุ้เงินไปจ่ายให้ชาวนา..เพราะไม่อยากให้ชาวนามีเงินใช้ จะได้ออกมาไล่รัฐบาลกับพวกมัน(ตามรูป พนักงานธ.ที่ร่วมกับกบถ ถึงกับเฮ..เมื่อผู้บริหารถูกบืบจนต้องปฏิเสธการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อไปจ่ายชาวนา)

--------------------------------

ตอนนี้ม๊อบเหลือแต่เป็นหย่อมๆ หยอยๆ..คนใต้หนีกลับกันหมด หลังจากทั่วโลกประนามการปิดการรับสมัครสส.และขัดขวางการเลือกตั้งและรัฐบาลเอาจริง ตั้งข้อหากบถและขัดขวางการเลือกตั้ง มีโทษถึงติดคุก

ทำไงดีล่ะ ชัชดาวว์กทม.ก็แล้ว ปิดสถานที่ราชการก็แล้ว ฆ่าคนตายก็แล้ว ทหารก้ยังไม่ออกมา รัฐบาลก้ยังอยู่ มวลชนก็หนีกลับหมดแล้ว..เฮ้ย..ชาวนายังอยู่5555

ตอนนี้เลยเห็นไอ้พวกนี้ ออกอาการ"รักและห่วงชาวนา"กันเต็มไปหมดครับ...เทพเมือกถึงกับนำขบวนเดินขอทานช่วยชาวนา..สาวกในนี้ตั้งกระทู้เป​้นห่วงชาวนา...มวลชนสวะๆบางตัวเข้าไปในกลุ่มชาวนา..เพื่อชวนชาวนาออกมาไล่รัฐบาล..โด​ยบอกว่าเป้นห่วงและเห็นใจ
 


[Image: 1391842117-o.png]

-----------------

พนักงานธ.เฮ เมื่อมันสามารถบีบผู้บริหารไม่ใช้รัฐบาลกู้เงินมาจ่ายชาวนา

[Image: 1391678355-o.jpg]

 

 [Image: 1896779_600117870068649_164993313_n.jpg]

 

 

 

 

 

 

 

> เช็คช่วยชาติ 2,000 บาท
อ้างอุ้มชนชั้นกลาง งบ 18,000 ล้าน #ไม่เป็นไร

> ปรส.
อ้างอุ้มคนรวย (ล้มบนฟูก) 800,000 ล้าน #ไม่เป็นไร

> ประกันราคาข้าวขาดทุน
130,000 ล้าน อ้างอุ้มชาวนา #ไม่เป็นไร

> ไทยเข้มแข็ง กู้เงิน 800,000 ล้าน
อ้างนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ #ไม่เป็นไร

รวมยอดพรรคประชาธิปัตย์ ผลาญเงิน แค่ 4 โครงการ
#ผลาญไปแล้วขำๆ 1,748,000 ล้านบาท
(ล้านล้านบาท เลขกลมๆ)

(ย้ำแค่ 4 โครงการ)
- - - -- - -

แล้วจำนำข้าวขาดทุน เพื่ออุ้มชาวนา ไม่ได้หรือ ?
หรือต้องอุ้มชาวนาเฉพาะตอนประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                    

 


 

 

"กางเกงลิง" หมายถึงกางเกงชั้นในรัดแนบเนื้อ ไม่มีขาเป็นภาษาปาก หรือภาษาพูด

เชื่อว่าน่าจะมาจากศัพท์ที่ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษใช้ด้วยกันคือคำว่า "ลิงเจอรี-lingerie" ที่แปลว่าชุดชั้นในสตรี

ในสมัยโบราณผู้หญิงไทยนุ่งโจงกระเบน เข้าใจว่าคงไม่มีการใส่กางเกงชั้นในต่อมาเมื่อรับกระโปรงแบบแหม่มมาสวมจึงเริ่มใช้ชุดชั้นในแบบแหม่มด้วยแต่นิสัยคนไทยชอบพูดย่อๆ จึงเรียกกางเกงชั้นในแบบแหม่มเพียงคำต้นของ "ลิงเจอรี" ว่า "กางเกงลิง"

ชุดชั้นในของสตรีในยุค 1940

ลองไปค้นดูประวัติของ lingerie ของฝรั่งอ้างว่า กางเกงชั้นใน lingerie นี้ กำเนิดขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประมาณ ค.ศ. 1922 สาวๆเริ่มใส่กระโปรงสั้น สรวมหมวกตอนกลางคืนก็ออกไปเฉิดฉายในงานเต้นรำ

คำว่า lingerie นี้ มาจาก ภาฝรั่งเศส "lin" ที่หมายถึง linen ลินินเริ่มต้นนั้นการใช้ชุดชั้นใน ก็เพื่อความอบอุ่น เพื่อสุขภาพอวัยวะภายในต่อมาเริ่มมีแฟชั่นพัฒนามากขึ้นอีกคำหนึ่งที่ใช้ คือ panties ก็หมายความถึง lingerie เช่นกันเพราะเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ข้างใน ที่เรียกว่า under wear สำหรับผู้หญิง

panties เริ่มใช้ในยุคที่การปฏิวัติฝรั่งเศสโดย Catherine de Medici ซึ่งเกิดไอเดียที่ต้องการขี่ม้าโดยวิธีการขี่คร่อมเช่นเดียวกับผู้ชายจึงต้องมีเสื้อผ้าที่จะสามารถปกปิดร่างกายได้มิดชิดโดยไม่ต้องโชว์หวอสู่สายตาชาวโลก

กล่าวสั้น ๆ คือ ที่เรียกว่ากางเกงลิง เพราะเป็นกางเกงที่ไม่มีขา และทับศัพย์ของคำว่า "ลิงเจอรี-lingerie" โดยพูดสั้น ๆ ว่าลิง จึงกลายเป็นคำติดปากว่า กางเกงลิงนั่นเอง ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับลิงสักตัวเลย

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

 

เคยได้ยินคำว่า "ไม่เป็นสับปะรด" คำนี้ไม่เกี่ยวกับสับปะรดเลย จริง ๆ แล้ว คำนี้ใช้กันมานานแล้วสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า สรรพรส แปลว่า หลากหลายรส มีรสทั้งหลาย เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ครบหมด

ดังนั้นอาหารที่ ไม่เป็นสรรพรส คืออาหารที่ไม่ค่อยมีรสชาติ ไม่เปรี้ยวหรือหวาน หรือมัน หรือเค็ม อย่างใดทั้งสิ้น นานเข้าคนที่ฟังไม่เข้าใจจึงพูดลาก เข้ามาหาคำว่าสับปะรด จากไม่เป็นสรรพรสเพี้ยนมา เป็น ไม่เป็นสับปะรด แล้วมีความหมายเปรียบเทียบว่า หมายถึงการทำอะไรที่ไม่ได้เรื่องนั่นเอง

 

 

 

             

 

 

 

   

 

 

  

     เปิดเผยคลิปทหารปาประทัดยักษ์ก่อนเกิดเหตุป่วน.....

 

 
เปิดเผยคลิปทหารปาประทัดยักษ์ก่อนเกิดเหตุป่วน.....
โดย ไพร่รอนาย
เมื่อ พุธ, 05/02/2014 - 12:01
 

 

 

 

 

 

 

 

 

                     

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

              เปิดฟ้าส่องโลก

 

 

 

 โดยคุณ นิติ นวรัฐ

 

                 ทำไมซูจีถึงปฏิเสธการยุติความขัดแย้ง

 

 

                              

 

 

 

วันพุธที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๖

 

ผู้ใหญ่ที่สนใจความเป็นไปในอาเซียนท่านหนึ่งถามถึงเหตุผลว่าทำไมนางซูจีจึงประกาศว่าจะไม่เข้าไปช่วยยุติความขัดแย้งที่เลวร้ายลงระหว่างกองทัพและกองกำลังกะฉิ่น ซึ่งผลของการสู้รบทำให้ประชาชนคนเป็นหมื่น ไม่มีที่อยู่อาศัย โอกาสอย่างนี้นางซูจีน่าจะกระโจนเข้าไปหาเสียง แต่กลับประกาศว่า อ้า ดิฉันจะไม่เกี่ยวดองหนองยุ่งด้วย คนทั่วไปก็คิดว่า เป็นเรื่องแปลก

เหตุผลที่แท้จริงก็คงจะไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางซูจีดอกครับ แต่ถ้าให้คิดกันอย่างไวๆ เรื่องความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่ากับชนกลุ่มน้อย มันไปพันกับสัญญาป๋างหลวงที่นายพลอองซานพ่อของนางซูจีเคยประชุมกับผู้แทนของชนกลุ่มน้อยในเขตชายแดนที่เมืองป๋างหลวงหรือป๋างโหลง ในรัฐฉานระหว่างวันที่ 7-12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490

ในห้วงช่วงที่อยู่ที่ป๋างโหลงนั้น พ่อของนางซูจีได้เสนอวลี Unity in Diversity แปลเป็นไทยก็น่าจะได้ว่า ความเป็นเอกภาพในความหลากหลาย แม้ว่าจะมีเผ่าพันธุ์แตกต่างกัน คุณเป็นพม่า กะฉิ่น กะเหรี่ยง กะยา มอญ ไทยใหญ่ ฯลฯ เป็นอะไรก็อยู่รวมกันเป็นประเทศเดียวกันได้

พ่อของนางซูจี ท่านกล่อมจนคนกลุ่มน้อยเยิ้มเคลิ้มเชื่อว่า ถ้าชนกลุ่มน้อยยังรวมอยู่ในสหภาพพม่าแล้ว         บั้นปลายท้ายต่อไปในอนาคต รัฐของชนกลุ่มน้อยจะได้สิทธิปกครองตนเอง และจะสามารถรักษาวัฒนธรรมประเพณีของพวกตนไว้ได้

หลังจากเยิ้มเคลิ้มกันทุกหมู่ทุกเหล่าทุกเผ่าแล้ว ผู้นำทุกกลุ่มก็มานั่งชุมนุมสุมศีรษะลงนามในสัญญาป๋างหลวงในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2490

สัญญาป๋างหลวงนี่พูดกันบ่อยมากนะครับ ไปสัมมนาอะไรกับใครที่ไหน ถ้ามีเรื่องพม่ากับชนกลุ่มน้อย ก็ต้องมีคนยกเรื่องสัญญาป๋างหลวงขึ้นมาอ้างให้ดูน่าเชื่อถือ ผมจึงขอถือโอกาสนี้ เรียนสาระสำคัญของสัญญาป๋างหลวงมารับใช้ท่านกันครับ

อันดับแรกเลยก็ ให้ชนกลุ่มน้อยมีผู้แทนอยู่ในสภาบริหารเขตแดนของชนกลุ่มน้อย ให้สิทธิปกครองตนเองแก่ชนกลุ่มน้อย และมีการพิจารณาให้เขตแดนเหล่านี้มีฐานะเป็นรัฐตามความเหมาะสม ส่วนที่สร้างปัญหามากมายในเวลาต่อมาก็คือ ข้อตกลงที่ว่า รัฐของชนกลุ่มน้อยจะรวมอยู่ในสหภาพพม่า และ “มีสิทธิที่จะแยกตัวออกไปได้ในอนาคต”

อังกฤษก็ใช้วิธีการแบ่งแยกและปกครองพม่า ไม่ให้มนุษย์ที่อยู่ในแดนดินถิ่นแถวนี้มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงรวมกันไม่ได้ ตั้งใจจะให้เป็นประเทศใหม่ก็ไม่รอด แต่พอหลังจากฟังนายพลอองซานจนเคลิ้มเยิ้มแล้ว โอกาสที่จะตั้งเป็นประเทศที่เป็นสหภาพก็เป็นไปได้

ดังนั้น ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ของทุกปี รัฐบาลพม่าจึงกำหนดให้ เป็นวันหยุดราชการ เรียกว่า Union Day หมายถึง วันสหภาพ

พอถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 ก็มีการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ สันนิบาตเอเอฟพีเอฟแอลของ          นายพลอองซานได้ชัยชนะเหนือพวกคอมมิวนิสต์ ส่วนที่นั่งของเขตชายแดน คนที่ได้รับเลือกส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่หนุนนายพลอองซาน

เนื้อหาสาระในรัฐธรรมนูญ ก็ให้พม่าเป็นสหภาพอยู่นอกเครือจักรภพ ให้มีการปกครองด้วยหลักประชาธิปไตยและสังคมนิยม ให้รัฐสภาประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร และสภาเชื้อชาติซึ่งสภาเชื้อชาติจะทำหน้าที่เหมือนวุฒิสภาบ้านเรา ส.ส.เป็นผู้เลือกคณะรัฐมนตรี

ในรัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ชัดถนัดนัก ว่าชนกลุ่มน้อยจะได้สิทธิปกครองตนเองและมีสิทธิที่จะแยกตัวออกจากสหภาพได้ ส่วนที่ดินส่วนใหญ่จะเป็นของรัฐและรัฐจะแจกจ่ายให้ประชาชน พวกอภิพญามหาเศรษฐี       กระฎุมพีที่ถือครองแผ่นดินผืนใหญ่ต้องให้ยกเลิก เอากลับมาเป็นของรัฐ ธุรกิจอันไหนใหญ่โตมโหฬารและมีแนวโน้มว่าจะนำกำไรมาสู่ ต้องให้รัฐทำเท่านั้น ประชาชนคนทั่วไปไม่มีสิทธิ เขียนให้เข้าใจง่ายก็คือรัฐเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่สำคัญ ทว่าบุคคลยังมีสิทธิในทรัพย์สินและประกอบธุรกิจได้ในขอบเขตที่จำกัด

พอร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อย สภาร่างรัฐธรรมนูญก็ให้ทะขิ่นนุนำคณะผู้แทนพม่าไปกรุงลอนดอนเพื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญพม่าต่ออังกฤษ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2490

ส่วนนายพลอองซานก็ยังพำนักพักอาศัยอยู่ในพม่า จัดประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อวางแนวทางฟื้นฟูประเทศและพัฒนาเศรษฐกิจ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 ขณะที่นายพลอองซานผู้มีอายุเพียง 32 ปี กำลังนั่งเป็นประธานประชุมอยู่หัวโต๊ะ ก็มีมือปืน 4 คนใช้ปืนกลกราดใส่อองซานถึง 13 นัด

บิดาก็จึงถึงวิสัญญีสิ้นชีวิตินทรีย์ตายกลายเป็นผี ขณะที่ซูจีมีอายุเพียง 2 ขวบ เหตุการณ์จะเป็นเช่นใด เชิญผู้อ่านท่านที่เคารพพลิกหน้า 2 ของไทยรัฐต่อได้ในวันพรุ่งนี้ครับ.

 

 

 

 

                                 ทำไมซูจีถึงปฏิเสธการยุติความขัดแย้ง (2)

 

 

วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖

 

เมื่อวานผมรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพว่า มีผู้ใหญ่ที่สนใจความเป็นไปในอาเซียนท่านหนึ่งถามถึงเหตุผลว่าทำไมนางซูจีจึงประกาศไม่เข้าไปช่วยยุติความขัดแย้งระหว่างกองทัพพม่ากะกองกำลังกะฉิ่น ซึ่งผลของการสู้รบทำให้ประชาชนคนเป็นหมื่นไม่มีที่อยู่อาศัย จากนั้น ผมก็โม้อะไรของผมไปเรื่อย กระทั่งถึงเหตุการณ์ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2490 มีชาย 4 คน ใช้ผ้าคลุมหน้า มาพร้อมอาวุธปืนกล บุกเข้าไปรัวใส่นายพลอองซานและรัฐมนตรีในที่ประชุม

นายพลอองซานโดนยิง 13 นัด ตายคาที่ ขณะที่ตายวายชีวัน อองซานมีอายุเพียง 32 ปี ส่วนบุตรสาวคนสุดท้องที่มีชื่อว่าซูจี ก็มีอายุเพียง 2 ขวบ

ผู้อ่านท่านครับ หากนายพลอองซานไม่ตายในคราวนั้น พม่าอาจจะไม่ใช่พม่าอย่างเช่นในปัจจุบันทุกวันนี้ เทียบระหว่างไทยกะพม่าใน พ.ศ.2490 ศักยภาพทุกด้านของพม่าดีไม่แพ้ไทยเลย อาจจะดีกว่าในหลายเรื่องซะด้วยซ้ำ เช่น เรื่องการศึกษา เรื่องการกีฬา ฯลฯ เป็นเพราะการเมืองที่ทำให้พม่าตกอยู่ในความมืดมนอนธการนานกว่า 60 ปี หากนายพลอองซานไม่ตายในตอนนั้น เยาวชนคนพม่านับล้านอาจจะไม่ต้องมาขายแรงงานในประเทศไทยของเราก็เป็นได้

ที่ผมเชื่อว่า ถ้าอองซานไม่ตาย พม่าจะกลายเป็นประเทศที่เจริญ กว่านี้มาก ก็เพราะว่าอองซานได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ชนกลุ่มน้อยก็อยู่ร่วมสหภาพพม่าอย่างสันติสุข ไม่ต้องรบพุ่งกันนานนมหลายสิบปีอย่างนี้ ประเทศก็เหมือนครอบครัวนะครับ  ถ้าไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็ใช้เวลาสุขสงบไปพัฒนาประเทศ   ไปทำมาหากินแสวงหาความมั่งคั่งได้

อองซานมาจากตระกูลชาวนา ที่ลุงแท้ๆ ของมารดาเป็นวีรบุรุษในสงครามกองโจรที่ต่อต้านการยึดครองของอังกฤษและถูกอังกฤษจับเอาไปตัดหัวทิ้ง คนที่มีพื้นฐานครอบครัวอย่างนี้ ผู้อ่านท่านครับ โตขึ้นมามักจะเป็นคนเสียสละ และมีชีวิตอยู่เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง หลายท่านเห็นว่าอองซานมียศเป็นนายพล จึงเดาว่า ท่านน่าจะเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อย ไม่ใช่ดอกครับ อองซานเป็นนักการศึกษา เรียนเก่งจนได้ทุนและสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยย่างกุ้งได้  วิชาที่สนใจมาก เป็นพิเศษก็คือ ประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์

ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง กิริยาท่าทาง การแต่งกาย และการพูดจาของอองซานมีลักษณะเป็นคนบ้านนอก  เรื่องนี้ทำให้นักศึกษาที่มาจากย่างกุ้งเมืองหลวงหัวเราะกันจนฟันกระเด็นออกมานอกปากกันมากมายหลายคน

อองซานเป็นคนมีความพยายามสูง มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาสาขึ้นไปโต้วาทีเป็นภาษาอังกฤษในหัวข้อ “พระสงฆ์ไม่ควรเกี่ยวดองหนองยุ่งกับการเมือง” ที่จัดโดยสหภาพนักศึกษา ภาษาอังกฤษของอองซานเด็กบ้านนอกไม่ค่อยดี พูดผิดพูดถูก เมื่อคิดศัพท์คำไหนไม่ออก อองซานก็เอาภาษาบาลีเข้ามาเสริม ทำให้นักศึกษาที่นั่งฟังฮาป่า หัวเราะเยาะ และดูหมิ่นถิ่นแคลนว่าอองซานพูดไม่รู้เรื่อง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อองซานฝึกภาษาอังกฤษจนใช้ได้ดี ฝึก ด้านวิชาการจนได้รับการยอมรับจากนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัย บั้นปลายท้ายที่สุด อองซานได้รับความนิยมขนาดได้รับเลือกตั้งให้เป็นกรรมการบริหารของสหภาพนักศึกษา

อองซานสร้างตนจนเป็นที่นิยมยกย่องของนักศึกษาอย่างกว้าง ขวาง อาจจะเป็นเพราะมีลักษณะผู้นำ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และตรงไปตรงมา มีเพียงสิ่งหนึ่งซึ่งทุกคนลงความเห็นว่าอองซานเป็นคนน่ากลัวก็คือ การเป็นคนเงียบขรึมผิดปกติ เวลาอารมณ์ร้ายก็จะปะทุออกมาจนคนรอบข้างแทบจะไม่รู้ตัว ทำให้คนทั่วไปไม่กล้าเข้ามาอยู่ใกล้ นักศึกษาจำนวนหนึ่งถึงกับวิจารณ์อองซานว่าเป็นคนเพี้ยน  จำนวนไม่น้อยที่มองว่าอองซานบ้า

ไม่ว่าอองซานจะบ้า  จะเพี้ยน  ยังไง  คนพม่าก็ยังรัก รักในความเสีย

สละในความมีความรู้ ในความพยายามมุ่งมั่นทำงานจนสำเร็จ ฯลฯ

ที่สุดของที่สุดเลยก็คือ คนพม่าชอบความตรงไปตรงมาของอองซาน

บุตรชายคนโตของนายพลอองซาน เมื่อโตเป็นหนุ่มก็ไปใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกาและปฏิเสธที่จะเกี่ยวดองหนองยุ่งกับการเมือง บุตรชายคนที่สองจมน้ำตายในสระใกล้บ้าน

บุตรคนที่สามของนายพลอองซานเป็นสตรี มีชื่อว่าซูจี นางผู้นี้มี รูปร่างหน้าตาคล้ายพ่อ มีการพูดจาที่ตรงไปตรงมา จึงชนะใจชาวพม่าได้อย่างรวดเร็วและยาวนาน นางซูจีมีชีวิตอยู่ได้ภายใต้ร่มเงาวีรบุรุษของพ่อ สิ่งใดที่พ่อทำไว้ นางก็จะไม่ปฏิบัติในทางตรงกันข้ามอย่างเด็ดขาด

หนึ่งในใต้สมองของซูจีมีสัญญาป๋างหลวงที่พ่อทำไว้กับชนกลุ่ม

น้อย อันนี้นี่แหละครับ อันนี้นี่แหละครับ ที่ทำให้ซูจีปฏิเสธเกือบทุกครั้ง ที่จะเข้าไปเกี่ยวดองหนองยุ่งในความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่ากับกองกำลังชนกลุ่มน้อย.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 กระทรวงพาณิชย์ยอมรับว่าจีนยกเลิกการซื้อข้าวจากไทยแล้ว

 

 

 

  

 
 
 
 
-ปธ จีน ได้ทำตามที่เคยมาเยือนและรับปากด้วยแล้วว่าจะซื้อข้าวสารไทย ล้านตันทุกปี

- ไทยได้ขายแบบ จีทูจี คือรัฐต่อรัฐ ปกติค้าขายแบบ นี้ จะไม่เปิดเผย คู่ค้า และอื่นๆที่จำเป็น เพราะความละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่เมื่อเป็นประเด็นถูกกล่าวหา และ ชี้มูลว่า อาจจะผิด ดดย ปปช ก็ต้องเปิดเผยออกมาอยา่งที่เห็น

- แสดงให้เห็นว่า จีนก็ได้ยอมรับแล้วว่า สัญญา จีทูจี นั้นมีอยู่จริง ไม่ได้ ทำลับลวง แบบ ที่ ปปช กำลังกล่าวหา รัฐบาลไทย

- แต่ที่ต้องหยุดสัญญาไปก่อน เพราะ หน่วยงาน ปปช นั้น ยังอยู่ในขั้นชี้มูลกล่าวหา ถึงความทุจริต จึงต้องระงับ การเคลื่อนไหวของข้าวที่จะขายไปก่อน จนกว่าจะมีคำตัดสิน เหมือน รถที่ต้องยึดไว้ก่อนเมื่อกล่าวหาว่าอาจจะเอาไปใช้ในการทำผิดไง

 

 ที่ยกเลิกเพราะ   ตามกฏของการขาย..โดยรัฐบาล     คู่ค้าจะต้องเป็นอย่างน้อย รัฐวิสาหกิจ ....ซึ่งคู่ค้าเขาเป็น รัฐบาลท้องถิ่น   ....(ไม่รู้เหมือน  กทม. หรือเปล่า)   ....ทางรัฐเอง และทางจีน   ก็ไม่มั่นใจ  ในการตีความของ  ศาล ประเทศ ทุยแลนด์   ....เลยต่างฝ่ายต่างเบรคไว้ดีกว่า......

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

     

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

        มีเงินนับว่าน้อง มีทองนับว่าพี่

 

 

4 เหตุผลทำไม “มีทองถึงนับว่าเป็นพี่”

 

 

 

 

เทศกาลตรุษจีนแบบนี้ ชาวมังกรหลายคนนิยมที่จะมอบทองคำให้เป็นแต๊ะเอีย หรืออั่งเปา แก่ทายาทหรือลูกหลานในตระกูลของตนเอง ขณะเดียวกันช่วงนี้ก็เป็นช่วงเทศกาลงานแต่ง เจ้าบ่าวเจ้าสาวรวมทั้งญาติทั้งสองฝ่ายก็นิยมนำทองคำมาเป็นสินสอดกัน นอกจากนี้ การมีทองคำสะสมมากๆ ก็สามารถบ่งบอกถึงความมั่งคั่งได้อีกด้วย แต่เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ ทำไมทองคำถึงมีค่า มีราคามากมายได้ขนาดนี้ เอาเป็นว่าทีมงาน ASTVผู้จัดการ ได้รวบรวมคำตอบไว้แล้วดังนี้....
           
       1. ทองคำเป็นแร่ที่มีอยู่จำกัด มีขั้นตอนในการผลิตที่ยุ่งยาก
           
       ด้วยความที่แร่ทองคำมีอยู่จำกัด ขั้นตอนในการขอสัมปทานและการผลิตในแต่ละประเทศก็ยุ่งยาก และมีข้อจำกัด ส่งผลให้ทองคำจึงมีมูลค่า
           
       2. ทองคำเป็นเครื่องประดับแล้วยังเป็น Safe Haven หรือสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
           
       สิ่งที่ทำให้ทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในวงการเครื่องประดับทองคำ เพราะเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการซึ่งทำให้ทองคำโดดเด่น และเป็นที่ต้องการเหนือบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดบนโลก คือ
           
       1. งดงามมันวาว (lustre) สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความงามอันเป็นอมตะ ทองคำสามารถเปลี่ยนเฉดสีทองโดยการนำทองคำไปผสมกับโลหะมีค่าอื่นๆ ช่วยเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคำได้อีกทางหนึ่ง
           
           2. คงทน (durable) ทองคำไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป 3,000 ปีก็ตาม
              
       3. หายาก (rarity) ทองเป็นแร่ที่หายาก กว่าจะได้ทองคำมาหนึ่งออนซ์ (31.167 gram) ต้องถลุงก้อนแร่ที่มีทองคำอยู่เป็นจำนวนหลายตัน และต้องขุดเหมืองลึกลงไปหลายสิบเมตร จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง เป็นเหตุให้ทองคำมีราคาแพงตามต้นทุนในการผลิต
           
       4. นำกลับไปใช้ได้ (reuseable) ทองคำเหมาะสมที่สุดต่อการนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพราะมีความเหนียวและอ่อนนิ่มสามารถนำมาทำขึ้นรูปได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่โดยการทำให้บริสุทธิ์ (purified) ด้วยการหลอมได้อีกโดยนับครั้งไม่ถ้วน
           
       อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการเป็นเครื่องประดับแล้ว ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หรือ  Safe Haven ดูได้จากวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมาหลายๆ ครั้ง ธนาคารกลางในหลายประเทศ ไล่ยาวไปถึงนักลงทุนทั่วไปต่างลงทุนและซื้อทองคำเก็บเอาไว้
           
       3. ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สามารถแปรเป็นเงินสดได้ทันที
           
       เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า มีราคา ซื้อง่าย ขายคล่อง ทำให้หลายคนมักซื้อทองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณเก็บไว้ เมื่อเจอสถานการณ์จำเป็นก็สามารถนำไปจำนำ หรือขาย นั่นเอง
           
       4. ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ
           
       หากเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต้านแรงกดดันจากเงินเฟ้อได้
           
       สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำในตลาดโลก
           
       1. เงินดอลลาร์สหรัฐ  หากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงโดยปัจจัยอื่นคงที่ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น เพราะการซื้อทองคำเหมือนการป้องกันความเสี่ยงมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
           
       2. ความกลัวเรื่องเงินเฟ้อ  หากเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นโดยปัจจัยอื่นคงที่ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะอัตราเงินเฟ้อส่งผลให้มูลค่าของพันธบัตร และเงินสดลดลง แต่มูลค่าทองคำกลับสามารถต้านแรงกดดันเงินเฟ้อได้
       
           3. ความเสี่ยงทางการเมืองและระบบการเงิน ในช่วงที่มีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ และความกังวลอย่างสูงเกี่ยวกับระบบการเงินโลก ราคาทองคำมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากทองคำถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย
           
       4. อุปสงค์และอุปทานของโลก ถ้าความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณของทองคำโดยปัจจัยอื่นคงที่จะทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น เช่น  ความต้องการทองคำในประเทศกำลังพัฒนาที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว คือ จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง หรือปริมาณของทองคำถูกเพิ่มขึ้นในตลาดขณะที่ความต้องการเท่าเดิม โดยปัจจัยอื่นคงที่จะทำให้ราคาทองคำลดลง เช่น การขายทองคำออกมาจำนวนมากของธนาคารกลาง
           
       ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำในประเทศไทย
           
       1. ราคาทองคำในตลาดโลก หากราคาทองคำในตลาดโลกเพิ่มขึ้นโดยปัจจัยอื่นคงที่ ราคาทองคำในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันหากราคาทองคำในตลาดโลกลดลงโดยปัจจัยอื่นคงที่ ราคาทองคำในประเทศจะลดลง
           
       2. ค่าเงินบาท/ดอลลาห์สหรัฐ หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงโดยปัจจัยอื่นคงที่ ราคาทองคำในประเทศจะเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันหากค่าเงินบาทแข็งค่าโดยปัจจัยอื่นคงที่ ราคาทองคำในประเทศจะลดลง
           
       3. อุปสงค์และอุปทานในประเทศ ถ้าความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณของทองคำโดยปัจจัยอื่นคงที่จะทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น เช่น เทศกาลก่อนตรุษจีนราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น
       
       ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย
       ขอบคุณข้อมูลจากสถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุน (TSI)
        www.tsi-thailand.org

 

 

 

 

 

 

  

 

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-01-25 19:09:13.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  นครไทยเมืองประวัติศาสตร์

 

                      

                   นครไทย : เมืองประวัติศาสตร์

 
 

 


นครไทยที่คุณต้องรู้จัก....
 
 
     ถ้าอ่านจบแล้วคุณอาจจะยังไม่เข้าใจว่าจะต้องรู้จักนครไทยไปทำไม ผมบอกก่อนจะอ่านก็แล้วกัน (บางทีคุณอาจจะเผลอผ่านเข้ามา) นครไทยเป็นเมืองที่พ่อขุนบางกลางท่าว เจ้าเมืองบางยาง (นครไทย) ปฐมกษัตริย์ของไทย (รู้จักกันดีในพระนาม พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) ใช้เป็นที่รวบรวมไพร่พลไปโจมตีขอมสบาดโขลญลำพงที่ศรีสัชชนาลัยและสุโขทัย พร้อมด้วยสหายศึกและเป็นพระญาติที่ใกล้ชิดคือ พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด (หล่มสัก) สถาปนาสุโขทัยเป็นราชธานี ประวัติศาสตร์ชาติไทยจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ถึงจะมีใครค้านหรือเห็นเป็นอย่างอื่นก็ตาม แต่หน้าประวัติศาสตร์ของไทยก็เริ่มขึ้นตรงนี้ เราเรียนประวัติศาสตร์กันมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาแล้ว BLOG นี้ จึงไม่ได้เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้จักเมืองในหุบเขาแห่งนี้ในเชิงประวัติศาสตร์ แต่นครไทยก็เป็นเมืองในประวัติศาสตร์ที่สำำคัญยิ่ง ถึงเวลาจะผ่านไปแล้วถึง 700 กว่าปีก็ตาม
อ้าว..เริ่มเลย.............
 
 
           1.นครไทยสมัยก่อนประวัติศาสตร์ 
 
จากหลักฐานทางด้านโบราณคดีได้ปรากฏการตั้งถิ่นฐานและสร้างสรรค์วัฒนธรรมของชุมชนนครไทย ว่าเป็นชุมชนที่มีมนุษย์อาศัยอยู่  ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์โดยในระยะแรกๆ ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ทั่วไปตามเพิงผา ถ้ำ ภูเขาและริมสายธารน้ำ มีการค้นพบเครื่องมือประเภทขวานหินขัด ขวานหินมีด้าม ขวานสำริด  และศิลปกรรมที่เด่นคือภาพแกะสลักที่ถ้ำกา เขาช้างล้วง ตำบลนครไทย และที่หน้าผาขีด อำเภอนครไทย ซึ่งเป็นภาพแกะสลัก เป็นลายเส้นและรูปกากบาทพาดกันไปมาบนผนังถ้ำ ซึ่งคล้ายกับภาพแกะสลักที่เทือกเขาภูพาน  อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ภาพแกะสลักนี้ได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นภาพแกะสลักของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะ
 
 
เครื่องมือเครื่องใช้ของผู้คนในยุคโบราณ
รอยขีดเขียนในผนังถ้า้ำกา บนเขาช้างล้วง
 
 

เขาช้างล้วงภูเขาศักดิ์สิทธิ์ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของนครไทย

        

  ชุมชนนี้คงจะมีพัฒนาต่อมา และขยายตั้งเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับชุมชนอื่นและชุมชนในต่างแดน  ได้ค้นพบเมืองโบราณนครไทยที่มีลักษณะเป็นดินสูงคล้ายหลังเต่า มีพื้นที่ประมาณ 142 ไร่ มีคูน้ำ 2 ชั้นและคันดิน 3 ชั้น มีเมืองหน้าด่าน 4 เมือง คือ เมืองนครชุม  เมืองโคกค่าย (โคกคล้าย) เมืองตานม และเมืองชาติตระการ

          จากการขุดค้นทางด้านโบราณคดีของอาจารย์ปราณี  แจ่มขุนเทียน เมื่อปี พ.ศ.2527จากหลักฐานที่ค้นพบทำให้สามารถสรุปได้ว่า  ชุมชนนครไทยเป็นชุมชนที่มีคนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ ราวพุทธศักราช 1711 ซึ่งเป็นระยะก่อนการสถาปนา กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ประมาณ 110 ปี
 
 
 
ผังเมืองโบราณของนครไทย

         

สมัยเริ่มแรกของชุมชนนี้คงเป็นชุมชนที่ไม่ใหญ่นัก มีการสร้างบ้านเมืองที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง คนในท้องถิ่นมีอาชีพทำเกษตรกรรม และล่าสัตว์เป็นอาหาร  อีกทั้งเลี้ยงสัตว์ประเภท วัว ควายไว้ใช้งานมีการติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับชุมชนใกล้เคียง เช่น เมืองศรีสัชนาลัย เพราะพบหลักฐานการใช้ เครื่องปั้นดินเผาเนื้อดินธรรมดา ที่ผลิตจากเมืองศรีสัชชนาลัยในบริเวณนี้ และมีการค้นพบ เครื่องถ้วยเคลือบสีเขียว  ในสมัยราชวงค์ซุงและราชวงค์หยวนของจีน ในสมัยนี้มีการนำเครื่องถ้วยตะครันมาใช้ใส่น้ำมันตะเกียง

 


เครื่องปั้นดินเผาในยุคก่อนของนครไทย


        

  2.นครไทยสมัยสุโขทัย

ชุมชนนครไทย ได้พัฒนาการมีความเจริญระดับชุมชนเมือง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าเมืองนครไทย ได้ปรากฏชื่อครั้งแรกในจารึกวัดมหาธาตุ วัดสระศรี หลักที่ 7 ก, จารึกวัดเขากบหลักที่ 11 และปรากฏชื่อในจารึกหลักที่ 93 ภาษาบาลี ว่า "นครเทยย" นอกจากนั้นยังปรากฎชื่อในจารึกวัดบูรพาราม  หลักที่ 286 ด้านที่ 1  ที่กล่าวถึงการขยายอาณาเขตของกษัตริย์สุโขทัยในปีพ.ศ.1939 ว่า 

 


  

    “เบื้องข้างหนอุดร ลุนครไท...”  และด้านที่ 2 เป็นภาษาบาลี กล่าวถึง ”ปุพเพ  นครเทยยก” จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่านครไทยเป็นเมืองที่ปรากฏชื่ออยู่ในทำเนียบของเมืองอยู่ในอาณา เขตของอาณาจักรสุโขทัยแล้ว โดยมีฐานะเป็นเมืองที่ขึ้นอยู่กับอาณาจักรสุโขทัย

 

 


อนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าว ประดิษฐาน ณ วัดกลาง นครไทย
เบื้องหลังคือต้นจำปาขาวที่พระองค์ทรงปลูกเสี่ยงทายไว้
เมื่อ 700 ปีก่อน  ปัจจุบันก็ยังคงยืนต้นสวยงามอยู่

      

 ในสมัยนี้สภาพการดำเนินชีวิตของชาวนครไทยคงดีพอสมควร เห็นได้จากการค้นพบเศษเครื่องถ้วยในชั้นดิน เป็นเครื่องเคลือบที่มีคุณภาพดีเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ผลิตจากศรีสัชชนาลัยและจากจีนแล้วยังพบเครื่องเคลือบของบุรีรัมย์และอันหนำของเวียดนาม

   
       3.นครไทยสมัยอยุธยา
 
ในสมัยอยุธยาตอนต้น  ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับเมืองนครไทย  คือ  พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐฯ ว่า “ศักราช  824  มะเมียศก (พ.ศ. 2005) เมืองนครไทยพาเอาครอบครัวหนีไปเมืองน่าน  และให้พระยากลาโหมไปตามคืนมาได้ “   จากหลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเมืองนครไทยกับเมืองน่าน ทำให้ในสงครามการสู้รบระหว่างพระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนาและพระบรมไตรโลกนาถ และพระเจ้าติโลกราชได้ร่วมมือกับ เจ้าเมืองเชลียงได้นำทัพจากเมืองเชียงใหม่มาปล้นพิษณุโลกและกำแพงเพชร จากสงครามที่เกิดขึ้นเมืองนครไทย คงได้รับผล กระทบจึงได้อพยพครัวหนีภัยสงครามไปเมืองน่าน ทำให้เมืองนครไทยร้างไปช่วงหนึ่ง จนกระทั่งฝ่ายอยุธยาขึ้นไปยึดครองกวาดต้อนกลับมา จึงสร้างเมืองนครไทยใหม่อีกครั้งหนึ่ง ดังที่พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐได้กล่าวว่า ในปี พ.ศ.2020 “แรกตั้งเมืองนครไทย”   
 
          นอกจากนี้ยังได้พบหลักฐานที่กล่าวถึงดินแดนนครไทย ในสมัยอยุธยามีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านด้านลาวของกรุงศรีอยุธยา และเป็นดินแดนที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง อาณาจักรลานช้างหรือกรุงศรีสัตตนาคนหุตกับอยุธยา ดังปรากฏหลักฐานของอาณาจักรล้านช้าง ที่กล่าวถึงในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยา และพระเจ้าฟ้างุ้ม  ได้มีพระราชสาส์นแบ่งดินแดนกันระหว่างสองอาณาจักร หลักฐานของฝ่ายลาวมีข้อความว่า "เฮาหากแม่นอ้ายน้องกันมา (ตั้งแต่ขุนบุลม(บรม) พุ้นเจ้า(หมายถึงพระเจ้าอู่ทอง)อยากได้บ้านเมืองเอาเขตแดนภูสามเส้า เมื่อเท้าเถิงภูพระยาพ่อแดนเมืองนครไทยพุ้น"           นอกจากนี้ เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อยุธยา แสดงให้เห็นถึงสถานภาพของเมืองนครไทย   มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านด้านลาวของกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏว่าในปี พ.ศ.2110 พระชัยเชษฐาธิราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุตยกทัพมาตีพิษณุโลก เพื่อปราบพระมหาธรรมราชา ได้ยกกองทัพเข้ามา ทางเมืองนครไทย จึงกล่าวได้ว่าในสมัยอยุธยาเมืองนครไทยคงมีฐานะเป็นเมืองเรื่อยมา
 
 
          4.นครไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ 
 
 
จากจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 เมืองนครไทยมีฐานะเป็นเมืองขึ้นของเมืองพิษณุโลก  ที่มีฐานะเป็นหัวเมืองเอกของเมืองฝ่ายเหนือ
 
          ในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เมืองนครไทย ยังคงมีฐานะเป็นเมืองขึ้นของเมืองพิษณุโลกอยู่ ดังปรากฏหลักฐาน ในใบบอกคำรายงานของพระอินทร์คีรีรัตนบุรีปกาสัยเจ้าเมืองนครไทย ได้กล่าวว่า "ข้าพเจ้ากรมการ นายหมวดนายกอง ขุนหมื่นตัวไพร่ เลขศักคงเมืองนครไทย ทำราชการหัวเมืองขึ้นกับเมืองพระพิศะณุโลกย์"
 
          เมื่อจัดการปกครองรูปแบบเทศาภิบาล มณฑลพิษณุโลกได้จัดตั้งขึ้น ในปี พ.ศ.2433  เมืองนครไทยถูกลดฐานะลงมาเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก และแต่งตั้งนายอำเภอขึ้นเป็นผู้ปกครอง นายอำเภอคนแรกชื่อหลวงพิทักษ์กิจบุรเทศ (เป๋า บุญรัตนพันธ์) มาดำรงตำแหน่งปี พ.ศ.2433–435  
 
          จากที่กล่าวมา เมืองนครไทย มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด สาเหตุที่เมืองนครไทย สามารถพัฒนาชุมชนของตนเองจนกลายเป็นเมืองและคงความสำคัญมีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์เรื่อยมา น่าจะมีเหตุผลสืบเนื่องจากปัจจัยที่สำคัญ 2 ประการ  คือ
 
          1.เมืองนครไทย เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าและเส้นทางการเดินทางระหว่างอาณาจักรตอนใน คือ  สุโขทัย และอยุธยากับอาณาจักรลานช้างและหัวเมืองต่างๆในลุ่มแม่น้ำโขง  โดยนครไทยมีฐานะเป็นเมืองหน้าด่าน
 
          2.นครไทยเป็นแหล่งที่มีสินค้า ซึ่งเป็นที่ต้องการของรัฐสุโขทัยและอยุธยาตลอดจนเมืองอื่นๆ คือ เกลือ และของป่า โดยเฉพาะเกลือ นครไทยมีบ่อเกลือ ซึ่งถือว่าเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญมากในการดำเนินชีวิตของคนในอดีต และปัจจุบันนี้ การผลิตเกลือที่ตำบลบ่อโพธิ์ยังคงมีการผลิตกันอยู่
 

          ในด้านประวัติศาสตร์บอกเล่า ชาวนครไทยเชื่อว่า เมืองนครไทย คือเมืองบางยางที่พ่อขุนบางกลางหาวหรือพ่อขุนบางกลางท่าว ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงค์พระร่วงมาปกครอง เพื่อซ่องสุมผู้คนและไพร่พล รวบรวมกองทัพให้เข้มแข็ง  ก่อนจะไปยึดเมืองสุโขทัย จากความเชื่อดังกล่าวทำให้มีตำนานสถานที่ต่างๆ ของนครไทย ที่เกี่ยวข้องกับชีวประวัติของพ่อขุนบางกลางหาวแห่งกรุงสุโขทัยอยู่หลายเรื่อง


         
  ในหน้าประวัติศาสตร์ยุคสงครามเย็น คือ นครไทยคือพื้นที่สีแดงที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พ.ค.ท.) ใช้พื้นที่ภูหินร่องกล้า เป็นฐานกำลังขนาดใหญ่ซ่องสุมผู้คนต่อสู้อำนาจรัฐบาลไทยในช่วง พ.ศ.2511-2525 มีคนไทยต่างอุดมการณ์ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากในสมรภูมิแห่งนี้ ภายหลังที่การต่อสู้อันนองเลือดสงบลง อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ท้องที่ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย ก็กลายเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงในลำดับต้นๆ ของประเทศไทย มีแขกมาเยี่ยมเยียนในฤดูหนาวอย่างล้นหลาม

 

 

ขออนุญาตเจ้าของภาพนะครับ ภาพนี้ ฮ.ฮวอี้กำลังลำเลียงทหาร
ไปสมรภูมิเขาค้อ ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากภูหิืนร่องกล้ามากนัก

 

 

บนสมรภูมิภูหินร่องกล้า มีหลายยุทธการที่ใช้โจมดี ผกค.
ผมชอบใช้คำว่า  "นครไทยในยุคสงครามเย็น" ผมว่ามันเท่ห์มาก.....ว่ามั้ย 
 
 
 


 

ต้องขอบคุณเจ้าของภาพมากครับ ที่ให้ผมละเมิดเอาภาพนี้มาลง
ขอให้คิดเสียว่า ยังไงนครไทยมันก็บ้านผมเอง

 

 

 
        แคว้นโยนกเชียงแสน (พ.ศ. 1661 - 1731)


โอรสของพระเจ้า พีล่อโก๊ะ องค์หนึ่ง ชื่อพระเจ้าสิงหนวัติ ได้มาสร้างเมืองใหม่ขึ้นทางใต้ ชื่อเมืองโยนกนาคนคร เมืองดังกล่าวนี้อยู่ในเขตละว้า หรือในแคว้นโยนก เมื่อประมาณปี พ.ศ.1111 เป็นเมืองที่สง่างามของย่านนั้น ในเวลาต่อมาก็ได้รวบรวมเมืองที่อ่อนน้อมตั้งขึ้นเป็นแคว้น ชื่อโยนกเชียงแสน มีอาณาเขตทางทิศเหนือตลอดสิบสองปันนาทางใต้จดแคว้นหริภุญชัย มีกษัตริย์สืบเชื้อสายต่อเนื่องกันมา จนถึงสมัยพระเจ้าพังคราชจึงได้เสียทีแก่ขอมดังกล่าวแล้ว


อย่างไรก็ตาม พระเจ้าพังคราช ตกอับอยู่ไม่นานนัก ก็กลับเป็นเอกราชอีกครั้งหนึ่งด้วยพระปรีชาสามารถของพระโอรสองค์น้อย คือ พระเจ้าพรหม ซึ่งมีอุปนิสัยเป็นนักรบ และมีความกล้าหาญ ได้สร้างสมกำลังผู้คน ฝึกหัดทหารจนชำนิชำนาญ แล้วคิดต่อสู้กับขอม ไม่ยอมส่งส่วยให้ขอม เมื่อขอมยกกองทัพมาปราบปราม ก็ตีกองทัพขอมแตกพ่ายกลับไปและยังได้แผ่อาณาเขตเลยเข้ามาในดินแดนขอม ได้ถึงเมืองเชลียง และตลอดถึงลานนา ลานช้าง แล้วอัญเชิญพระราชบิดา กลับไปครองโยนกนาคนครเดิม แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่ว่าชัยบุรี ส่วนพระองค์เองนั้นลงมาสร้างเมืองใหม่ทางใต้ชื่อเมืองชัยปราการ ให้พระเชษฐา คือ เจ้าทุกขิตราช ดำรงตำแหน่งอุปราช นอกจากนั้นก็สร้างเมืองอื่นๆ เช่น เมืองชัยนารายณ์ นครพางคำ ให้เจ้านายองค์อื่นๆ ปกครอง


เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าพังคราช พระเจ้าทุกขิตราช ก็ได้ขึ้นครองเมืองชัยบุรี ส่วนพระเจ้าพรหมและโอรสของพระองค์ก็ได้ครองเมืองชัยปราการต่อมา ในสมัยนั้นขอมกำลังเสื่อมอำนาจ จึงมิได้ยกกำลังมาปราบปราม ฝ่ายไทยนั้น แม้กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ก็คงยังไม่มีกำลังมากพอที่จะแผ่ขยาย อาณาเขตลงมาทางใต้อีกได้ ดังนั้นอาณาเขตของไทยและขอมจึงประชิดกันเฉยอยู่


เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าพรหม กษัตริย์องค์ต่อๆ มาอ่อนแอและหย่อนความสามารถ ซึ่งมิใช่แต่ที่นครชัยปราการเท่านั้น ความเสื่อมได้เป็นไปอย่างทั่วถึงกันยังนครอื่นๆ เช่น ชัยบุรี ชัยนารายณ์ และนครพางคำ ดังนั้นในปี พ.ศ.1731 เมื่อมอญกรีฑาทัพใหญ่มารุกรานอาณาจักรขอมได้ชัยชนะแล้ว ก็ล่วงเลยเข้ามารุกรานอาณาจักรไทยเชียงแสน ขณะนั้นโอรสของพระเจ้าพรหม คือ พระเจ้าชัยศิริ ปกครองเมืองชัยปราการ ไม่สามารถต้านทานศึกมอญได้ จึงจำเป็นต้องเผาเมือง เพื่อมิให้พวกข้าศึกเข้าอาศัย แล้วพากันอพยพลงมาทางใต้ของดินแดนสุวรรณภูมิ จนกระทั่งมาถึงเมืองร้างแห่งหนึ่งในแขวงเมืองกำแพงเพชร ชื่อเมืองแปป ได้อาศัยอยู่ที่เมืองแปปอยู่ห้วงระยะเวลาหนึ่งเห็นว่าชัยภูมิไม่สู้เหมาะ เพราะอยู่ใกล้ขอม จึงได้อพยพลงมาทางใต้จนถึงเมืองนครปฐมจึงได้พักอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น


ส่วนกองทัพมอญ หลังจากรุกรานเมืองชัยปราการแล้ว ก็ได้ยกล่วงเลยตลอดไปถึงเมืองอื่น ๆ ในแคว้นโยนกเชียงแสน จึงทำให้พระญาติของพระเจ้าชัยศิริ ซึ่งครองเมืองชัยบุรี ต้องอพยพหลบหนีข้าศึกเช่นกัน ปรากฎว่าเมืองชัยบุรีนั้นเกิดน้ำท่วม บรรดาเมืองในแคว้นโยนกต่างก็ถูกทำลายลงหมดแล้ว พวกมอญเห็นว่าหากเข้าไปตั้งอยู่ก็อาจเสียแรง เสียเวลา และทรัพย์สินเงินทองเพื่อที่จะสถาปนาขึ้นมาใหม่ ดังนั้นพวกมอญจึงยกกองทัพกลับ เป็นเหตุให้แว่นแคว้นนี้ว่างเปล่า ขาดผู้ปกครองอยู่ห้วงระยะเวลาหนึ่ง


ในระหว่างที่ฝ่ายไทย กำลังระส่ำระสายอยู่นี้ เป็นโอกาสให้ขอมซึ่งมีราชธานีอุปราชอยู่ที่เมืองละโว้ ถือสิทธิ์เข้าครองแคว้นโยนก แล้วบังคับให้คนไทยที่ตกค้างอยู่นั้นให้ส่งส่วยให้แก่ขอม ความพินาศของแคว้นโยนกครั้งนี้ ทำให้ชาวไทยต้องอพยพแยกย้ายกันลงมาเป็นสองสายคือ สายของพระเจ้าชัยศิริ อพยพลงมาทางใต้ และได้อาศัยอยู่ชั่วคราวที่เมืองแปปดังกล่าวแล้ว ส่วนสายพวกชัยบุรีได้แยกออกไปทางตะวันออกของสุโขทัย จนมาถึงเมืองนครไทย จึงได้เข้าไปตั้งอยู่ ณ เมืองนั้นด้วยเห็นว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิเหมาะสมเพราะเป็นเมืองใหญ่และตั้งอยู่สุดเขตของขอมทางเหนือ ผู้คนในเมืองนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นชาวไทย อย่างไรก็ตามในชั้นแรกที่เข้ามาตั้งอยู่นั้น ก็คงต้องยอมขึ้นอยู่กับขอม ซึ่งขณะนั้นยังมีอำนาจอยู่


ในเวลาต่อมาเมื่อคนไทยอพยพลงมาจากน่านเจ้าเป็นจำนวนมาก ทำให้นครไทยมีกำลังผู้คนมากขึ้น ข้างฝ่ายอาณาจักรลานนาหรือโยนกนั้น เมื่อพระเจ้าชัยศิริทิ้งเมืองลงมาทางใต้ แล้วก็เป็นเหตุให้ดินแดนแถบนั้นว่างผู้ปกครองอยู่ระยะหนึ่ง แต่ในระยะต่อมาชาวไทยที่ค้างการอพยพ อยู่ในเขตนั้นก็ได้รวมตัวกัน ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นหลายแห่งตั้งเป็นอิสระแก่กัน บรรดาหัวเมืองต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นที่นับว่าสำคัญ มีอยู่สามเมืองด้วยกัน คือ นครเงินยาง อยู่ทางเหนือ นครพะเยา อยู่ตอนกลาง และเมืองหริภุญไชย อยู่ลงมาทางใต้ ส่วนเมืองนครไทยนั้นด้วยเหตุที่ว่ามีที่ตั้งอยู่ปลายทางการอพยพ และอาศัยที่มีราชวงศ์เชื้อสายโยนกอพยพมาอยู่ที่เมืองนี้ จึงเป็นที่นิยมของชาวไทยมากกว่าพวกอื่น จึงได้รับยกย่องขึ้นเป็นพ่อเมือง ที่ตั้งของเมืองนครไทยนั้นสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมืองเดียวกันกับเมืองบางยาง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ มีเมืองขึ้น และเจ้าเมืองมีฐานะเป็นพ่อขุน


เมื่อบรรดาชาวไทย เกิดความคิดที่จะสลัดแอก ของขอมครั้งนี้ บุคคลสำคัญในการนี้ก็คือ พ่อขุนบางกลางท่าว ซึ่งเป็นเจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดได้ร่วมกำลังกันยกขึ้นไปโจมตีขอม จนได้เมืองสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมไว้ได้ เมื่อปีพ.ศ.1800 การมีชัยชนะของฝ่ายไทยในครั้งนั้น นับว่าเป็นนิมิตหมายเบื้องต้น แห่งความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทยและเป็นลางร้ายแห่งความเสื่อมโทรมของขอม เพราะนับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา ขอมก็เสื่อมอำนาจลงทุกที จนในที่สุดก็สิ้นอำนาจไปจากดินแดนละว้าแต่ยังคงมีอำนาจปกครองเหนือลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนใต้อยู่

 

 

 

 

 

ต้นจำปาขาว


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Michelia champaca Linn (ข้อมูลฯ คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์)

เมืองบางยาง ซึ่งพ่อขุนบางกลางหาว ได้รวบรวมซ่องสุมไพร่พลแล้ว ร่วมกับ พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองลาด(เพชรบูรณ์) ยกทัพไปตีเมือง ศรีสัชนาลัยและเมืองสุโขทัย จากขอม แล้วสถาปนาเป็น "พ่อขุนศรี อินทราทิตย์ ปฐมกษัตริย์ "ราชวงศ์พระร่วง"แห่งอาณาจักรสุโขทัย ขึ้น ทุกวันนี้ ที่วัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย ห่างจาก ที่ว่าการ อำเภอนครไทย มีต้นจำปาขาว ซึ่งชาวนครไทย เชื่อกันว่า มีอายุกว่า 700 ปี มีตำนานว่าเป็นต้นไม้ ที่พ่อขุนบางกลางหาว ตั้งสัตยาธิฐานว่า ถ้าตีเมือง สุโขทัยสำเร็จ ขอให้ต้นจำปาขาวไม่ตาย และให้ออกดอก เป็นสีขาว ซึ่งก็เป็นตาม ดั่งคำอธิฐาน

นอกจากนี้ สมเด็จกรมพระดำรงค์ราชานุภาพ ได้ทรงบันทึก เรื่องราวของต้นจำปาขาวว่า:- "พ่อขุนบางกลางหาวเจ้าเมืองบางยาง ทรงปลูกไว้เป็นอนุสรณ์ คู่เมืองของ เมืองนครบางยาง ซึ่งได้ปลูกไว้ที่วัดๆ หนึ่งทางทิศตะวันตกของพระอุโบสถ วัดดังกล่าวนี้ ปัจจุบันก็คือ "วัดกลาง" ดังนั้น จึงประมาณได้ว่า ต้นจำปาขาว ปลูกก่อนปี พ.ศ. 1806 หม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล พระธิดาของสมเด็จกรมพระดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จอำเภอนครไทย เมื่อเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2499 ได้ตรัสถามว่า "ต้นจำปาขาว ที่อยู่ทาง ทิศตะวันตก ของพระอุโบสถวัดกลาง ห่าง 7 วา นั้นอยู่ไหม" และได้เสด็จทอดพระเนตรต้น จำปาขาว

ลักษณะต้นจำปาขาว


ต้นจำปาขาว มีความแตกต่างจากต้นจำปาอื่น ๆ คือ
ต้นจำปาทั่วไป จะมีดอกเป็นสีเหลือง แต่จำปาต้นนี้ ออกดอกเป็นสีขาวนวล มีกลิ่นหอมฟุ้ง ทั่วบริเวณ วัดและถ้านำกล้า จำปาขาว ไปปลูกที่อื่นก็จะมีดอกเป็นสีเหลืองเหมือนดอกจำปา ทั่วไป หรือจะ กลายพันธุ์ และเท่าที่ทราบ จากเจ้าคณะตำบลนครไทยหรือเจ้าอาวาสวัดกลาง ว่า ต้นจำปาขาวนั้น ชอบแสงแดด มีลักษณะทั้งต้นและใบจะมีกลิ่นหอมจัด และใบจะมีขน ส่วนจำปา ทั่วไป จะมีกลิ่นดอก สีดอกจำปาบางพันธุ์ จะมีสีเหลืองนวล ทำให้ ้บางคนคิดว่า เป็นจำปาขาว ต้นจำปาขาวได้หน่วยงาน หลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ ได้ทำการทดลองขยายพันธุ์ ในวิธี การต่าง ๆ เช่น เพาะเนื้อเยื่อ ขยายพันธุ์แต่ไม่ได้ ส่วนทางวัดกลาง ศรีพุทธารามและ สำนักงาน เกษตร อำเภอนครไทย ได้เพาะต้นจำปาขาว ด้วยเมล็ดได้ผลเพียง ประมาณร้อยละ 10-20 เท่านั้น ในการเพาะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ถึงจะงอกและต้อง เลี้ยงไว้ประมาณ 1 ปี จึงจะแยกต้นออก มาปลูกได้ ในการปลูกใช้ดินร่วนปนทราย เพื่อเลี้ยงราก ให้งอกออกโดยง่าย ต้องใช้เวลาปลูก ประมาณ 3 ปี โดยประมาณ ลำต้นจะสูงประมาณ 10 เมตร และถึงจะออกดอก สำหรับต้นลูก ที่ทางวัดได้เพาะและ ปลูกไว้บริเวณกุฏิพระมีลักษณะกลายพันธุ์ คือ ดอกจะเล็กกว่าต้นแม่ มีต้นที่อยู่ติดกับต้นแม่เท่านั้น ที่มีลักษณะเหมือนกับต้นแม่ ส่วนต้น จำปาขาว ที่นำไปปลูกที่อื่น ยังไม่ได้ข่าวว่า มีดอก เช่น ที่จังหวัด ระยองยังไม่มีดอก ต้นจำปาขาว หนอนชอบเจาะกิ่ง ต้องตัดออก โดยไม่ใช้ยา สารเคมี และลักษณะพิเศษ ของต้นจำปาขาว อีกอย่างหนึ่งไม่ชอบสิ่งสกปรก เช่น ปุ๋ยหมัก มูลสัตว์ เป็นต้น
การดูแล รักษา และอนุรักษ์ ต้นจำปาขาว

ปัจจุบัน ต้นจำปาขาวที่วัดกลางศรีพุทธาราม มีขนาดใหญ่ ขนาดลำต้น
วัดโดยรอบประมาณ 3 เมตรเศษ สูงประมาณ 9 - 10 เมตร แต่เนื่องจากลำต้นบางส่วนเป็น โพรง ผุกร่อน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 เป็นต้นมา และอำเภอนครไทย ได้แต่งตั้ง คณะกรรมการ อนุรักษ์ต้นจำปาขาว วัดกลาง ศรีพุทธาราม อำเภอนครไทยขึ้น เพื่อให้มีหน้าที่ดูแลรักษา และอนุรักษ์ ขยายพันธุ์ต้นจำปาขาว ปรับปรุง ดูแล จัดทำรั้วล้อมรอบ สถานที่บริเวณต้น จำปาขาว วัดกลาง ให้ดูสวยงาม และป้องกันมิให้คน และสัตว์ เข้าไปทำความ เสียหายกับต้นจำปาขาว, ศึกษา หาวิธีการ และดูแล บำรุงรักษา โพรงของต้น จำปาขาว ให้มีความเจริญงอกงาม ยั่งยืนต่อไป ตลอดจนทำการศึกษา และขยายพันธุ์ ต้นจำปาขาว
ขณะนี้ ยังปรากฎต้นจำปาขาวอยู่ ด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์
พ่อขุนบางกลางหาว ที่วัดกลาง แต่อายุมากและลำต้นผุกร่อน ทรุดโทรม เพราะแก่ต้น จังหวัดพิษณุโลก จึงให้อำเภอนครไทยแต่งตั้งคณะกรรมการอนุรักษ์ต้นจำปาขาว วัดกลางศรีพุทธารามขึ้น ตามคำสั่งที่ 583/2543 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2542 เพื่อบำรุง ดูแล รักษา อนุรักษ์ และขยายพันธุ์ ต้นจำปาขาว ตามข้อแนะนำ ของส่วนวนวัฒนวิจัย สำนักวิชาการ กรมป่าไม้ แล้วรายงานผลการดูแล รักษาให้จังหวัดทราบ ทุก ๆ ระยะ 2 เดือน

รวบรวมข้อมูลโดย ศักดิ์นิคม ขุนกำแหง ฝ่ายข้อมูลฯสำนักงานจังหวัดพิษณุโลก 1 ธันวาคม พ.ศ.2543

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       น้ำตาของคนที่ต้องการประชาธิปไตย 

 

 

 

 [Image: 1656186_572407472835045_992548081_n.jpg]

 

 [Image: 1601362_572378666171259_649056406_n.jpg]

 

 

Maysa Nitto
14:20น. มีคนมาแจ้งความ "ถูกริดรอนสิทธิ_เลือกตั้งไม่ได้" ที่สน.บางรักแล้วกว่า 300 ราย!
https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/h...2242_n.jpg

 

 

 

Wassana Nanuam

อ่านกันเอาเอง เน้อ!!!!..
ทบ.ออกโรง ยัน ฝ่ายโกตี๋ ก็มีอาวุธยิง แต่ไม่มีสื่อถ่ายภาพได้ เพราะสื่ออยู่ฝั่ง กปปส. ยก ปากคำทหารในที่เกิดเหตุ และ รายงานการสำรวจวิถีกระสุน มาจาก ฝั่ง โกตี๋ ไอที แสควร์ ด้วยเช่นกัน แต่ ทบ.ไม่ระบุว่า ฝ่ายถืออาวุธในภาพที่ปรากฏผ่านสื่อ เป็นการ์ด กปปส. แต่ใช้คำว่า "โดยบังเอิญที่ กลุ่มผู้ใช้อาวุธที่อยู่ทางฝั่งด้านแยกหลักสี่ (ทางฝั่ง กปปส.)"

พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษก ทบ. กล่าวว่า หลังการเลือกตั้ง ทหารยังคงเข้มการเฝ้าระวังเหตุ เพื่อป้องกันพยายามมิให้มีเหตุเหมือนที่แยกหลักสี่
ขณะนี้เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์โดยใช้ความเห็นของแต่ละบุคคลเพื่อชี้นำสังคมไปในทิศท​างตน จึงขอได้โปรดระมัดระวังเกรงสังคมจะสับสน
อยากให้ขั้นตอนการพิสูจน์ทราบเป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง

รองโฆษก ทบ.กล่าวว่า เหตุปะทะที่หลักสี่ นั้น ทาง ตร.กำลังดำเนินการสืบสวนกรณีที่ทั้งสองกลุ่มใช้อาวุธยิงตอบโต้กัน

"โดยบังเอิญที่ กลุ่มผู้ใช้อาวุธที่อยู่ทางฝั่งด้านแยกหลักสี่ (ทางฝั่ง กปปส.) ทาง.ตำรวจทอาศัยภาพถ่ายที่ได้จากสื่อ ที่ประจำอยู่ตรงบริเวณแยกหลักสี่ใกล้ๆเชิงสะพานกับบริเวณใต้สะพานใกล้ป้อมตำรวจพอดี จึงมีการบันทึกภาพไว้ ทาง ตร.จึงนำมาประกอบเป็นหลักฐานได้แล้วจากทางฝั่งหนึ่ง

ส่วนกลุ่มผู้ใช้อาวุธอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งในพื้นที่หลายคนได้ให้ข้อมูลว่าน่าจะเป็นกลุ่​มของนายโกตี๋ ที่รวมอยู่บริเวณหน้าห้างไอทีสแคว์ และบริเวณหน้าวัดหลักสี่ แต่บังเอิญบริเวณพื้นที่นั้นไม่ค่อยมีสื่อฯ หรือ ปชช.คนใดได้มีการบันทึกภาพไว้แล้วนำมาเผยแพร่ จึงอาจต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ เช่นการสอบพยานบุคคลหรือร่องรอยอื่นๆ

"โดยจากการสอบถามข้อมูลของ ปชช.และ จนท.ทหารที่ประจำอยู่บริเวณป้อม ตร. ระบุได้ชัดเจนว่ามีการใช้อาวุธมาจากทางฝั่งหน้าไอทีสแคว์ด้วยเช่นกัน จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้ใช้อาวุธตอบโต้กันไปมา" รองโฆษก ทบ.ระบุ

โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายทาง ผบ.ร. 11รอ.พร้อมด้วย รอง ผบก.น.2 ยังได้ร่วมกันตรวจที่เกิดเหตุพบร่อยรอยการใช้อาวุธมีมาจากหลายทิศทางโดยเฉพาะมีมาจาก​ฝั่งหน้าไอทีสแคว์ด้วยเช่นกัน
จากนี้ไปขออย่าเพิ่งด่วนสรุปขณะที่กระบวนการสืบสวนสอบสวนยังไม่ครบองค์ประกอบ จะต้องมีกระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์ก่อน คงจะประเมินโดยอาศัยภาพถ่ายที่เห็นจากทางฝั่งเดียวคงไม่ได้
ขอทุกฝ่ายเชื่อมั่นในตัว จนท.และเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม อย่าเพิ่งสรุปกล่าวโทษกันไปมา เพราะจะเป็นการขยายเพิ่มเติมความขัดแย้ง" พ.อ.วินธัย กล่าว

 

[Image: BfeDkjNCUAAtnac.jpg]

[Image: 1620702_572033889539070_1501661185_n.jpg]

[Image: 1170795_572033966205729_1603166993_n.jpg]

[Image: 1724482_572033892872403_2056093929_n.jpg]

[Image: 1800415_572034056205720_1617473040_n.jpg]

[Image: 1800336_572034069539052_1553054686_n.jpg]

[Image: 1545804_572066792869113_749593328_n.jpg]

[Image: 61327_572034112872381_1423217124_n.jpg]

[Image: 1797949_572066829535776_248556604_n.jpg]

 

[Image: 1780860_572034172872375_226507780_n.jpg]

 

 
[Image: 62362_572034119539047_1556060655_n.jpg]

[Image: 1013477_572035162872276_1817259525_n.jpg]

[Image: 1544487_572071382868654_564817541_n.jpg]

[Image: 1551552_572071446201981_1203378564_n.jpg]

[Image: 1794792_572071452868647_1848101567_n.jpg]

[Image: 1653465_572445962831196_307942571_n.jpg]

[Image: 1621736_572445996164526_1400459326_n.jpg]
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
 
หลังเลือกตั้งเสร็จวันนี้ ผลต่อสถานการณ์เป็นอย่างไร?

โดยส่วนตัว ผมว่า ก็ "ยังอยู่ทีเดิม" ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร และพูดแบบแฟร์ๆ ผมว่า ในส่วนของรัฐบาล ไม่ได้ทำให้ได้เปรียบทางการเมือ
งอะไรมากขึ้นจากเดิม

เรื่องตัวเลข มีคนลงเทาไร ไม่ได้มีผลสะเทือนอะไรมาก ในแง่ช่วยรัฐบาล

หรือในทางกลับกัน ตัวเลขวามีคนไม่ได้ลงเทาไร หรือไม่ไปใช้สิทธิ์ หรือ โหวตโน เท่าไร ก็ไม่ได้ ช่วยฝ่าย กปปส มากเป็นพิเศษ คือ ผมคิดว่า ตัว...เลขพวกนี้ สุดท้าย ก็ไม่ได้เปลี่ยนสถานการณ์อะไร

และในเมื่อ กว่าจะมีเลือกตั้ง "ล่วงหน้า" รอบสอง ก็คงปลายเดือน รายชื่อ ส.ส. บัญชีรายชื่อ (และจำนวนผู้ลงให้แต่ละพรรค) ก็ยังไม่เป็นทีรู้กันจนปลายเดือ
น

สรุปแล้ว เลือกเสร็จ ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงในแง่
สถานการณ์นัก

มองในส่วนของรัฐบาล ผมคิดว่า โดยเปรียบเทียบแล้ว ยังอยู่ในสถานะลำบากอยู่

(แม้ฝ่าย กปปส ถ้าดูจากทีต้องปิด 2 เวที ก็ลดกระแสลงไปหน่อย - แต่อันนี้ คงไม่ใช่เรื่องการเลือกตั้งโดยต
รง - ซึงก็ตรงกับทีผมเคยเดาว่า สุดท้าย กปปส คงต้อง "ลด" จำนวนเวที ลงเหลือเท่าเดิม เหมือนสมัยอยู่ราชดำเนิน เพียงแต่เปลี่ยนจากราชดำเนิน มาเป็นปทุมวัน เท่านั้น)

ผมประเมินว่า ต่อจากนี้ จะเกิดสภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ ซึงโดยรวมยังไม่เป็นผลดีต่อรัฐบ
าลเท่าไร

1. เกิดการล้มเลือกตั้ง โดยศาล รธน. หรือศาลปกครอง ฯลฯ คล้ายๆกับสถานการณ์ปี 2549 ที่มีการเลือกตั้ง 2 เมษา แล้วล้ม (หลัง พระราชดำรัส 25 เมษา)

ต้องเริ่มมีการออก พรฎ เลือกตั้งใหม่ ซึง ประเด็นก็จะกลับมาทีเหมือนตอนยุ
บสภาใหม่ๆ ว่า ปชป จะลงเลือกตั้งหรือไม่?

ในสภาพเช่นนี้ จะมีแรงกดดันต่อรัฐบาลหนักขึ้น ให้ "ยอมลง" เพื่อให้หลุดจากภาวะทางตัน

2. ไมมีการล้มเลือกตั้งโดยศาล รธน. แต่ขณะเดียวกัน เนือ่งจากการเลือกตั้ง ยังไม่ยุติ จะต้องมีการเลือก "ล่วงหน้า" รอบสอง มีการเลือกซ่อม เขตที่เลือกไมได้ หรือให้คนที่ถูกขัดขวางลงคะแนนว
ันนี้ไม่ได้ เลือกใหม่ ... กว่าจะเสร็จสิ้น ถ้าสมมุติว่า สามารถ ถูๆไถๆ ไปจนครบ ก็ตกเดือน เมษา อย่างเร็วทีสุด

เช่นเดียวกับกรณีแรก ในระหว่างนี้ ฝ่ายรัฐบาล ก็จะถูกกดดันหนัก ให้ "ยอมลง" เผื่อ "ผ่าทางตัน" เช่นกัน

ทั้ง 2 กรณีนี้ ประเมินแบบดีแล้ว ในแง่ที่ว่า เป็นเรื่อง "แรงกดดัน" ไม่ใช่การทำรัฐประหารโดยตรงของท
หาร ซึงยังไงก็ยังยากอยู่

.......

สรุปแล้ว สถานการณ์ไม่ได้เปลียนจากก่อนวั
นนี้เท่าไร แรงกดดัน ยังอยู่ทีรัฐบาลมากกว่า และความขัดแย้ง ก็ยังไม่ยุติอยู่ดี

ยกเว้นแต่ว่า จะมีปาฐิหารย์ ทั้งสองฝ่าย สามารถหันมาเจรจา และหาทาง "ยอม" กันคนละส่วน เชน่ ทางฝ่ายรัฐบาล อาจจะหมายถึง ยิ่งลักษณ์ลาออก แลกกับ ปชป ลงเลือกตั้งใหม่ (ถ้าเป็นกรณีที่ 1 ข้างบน ว่ามีการล้มเลือกตั้งนี้) อาจจะหมายถึง การตั้งรัฐบาลร่วมชัวครว คือให้คนของ ปชป เข้าไปมีบทบาทรักษาการณ์ร่วมด้ว
ย

 

 

 

 

 

 

 

 

*************************************

 

 

 

 

 

              ซุนยัดเซน บิดาประชาธิปไตยจีน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

        สิ่งห้ามทำในวันตรุษจีน 2557

 

 

 

 

ตรุษจีน


 

 

โดยกระปุกดอทคอม

          วันตรุษจีน 2557 ตรงกับวันที่ 31 มกราคม วันนี้เรรมี 7 คำถามยอดฮิตวันตรุษจีน 2014 มาฝาก

          ผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่แบบสากลไปแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ซึ่งก็คึกคักไม่แพ้เทศกาลปีใหม่ของชาติไหนเลยล่ะ เพราะลูกหลานแดนมังกรกระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก รวมถึงในประเทศไทยเองก็มีชาวไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก กระปุกดอทคอม ก็เลยหยิบ 7 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับเทศกาลตรุษจีน 2557 ที่หลายคนถามไถ่กันในตอนนี้มาตอบให้ทุกคนได้รู้กัน มาดูกันว่ามีคำถามอะไรบ้าง

1. วันตรุษจีน 2557 ตรงกับวันที่เท่าไหร่ หยุดกี่วัน?

          ใครที่กำลังพลิกปฏิทินหาอยู่ล่ะก็ ฟังทางนี้เลยจ้า สำหรับวันตรุษจีน 2557 นี้ ตรงกับวันศุกร์ ที่ 31 มกราคม 2557 นั่นเอง ซึ่งวันตรุษจีนไม่ถือเป็นวันหยุดราชการนะ แต่ตามบริษัทห้างร้านของคนจีนอาจจะอนุญาตให้ลูกจ้างได้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน ถือเป็นวันหยุดพักผ่อนพิเศษสำหรับคนจีน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าบริษัทไหน หรือร้านไหนจะกำหนดให้หยุดได้กี่วัน

2. วันตรุษจีน 2557 วันจ่าย วันไหน?

          ตามธรรมเนียมของคนจีนแล้ว วันจ่าย หรือ ตื่อเส็ก จะเป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปหาซื้ออาหาร ผลไม้ เครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ มาเตรียมพร้อมไว้ ก่อนที่ร้านค้าต่าง ๆ จะหยุดยาวในช่วงวันตรุษจีน ซึ่งจะตรงกับวันก่อนวันสิ้นปี โดยในปี 2557 นี้ วันจ่าย ก็คือวันพุธ ที่ 29 มกราคม

3. ตรุษจีน 2557 วันไหว้ วันไหน?

          วันไหว้ของเทศกาลตรุษจีนก็คือ "วันสิ้นปี" ซึ่งจะเป็นวันที่มีการไหว้เทพเจ้าต่าง ๆ ด้วยอาหาร ผลไม้ เครื่องเซ่นไหว้ ฯลฯ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยในปี 2557 นี้ วันไหว้ตรุษจีน ก็คือ วันพฤหัสบดี ที่ 30 มกราคม

 



ตรุษจีน

 

 


4. วันตรุษจีน 2557 วันเที่ยว วันไหน?

          วันเที่ยวสำหรับชาวจีนก็คือ "วันปีใหม่" หรือ "วันตรุษจีน" วันที่ 31 มกราคม นั่นเอง และเป็น "วันถือ" ด้วย โดยในวันนี้ชาวจีนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม พากันออกไปท่องเที่ยว และไปไหว้ขอพรญาติผู้ใหญ่ หรือผู้ที่เคารพรัก ชาวจีนจะถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งสิริมงคล และงดทำบาปทั้งปวง

5. ตรุษจีน 2557 ควรไหว้อะไร ของไหว้วันตรุษจีน มีอะไรบ้าง?

          การเลือกอาหารไหว้ตรุษจีนนั้น ชาวจีนจะเลือกสรรอาหารที่มีความหมายมงคล ไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ หรือ เนื้อสัตว์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ของไหว้วันตรุษจีน มักจะประกอบด้วย

           - ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ยศ และความขยันขันแข็ง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องเป็นไก่เต็มตัว หมายถึง มีหัว ตัว ขา ปีก มีความหมายถึง ความสมบูรณ์

          - เป็ด หมายถึง สิ่งบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย

          - ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์

          - หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้

          - ปลาหมึก หมายถึง เหลือกิน เหลือใช้ (เหมือนปลา)

          - บะหมี่ยาว หรือหมี่ซั่ว หรือ ฉางโซ่วเมี่ยน ตามชื่อหมายถึง อายุยืนยาว

          - เม็ดบัว หมายถึง การมีบุตรชายจำนวนมาก

          - ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน

          - สาหร่ายทะเลสีดำ หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย

          - หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก

          - กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง
         
          - แอปเปิล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ

          - สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)

          - ส้มสีทอง หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล

          - องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน

          อย่างไรก็ตามที่ต้องระวังก็คือ "เต้าหู้ขาว" ซึ่งแม้จะเป็นอาหารที่ชาวจีนนิยมรับประทาน แต่ชาวจีนจะไม่นำเต้าหู้ขาวมาใช้เป็นของไหว้ตรุษจีนเด็ดขาด เพราะสีขาวเป็นสีสำหรับงานโศกเศร้า ไม่เหมาะกับวันตรุษจีนซึ่งเป็นวันมงคล

          นอกจากอาหารคาว และผลไม้แล้ว ชาวจีนก็ยังนิยมเลือกขนมหวานมาไหว้ตรุษจีนด้วย โดยขนมหวานที่เราพบเห็นได้บ่อยในการไหว้ตรุษจีน ก็คือ

          - ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

          - ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์
         
          - ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต

          - ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู

          - ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู

          - ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค

          - จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป

 



 

 


 6. ข้อห้ามวันตรุษจีน วันตรุษจีนห้ามทำอะไรบ้าง?

          ชาวไทยเชื้อสายจีนในหลาย ๆ บ้านที่เคร่งครัดธรรมเนียมปฏิบัติมาก ๆ จะยึดคติความเชื่อบางอย่างที่จะไม่ทำกันในวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ดังเช่น

          - ไม่ทำงานบ้าน ไม่จับไม้กวาด ไม่ทำความสะอาด เช่น การซักล้าง หรือ การกวาดบ้านปัดฝุ่น เพราะเชื่อว่าการปัดกวาด ซักล้างนี้เป็นการขับไล่ความโชคดีออกไป ดังนั้น คนจีนมักจะทำความสะอาดบ้านตั้งแต่ก่อนที่วันขึ้นปีใหม่จะมาถึง

          - ไม่สระผม คนจีนถือว่าการสระผมเป็นการชะล้างความโชคดีที่จะมาถึงในช่วงวันขึ้นปีใหม่ จึงจะไม่สระผมในวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายของวันขึ้นปีใหม่

          - ไม่ใช้ของมีคม ไม่ว่าจะเป็นมีด, กรรไกร, ที่ตัดเล็บ เพราะเหมือนกับว่าเป็นการตัดสิ่งที่ดี หรืออนาคตที่ดีที่จะนำมาในวันขึ้นปีใหม่

          - หลีกเลี่ยงการโต้เถียง ไม่พูดคำที่มีความหมายในทางลบ เช่น คำที่มีความหมายไม่ดี คำที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยหรือความตาย เพราะถือว่าไม่เป็นสิริมงคล นอกจากนี้ชาวจีนยังหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานศพ และการฆ่าสัตว์ปีกไป

          - ห้ามซุ่มซ่าม ชาวจีนถือว่าการเดินสะดุด หรือทำสิ่งของตกแตกในช่วงวันขึ้นปีใหม่ หมายถึงการงานสะดุด และนำความโชคไม่ดีเข้ามาในอนาคต

7. ตัวอย่าง คําอวยพรตรุษจีน มีอะไรบ้าง?

          ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้เราคงได้ยินคำอวยพรที่ว่า "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" กันจนเบื่อ เลยอยากจดจำประโยคใหม่ ๆ ไว้ใช้อวยพรคนอื่นเขาบ้าง เอ้า...งั้นลองมาดูประโยคตัวอย่างต่อไปนี้แล้วจำไปพูดกันเลยจ้า

          - ซินเหนียนไคว่เล่อ ... ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่
          - กงเฮ่อซินเหนียน ... สุขสันต์วันปีใหม่
          - ต้าจี๋ต้าลี่ ... ค้าขายได้กำไร
          - เจาไฉจิ้นเป่า ... เงินทองไหลมาเทมา ทรัพย์สมบัติไหลเข้าบ้าน
          - จินอวี้หม่านถัง ... ร่ำรวยเงินทอง ทองหยกเต็มบ้าน
          - ไฉหยวนกว่างจิ้น ... เงินทองไหลมาเทมา
          - เหนียนเหนียนโหย่วอวี๋ ... เหลือกินเหลือใช้ทุกปี
          - ฝูโซ่วว่านว่านเหนียน ... อายุยืนหมื่น ๆ ปี
          - หลงหม่าจินเสิน ... สุขภาพแข็งแรง
          - ห่าวยวิ่นเหนียนเหนียน ...โชคดีตลอดไป


           

 

 

 

 

 

 

 

 

 เหตุเกิดที่ฐานทัพเรือสัตหีบ “ปูเน่า”บังอาจตีตนเสมอเจ้า

 

 

 

 

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 28 มกราคม 2557 21:29 น.

 

 **พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กลายเป็นสุภาพบุรุษนักรบทหารเรือไปชั่วข้ามคืน หลังออกมาแสดงความเห็นจุดยืนที่โดนใจและถูกใจประชาชนที่รักประเทศชาติบ้านเมือง


        ก่อนหน้านี้ถูกตั้งข้อสงสัยจากหลายฝ่ายเมื่อมีทหารเรือใต้บังคับบัญชากลายเป็นผู้ต้องสงสัย เป็นมือวางระเบิดใส่กลุ่ม กปปส. แต่ในฐานะผู้บังคับบัญชาพล.ร.ต.วินัย แอ่นอกรับและการันตีว่า เป็นเพียงการไปปฏิบัติภารกิจติดตามแก้ปัญหายาเสพติด


        ย้ำว่าไม่เคยต้องการให้ประชาชนฆ่ากัน เพราะประชาชนก็เป็นเหมือนนายของพวกตน เนื่องจากทหารเรือกินเงินภาษีประชาชน


        "ผมยืนยันว่า ทหารเรือเป็นทหารของชาติ ของในหลวง และของประชาชน เราจะไม่ฆ่าคนไทยถึงแม้เขาจะคิดต่าง แต่การที่เอากำลังต่างชาติมาฆ่าคนไทย เมื่อปี พ.ศ.2553 นั้น เป็นสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้ ซึ่งการกระทำครั้งนี้หน่วยก็มีหลักฐานแน่ชัด ที่ผ่านมาการปฏิบัติงานของหน่วยถือเป็นชั้นความลับสุดยอด ลับถึงขั้นต้องให้ตายไปกับตัว ไม่เคยทำเพื่อโปรโมตตัวเอง หรือต้องการลาภยศ สรรเสริญ โดยพร้อมจะทำเพื่อชาติ และประชาชน โดยไม่หวั่นว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ประเทศชาติต้องมาก่อน และลูกหลานของเราในอนาคตจะอยู่อย่างดี และมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เป็นขี้ข้า หรือเป็นทาสของใคร พร้อมจะยืนเคียงข้างประชาชน”


        วรรคทองสุดประทับใจของ ผบ.หน่วย SEALกลายเป็นวีรบุรุษที่ออกมายืนเคียงข้างมวลมหาประชาชน กล้าแสดงความเห็นตีแสกหน้าใครต่อใคร ร้อนไปถึงแก๊งแดงเผาเมือง ต้องรีบออกมาแก้ตัวแก้ต่างพัลวันเหมือนหมาโดนน้ำร้อนลวก เมื่อถูกพาดพิงไปถึงเหตุการณ์ปี 2553 ที่เอากำลังต่างชาติ หรือพวกเขมรมาฆ่าคนไทย !!


        มีเรื่องเล่าลือนินทากันให้แซ่ดว่า ทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพเรือรับรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ จอมฉุยฉายตีกรรเชียง ใครจะรู้ว่ามีพฤติกรรมต่ำช้าจาบจ้วงเช่นไร


        **พฤติกรรมของยิ่งลักษณ์ สร้างความไม่พอใจให้คนในกองทัพเรืออย่างมาก พล.ร.ท.วินัย เป็นหนึ่งในผู้ที่รับรู้เรื่องราวดี เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งระหว่างที่นายกฯยิ่งลักษณ์ไปเยี่ยมฐานทัพเรือที่สัตหีบ และต้องพักค้างแรม ปรากฏว่ายิ่งลักษณ์ไปเห็นเรือนรับรองหลังหนึ่ง แล้วถูกใจมาก ต้องการพักในที่แห่งนั้น


       แต่ทว่าเรือนรับรองดังกล่าว เป็นเรือนรับรองที่มีไว้เฉพาะพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปใช้


        ทางกองทัพเรือก็ยืนยันกับนายกฯยิ่งลักษณ์ไปหลายรอบว่า ไม่สามารถให้พักได้ แต่นายกฯไม่ยอมยืนยันจะขอพักที่นั่นให้ได้เท่านั้น ทำให้กองทัพเรือก็ไม่พอใจอย่างมาก เพราะถือเป็นการกระทำที่ตีตนเสมอเจ้า เปรียบเสมือนสมัยทักษิณ กรณีเข้าไปใช้วัดพระแก้ว ทำตัวตีตนเสมอเจ้าคล้ายๆ กัน


        ** ติฉินนินทากันไปทั่วพี่เป็นยังไง น้องก็เป็นอย่างงั้น เชื้อไม่ทิ้งแถว เชื้อชั่วตายยาก !!


        วันนี้ต้องช่วยกันเปิดโปงพฤติกรรมดำด่าง ชั่วช้าของระบอบทักษิณ และเครือข่ายให้ล่อนจ้อน ล่าสุดก็มี ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ที่ออกมาแฉความชั่วร้ายของทักษิณได้อย่างถึงแก่น ลงลึก ไส้กี่ขดก็เห็นแล้วเลวอย่างไร ต่อไปก็ต้องสาวไส้ยิ่งลักษณ์กันออกมาให้ประชาชนดูจนหมดเปลือก จะได้เข้าใจเสียที ที่หลงใหลได้ปลื้มกันนัก สร้างภาพกันไว้อย่างไร


        **โกหกตอแหลทั้งนั้น!!!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                 เเมงเม่าก็คือปลวกนั่นเอง


 

 

1 ชนิดและประเภทของ ปลวก 

 

การจำแนก ปลวก อย่างกว้างๆ แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ ปลวกที่อาศัยอยู่ในดิน และ ปลวกที่ไม่อาศัยอยู่ในดิน ปลวกอาศัยอยู่ในดิน จำแนกได้เป็น 5 พวก คือ

 

  1. ปลวก ใต้ดิน (Subterranean termites) พวกนี้จะอาศัยอยู่ในดินเกือบตลอดอายุของมันแม้ว่าจะออกจากผิวดินไปแล้ว ก็ยังมีการติดต่อกับพื้นดินอยู่ โดยการทำอุโมงค์ทางเดินด้วยดินไปสู่แหล่งอาหารต่าง ๆ ที่อยู่เหนือดิน นอกจากนี้อุโมงค์ทางเดินยังเป็นเครื่องป้องกันอันตรายจากศัตรู เช่น มด
  2. ปลวก ที่อยู่ตามจอมปลวก (Mound-building termites)เป็นปลวกที่สร้างรังหรืออาณาจักรขนาดใหญ่ อยู่บนพื้นดินโดยใช้เม็ดดินเล็ก ๆ สร้างขึ้นเป็นเนินสูงใหญ่ที่เรียกว่า จอมปลวก จะพบเห็นทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเซีย อาฟริกา และออสเตรเลีย
  3. ปลวก ที่อยู่ตามรังขนาดเล็ก (Carton-nest-building termites) รังของ ปลวก ชนิดนี้ เกิดจากมูลของ ปลวก ผสมกับเศษไม้เล็กๆ และสร้างเป็นรังที่มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไป อาจจะอยู่ในดิน บนพื้นดินหรือเหนือพื้นดิน เช่น ตามต้นไม้ เสาไฟ หรืออาคารบ้านเรือน
  4. ปลวก ไม้แห้ง (Dry-wood termites) เป็นพวกที่มีอาณาจักรหรือรังเล็กกว่า ปลวก ใต้ดิน อาศัยอยู่ในเนื้อไม้ และจะไม่ลงไปในดิน ปลวก ชนิดนี้ต้องการความชื้นในไม้แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเป็นพวกที่ทำความเสียหายร้ายแรงต่ออาคารบ้านเรือนและเครื่องเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ
  5. ปลวก ไม้ชื้น (Damp-wood termites) อาศัยอยู่ในเนื้อไม้ที่มีความชื้นสูง เช่น เปลือกไม้ ไม้ซุง หรือไม้ที่ผุแล้ว ห้องที่มีความชื้นและความเย็น นับว่า เป็นสถานที่เหมาะสม สำหรับ ปลวก ประเภทนี้อาศัยอยู่ ตามปกติแล้ว เป็น ปลวก ที่ไม่มีอันตรายต่ออาคารบ้านเรือนมากนัก

 

 

ปลวก เป็นแมลงที่อยู่เป็นหมุ่สังคมประกอบด้วยวรรณะต่างๆ รวม 3 วรรณะ และมีหน้าที่แตกต่างกันไป

 

  • ปลวก สืบพันธุ์
    คือปลวกตัวผู้และตัวเมีย มีปีกและเพศดังแมลงอื่นๆ ทั่วไป ตามปกติ ในรังหรือ อาณาจักรจะพบปลวกคู่นี้ทำหน้าที่ผสมพันธุ์และสืบพันธุ์ ตัวผู้เรียกว่าราชาปลวก และตัวเมียเรีย กว่า ราชินีปลวก ออกไข่เกิดเป็น ปลวก ชนิดต่างๆ ในรัง นอกจากนี้ ปลวก สืบพันธุ์ยังมีหน้าที่ กระจาย พันธ ุ์และสร้างอาณาจักรใหม่เกิดขึ้นอีกด้วย ปลวกชนิดนี้มีปีกทั้งตัวผู้และตัวเมียเรียกว่าแมลงเม่า เมื่อจับคู่ผสมพันธุ์แล้วจะสลัดปีก และเลือกสถานที่เหมาะสมเพื่อสร้างรัง และเกิดเป็นอาณาจักร ใหม่ต่อไป
  • ปลวก งาน
    เป็น ปลวก ตัวเล็กไม่มีปีก ไม่มีเพศ และไม่มีตา อาศัยอยู่ในดินหรือเนื้อไม้ ที่มันกัด และทำลาย มีหน้าที่ก่อสร้าง หาอาหารมาเลี้ยงปลวกวรรณะอื่นๆ ปลวกชนิดนี้จะทำงาน ทุกอย่าง ภายในรัง
  • ปลวก ทหาร
    เป็น ปลวก ตัวเล็กแต่มีหัวโต และขากรรไกรขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการต่อสู้ ไม่มีปีก ไม่มีตา และไม่มีเพศ ปลวกชนิดนี้มีหน้าที่ปกป้องอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับรัง ศัตรูสำคัญของมัน คือ มด

 

 

การสร้างรังหรืออาณาจักรของปลวกแต่ละชนิด จะมีแบบแผนที่แน่นอน แต่แตกต่างตามพันธุ์ และภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม

 

  • การเกิดอาณาจักร
    แมลงเม่ามักจะออกมาให้เราได้พบเห็นในบางโอกาสของปี ซึ่งเป็นช่วง ระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อตัวผู้และตัวเมียจับคู่ผสมพันธุ์ ชนิดปลวกไม้แห้งก็จะหารอยแตกแยกของ เนื้อไม้ เพื่อสร้างรังใหม่ ชนิดปลวกใต้ดินก็จะหาแหล่งดินในบริเวณใกล้ ๆ แหล่งอาหาร เช่น บริเวณเศษไม้หรือรากไม้ในดินเพื่อสร้างรังใหม่ 
  • การขยายอาณาจักร
    เมื่อถึงฤดูกาลที่เหมาะสม แมลงเม่า จะบินออกจากรัง ภูมิประเทศ สิ่งแวดล้อมและเผ่าพันธุ์ จะทำให้แมลงเม่าออกจากรักต่างวาระกัน ในภูมิอากาศที่ร้อน แมลงเม่า จะออกจากรังช่วงเวลาหลังฤดูฝน แมลงเม่าเหล่านี้จะบินเข้าอาคารเพื่อรับความอบอุ่นจากแสงไฟ หรือแสงอาทิตย์ และทำความรำคาญให้กับเรา แมลงเม่าแต่ละคู่เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะเลือกสถานที่ สร้างรังใหม่ และภายใน 2-3 วันจะเริ่มวงไข่ครั้งแรกๆ จะมีไข่ไม่กี่ฟองแต่ต่อไปจะเพิ่มจำนวนไข่ มาก ขึ้นเรื่อยๆ ตลอดอายุการเจริญเติบโต ของมันไข่จะฟักออกเป็นตัวอ่อนภายใน 30-50 วันและ ตัวอ่อนจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนมากจะเป็นปลวกที่อยู่ในวรรณะ ปลวกทหาร และ ปลวกงาน แมลงเม่า คู่แรกที่สร้างรังจะเจริญเติบโตเป็นราชาปลวก และ ราชินีปลวก มีอายุยืนยาว และมีจำนวนไข่มากกว่า 30,000 ฟองต่อวัน จำนวนประชากรของปลวกในอาณาจักรหนึ่งๆ มี มาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ และแหล่งอาหาร

 

ปลวกชนิดต่างๆ ในอาณาจักรปลวกใต้ดิน 

  1. แมลงเม่า
  2. ปลวกสืบพันธุ์ (แมลงเม่าสลัดปีก)
  3. ตัวอ่อนระยะแรก
  4. ตัวอ่อนระยะกลาง
  5. ปลวกสืบพันธุ์ระยะเจริญพันธุ์
  6. ปลวกงาน
  7. ปลวกทหาร
  8. ราชินีปลวก
  9. ปลวกสืบพันธุ์สำรองปีกสั้น และไม่มีปีก
  10. ปลวกสืบพันธุ์สำรองปีกสั้น และไม่มีปีก

 

• การอาศัยอยู่ในระบบสังคม ขนาดของอาณาจักร จะขยายใหญ่ได้ ด้วยความสมบูรณ์ของ แหล่งอาหาร
• ปลวก แต่ละชนิดจะมีหน้าที่เฉพาะ และเกี่ยวโยงเป็นระบบการอยู่ร่วม (ระบบสังคม) การเริ่ม อาณา
• จักรเกิดจากราชาปลวกและราชินีปลวก 1 คู่ ทำการผสมพันธุ์ และเพิ่มประชากร มากขึ้นๆ จากไข่ จะกลายเป็นปลวกตัวอ่อน
• และเจริญเติบโตเป็นปลวกชนิดต่าง ๆ เช่น ปลวกสืบพันธ์สำรอง, ปลวกทหาร, ปลวกงาน และแมลงเม่า
• ปลวกสืบพันธุ์สำรอง จะทำหน้าที่ออกไข่เพิ่มประชากรในกรณีที่ ราชาปลวก หรือราชินีปลวก ได้ตาย
• ปลวกงาน ทำหน้าที่ ดูแลสร้างหรือซ่อมแซมรัง, หาอาหาร เพื่อเลี้ยงปลวกชนิดอื่น และทำงาน ทุกชนิดภายในรัง
• แมลงเม่า คือ ปลวกสืบพันธุ์ที่อยู่ในรัง เมื่อโตเต็มที่จะบินออกนอกรังเพื่อสร้างอาณาจักรใหม่

 

 

 

 

 

 

       

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 เพราะปลวกต้องหาอาหารจึงเกิดการทำลาย และ ต้องการความชื้น ของดินจึงเกิดวิธีกำจัด โดยใช้สารเคมี 

 

  1. อาหาร อาหารของปลวกส่วนมากคือ เนื้อไม้ หรือสารที่มีเซลลูโลส เศษไม้ จะถูกย่อยโดยเชื้อ โปรโตซัว ซึ่งมีอยู่ในตัวของมัน
  2. ความชื้น ปลวกและแมลง ที่ต้องอาศัยความชื้น เพื่อให้เกิดน้ำในลำตัวตลอด เวลาปลวกไม้แห้ง จะปิดทาง เข้าออกของรังอย่างมิดชิดใน ขณะที่อากาศภายนอกมีความชื้นต่ำ ปลวกใต้ดินจะปรับ อากาศ ในรังหรือทางเดินให้เหมาะสม โดยทำรังในดินที่มีความชื้น และมันจะเดินกลับเข้ารัง วันละ หลายๆ เที่ยว ในพื้นที่ชื้น และนี่คือวิธีที่ปลวก นำความชื้นเข้าสู่รังได้

 

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ต่อการทำลายของปลวก 

 

ทุกที่ ที่เราพบว่ามีปลวกใต้ดินอาศัยอยู่ ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขต มรสุม ซึ่งเป็นเขตที่เหมาะสม สำหรับปลวกใต้ดินจะอาศัยอยู่เป็นอย่างมาก และเราพบว่าปัญหาปลวกนี้ จะมีอยู่ในทุกภาค ของ ประเทศ

 

ปลวก จะมีวิธีทำลายสิ่งของในลักษณะต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับชนิดโครงสร้าง ของสิ่งของ ในกรณี ที่เป็นสิ่งของชนิดเดียวกัน ปลวกจะทำลายของนั้น ในลักษณะเหมือนๆ กัน มันจะสร้าง อุโมงค์ดิน ไปตามทิศทางต่างๆ จนพบอาหาร บางครั้งอาจมีระยะไกลมาก เมื่อมันไปพบกับ สิ่งกีดขวางมัน จะหาช่องทางแทรกจน พบอาหาร ได้ เมื่อมันเข้าสู่ในอาคาร สิ่งของต่าง ๆ ที่ทำจาก ไม้ คือ อาหารของมัน พื้นไม้ วงกบประตู หน้าต่าง ฝา และผ้าคือบริเวณที่เราอาจพบปลวกได้

   

แมงเม่าบินเข้ากองไฟ

สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงคนที่ลุ่มหลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยคิดว่าเป็นสิ่ที่ดี และหลงผิดเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จนตนเองได้รับอันตราย

ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงแมงเม่าที่ชอบเล่นกับแสงไฟ แต่เมื่อบินเข้ากองไฟก็จะตาย

 

 

 

 

 

  

 

 

 

             

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 [Image: flrd.jpg] 

 

 

 

 

 

                   เฮ้ย....ยุ่งแล้ว

 

 

 

มีคนตาไว เห็นภาพคนในม๊อบที่อ้างว่าถูกยิง
แต่ไม่เข้าเพราะเขาพกไฟแช็ก กระสุนถูกไฟแช็กไม่ทะลุ(เหลือเชื่อ)
ดันมีหน้าตา คล้ายคนเดียวกับภาพผู้ต้องสงสัยเป็นมือปืนที่ยิงสุทินที่วัดศรีเอี่ยม
ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ถ้าจริง พิสูจน์ได้ กบฎเทือก ยุ่งแน่
เพราะพิสูจน์ได้ว่า ที่วัดศรีเอี่ยม มันยิงกันเอง ชัดเจน
 
 
 
 


 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
   

 

 

 

 

 

 

 

                 แปรงฟัน

 

 

 

รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com



 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




แปรงสีฟันดั้งเดิมปรากฏหลักฐานยุคโบราณ มีลักษณะเป็น แท่งเคี้ยว หรือ chew stick มาจากกิ่งไม้แท่งขนาดดินสอ ตรงปลายทุบให้แตกเป็นฝอย วิธีใช้ก็เอาปลายฝอยๆ ถูฟัน พบในยุคบาบิโลเนีย ช่วง 3,500 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนในหลุมศพที่อียิปต์ มีอายุ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล และของจีน มีอายุเก่าแก่ 1,600 ปีก่อนคริสตกาล นอกจากนี้ยังพบไม้จิ้มฟันในยุคกรีกโรมัน ยุคราชวงศ์ฉินของจีน และในแอฟริกา

แปรงสีฟันที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างอย่างในปัจจุบันปรากฏหลักฐานในยุคราชวงศ์ถังของจีน (ค.ศ.619-907) และแพร่หลายมาสู่ยุโรปโดยเหล่านักเดินทาง กระทั่งมาปรับใช้อย่างจริงจังในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17

ส่วนการผลิตแปรงสีฟันให้ใช้แพร่หลาย ถือกำเนิดในอังกฤษ ราวปีค.ศ.1770 โดยหนุ่ม วิลเลียม แอดดิส เข้าไปนอนคุกฐานก่อจลาจล ตอนนั้นจึงคิดวิธีทำความสะอาดฟันที่ดีกว่าการใช้ผ้าและเกลือถูๆ จึงเริ่มทดลองใช้กระดูกสัตว์ที่เหลือจากอาหารมาเจาะเป็นรูเล็กๆ แล้วขอขนแปรงจากผู้คุมมาจำนวนหนึ่งอัดใส่เข้าไปในรูแล้วติดกาว จากนั้นนำมาตัดขนแปรงให้พอเหมาะ กลายเป็นแปรงสีฟันอันแรกของโลก

เมื่อพ้นคุกออกมา แอดดิสจึงเริ่มกิจการประดิษฐ์แปรงสีฟันออกขายและทำธุรกิจในชื่อ Wisdom Toothbrushes เป็นสินค้าที่แพร่หลายไปทั่วอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น

มาถึงวิธีแปรงฟัน ทันตแพทย์แนะนำว่าควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือทุกครั้งหลังอาหาร เพื่อป้องกันฟันผุและโรคภายในช่องปาก

การแปรงฟันที่ถูกวิธีทำได้อย่างง่ายๆ แค่ปรับเปลี่ยนตำแหน่งและวิธีขยับมือเท่านั้น

ลักษณะท่าทางในการแปรงฟันไม่ควรเงยหน้าขึ้น เพราะช่องทางเดินอาหารจะเปิดออก หากประกอบกับใส่ยาสีฟันมากจนเกิดฟองจำนวนมาก ทำให้โอกาสที่แปรงสีฟันจะหลุดเข้าไปในหลอดอาหารเกิดขึ้นได้ มุมของการแปรงฟัน จึงควรก้มหน้าลงนิดหน่อย

 

 






 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

การวางมุมแปรงสีฟัน ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะหากวางไม่ถูกวิธีช่องปากจะไม่สะอาดและเกิดการสะสมของหินปูนจำนวนมากได้

การวางที่ถูกวิธี คือวางแปรงให้ขนานกับผิวฟัน จรดขนแปรงตรงบริเวณคอฟัน ซึ่งเป็นจุดต่อระหว่างตัวฟันและขอบเหงือก

บริเวณคอฟันและตำแหน่งของฟันหน้าด้านล่างที่ติดกับลิ้น เป็นตำแหน่งที่มักเกิดคราบหินปูนสะสมจำนวนมาก เพราะดูแลได้ไม่ดีพอ จึงต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งแปรงโดยวางแปรงขนาน ส่วนด้านหน้าให้วางเป็นแนวขวางแล้วแปรงทีละซี่

การแปรงควรค่อยๆ ขยับขนแปรงไปทีละนิด มักพบว่าหลายๆ คนแปรงโดยการลากแปรงยาวๆ ซึ่งนอกจากไม่สะอาดขึ้นยังทำลายเหงือกด้วย

การใส่ยาสีฟัน ควรบีบยาสีฟันประมาณครึ่งเซนติเมตรเท่านั้น เพื่อจะได้มีปริมาณฟองที่พอสมควรอยู่ในปาก หากรู้สึกว่ามีฟองมากเกินไประหว่างแปรงฟันควรบ้วนฟองออกบ้าง

เพราะหากมีฟองมากเกินไป ประกอบกับมีการเงยหน้าอาจทำให้เกิดการลื่นจนแปรงหลุดมือ จนกระแทกเหงือก กระพุ้งแก้ม หรือหลุดเข้าไปในทางเดินอาหารได้

การแปรงลิ้นเป็นสิ่งที่จำเป็น หากใช้แปรงสีฟันควรบ้วนฟองออกก่อนเพื่อไม่ให้เกิดการอาเจียน หรือใช้ที่ครูดลิ้น จะลดการเกิดอาการอยากอาเจียนได้

สำหรับในเด็กเล็กผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิดจนถึงประมาณ 6-7 ขวบ เพราะกล้ามเนื้อของเด็กไม่แข็งแรงพอที่จะควบคุมแปรงสีฟันได้ดี ทำให้แปรงฟันได้ไม่สะอาด

การใส่ยาสีฟันให้เด็ก ให้เพียงแตะๆ ยาสีฟันพอให้ขนแปรงชื้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องบีบเนื้อยาสีฟันลงไป ไม่ควรให้กลืนยาสีฟัน เพราะเด็กจะได้รับฟลูออไรด์มากเกิน ทำให้เกิดฟันตกกระ

ส่วนการใช้น้ำยาบ้วนปาก สำหรับคนทั่วๆ ไปไม่มีความจำเป็นต้องใช้ แต่หากจะใช้ก็ได้เพราะไม่มีอันตรายอะไร

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   ยรรยง ทำหนังสือเชิญ ป.ป.ช. & สื่อฯ ร่วมเดินทางไปจีน เพราะอยากให้ทุกฝ่ายเข้าร่วมตรวจสอบสัญญาขายข้าวจีทูจี กับรัฐวิสาหกิจจีน

นาย ยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่กรมการค้าต่างประเทศ ทำหนังสือเชิญตัวแทน ป.ป.ช. พร้อมด้วยตัวแทนสื่อมวลชนจำนวนมาก ร่วมเดินทางไปยังเมืองกว่างโจว ประเทศจีน โดยที่มีกำหนดการไปพบปะและรับฟังบรรยายสรุปความเป็นมา ในการดำเนินธุรกิจ & โครงสร้างของบริษัท GSSG Imp. & Exp. Corp. และพบปะหารือกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจจีน เกี่ยวกับการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ G to G กับรัฐบาลไทย ซึ่ง ป.ป.ช. มองว่า มีปัญหา ว่า กระทรวงพาณิชย์ มีเจตนาให้ทุกฝ่ายเข้าร่วมตรวจสอบ ในประเด็นสัญญาขายข้าวจีทูจี กับจีน อย่างโปร่งใส ไม่ใช่ตัดสินบนพื้นฐานข้อมูลในประเทศเท่านั้น โดยที่ผ่านมา ป.ป.ช. ใช้หลักฐานจากกลุ่มผู้ส่งออกที่เสียประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว ทำให้ไม่ได้รับข้อมูลที่รอบด้านอย่างเพียงพอ

ทั้งนี้ ก. พาณิชย์ ยืนยันว่า.. โดยข้อเท็จจริงในปี 2556 ข้าวที่ส่งออกส่วนใหญ่ประมาณ 7 ล้านตันเป็นข้าวจากในโกดังของรัฐบาล ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหา ว่าไม่มีการส่งออกจริง และเป็นจีทูจีลวงโลก แต่อย่างใด และวัตถุประสงค์ของการเดินทางไปจีนครั้งนี้ ก็เพื่อจะได้รับทราบโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของรัฐวิสาหกิจจีน ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ลักษณะการทำการค้าไม่ได้เป็นไปตามรูปแบบที่หลายคนคุ้นเคย ซึ่งก็เป็นไปตามกระแสการค้าโลกหลังจีน เปิดเสรีการค้ามากขึ้น การที่หลายฝ่ายออกมาตำหนิว่า ไม่จำเป็นต้องไปจีนนั้น กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่า ไม่จำเป็นต้อง.. กลัวความจริง

 

 
ผมว่าคุณยรรยงไปหาเอกสารส่งออกที่ระบุว่า ข้าวล็อตนั้นๆส่งออกไปจีนจริงดีกว่า
ปี 55 ขายรัฐต่อรัฐไปจีน 1.7 ล้านตัน แต่มีการส่งออกข้าวไปจีน 5 แสนตันแค่นั้น
ปีก่อน มียอดขายรัฐต่อรัฐไปจีน มากกว่า 5 ล้านตัน ส่งไปจริงเท่าไหร่ไม่รู้

 

ความจริงที่ลงไม่หมดคือ
ทางรัฐวิสาหกิจของจีน..ได้เลื่อนการเดินทางของคุณยรรยงแล้ว..โดยยังไม่มีกำหนด
ทาง..ปปชต้องการเพียงแค่หลักฐานเท่านั้น..คุณก้อแสดงให้เขาดูก้อแค่นั้น
ไม่จำเป็นต้องเผาพลาญเงินในการพาไปดู..ซึ่งทางการจีนก็ไม่ได้ตอบตกลง

 

 สิ่งที่ควรทำคือชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีมติว่าการขายข้าวแบบจีทูจีไม่มีจริง ต้องนำเอกสารการทำสัญญาระหว่างจีเอสเอสจี รับมอบจากคอฟโก้ หลักฐานที่มอบอำนาจให้นายปาล์มมาเซ็นกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อรับข้าว และหลักฐานที่นายโจได้รับมอบอำนาจจากนายปาล์มในการส่งข้าวว่าส่งไปจีนจริงหรือไม่ รวมทั้งหลักฐานการชำระเงินมาแสดงว่ามีการชำระเงินจากประเทศจีนจริงหรือไม่ หากทำได้ก็จะหลุดข้อกล่าวหา ไม่ใช่พาสื่อมวลชนไปประเทศจีนเพื่อสร้างภาพหลอกประชาชนให้เชื่อ

 

 

 

 

 

 

 

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-01-19 20:32:50.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  ธรรมชาติของมนุษย์

 

 

 

 

 

         วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2557 เป็นวันแรม 8 ค่ำ เดือน 2 วันนี้วันพระ.......

 

 

     วันพระ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

 

 

 

 

 

               กรุงคมิคชาดก การร่วมมือกัน

 

 

 

                   

 

 

 

ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พยายามปลงพระชนม์พระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกวางตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในป่าละเมาะแห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกลจากนั้นมีสระน้ำสระหนึ่ง เต่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ และใกล้ ๆ สระน้ำนั้นมีนกสตปัตตะทำรังอยู่ สัตว์ทั้ง ๓ เป็นเพื่อนรักกันมาก วันหนึ่งกวางออกหากินได้ติดบ่วงนายพรานตอนเที่ยงคืนจึงร้องเรียกให้เพื่อนมาช่วย เต่าและนกสตปัตตะมาเห็นแล่วตกลงกันว่าให้เต่าใช้ปากกัดบ่วงให้ขาดก่อนฟ้าสว่าง ส่วนนกพยายามไม่ให้นายพรานออกจากบ้านก่อนสว่างเช่นกัน เมื่อตกลงกันตามนั้นนกสตปัตตะจึงพูดเตือนเต่าว่า "เต่าเพื่อนรัก ท่านต้องรีบกัดบ่วงให้ขาดเร็ว ๆ นะ เราจักหาวิธีไม่ให้นายพรานมาถึงที่นี่เร็วได้" ว่าแล้วก็บินไป

 

ฝ่ายเต่าได้เริ่มแทะเชือกบ่วกนั้นทันที ส่วนนกสตปัตตะได้บินไปจับที่ต้นไม้หน้าบ้านนายพราน พอถึงเวลาตี ๕ นายพรานลุกขึ้นเดินถือหอกออกมาทางประตูหน้าบ้าน นกเห็นเช่นนั้นก็บินโฉบลงไปจิกนายพราน เขาถูกนกจิกไปหลายทีจึงคิดว่าเราถูกนกกาฬกรรณีจิกแล้ว โชคไม่ดีเลยเวลานี้ กลับเข้าไปนอนต่ออีกสักหน่อยดีกว่า"

 

เวลาผ่านไปเล็กน้อยนายพรานได้เปลี่ยนไปออกทางประตูหลังบ้าน นกสตปัตตะก็ไปดักที่ประตูหลังบ้านเช่นกัน เขาถูกนกจิกอีกเป็นครั้งที่ ๒ จึงกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับบ่นว่า "นกบ้านี่ร้ายจริง ๆ ไว้ให้สว่างก่อนค่อยไปก็ได้วะ"

 

พอสว่างแล้ว นายพรานเดินถือหอกออกจากบ้านไป นกสตปัตตะได้บินไปบอกกวางและเต่าล่วงหน้าแล้ว ปรากฏว่าเต่าแทะเชือกบ่วงทั้งคืนจนปากระบมเปื้อนไปด้วยเลือดยังเหลือเชือกเกลียวเดียวก็จะขาด กวางจึงใช้กำลังดิ้นให้เชือกขาดหลุดหนีเข้าป่าไปได้อย่างหวุดหวิด ปล่อยให้เต่านอนหมดแรงอยู่ตรงนั้น

 

นายพรานมาเห็นเฉพาะเต่านอนอยู่จึงใส่กระสอบแขวนเต่าเอาไว้บนกิ่งไม้ กวางได้ปรากฎตัวให้นายพรานเห็นแล้วล่อให้นายพรานวิ่งตามไปจนไกลลิบ แล้ววิ่งย้อนกลับคืนมาช่วยเต่า โดยใช้เขายกกระสอบลงมาแล้วกล่าวขอบคุณเต่าและนกสตปัตตะที่ได้ช่วยเหลือชีวิต และต่างคนต่างแยกย้ายกันหลบซ่อนและหาที่อยู่ใหม่เพื่อความปลอดภัย เต่าได้หนีลงน้ำ กวางหนีเข้าป่าลึก ส่วนนกสตปัตตะไปถึงต้นไม้แล้วก็พาลูก ๆ ไปอยู่ในทีห่างไกล

 

นายพรานกลับมาถึงที่นั้นอีกไม่เห็นเต่าในกระสอบ ก็ได้แต่ถือกระสอบขาดกลับบ้านไป สัตว์ทั้ง ๓ ได้เป็นเพื่อนรักกันจนตราบเท่าชีวิต

   

                                                      

 

 

นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

 

น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ดินดีเพราะป่าปก ป่ารกเพราะดินดี คบคนไว้มากมายย่อมมีประโยชน์ในยามตกทุกข์ได้ยาก

 

ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม  น.ธ.เอก , ป.ธ.๙. เจ้าคณะอำเภอทัพทัน. เจ้าอาวาสวัดสาลวนาราม. ตำบลหนองจอก อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

      ธรรมชาติของมนุษย์ตามหลักของพระพุทธศาสนา

 

      

เมืองมานาลี เหนือสุดของอินเดีย มองเห็นป่าหิมพานต์ที่มีหิมะปกคลุมทั้งปี

 

 

 (มนุษย์ มาจากคำสนธิระหว่างคำว่า มน สนธิกับ  อุษยะ)

 

กล่าวถึงมนุษย์ว่า เป็น อินทรีย์พลวัต ( Dynamic Organism) หมายถึง ร่างกายที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่างๆ มาตอบสนอง ต่อความต้องการหรือ ความอยากต่างๆ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ตัณหาหรือความอยากนี้เอง ทำให้คนต้องดิ้นรน พยายามทำทุกอย่างให้ได้มาตามแรงปรารถนานั้น ( วไลพร ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม , 2527 : 67 )

 

มนุษย์ประกอบได้ด้วยขันธ์ห้า ได้แก่ ( สาโรช บัวศรี, 2526 : 11)


1. รูป ( Body ) คือ ร่างกาย หรือส่วนที่จับต้องได้ เห็นได้ หรือจะเรียกว่า เป็นส่วนของเนื้อหนัง


2. เวทนา ( Feelings หรือ Sensation ) คือ ความรู้สึกเป็นทุกข์ เป็นสุข รวมเรียกว่าอารมณ์


3. สัญญา ( Remembering ) คือ ความจำ


4. สังขาร ( Thought หรือ Idea ) คือ ความคิด


5. วิญญาณ ( Sensory consciousness ) คือ ความรู้ตัว หรือการรับรู้


ขันธ์ห้านี้ อาจย่นย่อลงเป็นส่วนประกอบของมนุษย์ว่าประกอบด้วย 2 ส่วน คือ


(1) กาย หมายถึง รูปกาย และ


(2) นาม หมายถึง จิต นอกจากนั้นแล้วขันธ์ห้านี้ทำให้มนุษย์เกิดปัญหาเกิดขึ้นอันเป็นอกุศลมูลที่ติดตามตัวเองอยู่เสมอ คือ ความโลภ โกรธ หลง

 

โดยธรรมชาติมนุษย์มีธรรมชาติอีกประการคือ จะแสวงหาความสุขให้กับตนเอง และต้องการหลีกเลี่ยงความทุกข์ ซึ่งความสุขของมนุษย์แสวงหามีเป็นลำดับดังนี้


1. ความสุขเกิดจากความต้องการทางร่างกาย เช่น การกิน การดื่ม การนอน การร่วมประเวณี


2. ความสุขเกิดจากการสนองความต้องการทางจิตใจ เช่น การพักผ่อนหย่อนใจ ฟังดนตรี กีฬา เที่ยว เข้าสังคม


3. ความสุขเกิดจากการสนองความต้องการทางปัญญา เช่น เกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ การค้นพบสิ่งใหม่ๆ การคิดหาเหตุผลจนสามารถรู้แจ้ง ธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย


4. ความสุขเกิดจากการหมดความต้องการ หรือหมดตัณหา อันได้แก่ วิมุตติ วิสุทธิ นิพพาน วิราคะ (สนธิ์ บางยี่ขันและวิธาน ชีวคุปต์ , 2526 : 6)


จากการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ทั้งในแง่ปรัชญา จิตวิทยาในสาขาต่างๆ รวมทั้งพุทธ -ศาสนาแล้ว จะช่วยให้รู้จัก และเข้าใจ มนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ได้มากขึ้น อันจะนำไปสู่การเรียนรู้พฤติกรรมและการแสดงออกของมนุษย์เพื่อใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อไป

 

อย่างไรก็ตามมนุษย์มีธรรมชาติโดยทั่วไปที่น่าศึกษาดังต่อไปนี้ ( วิจิตร อาวะกุล , 55 - 56 )

1. มีความอิจฉาริษยา และต่อต้านผู้อื่นที่ดีกว่าตน ดังที่ หลวงวิจิตรวาทการ กล่าวว่า

 

"อย่าทำตัวดีเด่น…จะเป็นภัย
เพราะไม่มีใคร…อยากเห็นเราเด่นเกิน"

 

2. มีสัญชาติญาณแห่งการทำลาย ชอบความหายนะ เช่น ชอบดูไฟไหม้บ้านมากกว่าดูการสร้างบ้าน หรือดูจากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันมักมีแต่ข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี


3. ต่อสู้ ต่อต้านความเปลี่ยนแปลง


4. มีความต้องการทางเพศและมีความต้องการด้านร่างกายอื่นร่วมด้วย


5. มีความหวาดกลัวอิทธิพล ผู้มีอำนาจ ภัยต่างๆ ภัยธรรมชาติ ภูตผีปีศาจ
ไสยศาสตร์ และจะกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ตนพ้นภัย

 

6. กลัวความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน ความยากลำบาก และความตาย


7. มีความโหดร้ายทารุณ ป่าเถื่อน ชอบซ้ำเติม


8. ชอบทำอะไรตามสะดวกสบาย มักง่าย ไม่ชอบระเบียบบังคับ


9. ชอบความตื่นเต้น หวาดเสียว ผจญภัย ท่องเที่ยว ชอบมีประสบการณ์ในชีวิตแปลกๆ ใหม่ๆ


10. มีนิสัยอยากรู้ อยากเห็น อยากทดลอง

 

นอกจากนั้นแล้ว มนุษย์ยังมีลักษณะสำคัญประการหนึ่งคือ "มักจะเข้าข้างตนเองเสมอ และไม่ชอบให้ใครตำหนิติเตียนตนเอง" หากมีใครตำหนิก็มักจะหาสาเหตุแก้ตัวให้พ้นข้อครหานั้นๆ "หากแต่ขณะเดียวกันก็มักจะมองเห็นแต่ความผิด…ความไม่ดีของผู้อื่น" อยู่เสมออันเกิดเนื่องมาจาก "แรงขับของการต้องการมีชีวิตอยู่และแรงขับแห่งความก้าวร้าวทำร้ายทำลายผู้อื่น เพียงเพื่อให้คนอื่นและตนเองคิดและรู้สึกว่า "ตนนั้นเป็นผู้ที่มีดีมีความรู้ความสามารถเหนือผู้อื่น" มนุษย์มีธรรมชาติและเป็นเช่นนี้มาช้านานแล้ว...............

 

 

 

 

               ศักดิศรีตำรวจไทย

 

 

http://s20.postimg.org/w1eojly19/Bejl_a_BCUAAcu_Ek.jpg

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ตร.เก็บซากป้าย "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" ที่ถูก ผชน.ทุบทำลาย-น้ำตาคลอ บอกเดี๋ยวเราคงทำใหม่ได้

 

 

 

...." ไม่เป็นไร รับได้ เเม้นใจเจ็บ

 

เหมือนตอกเล็บ หอกเเทงทิ่ม ยังยิ้มฝืน

 

ก็คงต้อง ทำขึ้นใหม่ มาใช้คืน

 

อกสะอื้น เหยียบย่ำกัน มันเกินไป

 

 

 

....เกียรติยศ ศักดิศรี มีกันหมด

 

สง่างด งามสพรั่ง สว่างไสว

 

ตราเเผ่นดิน สถิตย์หัว ไม่กลัวใคร

 

ศัตรูไหน ขอปกป้อง ผองประชา

 

 

 

....ไม่เป็นไร วันนี้ ที่โดนย่ำ

 

บุกกระหน่ำ ต่ำทราม หยามหยาบช้า

 

จะอดทน กลืนเลือดไป ไม่ไหลมา

 

ปาดน้ำตา เชิดหน้าไว้ เเม้นใจพัง........."

 

 

" ไม่เป็นไร.....เดี๋ยวเราคงทำใหม่ได้.....เดี๋ยวเราคงทำใหม่ได้.................."

 

 

 

 

 

 

 

               


    

 

 

 

 

 

 

  นักกฎหมาย ค้านศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อำนาจเลื่อนเลือกตั้ง

 

นักนิติศาสตร์ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุ กกต.ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจ ในการเลื่อนวันเลือกตั้ง เป็นขององค์กรใดนั้น ไม่เข้าด้วยมาตรา 214

นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่ากรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าระหว่าง กกต.และคณะรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรี หน่วยงานใดมีอำนาจเลื่อนวันเลือกตั้งนั้น ในรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้เขียนให้องค์กรใดมีอำนาจเลื่อนวันเลือกตั้งไว้ จึงไม่เข้าองค์ประกอบของมาตรา 214 ที่จะยื่นให้ศาลวินิจฉัย แต่ กกต.กำลังจะให้ศาลรัฐธรรมนูญ เขียนรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง

อาจารย์ด้านนิติศาสตร์ท่านนี้ มองว่าแม้ศาลรัฐธรรมนูญ จะไม่สามารถรับคำร้องนี้ไว้วินิจฉัยได้ แต่ผลงานในอดีตก็เป็นเรื่องคาดเดายากว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตีความอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างมั่นใจคือศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเร่งวินิจฉัยก่อนถึงวันเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์

 

 

 

 

จำนวนผู้ชุมนุมเวทีต่างๆ วันนี้

 

 
โดย songvit
เมื่อ พุธ, 22/01/2014 - 20:21
 
 
 

 

สถานการณ์การณ์ชุมนุม วันที่ 22 ม.ค.57 เวลา 17.00 น. ดังนี้

 

1. เวทีแยกปทุมวัน 17.00 น.มีการปราศรัยสลับการแสดงดนตรีแยกปทุมวันถึงเจริญผล 100 คน แยกปทุมวันถึงแยกเฉลิมเผ่า 100คน เวทีด้านถนนพญาไทและลานหน้า MBK และในเต้นท์ 400 คน
ยอดรวม 600 คน
...
2.เวทีราชประสงค์ เวลา 17.00น. 250 คน ไม่มีกิจกรรม

 

3. เวทีอโศก เวลา 17.00 น. 200 คน ไม่มีกิจกรรม

 

4.เวทีสวนลุมพินี 17.00 น. 100 คน ไม่มีกิจกรรม

 

5. เวทีอนุสาวรีย์ชัย เวลา 17.05 น. พิธีกร ขึ้นปราศรัยพูดเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับตำรวจ ยอด 1,300 คน


6.เวที5 แยกลาดพร้าว 17.00 น.เล่นดนตรี ยอด1000 คน

- กระทรวงพลังงาน ยอด 50 คน

 

7. เวทีแจ้งวัฒนะ เวลา 17.00 น.
- เวลา 16.35 น.นางพิมลฯ(ไม่ทราบนามสกุล)ขึ้นร้องเพลงและปราศรัยบนเวที มวลชน 250 คน

 

8. เวที อนส.ปชต. 16.50 น.ไม่มีกิจกรรมความเคลื่อนไหวผู้ชุมนุมและการ์ดประมาณ80 คนครับ

 

9. เวทีผ่านฟ้า(ปปปป.หรือ กปท.) 16.50น.ผู้ชุมนุมทำภาระกิจส่วนตัว พักผ่อนตามเต็นท์ ยอด 350 คน เหตุการณ์ปกติ


10. เวทีเชิงสะพานชมัยฯ เวลา 16.50 น.พิธีกรดำเนินรายการโดยนายอมร อมรรัตนานนท์แจ้งต่อผู้ชุมนุมว่าหลังจากพวกเราไป สตช.ได้ข่าวว่า บชน.เตรียมกำลังตำรวจไว้จำนวนมาก และเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.เกิดหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดทำให้ไฟฟ้าในทำเนียบฯใช้ไม่ได้ไม่ใช่การกระทำของคปท.เพราะคปท.จะทำอะไรจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าและแจ้งอาการของขวัญชัยให้ทราบ ผู้ชุมนุมต่างหาอาหารรับประทานและแยกย้ายกันพักผ่อนยอดผู้ชุมนุมประมาณ 600 คน

 

11.การเคลื่อนไหว


12.อื่นๆ

 

รวมยอดผู้ชุมนุม 10 เวที ประมาณ 4,780 คน

 

 
 
 
 
 
 
 

 

สุดยอด......
 
รูปภาพของ ปีศาจ สีแดง
                                                   รูปภาพของ ปีศาจ สีแดง
 
 
 
 
ราชกิิจจานุเบกษาฯ ได้เผยแพร่ประกาศมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศเรือเอกและพลอากาศเอก ให้แก่ พลเอก นิพิทธ์ ทองเล็ก (ปลัดกระทรวงกลาโหม) และแต่งตั้งให้เป็นนา...ยทหารพิเศษ เป็นนายทหารฯ อัตรา จอมพล คือมีสิทธิ์แต่งเครื่องแบบทั้ง 3 เหล่าทัพ ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ขึ้นครองยศพลเอก ทั้ง 3 เหล่าทัพ บก เรือ อากาศ สังกัดกรมทหารรักษาพระองค์ ขึ้นตรงกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิการ และตอนนี้ได้รับหน้าที่อารักขา นายกรัฐมนตรี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

*******************************

 

 

 

 

 

  แฉ! ขบวนการเภสัชวิ่งรอกเฝ้าร้านยา-รับจ้างแขวนป้ายชื่อ

 

 

 

 

ภก.จิระ วิภาสวงศ์ เภสัชกรสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ลำพูน ให้สัมภาษณ์ในงานประชุมสมัชชาเภสัชกรรมไทย “100 ปีวิชาชีพเภสัชกรรมและการศึกษาเภสัชศาสตร์: บทบาทเภสัชกรต่อสังคมไทยในศตวรรษที่ 2” จัดโดยสภาเภสัชกรรม ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ประสานงานการศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย และมูลนิธิเภสัชศาสตร์เพื่อสังคม เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ปัญหาของวิชาชีพเภสัชกรรมเรื่องหนึ่งคือ การรับจ้างเภสัชกรแขวนป้ายหน้าร้านยา โดยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่จริง ซึ่งแต่ละจังหวัดยอมรับว่ามีจำนวนไม่น้อย อย่าง จ.ลำพูน เคยลงพื้นที่ตรวจสอบเมื่อปี 2553 พบมากถึง 60% อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตรวจอย่างเข้มงวดก็พบว่ามีการกระทำผิดน้อยลง ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะกลัวโทษปรับอันน้อยนิด แต่กลัวถูกส่งเรื่องเข้าไปยังสภาวิชาชีพคือ สภาเภสัชกรรม และถูกพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมเป็นเวลา 6 เดือน - 1 ปี ซึ่งหมายความว่าไม่สามารถทำงานได้เลยเป็นเวลา 1 ปี
       
       แฉ! ขบวนการเภสัชวิ่งรอกเฝ้าร้านยา-รับจ้างแขวนป้ายชื่อ
       
       “การกระทำผิดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเข้มงวด ซึ่งบางจังหวัดพบว่าแทบไม่มีการตรวจตราเลย เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งไม่อยากจับกุมพี่น้องร่วมวิชาชีพกันเอง หรือบางคนก็เป็นครูอาจารย์มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นคือมีผลประโยชน์ของตัวเองรวมอยู่ด้วย คือเปิดร้านเอง แขวนป้ายเองเช่นกัน ขณะที่คนที่ดำเนินการตรวจสอบก็มักจะโดนสวนกลับเยอะ” ภก.จิระกล่าว
       
       ภก.จิระกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องหาเภสัชกรมาอยู่ร้านยาแทน อย่างสมัยก่อนจะเอาเภสัชกรที่เป็นเซลล์แมนละแวกนั้นมาอยู่รับหน้าเวลาพนักงานลงพื้นที่ตรวจ แม้จะดูเหมือนว่ามีเภสัชกรในร้านยาถูกต้อง แต่ความจริงถือว่าผิด เพราะเภสัชกรประจำร้านจะต้องเป็นเภสัชกรที่มีชื่อในใบอนุญาต ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะหยวนให้กับกรณีนี้ แต่ความจริงแล้วผู้ตรวจจะต้องเข้มงวด และไม่ยอม เพราะปัจจุบันทำกันเป็นขบวนการ อย่างการลงพื้นที่ตรวจที่กรุงเทพฯ เมื่อ ธ.ค. 2556 พบว่า มีการรับจ้างมาอยู่หน้าร้าน เมื่อตรวจร้านหนึ่งเจอคนนี้เฝ้าร้าน พอไปตรวจอีกร้านก็เจอคนเดิมมาเฝ้าร้านให้อีก
       
       “จริงๆ กรณีแบบนี้เอาผิดได้ ถือว่าเป็นการหลอกลวง เพราะเพียงแค่มาอยู่รับหน้าเฉยๆ ไม่ได้มาขายยา หรือต่อให้มาขายยาจริงก็ผิด เนื่องจากหากเภสัชกรประจำร้านไม่อยู่ร้าน จะต้องมีการทำเรื่องให้เภสัชกรมาอยู่ร้านแทนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นร้านยาใน กทม.ต้องแจ้ง อย. และต่างจังหวัดต้องแจ้ง สสจ. และต้องแจ้งล่วงหน้า 7 วัน และกำหนดให้ชัดว่าให้อยู่แทนตั้งแต่วันใดถึงวันใด โดยผู้ตรวจจะต้องเข้มงวด ทำเรื่องส่งสภาเภสัชกรรมเอาโทษทางจรรยาบรรณที่รุนแรงกว่า” ภก.จิระกล่าว
       
       ภก.จิระกล่าวด้วยว่า หากไม่ทำเรื่องหาเภสัชกรมาอยู่ร้านยาอย่างถูกกฎหมาย เห็นควรให้รณรงค์ให้เภสัชกรปิดร้านแบบประเทศญี่ปุ่น เช่น จะไปเสียภาษี ไปกินข้าว ก็ต้องปิดร้านเลย แต่บ้านเราปิดชั่วคราวก็ไม่ยอม เพราะส่วนใหญ่กลัวคู่แข่งได้เปรียบ เลยต้องหาคนหรือจ้างคนมาอยู่ร้าน ซึ่งต่างจากคนรุ่นเก่าอย่างตอนเช้าทำงานเภสัชกรในโรงพยาบาลก็ปิดร้าน พอตอนเย็นเลิกงานจึงค่อยมาเปิดร้านและมาอยู่ร้านจริง แต่ทุกวันนี้ตอนเช้าร้านก็เปิด แต่ตัวไม่อยู่ร้านไปทำงานในโรงพยาบาล

 

 

    

                              อย.เตือนเภสัชกรแหกกฎหมาย ระวัง! ถูกสั่งพักใบอนุญาต

 

 

 

 อย.จับร้านยาเถื่อน 6 แห่ง ใน “อุดรธานี” มูลค่าของกลาง 1 แสนบาท เตือนร้านใดมีเภสัชกรประจำแล้วทำผิดกฎหมาย ระวังถูกสั่งพักใบอนุญาตฯ ประกอบวิชาชีพฯ เผยพบเจ้าหน้าที่ สสจ.อุดรฯ ถูกทำร้าย ตำรวจคาด เกี่ยวข้องกับการจับกุมร้านขายยาผิด กม.
       
       วันนี้ (18 ส.ค.) นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บังคับการปราบปราบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) ร่วมกันแถลงข่าวกรณีการจับกุมร้านขายยาผิดกฎหมาย จ.อุดรธานี มูลค่าของกลาง 1 แสนบาท
       
       นพ.พิพัฒน์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา อย.ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ บก.ปคบ. และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) อุดรธานี ออกตรวจสอบร้านขายยาที่กระทำผิดกฎหมายในจังหวัดอุดรธานีจำนวน 6 แห่ง ไประกอบด้วย 1.ร้านรุ่งเรืองเภสัช เลขที่ 102/7 หมู่ 4 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี 2.ร้านเอสอายซัพพลาย เลขที่ 337/5-6 ต.หนองบัว อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี 3.ร้านสมศักดิ์ CS คอมเพล็กซ์ เลขที่ 277/1-3 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี 4.ร้านขายยาบ้านโนนฟาร์มาซี เลขที่ 28/115 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี 5.ร้านรุ่งโรจน์ 2 เลขที่ 106/26 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี 6.ร้านไข่ เลขที่ 106/25 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี
       
       นพ.พิพัฒน์กล่าวต่อว่า สำหรับการกระทำความผิดขิองร้านดังกล่าวนั้น พบมีการจำหน่ายยาสเตียรอยด์ ยาแก้ปวดเกร็ง ยาลดความอ้วน ยาแก้ไอซูโดเอฟริดีน และวัตถุออกฤทธิ์ทางจิตประสาท รวมมูลค่าสินค้ากว่า 1 แสนบาท ซึ่งร้านดังกล่าวไม่มีทะเบียนอนุญาตให้จำหน่ายยา และยาต่างๆ ที่พบก็เป็นยาปลอมซึ่งไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยากับ อย.เช่นกัน ขณะที่สถานการณ์ร้านขายยาผิดกฎหมายในเขต กทม.ยังพบเป็นจำนวนมากเช่นกัน โดยภายใน 1 เดือน เจ้าหน้าที่ตำรวจและ อย.มีการรวบรวมของกลางที่จำหน่ายในร้านมีมูลค่าราว 30 ล้านบาท
       
       เลขาธิการ อย.กล่าวด้วยว่า แต่ละร้านมีความผิดในข้อหาที่แตกต่างกัน เบื้องต้นประมวลสรุปได้ดังนี้ 1. ขายยาแผนปัจจุบันนอกเวลาทำการ มีโทษปรับ 2,000-10,000 บาท 2.ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท 3.ขายยาอันตรายขณะผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการไม่อยู่ มีโทษปรับ 1,000-5,000 บาท 4.ขายยาไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 5.ฉลากที่ภาชนะและหีบห่อบรรจุยาแสดงข้อความไม่ครบถ้วน มีโทษปรับ 2,000-10,000 บาท
       
       6.ไม่จัดทำบัญชีซื้อและบัญชีขายยา มีโทษปรับ 2,000-10,000 บาท 7.ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการไม่ควบคุมการจัดทำบัญชียา มีโทษปรับ 1,000-5,000 บาท 8.ขายวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 3 หรือ 4 โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท 9.ขายยาบรรจุเสร็จหลายขนานโดยจัดเป็นชุดๆ ในคราวเดียวกัน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 10. ขายยาหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ หากร้านขายยาเปิดแล้วมีเภสัชกรประจำร้านอยู่ แล้วมีการทำผิดกฎหมาย ทาง อย.ก็จะทำหนังสือขอให้สภาเภสัชกรรมสั่งพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพด้วย
       
       “นอกจากนี้ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาพบว่า มีเภสัชกรชำนาญการประจำ สสจ.อุดรฯ ถูกทำร้ายร่างกายระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ โดยผู้ร้ายได้โทรศัพท์เข้าข่มขู่เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวด้วย เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับกรณีการจับกุมร้านขายยาผิดกฎหมาย ดังนั้น ทาง อย.จึงได้แจ้งขอความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี ในการติดตามหาผู้ต้องสงสัยในคดีทำร้ายร่างกาย เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย และได้รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวให้นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) ได้รับทราบด้วย โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้กำชับและสั่งการให้สถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานีดำเนินการสืบสวนอย่างเร่งรัดโดยเร็วที่สุดเพื่อหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดด้วย

 

 

 

 

พระราชบัญญัติ
วิชาชีพเภสัชกรรม
พ.ศ. ๒๕๓๗
                  
 

 

หมวด ๕
การควบคุมการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
                  
 
มาตรา ๒๘ ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมทำการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมหรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิประกอบวิชาชีพดังกล่าว โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต เว้นแต่ในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑) การประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมที่กระทำต่อตนเอง
(๒) นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรมซึ่งทำการฝึกหัดหรือฝึกอบรมในความควบคุมของสถาบันการศึกษาวิชาเภสัชศาสตร์ของรัฐหรือที่ได้รับอนุญาตจากทางราชการให้จัดตั้งสถาบันทางการแพทย์ของรัฐ หรือสถาบันการศึกษาหรือสถาบันทางการแพทย์อื่นที่คณะกรรมการรับรอง ทั้งนี้ ภายใต้ความควบคุมของเจ้าหน้าที่ผู้ฝึกหัดหรือผู้ให้การฝึกอบรมซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
(๓) บุคคลซึ่งกระทรวง ทบวง กรม กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นอื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือสภากาชาดไทย มอบหมายให้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ทั้งนี้ ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(๔) การประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญของทางราชการหรือผู้สอนในสถาบันการศึกษาของรัฐ ซึ่งมีใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของต่างประเทศ ทั้งนี้ โดยอนุมัติของคณะกรรมการ
 
มาตรา ๒๙ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้คำหรือข้อความด้วยอักษรไทยหรืออักษรต่างประเทศว่า เภสัชกร เภสัชกรหญิง แพทย์ปรุงยา นักปรุงยา หรือใช้อักษรย่อของคำดังกล่าว หรือใช้คำแสดงวุฒิการศึกษาทางเภสัชศาสตร์ หรือใช้อักษรย่อของวุฒิดังกล่าวประกอบกับชื่อหรือชื่อสกุลของตน หรือใช้คำหรือข้อความอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน หรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ซึ่งทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ทั้งนี้ รวมถึงการใช้ จ้าง วาน หรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าวให้แก่ตน เว้นแต่ผู้ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรในวิชาเภสัชศาสตร์
 
มาตรา ๓๐ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้คำหรือข้อความที่แสดงให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขาต่าง ๆ ทั้งนี้ รวมถึงการใช้ จ้าง วาน หรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าวให้แก่ตน เว้นแต่ผู้ได้รับหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรว่าเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขานั้น ๆ จากสภาเภสัชกรรมหรือที่สภาเภสัชกรรมรับรองหรือผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมผู้มีคุณสมบัติตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาเภสัชกรรม

 

 

 

 

                  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

[Image: 1554405_654775137898539_783422989_n.jpg] 

 

 

 

 นำคำพูดบางตอนของ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่าง พ.ร.บ. ความมั่นคง กับ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน แบบสรุปย่อ มาให้อ่านกัน
พ.ร.บ. ความมั่นคง กับ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน มีข้อแตกต่างกัน 4 ข้อ ได้แก่
1. พ.ร.บ.ความมั่นคง ประชาชนฟ้องร้องเอาผิดเจ้าหน้าที่ได้ แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฟ้องไม่ได้
2. พ.ร.บ.ความมั่นคง ยังอนุญาตให้มีการชุมนมได้ แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่อนุญาตให้ชุมนุม
3. พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้อำนาจมากกว่า พ.ร.บ.ความมั่นคง เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติสามารถปิดล้อม-ตรวจค้น-จับกุมได้
4. หลังเสร็จสิ้นการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง รัฐบาลต้องทำรายงานไปยังรัฐภา และเปิดให้รัฐสภาสอบถาม ดังนั้นปฏิบัติการต่างๆจึงต้องมีแผนงานชัดเจน แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถือเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ไม่จำเป็นต้องรายงานต่อรัฐสภา ซึ่งหากไม่จำเป็นจริงๆ รัฐบาลก็จะไม่นำพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาใช้ ..

 

 

 

 

 

 

 

 

**********************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 กฎหมายที่ดินเรื่องที่ดินตาบอดจะเข้าออกได้ยังไง

 

 

 

 

                         

 

 

ที่ดินตาบอด เป็นชื่อเรียกตามภาษาชาวบ้านทั่วไป ที่หมายถึงที่ดินที่ไม่มีทางออกสู่ทางหลัก หรือทางสาธารณะ ที่ดินตาบอดนี้เป็นที่ดินที่มักจะสร้างปัญหาให้กับคนที่เป็นเจ้าของที่ดินแปลงนั้นเสมอๆ เพราะว่าการที่ไม่มีทางเข้าออกนั้น มันทำให้เจ้าของที่ดินเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของตัวเองได้อย่างเต็มที่ หรือบางที่ก็อาจจะไม่สามารถทำประโยชน์ในที่ดินได้เลย สาเหตุก็เพราะว่า เมื่อไม่มีทางเข้าออกในที่ดินของตัวเองแล้ว มันก็ต้องอาศัยตัดผ่านเข้าไปยังที่ดินของคนอื่นเขา ซึ่งตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา คือ เจ้าของที่ดินที่ถูกผ่านไม่ค่อยจะยินดีจะให้ใครมาผ่านเขาออกซักเท่าไหร่ บางครั้งก็อาจถึงขั้นลงไม้ลงมือฆ่ากันตายเลยก็มีอยู่บ่อยๆ ก็ระวังๆกันไว้ด้วยนะครับ

 

ปกติที่ดินทุกแปลงจะมีการทำทางเข้าทางออกอยู่ด้วยเสมอ และหากรายใดไม่มีทางเข้าออกจริงๆ ก็มักจะมีการพูดคุยกับที่ดินแปลงข้างเคียง เพื่อขอเปิดทางเข้าออกไปสู่ถนนหลักได้  ซึ่งสมัยก่อนการพูดคุยกันไม่ใช่ยาก เพราะว่าในสมัยนั้นมันต้องพึ่งพาอาศัยกันในฐานะเพื่อนบ้าน แต่พอมาถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งอะไรๆ มันก็เปลี่ยนไป ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ หากไม่มีข้อเสนอที่ดี ก็อย่าหวังมาคุยกันให้เปลืองน้ำลายเลย มันก็เป็นเสียอย่างงั้นไป

 

ปัญหาที่ดินตาบอดปัจจุบันที่พบ มักจะเกิดจากการแบ่งที่ดินจากแปลงใหญ่ มาซอยย่อยออกมาเป็นแปลงเล็กๆ เพื่อแบ่งระหว่างพี่น้อง หรือกรณีที่เป็นการขอใช้ทางที่ดินของคนอื่น แล้วต่อมาภายหลังลูกหลานเขาไม่อยากให้ใช้เป็นทางเข้าออก ก็มาปิดเสียอย่างนี้เป็นต้น  ดังนั้นเมื่อใครมีปัญหาเกี่ยวกับที่ดินตาบอดที่ใกล้เคียงกับที่เล่ามานี้ ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจ หรือมานั่งร้องห่มร้องไห้ให้เสียสุขภาพจิตไปนะครับ เพราะเรื่องเหล่านี้มันมีทางแก้อยู่แล้วครับท่าน

 

 

หากกรณีที่ที่ดินตาบอดไม่มีทางออก เพราะว่ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ หรือว่ามีทางออกแต่ว่าทางเข้าออกนั้นเข้าออกได้ลำบาก เพราะว่าต้องข้ามสระ ข้ามบึง ข้ามทะเล หรือว่ามันเป็นทางชัน ซึ่งทำให้การเข้าออกนั้นลำบากมากๆๆ อย่างนี้กฎหมายก็บอกว่า เจ้าของที่ดินนั้นมีสิทธิที่จะขอทางจำเป็นในการเข้าออก ผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ ออกไปสู่ทางสาธารณะได้ครับ

 

เมื่อได้ทางจำเป็นมาแล้ว การทำทางเข้าออกก็ต้องทำพอสมควร หรือตามความจำเป็นที่จะต้องใช้เท่านั้น โดยคำนึงให้เจ้าของที่ดินที่ถูกใช้เป็นทางเข้าออกนั้น เสียหายน้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าใช้เป็นแค่ทางเดินเข้าเดินออก แต่ไปทำทางกว้างเสียรถบรรทุกวิ่งเข้าออกได้ อย่างนี้ก็เกินไป เอาแค่ใช้แค่ไหนก็ทำทางเท่านั้นนะครับ หากกรณีจำเป็นต้องใช้รถวิ่งเข้าออกด้วย อย่างนี้ก็สามารถสร้างถนนผ่านเลยก็ได้


เมื่อได้ทางเข้าออกมาเป็นประโยชน์กับที่ดินของตัวเองสมใจแล้ว ก็อย่าเพิ่งเอาแต่ดีใจไปนะครับ เพราะว่าของฟรีไม่มีในโลก  ผู้ใช้ทางต้องเสียค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ถูกใช้เป็นทางผ่านนั้นด้วยนะครับ ส่วนจะเป็นค่าทดแทนความเสียหายเป็นจำนวนเท่าไหร่ ตรงนี้ก็ต้องไปประเมินและตกลงกันอีกครั้งครับ ซึ่งค่าทดแทนที่ว่านี้ อาจจะเป็นเงินก้อนเดียว หรือเป็นเงินรายปีก็ได้เช่นกัน และสุดท้ายหากตกลงกันได้ด้วยดี ก็ควรจะพากันไปจดทะเบียนภารจำยอมกันให้เรียบร้อยด้วยนะครับ

 

สุดท้ายนี้ ในการใช้สิทธิตามกฎหมาย โดยการไปขอทางจำเป็น ถ้าเป็นการไปขอโดยปากเปล่ากับเจ้าของที่ดินแปลงที่ล้อมอยู่ เพื่อขอทางเข้าออกอย่างตรงๆ ส่วนมากแล้วคงไม่มีใครยินยอม ซึ่งหากกรณีเป็นอย่างนี้ การขอใช้สิทธิในเรื่องทางจำเป็นก็คงต้องไปพึ่งโรงพึ่งศาลแทนแหละครับ

 

 

 

           

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

              [Image: 1528666_566361103439682_1969922871_n.jpg] 

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                             จุดจบหนังกลางเเปลง

 

 

                

 

 

 

การถือกำเนิดของภาพยนตร์กลางแปลงในโลก ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่าเกิดที่ประเทศใดกันแน่ แต่สันนิษฐานว่า น่าจะมีขึ้นภายหลังจากการที่สองพี่น้องตระกูลลูมิแอร์ของฝรั่งเศสที่ได้ฉายภาพยนตร์ขึ้นด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า “ซีนีมาโตกราฟ” (Cinematograph) แล้ว ต่อมาจึงได้มีการเผยแพร่อุปกรณ์ดังกล่าวไปทั่วโลก คล้าย ๆ กับ “หนังเร่” ในบ้านเรา

ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2440 ได้มีโฆษณาแจ้งความลงในหนังสือพิมพ์บางกอกไตมส์ เกี่ยวกับการจัดฉายภาพยนตร์เป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 10-12 มิถุนายน ที่โรงละครหม่อมเจ้าอลังการ และมีการเก็บค่าชมด้วย โดยในคืนแรก มีผู้ชมจำนวน 600 คนได้เข้าไปชมสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าว จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ในประเทศไทย แต่การจัดฉายภาพยนตร์ยังไม่ถือว่าเป็น “หนังกลางแปลง”

หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีคณะหนังเร่จากต่างประเทศเข้ามาฉายโดยเก็บค่าเข้าชมเป็นระยะ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้สถานที่ต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น โรงละคร โรงแรม เป็นต้น เพราะในขณะนั้นยังไม่มีโรงมหรสพสำหรับจัดฉายภาพยนตร์โดยเฉพาะ ซึ่งคณะหนังเร่ต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่นิยมอย่างมาก นั่นคือ คณะของ ที. วาตานาเบ้ ของญี่ปุ่น โดยได้เข้ามาฉายภาพยนตร์เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2447 ที่บริเวณที่ว่างข้างวัดตึก (ปัจจุบันคือ เวิ้งนาครเขษม) โดยตั้งเป็นกระโจมสำหรับวางเครื่องฉาย ส่วนจอภาพยนตร์จะอยู่ด้านนอก ซึ่งลักษณะดังกล่าวน่าจะเรียกว่าเป็น “หนังกลางแปลง” ก็ได้ เพราะไม่ได้นำเครื่องฉายไปจัดไว้ในสถานที่เฉพาะเหมือนอย่างคณะอื่น ๆ นั่นเอง และนอกจากนี้ยังได้นำไปฉายในงานวัดเบญจมบพิตรอีกด้วย จนกระทั่งงานวัดสิ้นสุดจึงได้เดินทางกลับประเทศ และด้วยความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ปลายปี พ.ศ. 2448 ได้กลับเข้ามาตั้งโรงภาพยนตร์ขึ้นเป็นแห่งแรก โดยใช้สถานที่ที่เคยนำภาพยนตร์มาฉายครั้งแรก นั่นคือ ที่ว่างข้างวัดตึก นั่นเอง

ส่วนการฉายภาพยนตร์กลางแปลงให้ผู้ชมได้ชมฟรีนั้น ได้เกิดขึ้นเมื่อ สำนักข่าวสารอเมริกัน หรือ ยูซิส (USIS) ได้นำภาพยนตร์เกี่ยวกับประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาฉายในประเทศไทย เพื่อให้คนไทยได้รู้จักประเทศสหรัฐอเมริกามากขึ้น การจัดฉายในครั้งนั้นจะเป็นเครื่องฉายที่ใช้กับฟิล์มภาพยนตร์ขนาด 16 มิลลิเมตร และตัวจอภาพยนตร์จะเป็นขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสเหมือนจอภาพของเครื่องฉายภาพ วิดีโอ โปรเจคเตอร์ ในปัจจุบัน ภาพยนตร์ที่ฉายในขณะนั้นจะเป็นภาพยนตร์ข่าว หรือสารคดี เป็นส่วนใหญ่ ส่วนภาพยนตร์เรื่องนั้นมีน้อยมาก เช่น ภาพยนตร์ตลกของชาลี แชปปลิน , ลอเรลแอนด์ฮาร์ดี้ (คนไทยจะรู้จักกันในชื่อ “อ้วนผอม”) หรือตลกคณะ The Three Stooges (สามเกลอหัวแข็ง) รวมไปถึงภาพยนตร์การ์ตูนของดิสนีย์ อย่าง โดนัล ดั๊กและมิคกี้ เมาส์ เป็นต้นซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ผู้เขียนมีหลักฐานที่ยืนยันได้จากคำพูดของคุณพ่อ ที่ตอนสมัยยังเด็กได้ไปดูภาพยนตร์ดังกล่าว และยังมีเหตุการณ์ที่อยู่ในความทรงจำเกี่ยวกับการชมภาพยนตร์ทั้งในโรงและกลางแปลงอีกมาก ไว้นำเสนอในโอกาสหน้าครับ)

จากการที่ ยูซิส เป็นต้นแบบของการฉายภาพยนตร์กลางแปลง ทำให้องค์กรที่เป็นบริษัทหรือผู้ผลิตยาหรือสินค้าประเภทอื่นได้ริเริ่มการจัดฉายภาพยนตร์กลางแปลง ประกอบกับได้เข้าสู่ยุคของภาพยนตร์ที่ใช้ฟิล์ม 16 มิลลิเมตรพอดี ที่สำคัญมีเฉพาะหนังต่างประเทศ ส่วนหนังไทยมีน้อยมาก แต่ได้รับความนิยมจากคนดูมากกว่า

ส่วนหนังขายยาที่ริเริ่มฉายภาพยนตร์ด้วยฟิล์ม 35 มิลลิเมตร ซีเนมาสโคปจอกว้างนั้น เริ่มมาจาก บริษัท อารยะโอสถ ตรามือ เป็นแห่งแรก หนังที่ฉายก็ยังเป็นหนังต่างประเทศอีกเช่นเดิม เพราะหนังไทยมีราคาแพงมาก และที่สำคัญจะเน้นเฉพาะหนังฮอลลีวู้ดที่เป็นหนังตึก อย่าง ฟ็อกซ์ , วอร์เนอร์ , เมโทร โกลวิน เมเยอร์ (สัญลักษณ์สิงโตคำราม) เป็นต้น ทั้งที่เป็นฟิล์มระบบ 35 มม. โดยตรงและที่พิมพ์ฟิล์ม 35 มม. ขึ้นใหม่ เพื่อลดขนาดจากฟิล์ม 70 มม. ซึ่งตัวฟิล์มมีขนาดใหญ่และมีฉายเฉพาะที่โรงในกรุงเทพ ฯ เท่านั้น (ภาษาวงการเรียกว่า “โบลว์”) เช่น ยอดคนจังโก้ , เจ็ดสิงห์แดนเสือ , เบน-เฮอร์ , คลีโอพัตรา , วันเผด็จศึก (ฉบับเดิมที่เป็นภาพขาว-ดำ) เป็นต้น ทำให้บริษัทอื่น ๆ ที่เคยฉายแต่ฟิล์มระบบ 16 มม. ต้องปรับเปลี่ยน และยังมีอีกกรณีหนึ่งนั่นคือ การฉายภาพยนตร์ด้วยฟิล์ม 16 มม.ที่พิมพ์ลดขนาดจากฟิล์ม 35 มม. เพื่อสะดวกในการฉาย แต่ต้องใช้เลนส์อะนามอร์ฟิก หรือเลนส์สโคปเพื่อขยายภาพออกเหมือนกับการฉายจากฟิล์ม 35 มม.

 

 
นอกเหนือจากภาวะเศรษฐกิจแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามา ส่งผลทำให้เกิดวิกฤติให้กับบริการหนังกลางแปลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนี้

1. การเข้ามามีบทบาทของแผ่นวิดีโอ ดิสก์

ในขณะที่แผ่นเลเซอร์ ดิสก์ ซึ่งเป็นแผ่นที่มีขนาดใหญ่เทอะทะถึง 12 นิ้ว ในหนึ่งด้านเล่นหนังได้ 1 ชั่วโมง พอหมดหนึ่งด้านก็ต้องกดปุ่มหรือรีโมทเพื่อเลื่อนถาดออกมาแล้วกลับแผ่นอีกด้านหนึ่งแล้วกดปุ่มหรือรีโมทเพื่อเลื่อนถาดเข้าและสั่งให้เล่นต่อไป นับเป็นข้อจำกัดอย่างมาก จนกระทั่งเมื่อแผ่นวิดีโอ ซีดี ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2537 แต่ก็ได้รับความนิยมไม่มาก เนื่องจากยังมีข้อจำกัดอีกเช่นกัน อีกทั้งราคาของเครื่องเล่นและตัวแผ่นยังสูงมาก จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2540 ซึ่งแผ่นดีวีดีถือกำเนิดขึ้น และมีประสิทธิภาพดีกว่า แผ่นเลเซอร์ ดิสก์ ในขนาดของแผ่นที่เท่ากับแผ่นซีดี ทำให้แผ่นเลเซอร์ ดิสก์ หมดความนิยม แต่ยังส่งผลให้กับแผ่นวิดีโอ ซีดี ราคาถูกลง พร้อม ๆ กับการนำเข้ามาวางจำหน่ายของเครื่องเล่นจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้วิดีโอ ซีดี ได้ครับความนิยมมากขึ้น จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ก็ได้เปิดตัวแผ่นดิสก์ขนาดความจุสูงอย่าง เอชดี-ดีวีดีและ บลูเรย์ ดิสก์ ทำให้ราคาแผ่นและเครื่องเล่นดีวีดีถูกลงมาอีก

ขณะเดียวกัน ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงของวิดีโอ เทปก็ดูจะเหมือนรุนแรงมากขึ้น เพราะสามารถทำได้ง่ายและมีกำไรมากกว่า ทำให้ภาพยนตร์ใหม่ที่กำลังเข้าฉายได้ไม่กี่วัน ก็ถูกบุคคลกลุ่มหนึ่งได้นำไปผลิตเป็นวิดีโอ ซีดีและดีวีดี ทั้งการนำเข้าแผ่นละเมิดลิขสิทธิ์จากประเทศเพื่อนบ้าน การลักลอบผลิตแผ่นภายในประเทศ และการ “ไรท์” แผ่น จากคอมพิวเตอร์ทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและวงการภาพยนตร์และบันเทิงโดยรวม

แม้ว่าทางสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติจะได้แก้ปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ โดยการให้ผลิตภาพยนตร์เรื่องนั้นเป็นแผ่นวิดีโอ ซีดีและดีวีดีเพื่ออกวางจำหน่ายได้หลังจากภาพยนตร์เรื่องนั้นได้เข้าฉายและออกจากโรงไปแล้วเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ไม่ได้ช่วยให้การละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ลดลงและผู้ที่กระทำความผิดกลับหนักข้อยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังส่งผลกระทบไปถึงบริการหนังกลางแปลงที่จะต้องนำภาพยนตร์ใหม่ออกฉายในลักษณะปิดวิก ในที่สุด การฉายภาพยนตร์กลางแปลงในลักษณะที่เรียกว่า “ปิดวิก” ก็เป็นอันยุติและไม่มีให้เห็นอีกแล้ว นอกจากนี้ในภาวะทางการตลาดของแผ่นวิดีโอ ซีดีและดีวีดียังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เพราะภายหลังจากการวางจำหน่ายแผ่นภาพยนตร์ลิขสิทธิ์ซึ่งมีราคาแพงออกมาได้ไม่นาน ทางเจ้าของก็จะนำมาลดราคา หรือเปลี่ยนสภาพ เช่น จากเดิมที่เคยอยู่ในกล่องแพ็คเกจอย่างดี ก็จะนำมาใส่ซองพลาสติก เป็นต้น

 

 
2. นโยบายและการดำเนินการของผู้ประกอบการสายหนัง

เนื่องจาก สายหนัง มีอยู่ทั่วประเทศ แต่ละแห่งก็มีนโยบายที่แตกต่างกันไป สายหนังเหล่านี้ได้ดำเนินกิจการมายาวนานนับสิบปี อีกทั้งภาพยนตร์ที่เข้าฉายก็มีเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดการต่อรองของเจ้าของภาพยนตร์และสายหนัง ทั้งยังส่งผลต่อจำนวนก็อปปี้ที่จะได้รับด้วย บางครั้งถ้าเจ้าของสายหนังรู้เนื้อหาของหนังมาก่อนก็ตัดสินใจไม่ซื้อหนังเรื่องนั้นเข้ามาฉายก็มี โดยราคาของหนังแต่ละเรื่องจะมีราคาที่สูง และสายหนังของแต่ละแห่งจะต้องนำภาพยนตร์ที่ซื้อเพื่อเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ประจำจังหวัดนั้น ๆ พร้อมกับการฉายในกรุงเทพ ฯ จนกระทั่งเมื่อหนังเรื่องนั้นได้ออกจากโรงประจำจังหวัดแล้วก็จะไปยังโรงภาพยนตร์ชั้นสอง (ถ้ามี) ต่อจากนั้นจึงจะปล่อยฟิล์มให้บริการหนังกลางแปลงได้เช่าเพื่อนำออกไปฉายต่อไป กว่าจะถึงช่วงเวลาดังกล่าว ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็ได้ผลิตเป็นแผ่นวิดีโอ ซีดีหรือดีวีดีลิขสิทธิ์แล้ว

ก่อนที่สายหนังจะดำเนินการปล่อยฟิล์มให้กับภาพยนตร์กลางแปลง ทางเจ้าของสายหนังจะต้องคัดเลือกภาพยนตร์ก่อน สำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศ จะเน้นภาพยนตร์ประเภท แอ๊คชั่น หรือผจญภัย ที่คนดูในโรงชื่นชอบและมีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมากทุกรอบก่อน ส่วนแนวอื่น ๆ ก็พิจารณาเป็นลำดับไป ยิ่งถ้าเป็นภาพยนตร์ที่แสดงโดย เฉิงหลง , โจวซิงฉือ หรือดาราฮ่องกงที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ทางเจ้าของสายหนังก็จะคัดไว้ ส่วนภาพยนตร์ที่มาจากฮอลลีวู้ดไม่ว่าจะเป็นแนวดรามา , โรแมนติก , เบาสมอง , ไซไฟ จะส่งคืนบริษัททั้งหมด ส่วนหนังไทย ทุกสายหนังต้องมีเช่นกัน

 อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ชมทั่วไปไม่ค่อยทราบกัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นเช็คเกอร์อาจจะทราบดี นั่นคือ ภาพยนตร์ต่างประเทศที่เป็นฝั่งฮอลลีวู้ด ของอเมริกา โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นสตูดิโอหลัก ซึ่งเรียกว่า “เมเจอร์” หรือ “หนังตึก” เช่น ฟ็อกซ์ , วอร์เนอร์ , โคลัมเบีย พิคเจอร์ส , บัวนาวิสต้า และยูไอพี จะมีระยะเวลาการใช้งานฟิล์มที่สั้นคือไม่เกิน 1 ปี เมื่อถึงระยะเวลาดังกล่าว ทางเจ้าของก็จะมีหนังสือส่งมายังเจ้าของสายหนังเพื่อดำเนินการส่งฟิล์มที่ทางสายหนังได้ปล่อยเพื่อให้บริการภาพยนตร์กลางแปลงให้เช่าดังกล่าวนั้นกลับคืน เพื่อดำเนินการทำลายต่อไป จุดประสงค์ดังกล่าวก็คือ ป้องกันเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้มีหนังเรื่อง สไปเดอร์-แมน 3 กำลังฉายอยู่ พร้อมกันทั้งในกรุงเทพ ฯและต่างจังหวัด แต่พอถึงเวลาแล้ว ทางโคลัมเบีย ฯ ก็จะมีหนังสือให้สายหนังดำเนินการส่งฟิล์มคืน ซึ่งหากไม่ดำเนินการก็จะมีผลตามมา เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีการ “แอบ” เก็บฟิล์มเหล่านี้ไว้ เพื่อหวังเก็บราคาค่าจ้างจากเจ้าภาพหรือเจ้าของงาน ในราคาสูง ๆ

 

บทสรุปมาถึงตรงนี้แล้ว ก็คงจะเห็นว่าตอนนี้หนังกลางแปลงได้เกิดอะไรขึ้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ จิตสำนึกและการปรับตัวของบริการ รวมไปถึงความเข้าใจของเจ้าภาพเกี่ยวกับการจ้างภาพยนตร์มาฉายที่นับวันหาได้น้อยเต็มที อีกไม่นานบรรยากาศเหล่านี้คงจะไม่ได้เห็นอีกแล้วครับ

 

 

 

              

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                ระเบิดบรรทัดทอง

 

 

[​IMG]

 

 

ตำรวจลั่นมีกล้องวงจรปิดจับภาพชายลึกลับวางระเบิดกับพื้น

พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผบช.น. ในฐานะโฆษก บช.น. กล่าวว่า ฝ่ายสืบสวน
และสอบสวนได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดหลายครั้ง

พบว่าขณะเกิดเหตุมีชายสวมหมวกสีขาวเดินเร็วแล้ววางระเบิดกับพื้น ก่อนเดินเข้าไป
ที่เสากำบัง จากนั้นประมาณ 5 วินาที ได้มีการระเบิดขึ้น เมื่อระเบิดเสร็จ สักพัก
คนขับรถที่ใส่ชุดดำได้วิ่งไปที่เสาหาชายคนแรก จากนั้นเมื่อฝุ่นจางทั้ง 2 คนเดินออกมา
พร้อมกัน ก่อนมาเก็บของที่พื้นคาดว่าน่าจะเป็นกระเดื่องระเบิด

จากนั้นเดินออกไปจากที่เกิดเหตุโดยไม่สนคนเจ็บแต่อย่างใด เชื่อว่าคนวางน่าจะเชี่ยวชาญ
เพราะมีรัศมีในการระเบิดประมาณ 5 เมตร เชื่อว่าทั้ง 2 คนน่าจะรู้จักกัน ซึ่งขณะที่
คนล้มระเนระนาดแต่ชายทั้ง 2 กลับเดินออกมาเพื่อหาสิ่งของโดยไม่สนใจคนเจ็บ

ขณะนี้ทราบทะเบียนรถแล้ว

 

 

 

 

 

 

ม๊อบมวลมหาประชาชน ของเทือกกลับถึงที่ตั้งแล้ว

 
ม๊อบมวลมหาประชาชน ของเทือกกลับถึงที่ตั้งแล้ว
โดย songvit
เมื่อ อาทิตย์, 19/01/2014 - 17:19

 

โอ้วแม่เจ้า มองไม่เห็นอาไรเลย มืดฟ้ามัวดินเจงๆๆ
Nantaya Phatana

16.00 น.ขบวนสุเทพ ถึงถนนรีชดา-กรมส่งออก เหลือแค่นี้เอง ???

 

 
 
 
 
 

 

 

 

ยิ่งระเบิดยิ่งมัดตัวนะ

 
มีพิรุจตั้งแต่ครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นการปลดกล้องในพื้นที่ชุมนุม
แกนนำที่พาม็อบไปที่ตึกร้าง ทีมคนโยนระเบิด + คนขับรถ+ คนที่นำการ์ดไปปีนตึกร้าง
การไม่ให้ตำรวจหรือสื่อเข้าตรวจสอบหลักฐาน
รวมไปถึงนายอภิสิทธิ์ที่รุดไปเยี่ยมคนเจ็บ

และทันทีหลังตำรวจแถลงแฉความอำมหิตของผู้ก่อเหตุ
ก็เกิดเหตุครั้งที่สองที่อนุสาวรีย์  ระเบิดที่ใช้ยังคงเป็นชนิดเดิม และเหมือนเดิมคือปาไม่โดนแกนนำ

ยิ่งใช้ระเบิดโดยที่ยังไม่มีแกนนำตาย ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันตัวตนของผู้ก่อเหตุได้อย่างชัดเจน
เชื่อว่าการปาระเบิดครั้งต่อๆไป อาจมีการสังเวยชีวิตแกนนำระดับปลายแถว เพื่อให้เหตุการณ์ดูน่าเชื่อถือ
งานนี้ใครตามสุเทพไม่ทันก็เตรียมจองศาลาไว้ได้เลยครับ
ยิ้ม

 

 

ไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ที่รัฐบาลจะต้องปาระเบิดใส่ม็อบ เพราะก็เห็นๆ กันอยู่ว่า คนที่มาร่วมเดินขบวนกับม็อบน้อยลงๆๆ ทุกวันอยู่แล้ว และยิ่งไม่มีท่าทีจะชนะได้เลยหากไม่มีทหารออกมาช่วย

ทุกวันนี้ทุกคนก็รู้กันอยู่ว่าสิ่งที่สุเทพต้องการที่สุด ก็คือต้องการให้ทหารออกทำรัฐประหาร เพราะรู้ว่าแค่เดินขบวนอย่างเดียว ไม่มีทางที่จะชนะได้

แต่ทหารจะออกมาทำรัฐประหารไม่ได้ นอกจากจะมีเหตุการณ์ความรุนแรง มีผู้คนบาดเจ็บล้มตาย เพื่อให้ทหารใช้อ้างเหตุความชอบธรรมในการทำรัฐประหาร  

ซึ่งการรัฐประหารเป็นสิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลัวที่สุด  ฉะนั้น ไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่รัฐบาลจะต้องปาระเบิดใส่ม็อบ

และที่สำคัญ  ใครที่มันตั้งใจจะมาปาระเบิด แต่กลับพกพาหลักฐานทั้งเสื้อแดง หมวกแดง และหลักฐานอื่นเพียบเลยไว้ให้ดูต่างหน้า  ใครเชื่อก็โง่จนควายเรียกพี่ได้เลย


อยากถามนายสุเทพว่าจิตใจมันทำด้วยอะไร  ทำไมถึงได้โหดเหี้ยมอำมหิตผิดมนุษย์มนาเหลือเกิน เพียงแค่อยากได้อำนาจ เพียงแค่อยากให้ทหารออกมาทำรัฐประหารแล้วก็ประเคนอำนาจให้พวกมันอย่างที่พวกมันต้องการ ถึงกับลงมือฆ่าคนที่มาเดินตามหลังมันเพราะศรัทธาในตัวมัน  มันเลวทรามขนาดนี้ ยังดูกันไม่ออกอีก โง่จริงๆ

 

 

 

******************************

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-01-15 19:16:37.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  สะพานร้องไห้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

               สะพานร้องไห้

 

 

 

       

 

 

 

ทำไมสะพานถึงร้องไห้
 

เหตุที่เรียกขานกันว่าสะพานร้องไห้ เพราะว่ามีประติมากรรมปูนปั้นประดับสะพานเป็นรูปสตรีและเด็กพากันร้องไห้ อยู่ในอาการเศร้าโศก เดินทีเชื่อกันว่าเป็นสะพานที่สร้างขึ้นแสดงถึงความโศกเศร้าของพสกนิกรในการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ข้อสังเกตของ ศิริชัย นฤมิตรเรขการ ที่เขียนไว้ในหนังสือ สะพานเก่ากรุงเทพฯ กล่าวว่าเมื่อดูจากป้ายจารึก และปีพ.ศ.2467 ที่สร้างนั้นห่างจากปีสวรรคตไปแล้วถึง 15 ปี
 

แท้ที่จริงแล้วสะพานนี้ สร้างขึ้นจากเงินบริจาคของเหล่าข้าราชการกระทรวงมหาดไทย เพื่อแสดงความอาลัยในโอกาสที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพ้นจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย จึงมีชื่อเรียกขานอย่างเป็นทางการว่า สะพานมหาดไทยอุทิศ
ความงดงามของ
สะพานร้องไห้ นอกเหนือจากประติมากรรมปูนปั้นรูปมงคลที่สะท้อนอารมณ์ได้อย่างเหมือนจริงแล้ว ยังมีประติมากรรมนูนรูปราชสีห์สัญลักษณ์ของกระทรวงมหาดไทย ลูกกรงสะพานรูปพวงหรีด และราวสะพานทำเป็นรูปพวงมาลัย ซึ่งเต็มไปด้วยความหมายและความงามทางศิลปะที่ผสานกันอย่างกลมกลืน
 

สะพานร้องไห้ เป็นสะพานเล็กๆ ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ข้ามคลองมหานาค และเป็นหนึ่งในสะพานเก่ากรุงเทพฯที่กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ ในปีพ.ศ.2518

  

สะพานอรไทย

 

  

 

 


เป็น
สะพานข้ามคลองเปรมประชากร ส่วนที่บรรจบกับคลองผดุงกรุงเกษม บริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทำเนียบรัฐบาล ชื่อของสะพานอรไทย ตกเป็นข่าวดังในหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ในเหตุการณ์การปะทะดุเดือดระหว่างผู้ชุมนุมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 2-3 ธันวาคม ที่ผ่านมา

 

อรไทย เป็นนามของผู้ใด ? และมีที่มาอย่างไร
ตามประวัติกล่าวว่า
สะพานอรไทย ตั้งขึ้นตามพระนามของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรไทย
เทพกัญญา พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาบัว ธิดาของเจ้าพระยานครศรี ธรรมราช (น้อย ณ นคร)


สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก หากเคลื่อนย้ายแท่งแบริเออร์คอนกรีตที่บดบังอยู่จะพบกับเหล็กดัดและราว
สะพานลวดลายงดงาม รวมทั้งประติมากรรมปูนปั้นที่ประดับตกแต่งอยู่บริเวณเสาและโคมไฟ ล้วนเป็นศิลปกรรมแบบยุโรปที่ได้รับความนิยมในแผ่นดินของพระพุทธเจ้าหลวงทั้งสิ้น


สถานที่สำคัญเกี่ยวเนื่องกับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
อรไทยเทพกัญญา ยังมีพระตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานแด่พระขนิษฐา ในพระที่นั่งวิมาเมฆ


ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
อรไทยเทพกัญญา ปัจจุบันจัดแสดงพระภูษาในราชสำนักในสมัยรัชกาลที่ 5 และผ้าไหมจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ใครที่สนใจใคร่ศึกษาผ้าโบราณ อาทิเช่น ผ้ายกไหมเซี่ยงไฮ้ ผ้าอัดลัต ผ้ายกทอง ไม่น่าพลาดการเข้าเยี่ยมชม

 

 

ชมัยมรุเชษฐ

 

 

 


สะพานข้ามคลองเปรมประชากร หน้าทำเนียบรัฐบาล แยกพาณิชยการ อีกสถานที่หนึ่งที่เกิดการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีการยิงแก๊สน้ำตาอย่างต่อเนื่อง


ชมัยมรุเชษฐ มีความหมายถึง
สะพาน
ที่สร้างให้พี่ชายผู้วายชนม์สองพระองค์ สร้างขึ้นในปีพ.ศ.2444 โดย สมเด็จพระปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงราชสิรินธร พระราชธิดาลำดับที่ 43 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า


ตามข้อความที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 4 พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก119 ความว่า
" สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ทรงบริจาคทรัพย์สร้างตะพาน
ด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ได้ทรงเจริญพระชนมพรรษา มาเท่าพระชนมพรรษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฏราชกุมาร ในวันที่ 26 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 119 และจะเท่าพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสมมติวงษวโรไทย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ ในวันที่ 25 เมษายน รัตนโกสินทรศก 120 จึงได้ทรงพระศรัทธาบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นจำนวนเงิน 6,780 บาท บำเพ็ญพระกุศลสร้างตะพาน เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ ทรงอุทิศส่วนกุศลถวายพระเชษฐภาตาทั้งสองพระองค์


...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชหฤทัยยินดีและทรงอนุโมทนาในส่วนพระกุศลนี้ และได้พระราชทานนามว่า ตะพานชมัยมรุเชษฐ"


ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบยุโรป แม้ว่าจะมีการบูรณะซ่อมแซมภายหลังไปมาก หากลวดลายของวงโค้งประดับกรอบชื่อ
สะพาน ที่สอดคล้องรับกับลวดลายของเหล็กดัดบริเวณราวสะพานก็ยังคงความงามที่อ่อนช้อยสวยงามจนวันนี้

 

 

ช้างโรงสีแต่ไม่มีช้าง 

 

 

 

ลวดหนามที่นำมาเป็นปราการป้องกันผู้ชุมนุมคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ยังคงอยู่เชิงสะพานช้างโรงสีทั้งฝั่งกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย
เห็นรูปปูนปั้นหน้าสุนัขที่อยู่ติดกับลวดหนามผูกโบสีชมพูและฟ้า ทั้งที่มีตัวหนังสือเขียนว่า
สะพานช้างโรงสี ทำให้อยากค้นหาถึงที่มาว่าเป็นเช่นไร


ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นบ้านเมืองยังต้องทำศึกเพื่อความปึกแผ่นมั่นคงของราชอาณาจักร "ช้าง" เป็นสัตว์สำคัญที่ใช้เป็นพาหนะในการยาตราการศึกสงคราม ดังนั้นจำเป็นต้องมี
สะพานที่แข็งแรงมั่นคงสามารถรับน้ำหนักของช้างที่จะเดินข้ามคูเมืองได้ แต่เดิมมีสะพานสำหรับช้างอยู่ 3 สะพาน
ได้แก่

 

สะพานช้างวังหน้า (ที่ลาดเชิงสะพานปิ่นเกล้า)

สะพานช้างปากคลอง (สะพานเจริญรัช)

สะพานช้างตรงถนนบำรุงเมือง ที่เรียกขานกันว่าสะพานช้างโรงสี เพราะสมัยนั้นบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโรงสีข้าวฉางหลวงสำหรับพระนคร

 

ลักษณะของสะพานเดิมเป็นไม้ซุงขนาดใหญ่ มีการปรับเปลี่ยนซ่อมแซมหลายครั้ง กระทั่งปีพ.ศ.2453 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขณะดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย โปรดให้บูรณะสะพานใหม่ให้เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก

 

หัวมุมปลายสะพานประดับรูปปูนปั้นหัวสุนัขระบุศักราช 129 หมายถึงปีที่ซ่อมสะพานซึ่งตรงกับปีจอ อันเป็นนักษัตรปีประสูติของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เริ่มต้นจากช้าง มาลงเอยที่สุนัขด้วยประการฉะนี้

 

 

ผ่านฟ้าลีลาศ
 

 

 

 

เป็นอีกหนึ่งสะพานที่มีความสวยงามมาก ใครที่เคยขับรถผ่านขอแนะนำให้ลองมาเดินชมสักครั้ง มาแล้วเดินต่อไปชมสะพานร้องไห้ที่สวยงามคนและแบบใกล้ๆ กันด้วย
แม้ว่าไม่ปรากฏปีที่สร้าง หากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้สร้างใหม่แทน
สะพานเดิมเพื่อให้มีขนาดใหญ่ สวยงาม รับกับถนนราชดำเนิน ออกแบบโดยช่างชาวยุโรป
 

ปลายสะพานทั้งสองด้านตกแต่งด้วยเสาหินอ่อนแกะสลักประดับด้วยเครื่องสำริด ราวสะพานเป็นเหล็กหล่อเป็นรูปดอกทานตะวัน ที่เสาสะพานตรงกลางมีรูปเรือยุโรปโบราณประดับอยู่ เหนือขึ้นเป็นมีลายเฟื่องอุบะประดับคู่กับหัวสัตว์ทำขึ้นอย่างประณีตสวยงาม
 

เป็นสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการผสมผสานระหว่างศิลปะไทยกับตะวันตกได้อย่างแนบเนียน
 

ยังมีสะพานข้ามคูเมืองเดิม หรือ คลองหลอดในปัจจุบันที่มีสถาปัตยกรรมงดงามให้เราได้ชื่นชมและศึกษาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นสะพานปีกุน หรือสะพานหมู สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถวายสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ครั้งพระชนมายุครบ 50 พรรษา สะพานหก หรือ สะพานยกได้ สร้างตามแบบสะพานเมืองวิลันดา ประเทศเนเธอร์แลนด์ สะพานอุบลรัตน์ สะพานเจริญศรี 34 เป็นต้น

สถานที่ทุกแห่งล้วนมีที่มาชวนค้นหา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองอย่าสนใจหรือว่าผ่านเลยไป
 

เอกสารอ้างอิง : หนังสือ สะพานเก่ากรุงเทพฯ ผู้เขียน ศิริชัย นฤมิตรเรขการ , ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์ ห้องสมุดมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ และวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ภาพ ประเสริฐ เทพศรี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 [Image: 9ksKd5.jpg] 

 

 

 

 [Image: 1554596_572056339546095_1020678940_n.jpg] 

 

 

 

 

 

 

 

 

https://th-th.facebook.com/ChuvitOnline

สำนึกของคนชื่อชูวิทย์

เมื่อผมโพสต์ข้อความล่าสุดไป มีคนมาคอมเม้นท์ต่อว่าผมถึงสำนึก ผมจึงขอตอบดังนี้

จิตสำนึกของผมไม่ได้หนักหัวใครอีกต่อไป ในเมื่อเล่นการเมืองนอกกติกา ไม่มีรูปแบบให้ยึดถือ จะไปปิดสี่แยก ปิดสถานที่ไหน หรือแกนนำอยากจะทำอะไรก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎ กติกา มารยาท

แล้วทำไมผมต้องมีจิตสำนึก ในเมื่อผมไม่ได้เป็นคนเที่ยวเชื้อเชิญคนอื่นออกมาตาย

หากคุณเกลียดผมที่พูดความจริง ผมไม่แปลกใจหรอก แต่ถ้าคุณดัดจริตมากนัก บอกมาสิว่าตรงไหนไม่ใช่เรื่องจริง

ที่ไปเดินชวนคนเขาออกมา พาคนเขาไปตาย แล้วจะมาร้องไห้หาอะไร?

เดี๋ยวไปเดินอีกก็ต้องมีตายอีก แล้วบอกไม่กลัว ก็ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่ใช่ชีวิตคุณสุเทพ แต่เป็นชีวิตของคนบริสุทธิ์ทั้งนั้น

ผมพูดผิดตรงไหน? แล้วจิตสำนึกของใครควรจะมีมากกว่ากัน?

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
 
 


[Image: izGlA0.jpg]

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

           กามนิต - ทำไมรวดเร็วปานกามนิต


 

 

 

 

                                                

 

 

 

 

 

น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com




"กามนิต" หรือพากย์ภาษาเยอรมันว่า Der Pilger Kamanita เป็นวรรณกรรมประเภทนวนิยายอิงพระพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงมาก ประพันธ์ในปี ค.ศ.1906 (พ.ศ.2449) โดย คาร์ล อดอล์ฟ เจลเลอร์รุป นักเขียนชาวเดนมาร์ก ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี ค.ศ.1917 ฉบับภาษาไทย เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป แปลจากฉบับภาษาอังกฤษ The Pilgrim Kamanita ของ จอห์น อี.โลจิก ซึ่งแปลมาจากฉบับเยอรมันอีกทอด รูปประกอบโดยศิลปิน ช่วง มูลพินิจ พากย์ไทยใช้ชื่อสั้นๆ ว่า กามนิต ทยอยลงพิมพ์ในวารสารไทยเขษม แล้วรวมพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ.2474

เรื่องเล่าถึงบุรุษนามว่า กามนิต บุตรพ่อค้าแห่งกรุงอุชเชนี ผู้อกหักเพราะ วาสิฏฐี คนรัก ถูกพรากไปแต่งงานแบบคลุมถุงชน กามนิตโศกเศร้าเสียใจยิ่ง เขาจึงมุ่งแสวงหาพระศาสดาด้วยหวังจะได้ขจัดความทุกข์ต่างๆ ที่เผชิญ และได้พบกับความสุขอันเป็นนิรันดร์ การเพียรแสวงหาพระพุทธองค์นั้น เหมือนกามนิตจะเข้าใจว่า ณ วันที่ได้พบกัน ประดาความทุกข์ทั้งหลายที่รุมเร้าชีวิต จะพลันละลายไป

พระบรมศาสดาพบกามนิต ณ บ้านช่างปั้นหม้อ ในสถานะผู้แรมทางด้วยกัน กามนิตจึงได้มีโอกาสเล่าเรื่องของตนเองและสนทนาธรรมกับพระ แต่คำแนะนำต่างๆ ที่พระพุทธองค์ทรงมีให้เพื่อให้กามนิตได้คลายทุกข์ก็ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านปราการหนาแห่งศรัทธาในตัวบุคคลของกามนิตได้ การพบกันในคืนนั้นของบุคคลทั้งสองจึงไม่เกิดผลอันใด และกามนิตไม่รู้เลยว่าพระสงฆ์ที่สนทนาอยู่ด้วยนั้นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ใฝ่หา

เรื่องราวดำเนินส่วนแรกเป็นภาคพื้นดิน และต่อด้วยภาคสวรรค์ เมื่อกามนิตตายลง และด้วยอำนาจตถาคตโพธิศรัทธา จึงไปเกิด ณ สวรรค์ชั้นสุขาวดี และพบกับ วาสิฏฐี ปมของเรื่องราวชีวิตหนหลังครั้งภาคพื้นดินจึงคลี่คลาย ธรรมะที่วาสิฏฐีสดับจากพุทธโอษฐ์ครั้งเธอยังอยู่ในภาคบนดิน ได้ถ่ายทอดสู่กามนิตชายคนรัก กระทั่งกามนิตสามารถพิจารณาธรรมนั้น หวนระลึกพระโอวาทที่ตนได้รับโดยตรง ณ บ้านช่างปั้นหม้อ และเข้าใจธรรมอย่างรู้แจ้งถึงที่สุดแห่งทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์จนเข้าถึงพระนิพพานในที่สุด

ในเรื่องกามนิต มีกามนิตและวาสิฏฐีเป็นตัวเอก และนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีองคุลิมาล พระอานนท์ และพระสารีบุตร ปรากฏในเรื่องด้วย เป็นการเชื่อมโยงหลักธรรมในพุทธศาสนากับความจริงแห่งความรักได้อย่างลึกซึ้งและกินใจ

หนังสือกามนิตได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน แก่นอันเป็นคุณค่าของเรื่องคือความรัก ความทุกข์จากรัก และดับทุกข์ด้วยธรรมะ จัดเป็นงานโรแมนติกอันมีความลึกซึ้งของรสรักเจือธรรมรสเข้าด้วยกันอย่างทรงพลัง ประทับใจ ทั้งพรรณนาโวหารภาษาไทยยังเป็นยอด

ส่วนวลี "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม" เกิดเมื่อครั้งกามนิตละจากเมืองโกสัมพีของวาสิฏฐีกลับไปกรุงอุชเชนี มหานครที่มีชื่อเสียงว่า สนุกสนานหาความบันเทิงได้ไม่มีที่เปรียบ และเพื่อจะลืมความโทมนัสแสนสาหัสจากความรัก กามนิตจึงเข้าพัวพันคบหาสมาคมกับนางเหล่าคณิกา ซึ่งถึงแม้ว่าความเป็นไปของพวกชั้นนี้จะเป็นชนิดที่เลวทราม เขาก็ตีตนสนิทสนมมิได้รังเกียจ จนนางพวกเหล่านั้นภักดีต่อเขาสุดชีวิตจิตใจ

การเปลี่ยนพฤติกรรมไปหมกมุ่นอยู่ด้วยความสนุกอย่างรวดเร็วราวพลิกหน้ามือเป็นหลังมือของกามนิตยามนั้น เป็นที่มาของคำพูดติดปากชาวอุชเชนีว่า "รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม"

 

 

 

 

 

 

 

          

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

         

 

 

 

 

 

 

 

 

 กองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงข่าวสถานการณ์การชุมนุม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       

 

 

วันที่ 17 มกราคม 2557 เวลา 16.45 น.

กองบัญชาการตำรวจนครบาลขอแถลงข่าวสถานการณ์การชุมนุม ของวันที่ 17 มกราคม 2557 มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจ ดังนี้

1.กรณีเกิดเหตุระเบิดที่ ถนนบรรทัดทอง นั้น เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2557 เวลาประมาณ 13.00 น. ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ซึ่งนำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กำลังเดินขบวนมาที่บริเวณ ถนนบรรทัดทอง มุ่งหน้าแยกเจริญผล ได้เกิดเสียงระเบิดขึ้น ที่บริเวณรถเครื่องเสียงนำขบวน ผู้ชุมนุมดังกล่าว ใกล้แยกเจริญผล ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวนมาก

ภายหลังเกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองพิสูจน์หลักฐาน ยังเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุไม่ได้ เนื่องจาก การ์ดของกลุ่มผู้ชุมนุมตะโกนไล่ และไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพียงแต่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปเท่านั้น

จากกรณีดังกล่าว เส้นทางในการเดินขบวน กลุ่ม กปปส. ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นั้น ได้กำหนดไว้ว่า จะเดินในเส้นทาง เริ่มจาก สวนลุมพินี – สีลม – เจริญกรุง – สี่พระยา – แยกสามย่าน – ถนนพญาไท – เวที กปปส. ปทุมวัน

แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลาเคลื่อนขบวนจริง ได้เปลี่ยนมาใช้เส้นทาง เริ่มจาก สวนลุมพินี – ถนนพระราม 4 – ถนนสุรวงศ์ – ถนนนเรศ – ถนนสี่พระยา – ถนนมหานคร – ถนนพระรามสี่ – ถนนบรรทัดทอง – แยกเจริญผล – ถนนพระรามที่ 1 เพื่อเข้าสู่เวทีปทุมวัน

จึงเป็นข้อสังเกตว่า มีความผิดปกติ และ ผิดวิสัยที่กลุ่ม กปปส. ได้กระทำมาโดยตลอด

จากกรณีดังกล่าว จึงไม่สามารถที่จะให้รายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดได้ในขณะนี้ ดังนั้นจึงขอความร่วมมือให้ผู้ชุมนุมและการ์ดกลุ่ม กปปส. ได้อำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและกองพิสูจน์หลักฐาน เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วย

2. กรณี ที่ศูนย์ราชการ ได้มีเหตุ มีรถตู้ จำนวน 1 คัน และรถจักรยานยนต์ จำนวน 5 คัน ได้ขับขี่ผ่านมาที่บริเวณ แนวกั้นของกลุ่ม กปปส. ที่บริเวณ ซอยแจ้งวัฒนะ 14 ถนนแจ้งวัฒนะ และรถจักรยานยนต์ ได้เร่งเครื่องจนเกิดเสียงดัง กลุ่มการ์ด กปปส. จึงได้โยนประทัดยักษ์ ใส่กลุ่มรถจักรยานยนต์ดังกล่าว และทั้งสองฝ่ายได้แยกย้ายกันไป โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ไม่ใช่ กรณีของนายโกตี๋ และกลุ่มเสื้อแดง เข้ามาก่อกวน แต่อย่างใด ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบและยืนยันทราบว่า นายโกตี๋ ได้อยู่ที่จังหวัดปทุมธานี ไม่ได้เข้ามาในกรุงเทพมหานคร แต่อย่างใด

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

               

 

 

 

 

 

 

 

 

                 [Image: 46616-Jayma-mays-clapping-gif-GLEE-1IN8.gif] 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

******************************************

 

 

 

  

 

 

   อยากให้ลูกเป็นดาราต้องทำยังไง?

 

 

อยากให้ลูกเป็นดาราต้องทำยังไง? ถ้าคุณสังเกตว่าลูกอยากเป็นดารา แน่ใจว่าลูกชอบการแสดง ร้องเพลง หรือถ่ายแบบจริง ๆ ลองอ่านบทความนี้ดู เราหาคำตอบมาให้แล้ว

 

 

1. shutterstock 85818181 อยากให้ลูกเป็นดาราต้องทำยังไง?

   อยากให้ลูกเป็นดาราต้องทำยังไง?

 

 

1. ชั้นเรียนการแสดง

ถ้าอยากรู้ว่าความรักในการแสดงของลูกนั้นเป็นของแท้แน่นอนหรือแค่อาการเห่อเป็นพัก ๆ ลองส่งเด็ก ๆ ไปเรียนการแสดงดูสิคะ อาจบอกให้ลูกเข้าร่วมชมรมการละครของโรงเรียน หรือเล่นละครของโรงเรียน แม้จะแสดงเป็นแค่ตัวประกอบหรือบทเล็ก ๆ แต่ถ้าเด็ก ๆ ชอบจริง ๆ เราก็จะเห็นได้เลยค่ะ

 

2. ท่องบท

การจะเป็นนักแสดงที่ดีได้นั้น เด็ก ๆ ต้องท่องบทได้ด้วย ลองเขียนบทเล่น ๆ มาให้ลูกอ่าน และให้ลูกแสดงประกอบตามบทดูสิคะ แต่ต้องให้ลูกมีเวลาท่องบทด้วย เพราะทักษะการอ่านบทและท่องบทนั้นสำคัญมาก ถ้าคุณอยากให้ลูกมีโอกาสในการแสดง ลูกต้องอ่านหนังสือให้ออกและฝึกท่องบทให้แม่นด้วย

 

3. เตรียมรูปถ่ายให้พร้อม

ถ้าอยากให้ลูกเป็นดารา คุณควรมีอัลบั้มภาพของลูกเก็บไว้ด้วย ทั้งภาพเต็มตัว ภาพถ่ายแต่หน้า รวมทั้งภาพสีและภาพขาวดำ ลองให้เด็ก ๆ สวมเสื้อผ้าที่ต่างกันและแสดงอารมณ์ที่ต่างกันในแต่ละภาพด้วย

 

4. เตรียม Resume

เตรียม Resume ให้ลูกไว้ก่อนค่ะ บอกชื่อ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง และกิจกรรมที่ลูกถนัด เขียนเบอร์โทรศัพท์ และอีเมล์ให้ชัดเจน แต่อย่าให้ที่อยู่ไปนะคะ เพื่อเป็นการป้องกันมิจฉาชีพ

 

5. หาเอเจนซี่

ก้าวแรกหากอยากให้ลูกเป็นดาราคือการหาเอเจนซี่ที่จะสังกัด ถ้ามั่นใจจริง ๆ ว่าลูกของคุณรักการแสดง อยากเป็นนักร้องดารา ลองติดต่อเอเจนซี่ต่าง ๆ ดู แต่จำไว้เสมอว่าอย่ายุ่งกับเอเจนซี่ที่เรียกเก็บเงินเมื่อคุณไปออดิชั่น นั่นหมายความว่าคุณถูกหลอก เพราะเอเจนซี่ทั่วไปจะไม่เรียกเก็บเงินจากพ่อแม่ของเด็ก เอเจนซี่จะได้รับส่วนแบ่งจากผู้จัดหลังจากที่ลูกของคุณได้เซ็นสัญญาในการแสดงแล้วต่างหาก

 

6. อยู่กับลูกตลอดเวลา

ถ้าอยากให้ลูกได้เป็นดาราจริง ๆ หรือถ้าลูกคุณอยากเป็นดาราจริง ๆ ขอให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจก่อนว่ามีคนใดคนหนึ่งสามารถอยู่กับลูกได้ตลอดเวลาขณะที่ลูกอยู่ในกองและซ้อมการแสดง ถ้าคุณไม่สามารถทำได้ ก็อย่าสนับสนุนให้ลูกเข้าสู่วงการนี้ตั้งแต่แรกค่ะ


เครดิตจาก t
heAsianparent
 

 

 

 

 

 

 

วันนี้ ม๊อบ (ปชป. )โดยสุเทพ พยายามพูดอ้างอิงกลุ่มต่างๆ เช่น จุฬา ธรรมศาสตร์ กองทัพ เห็นได้ชัดว่ากำลังจะแพ้แล้วครับ

 
คือขอวิเคราะห์ตรงๆ แบบนักกลยุทธ์ คือ กระแสตอนนี้เริ่มตีกลับ เพราะภาพพจน์ม๊อป ช่วงนี้ออกมาดูไม่ดี จุดหมายไม่แน่นอน เทียบกับอีกฝ่ายที่ชูจุดขาย "เลือกตั้ง"
มวลชนหลักที่เคยออกมาช่วงนิรโทษกรรม หายไปเกือบหมด เหลือแต่มวลชนจัดตั้งจากภาคใต้ และ สาวกที่เหนียวแน่น ซึ่งคนที่ไปร่วมม๊อบก็รู้สึกได้เช่นกัน เหลียวซ้ายแลขวาเริ่มรู้สึกว่ามาผิดที่ผิดทางหรือเปล่า
สุเทพก็รู้ว่ามวลชนเริ่มหนีเพราะขาดความมั่นใจ จึงพยายามพูดอ้างอิงชื่อกลุ่มสถาบันต่างๆ ให้มวลชนรู้สึกว่ามีพวก

ตอนนี้ สุเทพคงเหลือแค่ทหาร ที่จะช่วยให้ชนะได้ ถึงกับเอ่ยปากบนเวที ขอให้พลเอกประยุทธ์ ออกมาเลือกข้าง แต่ก็อาจจะยากเพราะอีกข้างคือ การเลือกตั้ง คือระบอบการปกครองที่ทหารมิอาจแสดงออกเป็นปรปักษ์ได้ง่าย เพราะต่างชาติก็จับตาดูอยู่และที่สำคัญคือ ทหารจะเลือกข้างผู้ชนะเท่านั้น

ดังนั้นสิ่งที่สุเทพพูดวันนี้แสดง จุดอ่อน และทิศทางที่จะไปชัดคือ
ทางที่จะไปต่อ
1 สุเทพ มักเอ่ยอ้างเรื่องที่ผู้ชุนนุมบาดเจ็บ เรียกร้องรัฐบาลรับผิดชอบ
2 อ้างอิง ข้าราชการบางกลุ่ม เพื่อดึงให้ข้าราชการระดับบนออกมาเลือกข้าง
3 ร้องหาทหาร ให้มาช่วย

จุดอ่อนที่พยายามแก้
1 มวลชนเริ่มหนีหาย
2 ภาพลักษณ์ ที่เริ่มเสีย เพราะชูวิทย์จุดประเด็น คือ กปปส คือ ปชป และ สุเทพ เองก็คือ นักการเมืองที่ขี้โกง  2 ข้อนี้ชัดเจนมาก ทุกคนรู้แต่ไม่เคยย้ำ
3 ภาพลักษณ์ ม๊อบบางส่วนที่ เถื่อน มีอาวุธ
4 ข้อนี้ผมว่าสำคัญมากคือ ตอนนี้โอกาสที่ม๊อบจะชนะมีน้อยมาก และอาจจะกำลังแพ้ด้วยซ้ำไป สุเทพและแกนนำทุกคนพยายามบอกเสมอว่า เราจะชนะ เราชนะแล้ว เพื่อปลุกขวัญม๊อบ

จำไว้ครับ คนส่วนมากไม่อยากอยู่ข้างคนแพ้
 
เทพหุ้น

 

 

 本文です
 

お探しのページが見つかりません

  • ヨミウリ・オンライン内の記事をお探しの場合は、検索窓にキーワードを入力して「サイト内」のボタンをクリックしてください。
  • ヨミウリ・オンラインのトップへ5秒後に移動します。

 

 

 
ส่วนหนึ่งจากบทบรรณาธิการนสพ.โยะมิอุริ, ญี่ปุ่น - 16 มค.2014

< ม็อบล้มรัฐบาล ต้องรีบหยุดความวุ่นวายเพื่อการเลือกตั้ง >

พรรคการเมืองฝ่ายทักษิณ ซึ่งมีนโยบายเน้นไปที่ผู้ด้อยโอกาส และได้รับการสนับสนุนจากเกษตรกรและคนยากจนผู้เป็นประชากรส่วนใหญ่อย่างล้นหลาม จนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหลังๆติดต่อกันมาตลอด. ทำให้ฝ่ายล้มรัฐบาลเองก็รู้ว่าไม่มีโอกาสที่จะชนะในสนามเลือกตั้งได้เลย.

เมื่อโอกาสชนะต่ำ จึงบอยคอตการเลือกตั้ง และก่อความไม่สงบเพื่อให้ได้ตามความต้องการ เป็นการกระทำซึ่งต้องกล่าวว่า มาจากความเห็นแก่ตัวและปฏิเสธประชาธิปไตย.
การเข้าสู่การเลือกตั้งจึงจะเป็นวิถีที่ถูกและควร.

........................
ความวุ่นวายที่เป็นอยู่ในไทย เริ่มเป็นผลลบต่อสภาพเศรษฐกิจ
มีบริษัทญื่ปุ่นจำนวนหนี่งได้ปิดที่ทำการ. บางบริษัทได้หยุดการดำเนินงานขอรับการส่งเสริมการลงทุน.
ประเทศไทยได้ขยายตัวทางเศรษฐกิจ จากการลงทุนของต่างประเทศ จนเป็นที่รู้จักกันว่า” ประเทศดีเด่นของอาเซียน”
แต่... ความน่าเชื่อถือจากต่างประเทศเริ่มจะสั่นคลอนแล้ว.

http://www.yomiuri.co.jp/editorial/news/...T01333.htm
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

           แผนตี 4 รั่ว

 
 
 
 
สถานที่ - โรงแรมแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์
หน่วยปฏิบัติการ - อรินทราช และ ฉก.13
ลำดับขั้นตอน - กองกำลังนอกเครื่องแบบแทรกซึมเข้าม็อบเพื่อปิดล้อมชั้นล่าง และประกบการ์ดไว้ ได้จังหวะเมื่อไหร่จับกุมทันที
                  - กองกำลังอรินทราชโรยตัวลงดาดฟ้าโรงแรม จับการ์ดพร้อมอาวุธ 2  คน ที่เฝ้าอยู่บนดาดฟ้า ถ้าต่อสู้ให้จับตาย
                  - ในชั้นที่ นชก.1 นอน จะมีการ์ดเฝ้าหน้าลิฟต์ 2 คน ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยแทรกซึมที่ฝังตัวในม็อบ
                  - เอาเชลยการ์ดที่จับได้เดินไปพร้อมกับใช้ปืนจี้หัว เพื่อส่งสัญญานให้การ์ดหน้าห้อง นชก.1 วางอาวุธ แล้วเข้าจับกุม
                  - เมื่อแผนสำเร็จตามขั้นตอน ให้ทุกหน่วยสนธิกำลังเข้าจับ นชก.1 ถึงห้องนอน (แต่อย่าทำอะไรกับคู่ข้าเป็นอันขาด)

ใครไม่เชื่อ  รอฟังข่าวตอนตี 4 นะครับ  อิอิ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
                                     
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
********************************
 
 
 
 
 
 

 

                                                      วันไหว้ครู 

 

 

 

                                        

 

 

เป็นกิจกรรมหนึ่งที่สถาบันการศึกษาทุกระดับทุกแห่งจัดขึ้นในช่วงต้น ๆ ของปีการศึกษา สะท้อนถึงคุณค่าทางจิตใจของคนไทย

            - สะท้อนถึงความผูกพันใกล้ชิดระหว่างครูกับศิษย์
            - สะท้อนให้เห็นถึงความกตัญญูรู้คุณของสังคมไทยต่อผู้มีพระคุณ
            - สะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความเมตตา ของครูต่อศิกษย์
            - สะท้อนถึงความละเอียดอ่อนทางจิตใจ
            - แฝงสาระที่เป็นคติธรรมสอนใจมาก
มาย

 

          วันไหว้ครู เป็นวันที่นักเรียนจะได้แสดงคุณธรรมในจิตใจ คือไหว้ครู คำว่า  ไหว้ครู  นั้น เป็นถ้อยคำธรรมดาสามัญที่เข้าใจกันอยู่ และทราบถึงความหมายกันเป็นอย่างดี แต่ก็จะขอขยายความคำว่า  ไหว้ครู  เพื่อประกอบความรู้และประดับสติปัญญาตามสมควร

 

           ไหว้ครู  เป็นคำไทย 2 คำ นำมาเชื่อมกัน คือคำว่า ไหว้  กับคำว่า  ครู  แต่ละคำมีความหมายอยู่ในตัว คำว่า ไหว้ ก็หมายถึงการแสดงสัมมาคารวะ การบูชา การแสดงความนับถือ การแสดงความเทิดทูน นี่เรียกว่า  ไหว้  เป็นคำกิริยาที่ใช้กันเป็นประเพณีนิยมของไทย และในบางกรณีคำนี้ ก็ย่อมจะกินความคลุมไปถึง กราบซึ่งในความหมายว่ายอมตนลงราบคาบด้วย เพราะฉะนั้นไหว้ก็ดีกราบก็ดี รวมอยู่ในความหมายอันเดียวกัน คือ แสดง ความยกย่อง แสดงอาการเชิดชูบูชานับถือ 

 

           โอกาสนี้เราทั้งหลาย ได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครู อาจารย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ให้ความถนัด ครูนั้นเป็นทิศๆ หนึ่งในจำนวนทิศทั้ง 6 โดยเฉพาะเป็นทิศเบื้องขวา เรียกว่า ทักขิณ ทิศที่ว่าให้ความถนัด คือเป็นผู้ให้วิชาความรู้แก่เรา      

     

 ประโยชน์ของการไหว้ครู 
 

          หากการแสดงคุณธรรมด้วยการไหว้ไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้ว ประเพณีน่าจะเลิกกันเสียที แต่ที่ต้องไหว้กันอยู่ประจำทุกปี ทุกโรงเรียน แสดงว่าต้องมีประโยชน์ ประโยชน์ของการไหว้ คือ

          1. ผู้ไหว้ได้รับความเมตตาจากผู้ถูกไหว้
          2. ผู้ไหว้ได้รับความสบายใจ
          3. ช่วยให้ผู้ถูกไหว้หันมาสำรวจตรวจตราพัฒนาตนเอง
          4. ได้รักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยไว้
          5. บรรเทาโทษเสียได้ 

         

 โบราณท่านกล่าวว่า "ศรต้องมีพิษ ศิษย์ต้องมีครู ศิษย์มีครูเหมือนงูมีพิษ ศิษย์ไม่มีครู เหมือนงูไม่มีพิษ" ไม่น่ากลัวอะไร ไม่ต่างอะไรกับปลาไหล รอเวลาให้เขาผัดเผ็ดเท่านั้น "ศิษย์ดีต้องมีคุณธรรม ศิษย์ไม่ได้ความคุณธรรมไม่มี" นักเรียนจะต้องรู้จักข้าว ข้าวรวงโตที่มีวิตามิน เวลามันออกรวง จะน้อมรวงถ่วงยอดแสดงอาการดุจคารวะแม่พระธรณี แต่ข้าวรวงใดที่ชี้เด่แทบจะทิ่มก้นเทวดา แสดงว่าข้าวรวงนั้นไม่มีวิตามิน เป็นข้าวขี้ลีบ คนก็เหมือนกัน หากรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แสดงว่าเป็นคนมีคุณภาพเป็นผู้มีคุณธรรม บางคนเป็นโรคสันหลังแข็งก้มไม่ลง บุคคลนั้นไม่ต่างอะไรกับข้าวขี้ลีบ

 

 พิธีไหว้ครู

 

หรือ การไหว้ครู มีหลายอย่าง เช่น การไหว้ครูนาฏศิลป์ ไหว้ครูดนตรี ไหว้ครูโหราศาสตร์ ไหว้ครูแพทย์แผนไทย เป็นต้น  ซึ่งแต่ละอย่างก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไป เมื่อเอ่ยถึง พิธีไหว้ครู เรามักจะหมายถึง การไหว้ครูในสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำในช่วงเปิดภาคการศึกษา  การไหว้ครู เป็นประเพณีสำคัญที่มีมาแต่โบราณ ถือเป็นพิธีกรรมที่แสดงความเคารพและระลึกถึงพระคุณของบูรพาจารย์ ครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์วิชาความรู้ให้ ทำให้เราสามารถนำไปประกอบวิชาชีพ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต โดยทั่วไป พิธีไหว้ครูมักจะจัดในวันพฤหัสบดี ด้วยถือว่าพระพฤหัสเป็นเทพที่ส่งเสริมวิทยาการและความเฉลียวฉลาด ซึ่งเป็นคุณสมบัติของครู จึงถือเอาวันนี้เป็นวันไหว้ครู เพื่อความเป็นสิริมงคล

 

 

 คำปฏิญาณตน 
 

เราคนไทย ใจกตัญญู รู้คุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

เรานักเรียนจักต้องประพฤติตนให้อยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียน

 มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น

เรานักเรียนจักต้องปฏิบัติตนไม่ให้เป็นที่เดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น

  

 

คำสวดไหว้ครูทำนองสรภัญญะ

 

ปาเจรา จริยา โหนติ คุณุตตรา นุสาสกา

      ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์ ผู้กอรปเกิดประโยชน์ศึกษา
      ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
      ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์ ด้วยใจนิยมบูชา
      ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
      ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนาน อยู่ในศีลธรรมอันดี
     ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี แก่ข้าและประเทศไทย เทอญ

ปัญญา วุฑฒิ กเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหํ

 

  

สิ่งที่ต้องเตรียมในการไหว้ครู

   

การไหว้ครู ในอดีตนั้น มักจะใช้ หญ้าแพรก ข้าวตอก ดอกมะเขือ และดอกเข็ม เป็นองค์ประกอบในพานดอกไม้แต่ละอย่างล้วนเป็นปริศนาธรรมทั้งสิ้น

 

           - หญ้าแพรก เป็นตัวแทนที่แสดงถึงความเข้มแข็ง อดทนถึงแม้จะแห้งแล้ง คนเดินเหยียบย่ำ หญ้าแพรกก็จะไม่ตาย พอได้รับโอกาสที่เหมาะสม ได้รับความชุมชื้น ก็จะแตกยอดเจริญงอกงามเป็นอย่างดี  ครูจึงต้องเป็นผู้ที่เข้มแข็งอดทนต่อปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนนักศึกษามากมาย และค่อย ๆสะท้อนปลูกฝังความมุ่งมั่นอดทน เข้มแข็งไปสู่นิสัยของนักเรียน นักศึกษา ฝึกให้เขาเข้มแข็งอดทนให้จงได้

 

          - ข้าวตอก เป็นข้าวที่เกิดจากการใช้เมล็ดข้าสารไปคั่ว โดยมีฝาครอบไว้ เมื่อได้รับความร้อนระดับหนึ่ง เมล็ดข้าวก็จะพองตัวและแตกตัวออกเป็นข้าวตอก มีกลิ่นหอม  เช่นเดียวกับการให้การศึกษา ครูผู้สอนต้องให้การอบรมคู่กันไปด้วย "อบเพื่อให้สุกรมเพื่อให้หอม" เช่นเดียวกับการทำข้าวตอก

           

การสั่งสอนอบรมของครู บางครั้งต้องมีการว่ากล่าวตักเตือน ติติงหรือทำโทษ ในการกระทำที่ไม่เหมาะสมเสมือนการใช้ความร้อนกับเมล็ดข้าว โดยมีกฏระเบียบหรือแนวปฏิบัติ เสมือนเป็นฝาครอบ ไม่ให้ลูกศิษย์กระเด็นกระดอนออกนอกลู่นอกทาง ครูจึงต้องทำหน้าที่สั่งสอนอบรมให้นักเรียน นักสึกษาเป็นดังเช่นข้าวตอก คือ "สุกและหอม" ซึ่งหมายถึง การสั่งสอนแนะนำให้เขามีความรู้ความสามารถและเป็นคนดีที่ยอมรับนั่นเอง

 

             - ดอกมะเขือ ลักษณะของดอกมะเขือ เวลาบานจะสีขาวสะอาดและดอกจะโน้มคว่ำลงพื้นดินซึ่งก็เป็นปริศนาธรรม แสดงถึงความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตใจ เป็นคนซื่อสัตย์ อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ

 

             - ดอกเข็ม ลักษณะของดอกเข็มจะมียอดดอกแหลม ซึ่งเป็นปริศนาธรรมว่า ครูต้องจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝังความคิด ให้นักเรียนนักศึกษาเป็นคนฉลาด(หัวแหลม) รู้จักวิเคราะห์วิจารณ์ ใช้ความคิดให้เป็นประโยชน์แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่พบเห็น ความเฉียบคมทางความคิดจะทะลุทะลวงทุกปัญหาได้

           

  คนโบราณช่างชาญฉลาดที่จะสอนศิษย์ด้วยกลวิธีต่าง ๆ แม้กระทั่งการใช้ดอกไม้ต้นไม้ ฯลฯ เป็นสื่อการสอนทำให้ลูกศิษย์ให้ยุคก่อนเก่าได้เรียนรู้จากธรรมชาติ และรู้จักกตัญญูรู้คุณผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์อยู่ตลอดไป และการที่เราใช้ "หญ้าแพรกดอกมะเขือ" ในการไหว้ครูนั้น เพราะเป็นของหาง่าย งอกงามอยู่ทั่วไป

           

ตอนเช้าตรู่วันพฤหัสซึ่งเป็นวันไหว้ครู เด็กๆจะไปโรงเรียนเช้าเป็นพิเศษ เพื่อ่ไปช่วยกันจัดพานดอกไม้ ซึ่งอาจมีการปักดอกบานไม่รู้โรย ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบบ้าน แซมด้วยหญ้าแพรกและดอกมะเขือ พานดอกไม้นี้เด็กนักเรียนหญิงจะเป็นคนถือ ส่วนเด็กผู้ชายจะถือธูปเทียนและช่อดอกไม้ ( ช่อดอกไม้หมายถึงดอกไม้ที่หาได้เอามารวมกัน แซมด้วยหญ้าแพรกและดอกมะเขือเช่นกัน)

          

  พิธีไหว้ครูจึงเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่นักเรียนทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันมาแสดงความเคารพและระลึกบุญคุณของครูอาจารย์อย่างแท้จริง

 

ข้อมูลจาก 

- รศ.เฉลา  ประเสริฐสังข์  http://vannessa.exteen.com 

 

   

 

 

 

 

เรือจ้าง บทกลอนวันครู

 

 

 “ครู” ประดุจ “เรือจ้าง”  ใครช่างเปรียบ
“ครู” ควรเทียบ ฟ้ากระจ่าง กว้างไพศาล
“ครู” ตักเตือนเมตตา-อภิบาล
“ครู” สอนสั่งวิชาการ...วิชาคน

เป็นผู้แนะ นำให้ ได้ประจักษ์
ว่าด้วยหลัก วิทยา – หาเหตุผล
และเตือนย้ำ คุณธรรม ประจำตน
นั้นจะดล ให้ชิวิต “ศิษย์”ได้ดี

หากแนวทาง ที่“ลูกศิษย์” คิดผิดพลาด
“ครู” ไม่อาจ ภาคภูมิได้ ในศักดิ์ศรี
ประหนึ่งว่า คนพายเรือ จ้างลำนี้
ทำหน้าที่ ขาดตก บกพร่องไป

เรือเทียบฝั่ง เข้าส่ง ตรงริมท่า
“คนโดยสาร” รู้เถิดว่า เหนื่อยแค่ไหน
“คนพายเรือ” ถ่อนำ ค้ำด้วยใจ
ขอเพียงให้ ศิษย์สมหวัง ดังกมล

“ครู” ประดุจ “เรือจ้าง”  ใครช่างเปรียบ
“ครู” ควรเทียบ แสงสว่าง กลางไพรสณฑ์
เป็นแสงทอง ส่องชี้ ชีวิตคน
พระคุณล้น เกินรำพรรณ จำนรรจา

แม้ไม่มี ข้าวตอก- ดอกไม้หอม
ประดับพร้อม เป็นพุ่มพาน อันหรูหรา
แต่ขอนำ จิตร้อยถัก อักษรา
ประณตน้อม “สักกาฯ” พระคุณ “ครู”

 

โดย poohkan

 

 

 

 

 

 

          

 

 

 

 

 

guest
ArjanPong

Post : 2014-01-05 19:30:01.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  พลาสติก ใช้ไม่ถูกเสี่ยงมะเร็ง

 

 

              พลาสติก ใช้ไม่ถูกเสี่ยงมะเร็ง

 

 

 

 

 

          

 

 

  ดูเหมือนว่า “พลาสติก” จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทยกันไปแล้ว เพราะแทบทุกหนทุกแห่ง มีของที่ทำจากพลาสติกตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบกันเลยทีเดียว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพลาสติกเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกที่หาซื้อได้ง่าย มีราคาไม่แพงมาก และมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ แต่คุณรู้ไหมว่า!...พลาสติกใกล้ตัวอย่างขวดใส่น้ำ หลอดดูด ชาม โฟม ฯลฯ ที่เราใช้กันมากในชีวิตประจำวัน กลับเต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่ซ่อนเร้นตัว เพื่อรอเวลาที่จะหลั่งไหลเข้าไปทำอันตรายให้กับร่างกายของเรา!

 

ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่าประเภทของพลาสติกที่ผลิตกันอยู่ทุกวันนี้ที่แบ่งออกได้ 7 ชนิดด้วยกัน ประกอบด้วยอะไรกันบ้าง...

 

ชนิดที่ 1 เป็น พีอีทีอี (PETE) ชื่อเต็ม คือ polyethylene terephthalate ethylene เป็นพลาสติกใสใช้บรรจุน้ำดื่ม น้ำอัดลม เครื่องดื่ม น้ำผลไม้ น้ำยาซักผ้า น้ำยาทำความสะอาด และ อาหารบางชนิด

 

ชนิดที่ 2 เป็น เอชดีพีอี (HDPE) ชื่อเต็มคือ high density polyethylene เป็นพลาสติกสีทึบ ใช้บรรจุนมสด น้ำดื่ม น้ำยาฟอกขาว น้ำยาซักผ้า แชมพู ขวดยา และถุงพลาสติก

 

ส่วนชนิดที่ 3 เป็นพีวีซี (PVC) เป็นชื่อย่อของ polyvinyl chloride ใช้เป็นพลาสติกสำหรับห่อหุ้ม เชือกพลาสติก เป็นขวดบรรจุชนิดบีบ มักจะใช้บรรจุน้ำมันพืช น้ำมันซักผ้า น้ำยาเช็ดกระจก ที่ใช้กันมากคือ ถุงหิ้วที่ใช้ใส่ของกันตามร้านค้า ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านสะดวกซื้อ

 

ชนิดที่ 4 คือ แอลดีพีอี (LDPE) ชื่อเต็มคือ low density polyethylene ใช้เป็นถุงหิ้ว ใช้ห่อหุ้ม ขวดพลาสติกบางชนิด และที่ใช้กันมากที่สุดก็คือ ถุงเย็นใส่อาหาร ขนม กาแฟเย็น ชาเย็น

 

ชนิดที่ 5 เป็นพีพี (PP) ชื่อเต็มคือ polypropylene ใช้เป็นยางลบ ใช้ บรรจุภาชนะไซรัป โยเกิร์ต หลอดดูด ขวดนมเด็ก ถุงร้อนใช้สำหรับบรรจุอาหารร้อน เช่น ก๋วยเตี๋ยว กาแฟร้อน เป็นถ้วยกาแฟ ชา ชนิดใช้แล้วทิ้ง

 

ชนิดที่ 6 เป็นโพลีสไตรีน (Polystyrene) เป็นพลาสติกที่ใช้เรียกทั่วไปว่าโฟม ใช้บรรจุรองรับการกระแทกพวกอุปกรณ์ ตู้เย็น วิทยุ วิทยุ โทรทัศน์ฯลฯ ในกล่องกระดาษอีกที ใช้ทำกล่องสำหรับบรรจุอาหารที่เรียกว่า ข้าวกล่อง ที่ใส่ไข่ ถ้วยที่ใช้แล้วทิ้ง ช้อน ส้อม มีดพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้ง

 

ชนิดที่ 7 เป็นชนิดอื่นๆ เช่น พอลีคาร์บอนเนต (Polycarbonate) ทำเป็นขวดน้ำ เหยือกน้ำ ขวดนม ขวดน้ำบรรจุ 5 ลิตร ขวดน้ำนักกีฬา ใช้บุกระป๋องโลหะสำหรับใส่อาหาร เป็นถ้วยใส ช้อนส้อม มีดชนิดใส

 

 

 

 

 

 

 

พลาสติกทั้ง 7 ชนิดได้ผ่านกระบวนการผลิตโดยใช้สารเคมี เพื่อใช้งานตามประเภทต่าง ๆ ที่ระบุข้างต้น แต่ปรากฏว่าผู้บริโภคกลับใช้งานพลาสติกไปในทางที่ผิดหรือไม่ถูกวิธี ส่งผลทำให้สารพิษซึมเข้าสู่ร่างกาย!...เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีเสียงเตือนออกมาจาก นายประกาย บริบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ถึงการนำพลาสติกสำหรับบรรจุน้ำดื่มมาใช้ซ้ำหลาย ๆ ครั้งว่า แม้ขวดน้ำดื่ม น้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้จะมีความคงทนแข็งแรงกว่าขวดพลาสติกประเภทอื่นๆ แต่การนำกลับมาล้างใช้ใหม่ต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล้างทำความสะอาดขวดเพทที่มีรูปทรงหรือร่องที่เป็นลวดลายสวยงามของขวด ที่ทำความสะอาดยากและไม่สะอาดพอจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคอย่างดี ถ้าสังเกตว่าขวดน้ำที่ผ่านการล้างและใช้ซ้ำนานๆ มีรอยร้าว บุบ แตก มีสีที่เปลี่ยนไป ขุ่นหรือมีคราบเหลืองให้ทิ้งทันที

 

หากเก็บพลาสติกชนิดนี้ไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม ก็สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะเมื่อขวดน้ำพลาสติก ถูกแสงแดดหรือความร้อนเป็นเวลานาน ทำให้สารเคมีบนขวดพลาสติกสลายตัว ละลายปนในน้ำดื่ม หรือหากวางน้ำดื่มไว้ใกล้สารเคมี วัตถุอันตราย หรือผงซักฟอก ก็จะส่งผลให้น้ำในขวดพลาสติกดูดกลิ่นสารเคมีเข้าไปได้ ทำให้มีกลิ่นไม่ชวนดื่ม และมีโอกาสที่สารนั้นอาจปนเปื้อนสู่น้ำดื่ม ซึ่งเราก็จะได้รับสารเคมีนั้นไปด้วย

 

จากการที่ใช้ขวดน้ำพลาสติกไม่ถูกวิธีนี่เอง ที่ส่งผลให้ขณะนี้มะเร็งเต้านมในเพศชายมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เฉลี่ยแล้วพบว่า 1 ใน 100 คนเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง เนื่องจากชายไทยส่วนใหญ่นิยมดื่มน้ำจากขวดพลาสติกมากขึ้น เพราะนอกจากจะสะดวกแล้วยังสามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้ ทำให้ขาดความรู้ความเข้าใจและขาดคำแนะนำ จนทำให้สารก่อมะเร็ง ซึ่งทางวิทยาศาสตร์มีชื่อว่าสารซีโนเอสโตรเจนแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว!

 

 

 

 

           

 

 

นอกจากนี้ ยังมีผลการวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์ทั้งในสหรัฐและอังกฤษที่ต่างระบุตรงกันว่า สารเคมีในพลาสติกบรรจุอาหารและเครื่องดื่มมีส่วนทำให้เกิดโรคหัวใจ เบาหวาน โรคไตบางชนิด และยังเป็นอันตรายต่อการพัฒนาต่อมลูกหมากและสมอง รวมถึงยังทำให้ทารกในครรภ์ เด็กเล็กและเด็กโตมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอีกด้วย ซึ่งสารที่ว่านี้ มีชื่อว่า “สารบิสฟีนอล เอ” หรือ บีพีเอ นั่นเอง

 

            ไม่เพียงแต่ขวดน้ำเท่านั้น...ใครจะรู้บ้างว่า “โฟม” ที่ห่ออาหารมื้ออร่อยของเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะเต็มไปด้วยอันตราย! จากการสำรวจวิจัยภาชนะโฟมบรรจุอาหารที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ได้มาตรฐานทุกตัวอย่าง และจากการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ประเภทโฟมที่ใส่อาหารที่ผู้ผลิตนำมาตรวจวิเคราะห์เพื่อการรับรองสินค้า ก็พบว่ามีคุณภาพตามที่กฎหมายกำหนดด้วย แต่ในส่วนของการใช้งานนั้นกลับพบว่า มีการนำภาชนะโฟมไปใช้ไม่เหมาะสม อันเนื่องมาจากผู้ซื้อ ผู้ขายไม่มีใครรู้ว่าโฟมใส่อาหาร ไม่ทนต่อความร้อน ถ้าพ่อค้าแม่ขายไม่รองใบตองหรือถุงร้อนทั้งด้านบนและล่างโฟมก่อนวางอาหาร เมื่อถูกความมันจากอาหาร สารเคมีจะละลายได้ง่ายขึ้นและออกมาปนเปื้อนกับอาหาร หากรับประทานสะสมเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายถูกทำลาย อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อสมอง ระบบประสาท เม็ดเลือดแดง ตับ ไต และก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ในที่สุด

 

            นอกจากนี้ ยังรวมไปถึง “ถุงพลาสติก” ที่ใช้ใส่อาหารก็อันตรายเช่นกัน หากใช้ไม่ถูกประเภท เพราะถุงพลาสติกมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ ประกอบด้วย แบบแรกถุงร้อน ซึ่งมีลักษณะใสมาก ผิวกระด้างกว่าถุงเย็น ไม่ยืดหยุ่น เหมาะสำหรับการบรรจุของร้อนและอาหารที่มีไขมัน ทนความร้อนได้ถึง 100-120 องศาเซลเซียส และถุงร้อนชนิดความหนาแน่นสูงแต่สีถุงมีลักษณะบางขุ่น แบบที่สอง คือ ถุงเย็น ซึ่งมีลักษณะค่อนข้างใสนิ่ม ยืดหยุ่นพอสมควร เหมาะสำหรับใช้บรรจุอาหารแช่แข็ง ทนความเย็นได้ถึง 70 องศาเซลเซียส แต่ทนความร้อนได้ไม่มาก และแบบสุดท้าย คือ ถุงหิ้วหรือถุงก๊อบแก๊บ ถุงชนิดนี้ไม่ปลอดภัยต่อการบรรจุอาหารทุกชนิด แต่คนส่วนใหญ่กลับนำมาใส่อาหารโดยเฉพาะกล้วยแขก ปาท่องโก๋ ฯลฯ เพราะถึงแม้จะมีกระดาษรองอีกชั้น แต่สารโลหะหนักก็มีโอกาสที่จะละลายออกมาปนเปื้อนได้

           

             อย่างไรก็ตาม อันตรายจากพลาสติกชนิดต่างๆ ก็สามารถป้องกันได้ วันนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ได้นำวิธีหนีให้ไกลมัจจุราชเงียบในพลาสติกมาฝากกันค่ะ เริ่มจากการปรับเปลี่ยนการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้วแทนพลาสติก อาทิ ขวดแก้ว จานหรือชามกระเบื้อง หม้อกระเบื้องเคลือบ หรือจะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการใช้วัสดุอินทรีย์แทนพลาสติก อาทิ ใบตอง ห่อผัดไทยใช้เชือกกล้วยผูกหิ้ว ส่วนใครที่หลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกไม่พ้น ก็ไม่ควรทิ้งขวดน้ำพลาสติกไว้ในรถ และเมื่อใช้เสร็จแล้วก็ไม่ควรนำกลับมาใช้ใหม่ อย่าใช้ความร้อนสูงหรือใช้ความเย็นจัดกับภาชนะพลาสติก อาทิ เอาไปใส่ในไมโครเวฟหรือใส่ไว้ในช่องแช่แข็ง อย่าให้ภาชนะกระทบกระแทก หรือขูดขีดมาก ระวังไม่ให้เด็กอมขวดหรือกัดพลาสติกเล่น และในแต่ละวันควรจำกัดการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกไว้ไม่ให้มากจนเกินไป

 

            เพียงแค่เราทำความเข้าใจกับพลาสติกแต่ละชนิด และรู้จักที่จะระวังตัวเองด้วยการใช้พลาสติกอย่างรู้เท่าทัน หรือหลีกเลี่ยงไปใช้วัสดุที่เป็นแก้วแทนก็จะปลอดภัยกว่า อย่าลืมว่า...ความประมาทเพียงแค่นิดเดียว อาจทำให้ร่างกายคุณสะสมสารเคมีจนก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา กว่าคุณจะรู้ตัวอีกที ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้แล้ว ดังนั้น ป้องกันไว้ ย่อมดีกว่าแก้ค่ะ…

 

 

เรื่องโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

 

 

                  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กกต.ไม่ร่วมเวทีรัฐบาลเชิญถกข้อเสนอเลื่อนเลือกตั้ง  

 

จะส่งความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
 
คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. จัดประชุมนอกสถานที่ ที่จังหวัดชลบุรี เพื่อหารือถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี เชิญร่วมประชุมกับพรรคการเมืองต่างๆ และหน่วยงานเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเพื่อหารือถึงข้อเสนอให้เลื่อนวันเลือกตั้ง
  
โดยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง เปิดเผยว่า กกต.จะมอบหมายให้เลขาธิการ กกต.เป็นตัวแทนไปร่วมหารือกับรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ โดย กกต.มีมติให้หารือกับรัฐบาลก่อน ที่จะไปคุยกับพรรคการเมืองซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ จึงได้ประสานไปยังนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้นัดหมายพูดคุยระหว่างนายกรัฐมนตรีและ กกต.ในวันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคมนี้ หากผลการหารือยังขัดแย้งกันอยู่ กกต.ก็จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐวินิจฉัย
 
นายสมชัย ระบุว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ม.ค.57) จะไปร่วมหารือกับรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการขอความร่วมมือ หากรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ที่ยังขาดอยู่ใน 16 จังหวัด หรือประมาณ 1 หมื่นหน่วยเลือกตั้ง 
 
ที่มา :http://shows.voicetv.co.th/news-update/94033.html

 

        
         14 มกราคม 2557
 
 
 
 
 
 
 
 

 

'อ.เอกชัย' ชี้เลื่อนการเลือกตั้ง คือ รัฐประหาร(เงียบ)

 

 

 

 
 
 
 
 
รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.สยาม เผยแพร่บทความ "การเลื่อนการเลือกตั้ง คือ รัฐประหาร (เงียบ)" ชี้เป็นการพรากอำนาจอธิปไตยไปจากมือของคนไทยทุกคนที่ต้องการใช้อำนาจอธิปไตยผ่านการเลือกตั้ง
 
อาจารย์เอกชัย ไชยุนวัติ รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.สยาม เผยแพร่บทความชี้การเลื่อนการเลือกตั้ง คือ รัฐประหารเงียบ โดยรายละเอียดบทความมีดังต่อไปนี้
 
"การเลื่อนการเลือกตั้ง คือ รัฐประหารเงียบ เหตุที่ต้องใช้คำนี้ เพราะคนไทยได้เห็นการรัฐประหาร การยึดอำนาจ โดย ทหารใช้กำลังทางทหารนำอาวุธต่างๆ ออกมาแสดงสัญลักษณ์ เป็นจำนวนหลายสิบครั้ง เห็นและรับทราบข้ออ้าง ของ ทหารที่ต่างบอกว่า มีหน้าที่ออกมาหยุดไม่ให้คนไทย ฆ่ากันเอง ครั้งสุดท้ายการปฏิวัติ เมื่อ ปี พศ ๒๕๔๙ คนไทยทุกคนก็ได้เห็นภาพนั้น แต่สิ่งที่คนไทยไม่เคยเห็น คือ รัฐประหารเงียบ(!) 
 
รัฐประหารเงียบ ในความคิดของผู้เขียน(ส่วนตัว) คือ การพรากอำนาจอธิปไตย อำนาจของประชาชนในการปกครองประเทศไทย ในการเลือกผู้ปกครองประเทศผ่านขั้นตอนที่ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในกฎหมาย พรากไปจากมือของคนไทยทุกคนที่ต้องการใช้อำนาจ อธิปไตยผ่านการเลือกตั้ง ตามที่ รัฐธรรมนูญ กำหนดมาตรา ๑๐๘ แห่ง รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. ๒๕๕๐(๒๕๕๔) กำหนดหลักไว้ ๓ประการดังนี้
 
(๑) เมื่อมีการยุบสภา จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่
 
(๒) การเลือกตั้งนั้นจะต้องกระทำในระหว่าง ๔๕ ถึง ๖๐วัน
 
(๓) การยุบสภาให้กระทำได้ในครั้งเดียว
 
ทั้ง๓ประการนี้ รัฐธรรมนูญมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียว คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ตามที่ รัฐธรรมนูญมาตรา ๓ ระบุไว้ เมื่อมีปัญหาทางการเมือง นายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ใช้อำนาจดุลยพินิจวินิจฉัยฝ่ายบริหาร ตัดสินใจ ยุบสภา ส่งอำนาจที่ได้รับมอบหมายมาจาก ประชาชนชาวไทยกลับคืนไปยัง ปวงชนชาวไทยทุกคน ให้ประชาชนได้ใช้อำนาจตัดสินใจในวันเลือกตั้ง
 
ทุกท่านจะเห็นได้ว่า อำนาจในฐานะเจ้าของประเทศของท่านไม่เคยหายไปไหน(!!) แต่ท่านได้มอบอำนาจนั้นให้ กับกลุ่มบุคคล ที่ท่าน(ตัดสินใจ)เลือก ตามที่ กฎหมายบัญญัติไว้ ปวงชนชาวไทยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตลอดเวลาไม่เคpเปลี่ยนแปลง !
 
ถ้าสังคมไทยนี้ เป็นสังคม นิติรัฐ ในระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม อย่างแท้จริงทั้งในทางพฤตินัย และนิตินัย คนไทยก็คือเจ้าของอำนาจที่แท้จริงตลอดเวลาทุกวินาที ดังนั้น การยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้ง ที่แน่นอน คือ ๒ กพ พ.ศ. ๒๕๕๗ คือ การกระทำตามกฎหมายทุกประการ ไม่ได้ทำตามอำเภอใจ ของ นายก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือตามคำสั่งจากแดนไกล ของนาย ทักษิณ ชินวัตร หรือจากกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า กปปส
 
แต่วาทกรรมที่ บอกว่า " ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" หรือ "เลื่อนการเลือกตั้ง" ถามว่า การเรียกร้องแบบนี้มี กฎหมายใดๆมารองรับการกระทำหรือไม่ นายกรัฐมนตรี คือ ผู้บริหารสูงสุดของประเทศไทย ที่คนไทยส่วนใหญ่ลงคะแนนผ่านการเลือกตั้งทั่วไป ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
 
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจะกระทำการใดๆ ต้องถูกจำกัดการกระทำโดยต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้เสมอ นายกรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจกระทำนอกรัฐธรรมนูญ การปฎิรูปก่อนการเลือกตั้ง แต่หลังจากที่มีการยุบสภา ไม่มีบทบัญญัติใดใน รัฐธรรมนูญนี้ที่เปิดช่องให้ทำได้  มากกว่านั้น รัฐธรรมนูญ จำกัดอำนาจ นายกรัฐมนตรี และ ครม ไว้ที่ มาตรา ๑๘๑ ที่
 
(๑) ต้องให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมี ครม ชุดใหม่ ทาทำหน้าที่ แต่
(๒) ครม ไม่มีอำนาจที่จะปลด ย้าย หรือสั่งการให้ข้าราชการ มาปฏิบัติหน้าที่
(๓)ไม่มีอำนาจ ก่องบประมาณผูกพัน
(๔)ไม่กระทำการใดๆที่เป็นผลผูกพัน รัฐบาลชุดใหม่ ถ้า การกระทำ (๒)ถึง(๔) ไม่ได้รับอำนาจอนุมัติ จาก กกต.
 
องค์กรอิสระหลัก(ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร หรือ รัฐสภา)ในระหว่างที่มีการยุบสภา ที่ต้องทำหน้าที่ทุกวิถีทางในการดูแล อำนาจ อธิปไตยของประชาชน คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวได้อย่างชัดเจนว่า กกต. มีอำนาจและหน้าที่ทุกประการ ที่จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งที่เป็นไปโดย สุจริตและเทียงธรรม
 
ในขณะที่ อำนาจของนายกรัฐมนตรีและ ครมนั้น ถูกจำกัดไว้อย่างชัดเจนและมากมายใน รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๘๑ อำนาจของ กกต.มีอย่างมากมายใน รัฐธรมนูญ มาตรา ๒๓๕ และ ๒๓๖  มาตรา ๒๓๕ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งหรือการสรรหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่นแล้วแต่กรณี
 
รวมทั้งการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม" และ มาตรา ๒๓๖ ยังให้อำนาจ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ดังต่อไปนี้ โดยเฉพาะที่ มาตรา ๒๓๖(๔) "มีคำสั่งให้ข้าราชการ พนักงาน หรือ ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ปฏิบัติการทั้งหลายอันจำเป็นตามกฎหมาย มาตรา ๒๓๕ วรรคสอง" โดย ม ๒๓๕ วรรค ๒ ระบุให้ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้รักษาการ ตาม กฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับ การเลือกตั้งท้องถิ่นและระดับชาติ และการลงประชามติ
 
หมายความว่า รัฐธรรมนูญ ให้อำนาจ คณะกรรมการการเลือกตั้งไว้อย่างชัดแจ้งในระดับรัฐธรรมนูญที่สั่ง มนุษย์ทุกคนที่รับเงินภาษีจากราษฎรในการจัดให้มีการเลือกตั้ง เพราะนั่นคือ การดำเนินการให้อำนาจอธิปไตยของประชาชนไม่สะดุดหยุดลง เพื่อให้ ประเทศนี้ ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศผ่านกระบวนการประชาธิปไตย!
 
ดังนั้น การ ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง และการเลื่อนการเลือกตั้ง ทำไม่ได้ตาม รัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เพราะ เมื่อมีการยุบสภาแล้ว ประชาชน ๔๘ล้านคนที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทุกคนจะ ปฏิรูปประเทศ โดยการแสดงออกผ่านทางการออกเสียงลงคะแนน ประชาชนจำนวนนี้รวมถึงกลุ่มผู้สนับสนุน กปปส ด้วยและเท่าเทียมกันทุกประการ ๑ คน ๑ เสียง
 
วาทกรรมที่ต้องการให้มีการเลื่อนการเลือกตั้ง เพื่อปฏิรูปประเทศ จึงทำให้อำนาจอธิปไตย อำนาจเดียวที่ประชาชนทุกคนมี หลุดลอยออกไปจากสิ่งที่ กติกาสังคมกำหนดไว้ตามสัญญาประชาคม ไม่สามารถตอบได้ว่า ใครคือผู้ใช้อำนาจ ปฏิรูปประเทศ อ้างอิงประชาชนมวลรวมอย่างไร??มีการใช้อำนาจตามกฎหมายไหน ในขณะที่ การเลือกตั้ง คือ อำนาจที่ประชาชนทุกคนมีอย่างเท่าเทียมกัน ๑คนเสียง ถ้าหน่วยงานใดจะเลื่อนการเลือกตั้งทั้งๆที่กฎหมายบังคับให้มีการเลือกตั้ง ก็ต้องตอบให้ได้ว่าท่านเอาประชาชน ๔๘ ล้านคนไปไว้ที่ไหน? 
 
เอกชัย ไชยุนวัติ 
 ประชาชน ๑ เสียง
 
 
 
 
 
เรื่องเลื่อนการเลือกตั้ง สรุปชัดๆ คือ
 
1.การตราพระราชกฤษฎีกาเป็นอำนาจพระมหากษัตริย์
 
2.กกต.ไม่มีอำนาจเลื่อนวันลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ทั้งประเทศ มีเพียงอำนาจจัดการเลือกตั้งตามวันเลือกตั้งที่ พรก.ยุบสภากำหนด
 
3.เขตใดสมัครไม่ครบหรือมีปัญหา กกต.มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งใหม่ให้ได้ ส.ส.ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด
 

 

 

มีอำนาจอะไรมาตีความ พระราชกฤษฎีกา ไม่ได้มีปัญหาคลุมเครืออะไรให้ตีความ มันชัดตรงตัว จะเอาอะไรไปตีความ รัฐบาลยืนยันไม่เลื่อน ทำตามพระราชกฤษฎีกา มีหน้าที่อะไรไปยื่นศาล รธน. ในเมื่อหน้าที่มีแค่จัดการเลือกตั้ง ถ้าศาล รธน.ยังหน้าด้านรับ ก็ไม่สนใจว่ะ คุณไม่ยอมจัด ก็จงใจขัดพระราชกฤษฎีกา เพราะพระราชกฤษฎีกาก็ยังอยู่แต่คุณไม่ทำตามเฉย จะอ้างอะไรก็ฟังไม่ขึ้น เพราะที่อ้างมันไม่ใช่หน้าที่ มีหน้าที่จัดก็จัดไป มีปัญหาเขาก็มีหน่วยงานอื่นแก้ไข หัวหงอกหัวดำกันเเล้วทั้งนั้น...ตะเเบงกันอยู่ได้.......

 

 

 

 

                                         

 

 

 

 

 

 

 

 

      กูรู ยกให้ ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกอันดับ1 ของประเทศไทย

 
กูรูชื่อดัง ด้านสถิติท่านหนึ่ง ยกให้ ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกอันดับ1 ของประเทศไทย เรื่องจำนวนประชาชนที่ออกมาขับไล่
ทำลายสถิติ ล้ม ถนอม-ประภาส ราบคาบ..........
 
 
 


 

 

.........

 

ถนอม ประพาส ถูกขับไล่เพราะ เป็นทรราชย์
สั่งฆ่าประชาชน เช่นเดียวกับมาร์ค
แต่นายกปู ถูกขับไล่เพราะ ไอ้พรรคขี้แพ้ ต้อง
การยึดอำนาจ

มันเอามาเปรียบกันไม่ได้

ส่วน พรบ มันก็เป็นเพราะ ต้องการให้สังคมได้
เริ่มต้นกันใหม่ คนที่ได้ประโยชน์ ก็คือทุกฝ่าย
แต่กลับถูกบิดเบือนไปเป็นเรื่องอภัยโทษให้พี่ชาย

และถ้าได้อภัยโทษก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสิ่งที่
เขาถูกกระทำ มันคือจากความไม่ยุติธรรม จากคราบ
สกปรกของเผด็จการ ที่รวมหัวยึดอำนาจ สร้างความ
บิดเบือนทางกฎหมาย............

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

****************************************

 

 

 

 

 

         ปรึกษาเรื่องการฟ้องเมียน้อย

 

 

 

 

 

                                    

 

 

 

 

ปรึกษาเรื่องการฟ้องเมียน้อย โดย แม่ของลูก » พฤหัสฯ. 02 ม.ค. 2014 1:47 pm

 

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อต้นปีที่แล้วทะเลาะกับสามี เค้าได้ไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น (คือ เค้าติดผู้หญิงที่ทำงานด้วยกัน) ดิชั้นกับสามีมีลูกด้วยกัน 1 คน และได้จดทะเบียนสมรสกันด้วย หลังจากนั้นดิชั้นได้กลับมาอยู่บ้านแม่ จนตอนนี้ได้ข่าวจากเพื่อนว่าสามีดิชั้นได้ไปผูกข้อมือกับผู้หญิงคนนี้ แร้วแม่ของสามีได้ไปเป็นสักขีพยานด้วย ซึ่งทุกวันนี้เค้าไม่เคยส่งเสียลูกเลยค่ะ ดิชั้นได้ก๊อปรูปจากเฟสบุ๊คมามันสามารถใช้เป็นหลักฐานได้มากน้อยแค่ไหน แล้วดิชั้นจะสามารถฟ้องใครๆด้บ้างคะ รบกวนด้วยค่ะ

 

รูปถ่ายงานผูกข้อมือหรืองานแต่ง สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานการฟ้องหย่าหรือเรียกค่าสินไหมจากฝ่ายหญิงชู้ได้ครับหากจะฟ้องในกรณีที่เล่ามานี้ สามารถฟ้องหย่าสามีตนเองพร้อมทั้งเรียกเงินค่าสินไหมจากหญิงชู้ หรือจะฟ้องเรียกเฉพาะเงินค่าสินไหมจากหญิงชู้เพียงอย่างเดียวโดยไม่ฟ้องหย่าก็ได้ครับ

 

  คำพิพากษาฎีกาที่ 1620/2538


          โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโจทก์ในทางชู้สาว ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ตลอดมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ถือว่า จำเลยที่ 2 ประพฤติตนเป็นชู้ของสามีผู้อื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมากเกี่ยวกับเกียรติยศ ชื่อเสียงและความทุกข์ทรมานทางจิตใจเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้ง ซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว  ส่วนความเสียหายแต่ละอย่างเป็นจำนวนเท่าใด เป็นรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้และคดีไม่ขาดอายุความ เพราะจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อเนื่องกันมายังมิได้หยุดกระทำจนถึงขณะฟ้อง


          จำเลยที่ 2 แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่ามีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 สามีโจทก์ในทำนองชู้สาว โดยโจทก์มิได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยที่ 1 อุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องจำเลยที่ 2 ฉันภริยา โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสองได้โดยไม่จำต้องคำนึงว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงหย่ากันเองหรือศาลพิพากษาให้หย่ากัน

 

 

ปพพ. มาตรา ๑๕๒๓
            *เมื่อ ศาลพิพากษาให้หย่ากัน เพราะเหตุ ตาม
มาตรา ๑๕๑๖ (๑) ภริยาหรือสามี มีสิทธิได้รับ ค่าทดแทน จากสามีหรือภริยา และ จากผู้ซึ่ง ได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือ ยกย่อง หรือ ผู้ซึ่งเป็น เหตุแห่งการหย่านั้น
            สามี จะเรียก ค่าทดแทน จากผู้ล่วงเกินภริยา ไปในทางชู้สาว ก็ได้ และ ภริยา จะเรียก ค่าทดแทน จากหญิงอื่น ที่แสดงตน โดยเปิดเผย เพื่อแสดงว่า ตนมีความสัมพันธ์กับสามี ในทำนองชู้สาว ก็ได้
            ถ้า สามีหรือภริยา ยินยอม หรือ รู้เห็นเป็นใจ ให้อีกฝ่ายหนึ่ง กระทำการ ตาม
มาตรา ๑๕๑๖(๑) หรือ ให้ผู้อื่น กระทำการ ตามวรรคสอง สามีหรือภริยานั้น จะเรียกค่าทดแทน ไม่ได้

 

 

*วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดย มาตรา ๖ แห่ง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๕๐

วรรคหนึ่ง (เดิม) คือ
            เมื่อ ศาลพิพากษา ให้หย่ากัน เพราะเหตุ ตาม
มาตรา ๑๕๑๖(๑)
ภริยาหรือสามี มีสิทธิได้รับ ค่าทดแทน จากสามี หรือ ภริยา และ จากหญิงอื่น หรือ ชู้ แล้วแต่กรณี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

  

 

 

 

                                         

 

 

 

 



 

 

 

 

 

 

 

********************************

 

 

 

 

 

 

 

   หนุ่มสาวออฟฟิสส่วนใหญ่ที่ชอบซื้อผลไม้ตามรถเข็นทั่วไป ระวังโดยเฉพาะผลไม้แช่บ๊วย

 


 
 

 

 

อย่างฝรั่งแช่บ๊วยที่เป็นที่โปรดปรานแก่สาวๆทั้งหลาย ระวังให้ดีนะคะ เพราะมีข่าวออกมาเตือนว่า มันอันตรายสามารถทำให้เสียชีวิตได้เลย ขอเตือนหนุ่มสาวออฟฟิศที่ชอบผลไม้รถเข็น

เพราะเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยสยาม เขาร่วมกันเก็บตัวอย่างผลไม้รถเข็นเพื่อทดสอบการปนเปื้อนในอาหาร

ปรากฏว่าผลไม้แปรรูปมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายถึงร้อยละ 64.2 ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งดองบ๊วยที่มีสีเขียวและสีแดงเข้ม และยังมีสารกันราหรือวัตถุเคมีเจือปนอยู่ในผลไม้ถึงร้อยละ 32.1 โดย พญ. มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ออกมาเตือนว่าการบริโภคผลไม้และอาหารที่มีสีสันสวยงามจากสารเคมี อาจส่งผลให้ท้องเสีย ท้องร่วง คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ หูอื้อ มีไข้ หายใจขัด เป็นบ่อเกิดมะเร็งและอาจทำให้เสียชีวิตได้ด้วยซ้ำ ดังนั้น การเลือกผลไม้ควรพิจารณาจากสี และรูปร่างที่มีลักษณะเป็นธรรมชาติ และดูความสะอาดดีๆ หากเป็นไปได้เตรียมผลไม้มารับประทานเองจะปลอดภัยที่สุดค่ะ หรือเลือกร้านที่ปลอดภัยที่สุด หรือให้เลือกรับประทานผลไม้สดแทน อย่าง ฝรั่งสด จะมีวิตามินสูงมาก แนะนำให้กินสดดีกว่าแปรรูป

 



   

 

 

 

 

 

 

 

                       

       

 

  คุณแยกระหว่างความหิวกับความอยากออกจากกันได้หรือไม่ ... หลายคนอาจจะกำลังสงสัยว่า ทำไมเพิ่งรับประทานอาหารจึงรู้สึกหิวขึ้นมาอีกแล้ว ซึ่งนั่นเกิดจากน้ำย่อยที่หลั่งออกมาเพื่อทำให้คุณเกิดความหิวนั่นเอง แต่แท้จริงแล้วปริมาณอาหารในกระเพาะของคุณก็ยังคงมีอยู่เท่าเดิมโดยไม่ได้ย่อยเลย แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าปริมาณอาหารในกระเพาะตอนนั้นมีปริมาณเท่าไหร่... สังเกตดูที่ "ลิ้น" ของคุณสิ บอกได้!

        การตรวจดูว่าวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ความแม่นยำที่สุดในการตรวจสอบร่างกายของตนเอง ด้วยการดู "สภาพของลิ้น" ซึ่งสภาพของลิ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้งตามลักษณะนิสัยการกินอาหาร เวลากิน จนระดับความแข็งแรงของกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะลิ้นเปรียบเสมือนเครื่องตรวจวัดสุขภาพของอวัยวะภายในร่างกาย โดยการเปลี่ยนสภาพของลิ้นนั้นจะบ่งบอกด้วยการสังเกต สีลิ้น ความหนา และคราบสกปรกที่ติดอยู่

        สิ่งสกปรกที่เกิดอยู่บนลิ้น หรือที่ทุกคนเรียกกันว่า "ฝ้าลิ้น" นั้น เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณสิ่งของตกค้างที่อยู่ภายในท้อง ยิ่งมีฝ้ามากก็แสดงว่าในกระเพาะอาหารของคุณยังมีอาหารอยู่ แต่หากมีฝ้าตกค้างน้อย ลิ้นก็แทบจะไม่มีฝ้าเกาะอยู่เลย

        เริ่มมาเช็กดูสภาพของลิ้นกันดีกว่า ว่าในกระเพาะอาหารของคุณมีปริมาณอาหารที่ยังไม่ย่อยอีกเท่าไหร่...

      ประเภทที่ 1 ลิ้นแทบจะไม่มีฝ้าเกาะอยู่เลยและลิ้นมีสีชมพู นั่นแสดงว่าระบบย่อยอาหารของคุณทำงานได้ดี ลิ้นของคุณมีสีสวย ผิวลิ้นสะอาด สุขภาพดีแทบไม่มีฝ้าเกาะอยู่เลย

      ประเภทที่ 2 มีฝ้าเกาะที่ลิ้นเป็นคราบสีขาว แสดงว่ามีอาหารหลงเหลือค้างอยู่ในกระเพาะ ระบบย่อยอาหารยังทำงานไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ยิ่งมีอาหารตกค้างมาก ฝ้าสีขาวที่ลิ้นจะยิ่งหนามากขึ้น

      ประเภทที่ 3 ฝ้าที่ลิ้นเป็นสีเหลือง แสดงว่ามีอาหารตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารมาก ทั้งยังอัดแน่นอยู่ในลำไส้ ยิ่งกินเยอะในตอนดึก ฝ้าจะหนาและเป็นสีเหลือง


         รู้อย่างนี้แล้วก็ลองส่องกระจกสังเกตดูลิ้นของตัวเองว่ามีปริมาณอาหารที่กระเพาะยังไม่ย่อยอีกมากเท่าไหร่ เราจะได้คิดเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและไม่ทำให้กระเพราะทำงานหนักมากจนเกินไป


 

             

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ขำ กปปส หาดใหญ่ .. จะไปปิดกรุงเทพ แต่โดนปิดทางรถไฟเสียก่อน เป่าปี๊ดๆ ไม่พอใจใหญ่

 

กรรมสนอง ของแท้
 
 


                  [Image: toGL0s.JPEG]
 
 
   
                  [Image: Rb98Ex.JPEG]
 
 
 
 
                  [Image: YXDqD2.JPEG]

 
 
 
 
 
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - รถไฟสายใต้หยุดเดินรถ กปปส.หาดใหญ่ตกค้าง ผู้ช่วยนายสถานีแจ้ง คอสะพานทรุด ช่วงสถานีวังด่วง-สถานีห้วยยาง จังหวัดเพชรบุรี ปิดซ่อม 11-14 ม.ค.56

วันนี้( 11 ม.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น.ศูนย์ ASTVผู้จัดการภาคใต้ ได้รับแจ้งจาก นายสมชาย อั้วจันทึก ผู้ช่วยนายสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ว่า ทางการรถไฟแห่งประเทศไทยแจ้งหยุดเดินรถไฟสายใต้ ที่จะขึ้นกรุงเทพฯ เนื่องจากคอสะพานทรุดช่วงสถานีวังด่วง-สถานีห้วยยางจังหวัดเพชรบุรี โดยคอสะพานทรุดมาตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.56

กปปส.หาดใหญ่โวย!รถไฟสายใต้หยุดเดินรถอ้างคอสะพานทรุดปิดซ่อม 4 วัน


ซึ้งขณะ นั้นรถไฟยังสามารถเดินรถได้ แต่ในช่วงหลังคอสะพานเริ่มมีการการทรุดหนักลงจนไม่สามารถเดินรถไฟผ่านไปได้ทางหน่วยซ​่อมบำรุงจึง จะทำการซ่อมบำรุงคอสะพานตั้งแต่วันนี้ 11-14 ม.ค.56 แต่ขบวนรถไฟท้องถิ่นยังสามารถเปิดให้บริการประชาชนตามปรกติ

กปปส.หาดใหญ่โวย!รถไฟสายใต้หยุดเดินรถอ้างคอสะพานทรุดปิดซ่อม 4 วัน


ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปสังเกตการณ์ที่สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ มีกลุ่มมวลชน กปปส.นับร้อยที่จะโดยสารเดินทางขึ้นกรุงเทพฯ เพื่อร่วมการชุมนุมชัตดาวน์ กรุงเทพฯของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้เกิดความไม่พอใจที่รถไฟหยุดเดินรถโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าทำให้ไม่สามารถเด​ินทางได้ตามแผนที่กำหนด

 

 

 

 "มันจะสำนึกมั้ย แค่รถไฟไม่วิ่งมันยังจะเป็นจะตาย แต่มึงมาทำความเดือดร้นด้วยการปิดบ้านคนอื่นิไอ้พวกสันดานม......"

 

 แขวงบางซื่อยังไม่ปล่อยรถซ่อมบำรุงไปครับ คงชะลอเวลาไปเรื่อยๆครับ

 อย่างน้อย สหภาพไม่ได้มีอำนาจอะไร ใน เขต กรุงเทพ หรอกนะครับ ใน แขวง บางซื่อ กับ ดีเซลรางกรุงเทพ แค่ 2 แขวง ก็มี พนักงานรถจักร + ช่างเครื่อง เกิน 70 เปอร์เซนต์ ของการรถไฟแล้ว สหภาพมีอำนาจแค่ในปักษ์ใต้เท่านั้น ฉะนั้น ถ้าบางซื่อทำ สหภาพคงจะต้านไม่ได้

 

ขบวนรถสายใต้ทุกขบวนที่มากรุงเทพน่ะ รับผิดชอบโดย สรจ.บางซื่อนะครับ
ฉะนั้น Career ส่วนกลาง สามารถจัดหลีกให้ห่วยแค่ไหนก็ได้ ตามการร้องขอของ สรจ.
ฉะนั้น พขร.บางซื่อสามารถทำให้รถช้า 400-500 นาที ง่ายมาก
และ สรจ.บางซื่อ ไม่ได้เป็นพวกสหภาพ ฉะนั้นไม่มีความจำเป็น ที่ต้องฟัง มติสหภาพ
และการถ่วงเวลา มันไม่ผิดกฎหมาย และ ขดร. การรถไฟ ด้วยครับ

 

คอสะพานชำรุดยังไม่ต้องรีบซ่อม ยังไม่จำเป็น ควรให้ถนนลูกรังหมดไปจากประเทศก่อน

 

 

 

  

 

 

 

 

         แผนการสกัดม็อบของแขวงการรถไฟ บางซื่อ

 

 
ตอนนี้ แขวงสรจ. บางซื่อ ที่เป็นแขวงใหญ่ที่สุดในการรถไฟ และดูแลรถด่วนทุกขบวนที่ออกจากกรุงเทพ จะเริ่มทำการสกัด ม็อบที่มาภาคใต้ทั้งหมด เพราะ แขวงบางซื่อ กว่า 90 เปอร์เซนต์ เป็นเสื้อแดง และ ต่อต้านสหภาพการรถไฟ โดยใช้วิธีนี้

1. จัดรถจักรให้ห่วยที่สุด ประมาณว่า ให้รถเสียกลางเขาไปเลย (เช่น แถว เขาไชยราช-มาบอำมฤต เพราะว่า กว่ารถจากชุมพรจะมาเปลี่ยนก็ใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง)

2. แกล้งวิ่งช้า ให้ช้าสัก 400-500 นาที ทุกขบวน ในวันที่ 12-13 นี้

3. ทิ้งผู้โดยสารที่ชอบลงรถตอนรถเสีย (นิสัยผู้โดยสารสายใต้ คือชอลงมาดูเวลารถหยุดนานๆ)

4. ติดต่อกับ career ให้จัดหลีกห่วยๆ (อย่างนี้ ก็ถ่วงเวลาได้เป็น ชั่วโมงๆ)
ขอบอกว่า ไม่ใช่แผนรัฐบาล แต่เป็นการแก้เผ็ดของแขวงบางซื่อซึ่งมีอำนาจมากกว่า แขวงชุมพร , ทุ่งสง และ หาดใหญ่ เพราะผู้ว่าการรถไฟหนุนหัง แขวงบางซื่อมากที่สุด อย่าโทษรัฐบาลเลย ขอร้องที และการจักรถจักร มันเป็นสิทธิ์ของ สรจ. ไม่ใช่ กปปส โปรดเข้าใจด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

น้ำตาลูกผู้หญิง

 

 

รายงานข่าวด่วนวันนี้ 11 ม.ค.57 ได้มีการแชร์คลิป “เหตุวุ่นวายงานจุดเทียนที่หน้าหอศิลป์” ซึ่ง เพจ “พอกันที ! หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง” เป็นผู้จัดงานนี้ขึ้น โดยมีทั้งนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ร่วมใจกันใส่เสื้อสีขาวเข้าร่วมกิจกรรม “จุดเทียน เขียนสันติภาพ” “พอกันที ! หยุดความรุนแรง เปิดใจ ไปเลือกตั้ง” ที่บริเวณลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน ซึ่งมีการจัดงานติดต่อกันมาหลายวัน ในหลายสถานที่ อาทิ ที่ จุฬาฯ ม.ศิลปากร เป็นต้น

 

 

 

 

ความวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่องานเลิก โดย วรารัตน์ กระแสร์ อายุ 24 ปี เจ้าของป้าย ระบุข้อความ “If you want to kill corruption End thasinocracy It must be done In the next election” และมีชายคนหนึ่งที่ใส่เสื้อสีเขียว ตะโกนตั้งคำถามว่า ถูกจ้างให้มาถือป้าย พร้อมมีหญิงสาวตะโกนตลอดเวลาว่า มาผิดเวที โดยชาวคนเสื้อสีเขียวท่าทางเกรี้ยวกราดเหมือนจะเข้าไปเอาเรื่องและไล่เธอให้ ออกจากพื้นที่จัดกิจกรรม จนเกิดการชุลมุนและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาระงับเหตุ และมีการห้ามปรามกันจนไม่เกิดเหตุการณ์บานปลายไปกว่านั้น

 

โดยในคลิปก็จะเห็น วรารัตน์ กระแสร์ พูดไปร้องไห้ไป เพราะโดนกดดันจากหลายๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์

 

เจ้าตัวบอกถือโชว์มาตั้งแต่ตอนกลางวันไม่นึกจะมีเรื่อง

 

วรา รัตน์ กระแสร์ อายุ 24 ปี เจ้าของป้าย ระบุข้อความ “If you want to kill corruption End thasinocracy It must be done In the next election” (การจบปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น หยุดระบอบทักษิณ จะต้องทำผ่านการเลือกตั้งครั้งต่อไป) ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายในช่วงท้ายของการจัดงานซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ได้ทยอย กันเดินทางกลับแล้ว เนื่องจากมีผู้ตะโกนตั้งคำถามว่าเธอถูกว่าจ้างให้มาถือป้ายดังกล่าวและไล่ เธอให้ออกจากพื้นที่จัดกิจกรรม กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เธอได้เดินถือป้ายรอบๆ งาน มาตั้งแต่ 6 โมงเย็น โดยช่วงแรกๆ ก็มีคนถ่ายรูป และขอยืมป้ายไปถ่ายรูปบ้าง ไม่มีปัญหา เพราะคิดว่าอยู่ในพื้นที่ที่มีคนมาสนับสนุนการเลือกตั้งเหมือนกัน

 

ได้ไอเดียมาจาก กลุ่ม สปป. ไม่คิดว่าจะมีปัญหา

 

“ป้าย ที่ทำขึ้นมานี้ ใจความไม่ใช่เรื่องใหม่ค่ะ แต่ได้ไอเดียมาจากการดู สปป.และเราก็เห็นด้วยกับทางกลุ่ม สปป.และเห็นว่าทางกลุ่มพอกันทีฯ เปิดพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นที่จะสนับสนุนเลือกตั้ง จึงทำป้ายนี้ขึ้นมา” วรารัตน์กล่าวพร้อมระบุว่าไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าข้อความของเธอจะมีปัญหา

 

พยายามเลี่ยงโดยสะกด “Thaksin” ผิด.. แต่ก็ยังโดนด่า

 

วรา รัตน์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาอาจอยู่ที่การใช้คำว่า Thasinocracy ซึ่งเธอเลี่ยงสะกดคำว่า Thaksinocracy ตรงๆ พร้อมอธิบายข้อความดังกล่าวว่า คนที่เชื่อว่าระบอบทักษิณมีจริง คือกลุ่มชัตดาวน์และยังเชื่อว่าสภาประชาชนจะทำให้คอร์รัปชั่นหมดไป ทั้งที่จริงๆ แล้วการเลือกตั้งและระบอบประชาธิปไตยนั้นสามารถตรวจสอบว่ารัฐบาลไหน คอร์รัปชั่นได้ จึงคิดว่าประโยคนี้น่าจะสื่อสารกับคนที่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง และเป็นการประชดประชันกลุ่มคนที่กลัวระบอบทักษิณ และวาทกรรมการโกง การคอร์รัปชั่นด้วย โดยส่วนตัวเธอเห็นว่าถ้าทุกคนเลือกตั้ง ระบอบทักษิณก็จะไม่มีแล้ว เพราะนี่คือระบอบประชาธิปไตย

 

ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่า ต้องระวังการใข้คำว่า “ทักษิณ” ไม่ว่าจะกับฝ่ายไหน

 

วรารัตน์ ยอมรับว่า เธอไม่ได้คิดเหมือนกันว่าแต่ละคนอาจจะตีความต่างไป เพราะเพิ่งตระหนักว่าคำว่า Thasinocracy เป็นคำที่เซนซิทีฟกับสังคมไทย และลักษณะการนำคำว่าทักษิณไปใช้ในแต่ละฝ่ายการเมืองก็แตกต่างกันด้วย ต่อไปนี้อาจต้องระวังมากขึ้น

 

ตำหนิ “สังคมขาดการตีความ-ล่าแม่มด-คุกคามคนเห็นต่าง”

 

เธอ กล่าวด้วยว่า ปัญหาการเมืองตอนนี้มันลุกล้ำเข้ามาในความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมมากจนเลย เถิด ขาดการตีความ ความฉุกคิด ความอดทน ไม่ว่าใครที่เราสงสัยแม้แต่นิดเดียว เราพร้อมที่จะขับไส โห่ไล่ แสดงความรังเกียจ โดยที่ไม่รู้สาเหตุที่มาของปัญหาว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เรื่องที่เจอวันนี้ไม่ต่างจากการโคว้ทเอาคำพูดสั้นๆ มาแปะหน้าฟีด และคนในรูปที่พูดนั้นก็จะโดนล่าแม่มด โดนด่า โดนคุกคาม

 

รู้สึกกลัว แต่ต้องอดทน แม้จะอยู่ในกลุ่มความเห็นเหมือนกัน

 

“เรา เองก็เลือกแล้วว่าถ้าทำป้ายนี้ขึ้นมา เราต้องอธิบายความคิดของเราให้ได้ ต้องรับให้ได้ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เราเองก็ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสื่อที่เราทำขึ้นมาเช่นกัน เราเองแม้จะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รู้สึกกลัว แต่มันสอนให้เราอดทนที่จะรับฟัง อยู่กับความขัดแย้ง แม้จะกลุ่มที่มีความคิดแนวทางเดียวกันก็ตาม”

 

วรารัตน์ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้ เริ่มมีแววส่อการใช้ความรุนแรงเรื่อยๆ ตั้งแต่เหตุการณ์ปะทะที่รามคำแหงและสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น เห็นอีกฝ่ายที่ต้องการเร่งเร้าความรุนแรง เรียกร้องกติกานอกรอบ ตอนนี้เดาไม่ออกว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป แต่เมื่อยุบสภาแล้ว อำนาจกลับมาที่เราอีกครั้ง ในฐานะคนตัวเล็กขอใช้สิทธิในการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

 

แหล่งข่าว/เครดิตภาพประกอบข่าว  http://www.dontemtem.com/?p=4266

 

 

 

 

 **************************************

 

 

 

 

 

 

 

   

                           ปุ๋ยหมักหัวเชื้อ

 

 

 

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com

 

 

หนูรบกวนถามน้าชาติอีกข้อหนึ่งค่ะ คือหนูอยากทราบวิธีการทำปุ๋ยและยาฆ่าแมลงจากธรรมชาติ เช่น ปุ๋ย EM คือ แม่หนูเป็นชาวไร่ หนูอยากช่วยแม่ลดต้นทุนและรักษาธรรมชาติ และกระจายความรู้ให้กับเพื่อนบ้าน ขอบคุณค่ะ

น้ำผึ้ง

ตอบ น้ำผึ้ง

ปุ๋ยอีเอ็ม (EM) ที่ถามมา คือปุ๋ยที่หมักจากหัวเชื้อ EM (Effective Microorganisms) อีเอ็มเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า 80 ชนิด เป็นของเหลวสีน้ำตาลดำ มีกลิ่นอมเปรี้ยวอมหวาน ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งคน สัตว์ พืชและแมลงที่เป็นประโยชน์ ช่วยปรับสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิต สามารถนำไปเพาะขยายเองได้ แต่ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารเคมี หรือยาปฏิชีวนะและยาฆ่าเชื้อต่างๆ

วิธีการทำหัวเชื้ออีเอ็มเตรียมวัสดุดังนี้ กากน้ำตาล 2 กิโลกรัม (อาจใช้น้ำตาลทรายแดงแทนได้) น้ำมะพร้าว 4-5 ลูก สับปะรด 2 ลูก และถังพลาสติกที่มีฝาปิด 1 ใบ วิธีทำ 1.หั่นสับปะรดแก่จัดทั้งลูก (ทั้งเปลือกและ

เนื้อ) เป็นชิ้นเล็กๆ 2.ปอกมะพร้าวอ่อนเอาแต่น้ำ 3.นำสับปะรด น้ำมะพร้าว และกากน้ำตาล มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ถังพลาสติกปิดฝาทิ้งไว้ในที่ร่ม ควรคลุกเคล้ากลับไปกลับมาในถังทุก 2 วัน ประมาณ 1 -2 เดือน จะได้หัวเชื้ออีเอ็มที่มีสีน้ำตาล กลิ่นหอม ไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป

การเพาะขยายเชื้อจุลินทรีย์อีเอ็ม ทำได้โดยใช้หัวเชื้ออีเอ็ม 1 ส่วน กากน้ำตาล 1 ส่วน น้ำสะอาด 20 ส่วน หมักไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิดอย่าให้อากาศเข้าได้เป็นเวลา 7 วัน แล้วใช้ให้หมดภายใน 7 วัน

สูตรการนำมาทำปุ๋ยน้ำ ผสมอีเอ็ม 1 ช้อนโต๊ะ กากน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ น้ำ 10 ลิตร ใช้ฉีด พ่น รด ราด พืชต่างๆ ให้ทั่วจากดิน ลำต้น กิ่ง ใบและนอกทรงพุ่ม โดยฉีดราดทุก 3 วันถ้าเป็นพืชผัก ถ้าเป็นไม้ดอก

ไม้ประดับ ฉีดพ่นเดือนละ 1 ครั้ง

การทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เอง วัสดุได้แก่ มูลสัตว์ 3 ส่วน รำอ่อน 1 ส่วน แกลบ 1 ส่วน อีเอ็ม 2 ช้อน

กากน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำ 10 ลิตร

วิธีทำ 1.นำมูลสัตว์ผสมกับรำอ่อนคลุกให้เข้ากัน

2.นำอีเอ็ม กากน้ำตาล น้ำใส่ถังคนให้เข้ากัน

3.นำแกลบแช่น้ำในถังอีเอ็มนาน 10 นาที

4.นำแกลบที่แช่อีเอ็มแล้วมาคลุกให้เข้ากันกับกองมูลสัตว์ที่ผสมกับรำอ่อนแล้ว

5.รดน้ำให้มีความชื้น 40%

6.นำปุ๋ยหมักที่ผสมแล้วใส่ถุงอาหารสัตว์ที่มีการระบายอากาศดีจำนวน 3/4 ของถุง

7.นำไปวางไว้ในที่ร่มแต่อย่าวางซ้อนทับกัน แล้วกลับทุกวัน 7 วัน ก็นำไปใช้ได้

สำหรับสูตรป้องกันและกำจัดแมลงด้วยหัวเชื้ออีเอ็ม มีวิธีทำดังนี้ 1.ใบยูคาลิปตัสครึ่งปี๊บ ใบและเมล็ดสะเดาครึ่งปี๊บใส่ถัง 2.เติมน้ำใส่ไป 1 ปี๊บ ต้มให้เหลือครึ่งปี๊บ 3.ทิ้งไว้ให้เย็น กรองใส่ถังหมัก เติมอีเอ็ม 1 แก้ว เหล้าขาว 1 แก้ว และน้ำส้มสายชู 1 แก้ว กวนให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 10-15 วัน จึงนำมาใช้ได้ วิธีใช้สมุนไพรอีเอ็ม 5 ช้อนโต๊ะต่อน้ำสะอาด 10 ลิตร ฉีดพ่นพืชผัก ผลไม้ ทุกๆ 7-10 วัน

สำหรับหัวเชื้ออีเอ็ม ต้องเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 20-45 องศาเซลเซียส ปิดฝาให้สนิทอย่าให้อากาศเข้า เปิดใช้แล้วต้องรีบปิดทันที เก็บรักษาไว้ได้ประมาณ 6-8 เดือน หากเก็บอีเอ็มไว้นานเมื่อเปิดฝาพบว่าเปลี่ยนเป็นสีดำ มีกลิ่นเหม็นเน่าแสดงว่าอีเอ็มตายไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ให้นำอีเอ็มที่เสียไปผสมน้ำ ใช้รดกำจัดหญ้าและวัชพืชที่ไม่ต้องการ

 

                                     

    ปุ๋ยเร่งผลผลิต 5 นางฟ้าทรงฉัตร สูตร 8-24-24 |ขายส่ง 790-890 บาท

ซื้อไปขายต่อลดพิเศษ 15-30%
ความนิยม Rating 

คุณสมบัติปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 เป็นปุ๋ยเคมีชนิดเม็ด ประกอบด้วยปริมาณธาตุอาหารรับรอง ดังนี้ ไนโตรเจนทั้งหมด(N) 8 % ฟอสเฟตที่เป็นประโยชน์(P2O5) 24 % โพแทชที่ละลายน้า(K2O) 24 % พืชที่แนะนำให้ใช้ เช่น ใช้เป็นปุ๋ยสำหรับพืชไร่ ปุ๋ยสำหรับไม้ผล และปุ๋ยบำรุงพืชผัก
 
อัตราที่ใช้ วิธีใช้ และระยะเวลาที่ใช้ปุ๋ยสูตร 8-24-24 การใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 ในพืชไร่เช่น แห้วจีน ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ใช้ปุ๋ยเคมีตรา 5 นางฟ้าทรงฉัตรสูตร 8-24-24 ในอัตรา30-60 กิโลกรัมต่อไร่ สาหรับถั่วเหลืองและถั่วเขียว ให้ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ ควรใส่ครั้งเดียวก่อนปลูก โดยวิธีเปิดร่องตามแถวปลูก โรยปุ๋ยเคมี กลบดิน แล้วหยอดเมล็ด ควรใช้กับดินร่วนทรายหรือดินทราย ไม่เหมาะที่จะใช้กับดินเหนียว
 
จำนวนปุ๋ยเคมีที่จะใส่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของพืช และความอุดมสมบูรณ์ของดิน ไม้ผล เช่น ส้ม ทุเรียน มะนาว ลิ้นจี่ ลำไย องุ่น ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 ตรา 5 นางฟ้าทรงฉัตร บริเวณทรงพุ่มใบแล้วพรวนดินกลบ โดยให้ใช้ปุ๋ยเคมีสูตรนี้ในอัตรา 1-3 กิโลกรัมต่อต้น ขึ้นอยู่กับขนาดของต้น ในปีหนึ่งควรใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 ตรา 5 นางฟ้าทรงฉัตรประมาณ 2-3 ครั้ง การใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 ในพืชผักเช่น พริก หอม กระเทียม มันฝรั่ง มะเขือ ขิง ควรหว่านให้ทั่วแปลงในอัตรา40-60 กิโลกรัมต่อไร่ก่อนปลูก และใส่ปุ๋ยเคมียูเรียตรา 5 นางฟ้าทรงฉัตรสูตร 30-0-0แต่งหน้าในระยะ 20-30 วัน
 
หลังจากปลูกแล้วในอัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ คำแนะนำการใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 ตรา 5 นางฟ้าทรงฉัตร ควรอ่านคำแนะนำเอกสารกำกับปุ๋ยเคมีให้เข้าใจเสียก่อน หากไม่เข้าใจหรือมีปัญหาสงสัยให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่ กรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตร ในท้องถิ่น เพื่อให้การใช้ปุ๋ยเคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

 

  

 

 

 

 

***************************************

 

 

 

 

 

 

 

              

 

 

            แนะ 10 เมนู สุดยอดอาหารต้านชรา

 

ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นาชาติ แนะนำ 10 เมนูสุขภาพรับปี 2556 สไตล์อายุรวัฒน์ เผยส้มตำไก่ย่าง เมี่ยงปลาทู เขียวหวานไก่ ผัดไทย สุดยอดอาหารต้านชรา เพราะผักในเมนูดังกล่าวล้วนเป็นสุดยอดวิตามิน เช่นมะละกอช่วยล้างพิษ มะเขือเทศป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก พริกบำรุงสายตา  

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวแนะนำสุดยอดอาหารสไตล์อายุรวัฒน์ ต้านชรา ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 10 เมนู คือ

1.ส้มตำไก่ย่าง  ที่สุดของอาหารต้านชรา  ในส้มตำมีสุดยอดวิตามินอย่าง “มะเขือเทศ” ที่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและเต้านม  ส่วนมะละกอช่วย “ล้างพิษ” ให้กับลำไส้น้อย-ใหญ่  ในมะละกอยังมีน้ำย่อย “ปาเปน” ช่วยล้างทำความสะอาดลำไส้ให้ปลอดคราบโปรตีนเกาะ ส่วนการรับประทานคู่กับไก่ย่างนั้นมีข้อดีคือทำให้ไม่ขาดโปรตีน  และที่สำคัญคือ “ไม่อ้วน” เท่าการกินกับข้าวเหนียวหรือกินแบบหนักแป้งด้วย

 2.แกงเขียวหวานไก่ ในน้ำแกงเขียวหวานเป็นอาหารทิพย์ที่อุดมไปด้วยวิตามิน น้ำแกงเข้มข้นหอมมันคือ “ซุปวิตามินชั้นดี” ที่มีทั้งวิตามินเอ, ดี, อีและเคที่ละลายอยู่ในกะทิ ส่วนในเนื้อไก่มีวิตามินบีที่ช่วยบำรุงสมอง  อีกทั้งในพริกที่ใส่เป็นเครื่องแกงมี “กรดแคปไซซิน” กับ “เบต้าแคโรทีน” ที่ช่วยบำรุงสายตาด้วย

3.เมี่ยงปลาทู  ได้ทั้ง “ซัลโฟราเฟน” เป็นกลุ่มสารต้านมะเร็งจากใบคะน้าห่อเมี่ยง ถ้าให้ดีต้องหยิบ “มะเขือเทศราชินี” หั่นเสี้ยวใส่เข้าไปด้วยจะช่วยให้ผิวพรรณสวย  ส่วนในเนื้อปลาทูมีทั้งกรดไขมันดีและ “แอสตาแซนทิน” เพราะวิตามินนี้โดยมากละลายในไขมัน

4.ผัดไทย มีทั้งถั่วงอกที่ถือเป็นอาหารมงคลรับปีใหม่ด้วยหมายถึงการงอกงามของสิ่งใหม่ๆ ในถั่วงอกมี “วิตามินซี” นอกจากนั้นถั่วและเต้าหู้ในผัดไทยยังอุดมไปด้วยวิตามินอี,แคลเซียมและสาร “พฤกษฮอร์โมน” ที่เป็นไฟโตเอสโตรเจนป้องกันมะเร็งและลดไขมัน โดยมีข้อแม้คืออย่าหนัก “เส้น” มากไป

5.ข้าวหอมนิล ข้าวไทยหนึ่งในตองอูที่ดูเด่นด้วยสีม่วงเข้มเตะตา ที่อัดแน่นอยู่ในสีสวยนั่นคือสาร “พฤกษเคมี” ที่มีพลังมากกว่าวิตามินอีกับซีรวมกัน ข้าวหอมนิลสามารถเอามาจัดเมนูคู่ปีใหม่ได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างน้ำพริกปลาทูข้าวหอมนิล หรือจะกินคู่กับไข่เจียวร้อนๆ

6.ข้าวตอกน้ำกะทิ ขนมไทยช่วงปีใหม่ที่ถูกลืมไปนาน  อยากขอให้ช่วยกันปลุกให้คืนชีพมาใหม่เพราะมีคุณค่าทางอายุรวัฒน์มาก  นับตั้งแต่ตัวข้าวตอกที่มี “เส้นใย” ช่วยในเรื่องไขมันและน้ำตาลได้  ส่วนวิตามินข้างในนั้นก็เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์

7.ข้าวต้มมัดหรือข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้ เป็นเมนูที่อยู่ท้องและมีประโยชน์ครบเครื่องมากเพราะมีทั้ง 5 หมู่อยู่ในนั้น ส่วนวิตามินก็มีทั้งเอ,บี,ซี   นอกจากนั้นในกล้วยยังมีเส้นใยกับสารกลุ่มฟีนอลชื่อ “กรดเอลลาจิก” ช่วยต้านมะเร็งและเนื้องอกได้ด้วย

8.ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ นอกจากข้าวเหนียวแล้วยังมีเผือก, ลำไย, ลูกเดือยและธัญพืชอื่นๆ ซึ่งถือเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ชั้นสูง ช่วยขัดล้างตั้งแต่หลอดอาหารลงมาถึงลำไส้ใหญ่  ส่วนตัวข้าวเหนียวดำเองมี “วิตามินอี” และ “ธาตุเหล็ก” สูงมาก  รวมถึง “ธาตุม่วงต้านร่วงโรย (OPCs)”

9.ข้าวโพดม่วง  มีทั้งวิตามินบำรุงตาอย่าง “ลูทีน” กับ “ซีแซนทิน” ทำได้หลายเมนู เช่น ข้าวโพดม่วงเปียกราดกะทิกิน, ข้าวโพดปิ้ง ข้าวโพดม่วงคลุก เป็นต้น

10.น้ำสมุนไพรแสนชื่นใจ  เช่น น้ำอัญชัน, กระเจี๊ยบ, น้ำย่านาง, น้ำใบบัวบก  น้ำเหล่านี้ถือเป็นน้ำวิตามินชั้นดี จัดเป็นน้ำนางเอกของแท้  เริ่มตั้งแต่อัญชันมีวิตามินสีม่วงที่ช่วยปกป้องผิวและบำรุงตับ  ส่วนน้ำกระเจี๊ยบก็มีวิตามินซีและเอช่วยบำรุงไตได้ ส่วนน้ำใบย่านางกับใบบัวบก ประกอบด้วย “คลอโรฟิลล์” “กลูต้าไทโอน” ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

              

 

 

   ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า รถไฟความเร็วสูงยังไม่จำเป็นสำหรับประเทศไทย

 

 

 

จากนั้น น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) และนายชนรรค์ พุทธมิลินประทีป รอง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (สงบ). ขึ้นเบิกความตามลำดับ โดยองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้พยายามสอบถามแนวคิดและความเห็นจากบุคคลทั้งสองถึงคำว่า”เงินแผ่นดิน”ว่าจากความรู​้และประสบการณ์การทำงานของบุคคลทั้งสองเห็นเป็นอย่างไร สามารถใช้เงินจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยไม่จำเป็นต้องออกร่าง พ.ร.บ.กู้เงินหรือไม่ รวมไปถึงการใช้จ่ายงบประมาณของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีความรัดกุมหรือไม่ และอาจเกิดความรั่วไหลหรือไม่ ขณะเดียวกันเมื่อกู้เสร็จแล้วจะต้องใช้หนี้คืนภายในระยะเวลากี่ปีทั้งเงินต้นและดอกเ​บี้ย และหากโครงการผ่านไป 2 ปี จะสามารถกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเพิ่มอีกได้หรือไม่




ทั้งนี้ น.ส.จุฬารัตน์ ชี้แจงแบบกว้างๆ ว่า ตามกฎหมายไม่มีการกำหนดกรอบระยะเวลาที่จะต้องใช้หนี้คืน แต่ได้มีการประมาณการณ์ทางวิชาการว่า โครงการนี้เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เป็นทรัพย์สินของประเทศนับร้อยปี และรัฐบาลมีความสามารถที่จะนำเงินมาจ่ายชำระดอกเบี้ย โดยไม่เป็นภาระมาก โดยสมมติฐานทางวิชาการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งนี้น่าจะชำระได้ภายใน 50 ปี อย่างไรก็ตาม คำถามที่ระบุว่าหากโครงการผ่านไป 2 ปี จะสามารถกู้เงินได้อีกหรือไม่ ยอมรับว่าไม่สามารถทำได้




จากนั้นนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขึ้นเบิกความว่า ภาพรวมของพ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นการเตรียมกรอบวงเงินไม่เกิน 2 ล้านล้านบาทภายในระยะเวลา 7 ปี เพื่อให้มีวงเงินสำคัญที่จะมาดำเนินโครงการได้ สำหรับการลงทุนของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ไม่ใช่การอนุมัติโครงการ ซึ่งการอนุมัติโครงการทุกโครงการต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินโดยทุกโครงการต้องทำตามที่กฎหมายเกี่ยวข้อง ทั้งนี้โครงการทั้ง 53 โครงการไม่มีการทำผิดตามรัฐธรรมนูญ เพราะได้ทำการสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ปฏิบัติตามพ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม และพ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้อง ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างก็เป็นตามระเบียบต่างๆ ที่อยู่ในโครงการใหญ่ของประเทศทั่วไป นอกจากนี้ยังมีรายงานเรื่องการเบิกจ่าย เพื่อให้สามารถติดตามความก้าวหน้าของโครงการได้ รวมทั้งยังแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตามโครงการนี้ ได้มีการหารือกับหน่วยงานระดับโลก และหารือกับทางภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น เพื่อความโปร่งใส่ในการทำโครงการดังกล่าว




นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า เรื่องความโปร่งใสตนกังวลเรื่องนี้มากที่สุด แต่ก็ต้องเรียนว่าความโปร่งใสอยู่ที่ระบบ ซึ่งไม่อาจเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.นี้ จึงต้องมีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าโครงการนี้สนับสนุนในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพราะทำให้การคมนาคมขนส่งกระจายไปสู่ส่วนล่างได้ ทำให้การขนส่งสะดวกขึ้น ส่วนการก่อหนี้เกินตัวนั้นมองว่าสำนักงานบริหารหนี้ได้คิดเรื่องนี้ไว้แล้ว สำหรับวงเงินของโครงการดังกล่าวนั้นอยู่ที่ 4.2 ล้านล้านบาท แต่ขณะนี้ได้นำมาใช้ในวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งอยู่ในกรอบวินัยทางการเงินที่กฎหมายได้กำหนดไว้




ขณะที่องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ประเทศไทยต้องการปฏิรูปทุกด้าน โดยเฉพาะด้านการศึกษา ไม่ใช่ระบบคมนาคมอย่างเดียว และขอให้ไปคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบก่อนจะลงมือทำ ทั้งนี้เห็นว่ารถไฟความเร็วสูงยังไม่จำเป็นสำหรับประเทศไทย และอยากให้คำนึกถึงภาระหนี้ที่จะเกิดขึ้นอีก 50 ปี ข้างหน้าอีกด้วย

.....................
ดีไม่บอกว่า ให้กลับไปใช้เกวียน

หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ไทมส์ของลาว รายงานว่า ลาวได้ลงนามข้อตกลงพัฒนาเครือข่ายรถไฟเพื่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมกับเวียดนามเป​็นสายแรก และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายรถไฟเชื่อมภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้



เว็บไซต์สำนักข่าวซินหัวของจีนอ้างรายงานดังกล่าวว่า ลาวกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาเครื่อข่ายทางรถไฟมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเชื่อมกับเวียดนาม โดยการลงนามมีขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ที่นครหลวงเวียงจันทน์ของลาวเมื่อวันจันทร์ (5 พ.ย.) โดยตั้งเป้าแล้วเสร็จภายใน 5 ปี



นายกรัฐมนตรีทองสิง ทำมะวง ของลาว และนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ของมาเลเซีย เป็นประธานในพิธีลงนามระหว่างรัฐบาลลาวกับบริษัทไจแอนท์ คอนโซลิเดทเต็ด ของมาเลเซีย สร้างทางรถไฟรางคู่มูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 124,000 ล้านบาท) ความยาว 220 กิโลเมตร เชื่อมแขวงสะหวันนะเขตฃของลาวกับเมืองลาวบาว ทางตอนกลางของเวียดนาม


ทางรถไฟลาวเวียดนามนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายทางรถไฟเชื่อมภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเมื่อโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จก็จะเชื่อมการเดินทางจากสิงคโปร์ผ่านมาเลเซีย ไทย เข้าไปยังเมืองคุนหมิงของจีนด้วยรถไฟความเร็วสูง

 

 

สงสัยคงต้องรอให้ประเทศไทยพัฒนาการศึกษาขึ้นมาจนสามารถสร้างรถไฟความเร็วสูงเองได้ ไม่ว่าจะใช้เวลาอีกสักร้อยหรือสองร้อยปีก็ตาม

ก็ขอให้ชาติอาเซียนอื่น ๆ อย่าได้มีศาลรัฐธรรมนูญแบบประเทศไทยเลยนะครับ

ถือเป็นกรรมของประชาชนไทยที่ต้องทนใช้รถไฟความเลวสูงกันต่อไป

นั่งรถไฟความเร็วสูงจากพม่า หรือ ลาว หรือ มาเลย์ หรือ กัมพูชา แล้วมาต่อรถไฟไทย

อเมซิ่งดีกิง ๆ ครับศาลรัฐธรรมนูญ

 

 

 

************************

                                       

 

                วันพุธ ที่ 8 มกราคม เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 2

 

 

 

 

 

 


 

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ทรงปรารภพระเทวทัต ผู้พยายามปลงพระชนม์พระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาลิงมีรูปร่างใหญ่โตสวยงาม มีพละกำลังเท่าช้าง อาศัยอยู่ที่ราวป่า คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่ง ในแม่น้ำนั้นมีจระเข้สองผัวเมียอาศัยอยู่ วันหนึ่ง จระเข้ตัวเมียเห็นร่างกายของพญาลิงแล้วเกิดแพ้ท้องอยากกินหัวใจลิงตัวนั้น 


     "พี่ช่วยนำมันมาให้น้องหน่อยนะจ๊ะ" 


     สามีพูดว่า "น้องจ๋าเราเป็นสัตว์ในน้ำ ลิงเป็นสัตว์บนบก พี่จะจับลิงได้อย่างไรละจ๊ะ"
     เมียพูดด้วยความน้อยในว่า "พี่ต้องหาวิธีจับมันมาให้ได้ มิเช่นนั้นน้องขอตายดีกว่า"
     สามีจึงพูดปลอบใจว่า "น้องจ๋า อย่างเพิ่งตายเลยจ๊ะ พี่จะไปจับมันมาเดี๋ยวนี้ละจ๊ะ"

 

ว่าแล้วก็ไปหาพญาลิงที่กำลังลงมาดื่มน้ำที่ฝั่งพอดี ร้องถามขึ้นว่า "ท่านลิง ท่านกินแต่กล้วยที่ฝั่งนี้ไม่เบื่อรึไง ไม่คิดอยากจะข้ามไปกินผลไม้ฝั่งโน้นบ้างหรือ" 


     ลิงตอบว่า "ท่านจระเข้ แม่น้ำนี้กว้างใหญ่ไพศาล เราจะข้ามไปได้อย่างไร" 


     จระเข้ ได้ทีจึงเสนอตัวว่า "ถ้าท่านจะไปจริง ๆ ก็ขึ้นบนหลังของเราไปก็ได้ เราอาสาจะไปส่ง" 


     ลิงเชื่อคำพูดของมันจึงได้กระโดดขึ้นบนหลังจระเข้ไป

 

     จระเข้พอพาลิงไปถึงกลางแม่น้ำก็มุดลงดำน้ำ ลิงร้องถามว่า "ท่านแกล้งเรา จะให้เราจมน้ำตายรึไง" 


     จระเข้ตอบว่า "เรามิได้คิดอาสาจะพาท่านไปฝั่งโน้นจริง ๆ หรอก เมียเราแพ้ท้องอยากกินหัวใจท่าน เราจะพาท่านไปให้เมียเรากินต่างหาก" 


     ลิงพูดขึ้นด้วยเล่ห์ว่า "เพื่อนเอ๋ย ท่านบอกมาก็ดีแล้ว หากหัวใจอยู่ในท้องเราเมื่อกระโดดไปมาบนต้นไม้ หัวใจเราก็แหลกหมดนะสิ หัวใจไม่ได้อยู่กับเรา" 


     จระเข้หลงกลถามไปว่า "แล้วท่านเอาหัวใจไปไว้ที่ไหนละ" 


     ลิงจึงชี้ไปที่ต้นมะเดื่อต้นหนึ่งที่ไม่ไกลนักมีผลสุกเป็นพวงอยู่ พร้อมกับพูดว่า "นั่นไง หัวใจของเราแขวนอยู่ที่ต้นมะเดื่อนั่นไง" 


     จระเข้พูดว่า "หากท่านให้หัวใจแก่เรา เราจะไม่ฆ่าท่าน" 


     ลิงพูดว่า "ถ้าเช่นนั้นท่านพาเราไปที่นั้นสิ เราจะให้หัวใจแก่ท่าน"

จระเข้จึงพาลิงไปส่งที่ต้นมะเดื่อนั้น ลิงกระโดดขึ้นต้นมะเดื่อไปแล้ว พร้อมกับพูดว่า 


     "เจ้าจระเข้หน้าโง่ หัวใจสัตว์ตัวไหนจะอยู่บนยอดไม้ เจ้าใหญ่แต่ตัวเสียเปล่า หามีปัญญาไม่" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า


     "เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลหว้า และผลขนุนที่ท่านเห็นฝั่งสมุทรโน้น ผลมะเดื่อของเราต้นนี้ดีกว่าร่างกายของท่านใหญ่โตเสียเปล่าแต่ปัญญาไม่สมกับร่างกายเลย จระเข้..ถูกเราลวงแล้วนัดนี้เจ้าจงไปตามสบายเถิด"

 

จระเข้พอทราบว่าหลงกลลิงแล้วก็เป็นทุกข์เสียใจซึมเซาเหมือนกับเสียพนัน มุดกลับยังถิ่นที่อยู่ของตนตามเดิม

 

                                                     

 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

 

"คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด รู้จักใช้ปัญญาเอาชีวิตรอดมาได้เป็นยอดดี"

 

 ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม   น.ธ.เอก , ป.ธ.๙. เจ้าคณะอำเภอทัพทัน. เจ้าอาวาสวัดสาลวนาราม. ตำบลหนองจอก อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี

 

 

 

 

 

 

     

 

 

 

      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

****************************************

 

 

 

 

            

 

 

 

 

 

 

 

ปูโดนเป่านกหวีด....           ไม่เป็นไร ขอจับมือค่ะ
มาร์คโดนเป่านกหวีด.....     นี่ืคือขู่แข่งพรรคประชาธิปัตย์

 

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

RESPECT MY VOTE จงเคารพสิทธิการเลือกตั้งของผม

 

 

 

 

บทสัมภาษณ์ชายหนุ่มหนุนหลังชูป้าย Respect My vote

 

 
 
 
 
 
ผู้สื่อข่าวประชาไท ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ หนุ่มปริศนาคนนี้ ซึ่งใช้นามแฝงในเฟซบุ๊กว่า “Ake Auttagorn” อายุ 34 ปี ผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่เกิด เติบโตและมีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพฯ เล่าถึงเหตุผลที่เข้าไปชูป้ายใส่นายอภิสิทธิ์ ว่า เกิดจากความคับข้องใจที่เห็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ พร้อมทั้งเมืองไทยเคยมีบทเรียนแบบนี้มาหลายรอบแล้ว โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวละครหลักในเรื่อง และมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่และจะแย่ที่สุด

Ake เล่าด้วยว่าขณะที่ตนชูป้าย "RESPECT MY VOTE" ได้ใช้นกหวีดที่มีเชือกคล้องคอสีขาวเป่า แล้วตะโกนไปว่า “คุณยังไม่เห็นคนเท่ากันแล้วคุณจะมาปฏิรูปประเทศได้อย่างไร” ขณะนั้นคุณอภิสิทธิ์ก็ป้ายสีทันทีว่า “เป็นคนของฝ่ายตรงข้ามส่งมาป่วน” ตนก็ตอบกลับไปว่า “ผมคือประชาชน ผมพูดในฐานะประชาชน” ตะโกนไปจนการ์ดเข้ามาล็อคตัว ระหว่างที่ถูกล็อคตัวออกไปนั้นตนก็ตะโกนไปด้วยว่า “ผมคือประชาชน คุณไม่มีทางชนะประชาชน” โดย Ake ยืนยันว่าการ์ดไม่ได้มีการทำร้ายอะไรตน นอกจากล็อคตัวออกมาด้านนอกห้องประชุม

“ผมจะทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้ในช่วงที่ผมมีโอกาสจะทำได้ เพราะหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วผมอาจจะทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นขี้แพ้ไม่มีสิทธิมีเสียง” Ake กล่าวถึงการโพสต์ในเฟซบุ๊กของตนเองก่อนมาชูป้ายดังกล่าว

Ake มองว่าการเปิดตัวพิมพ์เขียวปฎิรูปประเทศไทยของคุณอภิสิทธิ์ เป็นการรับลูกต่อจากคุณสุเทพ พร้อมตั้งคำถามด้วยว่ามันจะพิมพ์เขียวประเทศไทยได้อย่างไร ในเมืองยังมองคนไม่เท่ากันเลย และปัญหาที่ผ่านมาคุณอภิสิทธิ์เองก็ไม่ได้แพ้เพราะเงิน แต่แพ้เพราะดูถูกประชาชน คนต่างจังหวัดผมเชื่อว่าเขารู้เรื่องการเมืองไทยมากว่าคนในกรุงเทพด้วยซ้ำ อีกทั้งจะปฏิรูปอย่างไรในเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยดูตัวเองเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“วาทะกรรมโกงการเลือกตั้ง มันเป็นแค่การหลอกตัวเอง แล้วใช้วาทะกรรมนี้มาบอกชาวบ้านว่า...ไม่ควรจะมีสิทธิ ผมคิดว่ามันไม่แฟร์ แล้วเสียงของคนที่ผ่านมา 15 ล้านเสียงจะเอาเขาไปไว้ไหนครับ” Ake กล่าว

“การที่คุณไม่เคารพประชาชน แล้วคุณแพ้เลือกตั้ง มันไม่ใช่ความผิดของประชาชนแล้ว มันคือความผิดของพรรคที่คุณไม่ยอมส่องกระจกมองตัวเองบ้าง” Ake กล่าว



 
 
 
“ป้าย "RESPECT MY VOTE" นั้น ผมพูดแทนทุกคน ผมโชคดีหน่อยที่ผมสามารถพูดได้ ในขณะที่ประชาชนหลายคนไม่สามารถพูดได้ เคารพในเสียงตัวเอง อย่าให้ใครมาบอกว่าเราโง่” Ake กล่าวทิ้งท้าย
 
 








เครดิต: ประชาไท และ เฟชบุ๊คAke Auttagorn

 

 

 



ผมเห็นป้าย "Respect My Vote"
เห็นตอนที่คุณเอกโดนลากออกมาจากห้องประชุม โดยมีหัวหน้าพรรค ปชป (อดีตนายกของไทย) ถือไมค์แล้วพูดว่า นี่คือรูปแบบคู่แข่งของพรรคประชาธิปัตย์
เค้าตะโกนก่อนพ้นประตูว่า "ผมคือประชาชน"


ทำไมผมรู้สึกเจ็บใจจัง รู้สึกผิด ทำไมผมงอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลย ในขณะที่มีคนกล้าลุกขึ้นมาประกาศว่ายังมีประชาชนอยู่นะ ผมกลัวอะไรมันเนี่ย ผมทำใจอยู่เฉยๆไม่ได้แล้ว

ขอสนับสนุน "Respect My Vote" เต็มที่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหา 308 ส.ส.-ส.ว. แก้รธน.ที่มาส.ว.

 
 
 
ป.ป.ช. มีมติแจ้งข้อกล่าวหา 308 ส.ส.-ส.ว. ปมแก้รธน. ที่มา ส.ว. ส่วนอีก 73 คน รวมถึง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่มีความผิด


วันนี้ (7 ม.ค.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประชุมประจำสัปดาห์เพื่อพิจารณาคดีต่าง ๆ โดยในช่วงบ่าย มีวาระการประชุม เพื่อสรุปสำนวนถอดถอนและดำเนินคดีอาญากับ ส.ส. และ ส.ว. จำนวน 381 คน
          

ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมประเด็นที่มาของ ส.ว. ว่ากระทำการส่อไปในทางทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือไม่ และปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 หรือไม่ โดยจะมีการลงมติว่า จะแจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 381 คนหรือไม่ อ
          

โดยนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก ป.ป.ช.แถลงข่าวว่า มีส.ส.และส.ว.308 คนเข้าข่ายถูกแจ้งข้อกล่าวหาปมแก้รธน.ส่วน 73 คนที่ไม่โดน ซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วยนั้น แม้นายกฯจะลงมติด้วย แต่ป.ป.ช.มีมติเสียงข้างมาก 7ต่อ 2 ว่าไม่มีความผิด
 
 
 
 

 ควรจะดีใจหรือเลียใจดีล่ะ?
งง มากๆกับประเทศนี้ห้ามสส.แตะต้องรธน.ฉบับนี้ ยกเว้นพวกแมงสาบแก้ได้พรรคเดียวเศร้า

 

 

 

อาจารย์ วีรพัฒน์ ปริยวงศ์  ให้ข้อสังเกตุ เรื่องการแจ้งข้อกล่าวหา

การ "แจ้งข้อกล่าวหา" ไม่ใช่ "การชี้มูลความผิด"

การแจ้งข้อกล่าวหา หมายความว่า ในการดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงให้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบและกำหนดระยะเวลาตามสมควรที่ผู้ถูกกล่าวหาจะมาชี้แจงข้อกล่าวหาแสดงพยานหลักฐานหรือนำพยานบุคคลมาให้ปากคำประกอบการชี้แจง ในการชี้แจงข้อกล่าวหาและการให้ปากคำของผู้ถูกกล่าวหา ให้มีสิทธินำทนายความหรือบุคคลซึ่งผู้ถูกกล่าวหาไว้วางใจเข้าฟังในการชี้แจงหรือให้ปากคำของตนได้

จากนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะดำเนินการขั้นตอนต่างๆ จนไปถึงการพิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงและมีมติวินิจฉัยว่าข้อกล่าวหามีมูลหรือไม่ ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติวินิจฉัยว่าข้อกล่าวหาใดไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหานั้นเป็นอันตกไป ถ้ามีมูล ก็ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งหากพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. ไปแล้ว ก็ไม่มีกรณีให้ต้องยุติ และอาจตีความได้ด้วยว่า ไม่มีกรณีให้ต้องถอดถอน แต่อาจมีกรณีให้ดำเนินคดีอาญา ซึ่งต้องมีการจงใจกระทำผิดในทางที่จะมีโทษทางอาญา

นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๐ บัญญัติว่า ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใดในทางแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใดมิได้ จึงเป็นที่ถกเถียงได้ว่า กรณีการใช้อำนาจของ ป.ป.ช. นั้น หากนำการออกเสียงลงคะแนนมาเป็นเหตุผลในการแจ้งข้อหา จะถือว่าเป็นการที่ ป.ป.ช. ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ?

 

 

 

 

 

************************************

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                  ทรงผมนักเรียน เอาไงดี?..

 

 

 

  วันที่ 13 มิ.ย. (วานนี้) แฟนเพจ YouLike ได้เผยแพร่คลิป ตัดจนได้เลือด โดยเป็นเรื่องราวของนักเรียนโรงเรียนหนึ่งที่กำลังเข้าแถวและมีครูกำลังตรวจวินัยนักเรียนและทรงผมอยู่ ซึ่งครูได้ใช้กรรไกรตัดผมนักเรียนที่ยาวเกินกำหนด

 

 

              hoo

 

 

โดยมีการตัดแบบขั้นบันไดแต่กรรไกรพลาดไปโดนหู นักเรียนที่อยู่ในแถวเดียวกันซึ่งเป็นรุ่นพี่เลยใช้กล้องจากมือถือถ่ายไว้ เมื่อคุณครูเห็นจึงได้เอามือมาปิดหน้ากล้องพยายามไม่ให้ถ่าย

หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ก็มีชาวสังคมออนไลน์มาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์มากมาย โดยแบ่งออกเป็น 2 ขั้วคือ กลุ่มที่คิดว่าครูคนนั้นทำถูกต้องแล้วและนักเรียนเป็นฝ่ายทำผิดกฎ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคิดว่าคุณครูกระทำเกินกว่าเหตุ

อย่างไรก็ตามคลิปดังกล่าวมีต้นตอมาจากเด็กนักเรียนอัพคลิปลงยูทูปและมีผู้นำไปแชร์ต่อ แต่ในขณะนี้คลิปต้นเรื่องได้ถูกลบออกไปเรียบร้อยแล้ว

 

                                    

 

 

 

 บทความว่าด้วยเรื่องกฎทรงผม ของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ จากหนังสือพิมพ์มติชนฉบับ 2 พฤศจิกายน 2550 มีคำตอบสรุปความได้ว่า ประเทศไทยรับทรงผมทรงนักเรียนทั้งเครื่องแบบต่างๆ จากญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในช่วงสงครามนั้นเกิดเหาระบาดมาก ประชาชนจึงนิยมตัดผมสั้นเกรียน

และต่อไปนี้คือเหตุผลสำคัญๆ ที่ไม่ควรมีกฎทรงผมนักเรียน 1.ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพราะการเลือกทรงผมไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนเช่นกัน 2.ไร้ซึ่งความจำเป็น เดิมกฎทรงผมเป็นกฎของทหารเพื่อใช้ปลูกฝังการเชื่อฟังคำสั่ง ปลูกฝังอำนาจนิยม และเพื่อความสะดวกในการดูแลรักษา แต่การปลูกฝังอำนาจนิยมทำให้เด็กมีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อบ้านเมือง และนักเรียนนักศึกษาไม่ต้องรีบร้อนในชีวิตประจำวัน สามารถดูแลทรงผมได้

3.การใช้กฎทรงผมบังคับเป็นการสร้างภาพลักษณ์เสมือนมีวินัย เนื่องจากระเบียบวินัยที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการบังคับให้ทำ แต่หากเป็นการกระทำออกมาด้วยจิตสำนึก 4.ทำให้เยาวชนคิดไม่เป็นว่าสิ่งที่ทำอยู่ผิดหรือถูก ได้แต่รับคำสั่งไปวันๆ 5.ส่งเสริมให้เยาวชนไม่รักษาสิทธิ เนื่องจากการเลือกทรงผมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของบุคคลนั้นๆ แต่สถานศึกษากลับเพิกเฉยและตั้งกฎระเบียบอันเข้มงวด ทำให้นักเรียนไม่สามารถรักษาสิทธิของตัวเองได้ นับวันก็จะมีแต่คนหมดหวัง หมดอาลัย ทั้งที่เป็นสิทธิของบุคคลนั้นๆ

6.ปลูกฝังให้เยาวชนละทิ้งเหตุผล เยาวชนหลายคนมีคำถามอยู่ในใจ แต่เมื่อได้รับคำตอบว่า "มันเป็นกฎ" หรือ "เธอไม่พอใจที่จะทำตามกฎ ก็ไม่ต้องเรียน" ซึ่งไม่ใช่คำตอบที่ดีของคนที่มีการศึกษาและกำลังให้การศึกษาต่ออนุชนรุ่นหลัง เพราะแสดงถึงความไร้เหตุผลอย่างยิ่งยวด ส่วนคนที่ยึดมั่นในเหตุผลและรอคอยคำตอบก็จะถูกมองเป็นพวกก้าวร้าว แล้วจะค่อยๆ ถูกหล่อหลอมเป็นพวกยอมรับกฎโดยที่ไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร เดินไปโดยปราศจากเป้าหมาย เป็นส่วนจากการทิ้งเหตุผลของผู้ใหญ่

7.เป็นการส่งเสริมให้ใช้อำนาจโดยมิชอบ จากการที่เยาวชนซึมซับการใช้อำนาจของครูของเขาที่ใช้อำนาจอย่างไร้เหตุผลให้เขาตัดทรงผมสั้นโดยไม่มีเหตุผล เขาจะทำตามโดยใช้อำนาจอย่างผิดๆ ทำร้ายคนอื่น 8.ทำให้เกิดการเหยียดหยามดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บางคนอาจได้ยินผู้ใหญ่ด่าว่าไว้ผมยาวเหมือนฮิปปี้จะไปเป็นนักเลงหรือ นั่นคือการเหยียดหยาม ความเป็นคนไม่ได้อยู่ที่ทรงผม จะเป็นคนดี จะสั้นยาวก็ไม่มีปัญหา

9.ทำให้ชื่อเสียงของโรงเรียนเป็นสิ่งจอมปลอมและมองข้ามชื่อเสียงที่แท้จริงไป คือคุณภาพของนักเรียนไม่ได้อยู่ที่ทรงผม แต่อยู่ที่คุณภาพของการศึกษาเรียนรู้และคุณภาพจิตใจ 10.ปลูกฝังให้เยาวชนไม่ยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น หรือขาดความมั่นใจในตัวเองไปเลย จากที่เห็นได้ว่าเยาวชนต้องการหลุดจากแอกของกฎทรงผม แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะผู้ใหญ่ไม่รับฟังความคิดเห็น เยาวชนจะถูกหล่อหลอมให้เชื่อมั่นความคิดตัวเองมากเกินไปจนไม่ฟังความคิดเห็นผู้อื่น ซึ่งเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย หรืออีกทางหนึ่งสูญเสียความมั่นใจ ทำอะไรก็ผิด เหตุผลดีแค่ไหนก็เท่านั้น เป็นอันตรายกับระบอบการปกครองเช่นกัน

ด้านกระทรวงศึกษาธิการแถลงข้อดีของกฎทรงผมนักเรียน สรุปได้ว่า สะอาด เรียบร้อย ป้องกันเหาได้ เสียค่าใช้จ่ายน้อยในการตัดผม ทรงสุภาพเหมาะสมกับวัย

 

 

 

****************************

 

 

 

 

เห็นด้วยกับ กปปส. ของท่านสุเทพว่าควรปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ศ.ให้ 5,รศ.,ผศ.ให้ 4,ดร.ให้ 3,พวกเสื้อแดงเหลือ 0.5 คะแนน

 

 

 

 


 
 
 
 
 
 
"หนึ่งคน กาหนึ่งเสียง ไม่เท่าเทียมกัน"
ดร. อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อักษรศาสตร์จุฬาฯ

ปล. เห็นด้วยนะ  ชาวนาความรู้น้อย มีสิทธิ์อะไรเท่ากับคนที่เรียนสูง ๆ

หากชาวนา มีสิทธิ์มีเสียงเท่ากับคนจบ ดร.
แล้วพวกเราจะเรียนไปทำไม ...
ค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียน เป็นหลายแสนบาท ...
ทำไม เสียงของคนที่มีความรู้ต้องเท่ากับ คนโง่ที่มีความรู้น้อย ๆ ด้วย



ดังนั้น จขกท. เห็นว่า รัฐบาลควรออก พรก. ในการลงคะแนนใหม่
ออกเป็นกฎหมายมาเลย  สำหรับการใช้สิทธ์ลงคะแนนเลือกตั้ง ในวันที่ 2 ก.พ. 2557 นี้

คนที่เป็นศาตราจารย์ ควรให้มีสิทธ์ได้ใบลงคะแนน 5 ใบ
คนที่เป็นรองศาตราจารย์และผู้ช่วยศาตราจารย์ ให้มีสิทธิ์ได้ใบลงคะแนน 4 ใบ
คนที่จบ ด็อกเตอร์(จากต่างประเทศ) ให้มีสิทธ์ได้ใบลงคะแนน 3 ใบ
คนที่จบด๊อกเตอร์ในประเทศ และจบปริญญาโท ให้ได้สิทธ์ลงคะแนน 2 ใบ
คนที่จบปริญญาตรี ให้ได้สิทธิ์ลงคะแนน 1 ใบ


ส่วนคนเสื้อแดง หรือชาวนาชาวไร่ จบการศึกษาเพียง ปวช., ปวส.
ให้ได้สิทธ์ลงคะแนน 2 คนต่อ 1 ใบ

เพราะคนพวกนี้ ไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง
และชอบขายเสียง เห็นแก่เงิน ไม่เข้าใจระบบประชาธิปไตย

ส่วน สส. ที่จะสมัครเป็น สส. ต้องผ่านการสอบด้วย  หากทำคะแนนสอบได้เกิน 60 เปอร์เซ็น
จึงจะมีสิทธ์ผ่าน  และสามารถลงสมัคร สส. ได้

ปล. ท่านใดเห็นด้วย กรุณาโหวตด้วยครับ
ขอบคุณล่วงหน้า

จาก
https://www.facebook.com/photo.php?
 
fbid=803617839651874&set=a.207809682566029.60836.173829542630710&type=1&theater

 

 โดยคุณ Sky  บอร์ดการเมือง..........

 

 

 

 

                

 

 

 

 

 

*************************

 

 

 

             5 ความจริง ที่คุณควรรู้ก่อนใช้แก๊สติดรถยนต์

 

 

 

 

                               
 

 

 

 

 

 

ปัจจุบันทางออกของสภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในยุคนี้ ทำให้หลายคนถวิลหาพลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกกว่าอย่างเช่นแก๊ส ที่คนจำนวนไม่น้อยคุ้นเคยมันอย่างดี ไม่ว่าจะเป้นแก๊ส LPG ที่บรรดาคนขับรถยนต์แท็กซี่เติมใช้กันมานานนับ 10 ปี หรือจะทางเลือกใหม่กับ CNG ไม่ ว่าอะไรก็ช่วยให้คนที่ต้องการความประหยัดและคุ้มค่าในการเดินทางไปยังจุด หมายต่างๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้

 

      แม้พลังงานทางเลือกอย่าง “แก๊ส” จะให้ความคุ้มค่าในการใช้งาน แต่เราก็ควรตระหนักว่า เมื่อมีข้อดีเป็นธรรมดาในทางกลับกันมันก็จะต้องมีผลเสียตามมา ซึ่งในหลายๆ เหตุผลต่างๆนานา อาจเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงก็เป็นไปได้

 

เครื่องยนต์จะสึกหรอเร็วกว่าปกติ


      เราเชื่อว่าเรื่องความเสียหายของเครื่องที่ เกิดจากการใช้แก๊สก๊าซติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน คงเป็นเรื่องที่คอประหยัดส่วนใหญ่คงจะทราบกันดี แม้จะมีเสียงจากกลุ่มผู้ใช้ก๊าซว่าสามารถทำให้เครื่องยนต์เผาไหม้ได้สมบูรณ์ กว่าระบบน้ำมันด้วยซ้ำ แถมยังมีค่าออกเทน โดยเฉลี่ยสูงกว่า 105 อยู่เป็นทุนเดิม ทำให้บางคนมักเข้าใจผิดว่า รถติดแก๊สแล้วจะวิ่งดีกว่าน้ำมัน

 

      ความจริงเรื่องแก๊สกับการทำงานเครื่องยนต์ นั้น สาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์มีการสึกหรอเร็วกว่าปกตินั้น ก็มีสาเหตุมาจากการเผาไหม้ภายในห้องเผาไหม้ ที่แก๊สแม้จะมีค่าออกเทนหรือที่ศัพท์ในวงการอุตสาหกรรมปิโตเลียมเรียกว่า "อีเนอจีเชน" มากกว่าน้ำมันในระดับพรีเมี่ยมออกเทน 95 แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดก็ไม่พ้นลักษณะการเผาไหม้

 

ด้วยความที่มันมีคุณสมบัติเป็นก๊าซนี่เองก็ เลยทำให้การเผาไหม้ที่เกิดขึ้นในห้องเผาไหม้ เป็นการเผาไหม้แห้ง สังเกตได้จากระบบแก๊สมักถูกต่อร่วมกับระบบดูดอากาศไปใช้งาน ส่งผลให้ค่าเสียดทานของอุปกรณ์ต่างๆ อย่างเช่นวาล์วหรือตัวลูกสูบมีมากกว่า และเมื่อมีการเสียดทานสิ่งที่ตามมาก็คือ ความร้อน ซึ่งนี่เป็นตัวการที่ทำให้เครื่องยนต์มีอัตราการสึกหรอเร็วขึ้นกว่าปกติ โดยเฉลี่ย 1.5 เท่า เลยทีเดียว และสามารถยืนยันได้จากคำแนะนำของท่านผู้เชี่ยวชาญทางพลังงานแก๊ส ที่มักให้เปลี่ยนน้ำมันเกรดธรรมดาที่สามารถใช้ได้ถึง 5000 กิโลเมตร ในระยะที่ 4000 กิโลเมตร

 

แก๊สไม่ได้ทำให้รถประหยัดขึ้น


      อีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่คอประหยัดหลายคนมองข้ามไปว่าการติดแก๊สความจริงแล้ว ไม่ได้ช่วยให้เครื่องยนต์ของคุณมีสมรรถนะการทำงานดีขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลขึ้นหรือมีอัตราเฉลี่ยใช้พลังงานน้อยลง เมื่อเทียบกับอัตราการเดินทางที่เกิดขึ้นจริง

 

      ความจริงแล้วการติดแก๊สให้กับรถคู่ใจของคุณนั้น เป็นเพียงการหลีกเลี่ยงค่าพลังงานที่สูงเมื่อเทียบกับราคาก๊าซที่ถูกว่ากัน ครึ่งต่อครึ่ง หรืออาจจะถูกกว่าถึง 2 ใน 3 ของราคาน้ำมันที่ขายกันอยู่ตามปั้ม

 

      อันที่จริงแล้วเมื่อติดแก๊สเครื่องยนต์ไม่ได้วิ่งดีขึ้นหรือมีอัตราความ ประหยัดของเครื่องยนต์มากขึ้นอย่างที่คุณหวังเอาไว้ เพียงแต่เมื่อหันไปใช้พลังงานจากแก๊สแล้วค่าใช้จ่ายที่คุณต้องควักเงินออก จากกระเป๋าต่อหน่วยพลังงานนั้นจะน้อยลง และหากใครใช้รถแก๊สกันอยู่ คงจะพอรู้ว่าแก๊สเต็มปริมาตร 1 ถัง จะวิ่งได้น้อยกว่าน้ำมันประมาณ 100-200 กิโลเมตรเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากพูดแล้วคุณอาจจะต้องเติมแก๊สมากกว่าน้ำมันเสียอีก แม้จะราคาถูกกว่าก็ตามเถอะ

 

แก๊สทำให้คุณตายผ่อนส่งโดยไม่รู้ตัว


      หลายคนที่ติดแก๊สมัก จะคิดว่าแก๊สไม่น่าจะมีผลอะไรต่อสุขภาพเมื่อดูจากการติดตั้งที่เราจะเห็นได้ ถึงความปลอดภัยมั่นใจได้ แถมมีวิศวกรเซ็นใบรับรองอีกต่างหาก ทว่าสิ่งที่หลายคนลืมตระหนักนึกถึงไปยังมีอีกมาก และหนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างสุขภาพด้วยสิ เพราะ แก๊สไม่ได้แค่ติดไฟได้แต่ยังมีอันตรายต่อสุขภาพด้วย


 
     จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุอัตรายและเคมีภัณฑ์ ภายใต้หน่วยงานกรมควบคุมมลพิษ ให้ข้อมูลถึงอันตรายของก๊าซที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพว่าCNG หรือก๊าซธรรมชาติ ที่บางคนอาจจะรู้จักในนาม NGV นั้น หากสูดดมหายใจเข้าไปสะสมเป็นปริมาณมากๆ จะก่อให้เกิดอาการหายใจติดขัดอย่างรุนแรง, ปวดศีรษะ, วิงเวียน และอาจหมดสติได้ และหากสัมผัสถูกตาอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง

 

      ในขณะที่ก๊าซยอดฮิตตลอดกาลอย่าง LPG ก็ มีผลกระทบไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเริ่มจาก การหายใจเข้าไป อาจจะเป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดการกระตุกสั่น ปวดและเวียนศีรษะ เซื่องซึม สายตาพร่ามัว เมื่อยล้า อาการชักกระตุกอย่างแรง หมดสติ ไม่รู้สึกตัว อาจหยุดหายใจทันทีและถึงแก่ความตาย หากสัมผัสโดยตรงทางผิวหนัง จะทำให้เนื้อเยื่อตาย เช่นเดียวกับการสัมผัสถูกตาก็จะให้ผลเช่นเดียวกันและอาจทำให้ตาบอดได้

 

     แม้ในความเป็นจริงคงไม่มีใครนึกอยากสูดก๊าซพวกนี้เข้าไป แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่เราเข้าไปเติมก๊าซเราก็มักจะได้กลิ่น หมายถึงว่าเราสูดดมไปโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป้นในปริมาณที่น้อย แต่หากเราต้องเข้าไปเติมกันบ่อยๆ มันก็น่าคิดใช่ไหม แถมเกิดก๊าซรั่วหรือใครที่จูนแก๊สหนาๆ จนมีกลิ่นเข้ามาในห้องโดยสาร อันนี้ควรรีบตรวจสอบให้ดี

 

แก๊สทำให้รถคุณไร้ค่า


     เมื่อถึงเวลาต้องก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ดีกว่า คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะขายรถคันเดิมเพื่อซื้อคันใหม่ที่ให้ความสะดวกสบาย มากกว่า ความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่เมื่อไรที่คุณเลือกที่จะขายรถติดแก๊สคันโปรดคู่ใจแล้ว บรรดาคนซื้อทั้งหลายโดยเฉพาะเต๊นท์ก็มักจะกดราคาด้วยข้ออ้างเพียงว่า “มันเป็นรถแก๊ส”

 

     ทั้งที่จริงแล้วข้ออ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้นสำหรับผู้เป็นเจ้าของรถ แต่จากที่ทางทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับคนในวงการไฟแนนซ์ชั้นนำ ก็เลยทำให้ได้ทราบว่า ที่บรรดาเต๊นท์ต่างกดราคาและขยาดในการรับซื้อรถติดแก๊สไปขายนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากสถาบันการเงินที่คนอยากซื้อรถส่วนมากต้องยื่นขอสินเชื่อนั่นเอง

 

     เป็นที่น่าแปลกว่าบรรดากลุ่มสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อเหล่านี้ พวกเขาต่างก็เข็ดขยาดกับรถยนต์ติดแก๊ส แม้จะไม่มีทางทราบได้เลยว่า ไฉนรถติดแก๊สถึงได้ดูถูกดูแคลนมากมายถึงขนาดบางแห่ง ปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อสำหรับรถติดแก๊ส หรือไม่ก็ต้องมีการค้ำประกันเพิ่มเติมเช่นโฉนดที่ดิน เพื่ออะไรเราก็มิอาจทราบ แต่เราคาดว่าในสายตาของบรรดาสถาบันการเงิน คงมองว่า การใช้รถติดแก๊สนั้นมีความเสี่ยง ผู้ใช้อาจมีสิทธิ์เสียชีวิตได้สูง

 

แก๊สอาจจะทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่


      ข้อนี้เป็นเรื่อง แปลกแต่จริงที่ทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับนักกฏหมายที่คร่ำวอดในการว่าความ คดีต่างๆ ซึ่งเขาได้เล่าให้เราฟังถึงคดีจราจรเคสหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวระหว่างรถยนต์ติดแก๊สกับรถยนต์ธรรมดาเฉี่ยวชนกันตามภาษา การจราจรวุ่นวายในบ้านเรา ทีแรกก็เป็นคดีปกติแถมรถแก๊สเป็นฝ่ายถูกด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนเรื่องเล็กจะเป็นเรื่องใหญ่เมื่อรถติดแก๊สเกิดเหตุเพลิงไหม้และ วอดกลายเป็นเถ้าถ่านในที่สุด

 

     เรื่องมันกับตาลปัตรตรงที่ความจริงแล้วจากสถานการณ์รถแก๊สน่าจะต้องได้รับ การชดใช้ค่าเสียหายจากคู่กรณีเป็นเงินจำนวนมากอยู่ ทว่าพอคดีเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอน เนื่องจากยอมความกันไม่ได้ กลับกลายเป็นว่าเจ้าของรถติดแก๊สนั้น ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนคู่กรณี เนื่องจากมีการพิจารณาแล้วเห้นพ้องว่า ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต สรุปว่า เจ้าของรถแก๊สซวย 2 ต่อ ไหนรถจะไม่มีขับแถมต้องจ่ายเงินให้คู่กรณีอีกต่างหาก เคราะห์ดีว่ารถมีประกันภัยไม่งั้นมีหวังกระเป๋าฉีกแน่ๆ

 

     เหตุผลทั้ง 5 ข้อ ที่วันนี้เรานำมาเล่าสู่กันฟังอาจเป็นเพียงเรื่องเล็กในสายตาหลายๆคน แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไรกับพลังงานทางเลือกอย่างแก๊ส ที่ชั่วโมงนี้แทบปฏิเสธไม่ได้ เราก็ควรจะศึกษามันให้ดีก่อนที่จะเสียเงินทำการใดๆ มิเช่นนั้นปัญหาที่คุณไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นกับคุณ



ที่มาข้อมูลและภาพ banprak-nfe.com

 

 

 

 

*******************************

guest
ArjanPong

Post : 2014-01-01 20:04:33.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  รัฐบาลพลัดถิ่น

 

 

             รัฐบาลพลัดถิ่น (Government in-Exile)

 

                 ตามกฎหมายระหว่างประเทศ

 

 

 

                               

 

 

รศ.ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทาลัยธรรมศาสตร์

 

1. ความหมาย

รัฐบาลพลัดถิ่น (Government in-exile) หมายถึง กรณีที่ผู้นำประเทศคนเดียวหรือกลุ่มบุคคลมากกว่า 2 ขึ้นไปได้ตั้งรัฐบาล ณ ดินแดนของรัฐอื่น เพื่อต่อต้านรัฐบาลที่ในสายตาของกลุ่มนี้เห็นว่า ไม่มีความชอบธรรม โดยรัฐบาลพลัดถิ่นนี้ได้อ้างว่ายังเป็นรัฐบาลที่มีความชอบธรรม แม้จะไม่มีอำนาจปกครองอย่างแท้จริงเหนือประเทศของตนก็ตาม โดยรัฐบาลพลัดถิ่นนี้ต้องได้รับการรับรองจากรัฐที่อนุญาตหรือยินยอมให้มีการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ (Host state) รวมทั้งจากนานาประเทศด้วย แม้ว่ารัฐบาลพลัดถิ่นนั้นจะมิได้มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและประชาชนอย่างแท้จริงในประเทศของตนก็ตาม อย่างไรก็ดี มีนักกฎหมายระหว่างประเทศบางท่านแยกรัฐบาลพลัดถิ่นออกเป็นสองประเภทคือ รัฐบาลพลัดถิ่นที่มีความชอบธรรม (legitimate government in exile) กับรัฐบาลพลัดถิ่นธรรมดาๆ (government in exile) โดยวัตถุประสงค์หลักของรัฐบาลพลัดถิ่นคือ การต่อสู้กับรัฐบาลที่ช่วงชิงอำนาจเพื่อหวนกลับคืนสู่อำนาจ จะเห็นได้ว่า แม้รัฐบาลพลัดถิ่นจะมิได้มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและพลเมืองของตนก็ตาม แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคอย่างใดเลยในการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในต่างประเทศแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น การมีอำนาจเหนือดินแดนอย่างมีประสิทธิผล (effective control) (ของรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร) กลับมิได้นำมาซึ่งความชอบธรรมแต่ประการใด

 

2. สาเหตุของการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

ในอดีตที่ผ่านมา การตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นนั้นเกิดขึ้นหลายสาเหตุด้วยกัน พอสรุปได้ดังนี้

1. การต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติ หรือต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเอกราช (Independence) ปลดแอกจากการเป็นเมืองขึ้นหรือการยึดครองจากต่างชาติ การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นแบบนี้เกิดขึ้นมากในสมัยสงครามโลกครั้งที่1 และ 2

 

2. กรณีที่รัฐหนึ่งได้ผนวกดินแดน annexation) หรือรุกราน (aggression) อีกประเทศหนึ่งจน รัฐบาลที่ถูกต่างชาติผนวกดินแดนนั้นต้องตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ประเทศอื่น ตัวอย่างเช่น การที่ประเทศรัสเซียได้ผนวกดินแดนของกลุ่มประเทศบอลติก หรือกรณีที่ประเทศอิรักบุกคูเวต เมื่อคราวสงครามอ่าเปอร์เซีย

 

3. กรณีที่มีการทำรัฐประหาร (coup) ล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เช่น กรณีของประเทศไซปรัส เฮติ

 

3. ปัจจัยของการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสองปัจจัยสำคัญคือ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก

1) ปัจจัยภายใน (Internal factor)

ปัจจัยภายในที่สำคัญที่สุดคือ การได้รับการแรงสนับสนุนจากประชาชนหรือมีแรงต่อต้าน(resistance) จากประชาชนต่อรัฐบาลรักษาการ หากมีแรงต้านจากประชาชนภายในประเทศมากซึ่งเท่ากับว่าคณะรัฐประหารหรือ government in situ ยังไม่มีอำนาจปกครองอย่างมีประสิทธิผลหรือไม่มีeffective control ซึ่งอาจมีผลต่อแรงสนับสนุนจากนานาชาติได้ ยิ่งถ้าคณะรัฐประหารใช้กำลังความรุนแรงหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงแล้ว ก็อาจถูกนานาชาติประณามหรือมีแรงกดดันมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็อาจเพิ่มความชอบธรรมให้กับรัฐบาลพลัดถิ่นมากขึ้นได้

 

2) ปัจจัยภายนอก (External factor)

ปัจจัยภายนอกคือ การได้รับการรับรองจากรัฐบาลหรือองค์การระหว่างประเทศอื่นว่าเป็นรัฐบาลเดียวที่เป็นผู้แทนของรัฐ การสนับสนุนจากต่างชาติอาจอยู่ในรูปของ diplomatic recognition หรือ operational assistance ก็ได้ รวมถึงการได้รับแรงสนับสนุนจากคนชาติของตนที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศด้วย โดยเหตุผลหลักที่ประชาคมระหว่างประเทศให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นก็คือ เรื่องความชอบธรรม ซึ่งรัฐบาลพลัดถิ่นก็มักจะใช้ประเด็นเรื่องความชอบธรรมเป็นยุทธวิธีในการโจมตีรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร

 

4. การรับรองและผลการรับรองรัฐบาลพลัดถิ่น

การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการถูกรับรองจากรัฐบาลอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศที่ผู้นำของประเทศได้อาศัยเป็นฐานที่ตั้งปฏิบัติการรัฐบาลพลัดถิ่น หากปราศจากการรับรองแล้ว ผู้นำนั้นก็มีสถานะเพียงคนต่างด้าวเท่านั้น หรือเป็นเพียง Authorities in-exile ดังนั้น การรับรองว่าเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นองค์ประกอบหรือปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่จะชี้ขาดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นของผู้นำประเทศ

 

สำหรับทฤษฎีการรับรองที่มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการทำรัฐประหารและรวมถึงการสนับสนุนการรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นคือ ทฤษฎี Tobar โดยทฤษฎี Tobar นี้จะปฏิเสธมิให้มีการรับรองรัฐบาลที่มิได้มาโดยวิถีทางรัฐธรรมนูญ และรัฐจะยังให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ต่อไป โดยถือว่า รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นรัฐบาลที่เป็นผู้แทนของรัฐที่ชอบด้วยกฎหมายแต่เพียงผู้เดียว

 

การรับรองรัฐบาลผลัดถิ่นนั้น หมายถึง ในสายตาของรัฐที่ให้การรับรองนั้น รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นรัฐบาลที่มีความชอบธรรมและเป็นผู้แทนของรัฐในทางระหว่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว

 

ส่วนผลในทางกฎหมายของการรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นที่มีความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศนั้นมีด้วยกันมากมาย ดังนี้

 

1) รัฐบาลพลัดถิ่นสามารถทำสนธิสัญญาได้

2) รัฐบาลพลัดถิ่นสามารถสามารถมีที่นั่งหรือเป็นผู้แทนของรัฐในองค์การระหว่างประเทศได้

3) รัฐบาลพลัดถิ่นสามารถสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตได้ (right of legation)

4) รัฐบาลผลัดถิ่นสามารถอุปโภคเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของรัฐได้

5) รัฐบาลผลัดถิ่นมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของรัฐที่อยู่ในต่างประเทศได้ (right to dispose state property aboard)

 

5. นิติสัมพันธ์ 3 ฝ่าย

การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์ทางกฎหมายในระดับระหว่างประเทศค่อนข้างสลับซับซ้อน โดยมีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ฝ่ายด้วยกัน คือ รัฐบาลพลัดถิ่น รัฐที่อนุญาตให้มีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศของตนได้ (Host state) รัฐที่ให้การรับรอง (recognizing state)โดยแยกพิจารณา ดังนี้

 

1) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลัดถิ่นกับรัฐที่อนุญาตให้มีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศของตนได้ (Host state)

การได้รับการรับรองจาก Host state นั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะขาดเสียมิได้ (condition sine qua non) ในอันที่จะจัดตั้งและปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลพลัดถิ่น หากไม่มีการรับรองจาก Host state แล้ว สถานะของรัฐบาลพลัดถิ่นตามกฎหมายระหว่างประเทศก็มีไม่ได้ อันส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้นามรัฐบาลพลัดถิ่นไม่อาจเป็นไปได้ด้วย

 

2) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลัดถิ่นกับรัฐที่ให้การรับรอง (recognizing state)

เช่นเดียวกับการรับรองรัฐบาลที่มิได้มาจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามรัฐธรรมนูญ การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละรัฐที่จะให้การรับรองหรือไม่ก็ได้ การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นนั้นมีผลเท่ากับเป็นการไม่รับรองรัฐบาลรักษาการไปด้วยในตัว

 

3) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลรักษาการหรือรัฐบาลที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนถ่ายกับรัฐต่างประเทศ (Government in situ)

รัฐที่ให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมนั้น ก็อาจมีความสัมพันธ์ในทางระหว่างประเทศกับรัฐบาลรักษาการหรือที่นักวิชาการเรียกว่า Government in situ ซึ่งผู้เขียนขอแปลว่า “รัฐบาลที่อยู่ในช่วงการผ่องถ่ายอำนาจ” ได้ การที่ยังคงมีความสัมพันธ์นั้นมิได้หมายความว่า รัฐนั้นให้การรับรองรัฐบาลรักษาการแต่รัฐที่ให้การรับรองนั้นเห็นว่า ตนเองยังมีผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในประเทศนั้น หรือที่ยังคงความสัมพันธ์นั้นก็เป็นไปเพื่อรักษาสิทธิหน้าที่ต่อกันที่มีลักษณะเป็นงานประจำวัน (routine) เช่น การยังคงให้ตัวแทนทางทูตประจำอยู่ การออกวีซ่า การอนุญาตให้เครื่องบินโดยสารเข้าออกตามปกติ เป็นต้น

 

6. ตัวอย่างของการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในอดีต

1) การรัฐประหารในไซปรัส

วันที่15 กรกฎาคมค.ศ. 1974 รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอันมีนายMakarios III เป็นประธานาธิบดีถูกกองกำลังCypriot National Guard โดยมีนายNicos Sampson เป็นผู้นำรัฐประหารภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลกรีกทำการรัฐประหารโดยที่ประธานาธิบดีได้ลี้ภัยทางการเมืองโดยการนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปยังฐานทัพอากาศของอังกฤษที่เมืองAkrotiri เพื่อบินต่อไปยังประเทศมอลต้าและกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ

 

2) การรัฐประหารในเฮติ

เมื่อวันที่30 กันยายนค.ศ. 1991 คณะรัฐประหารได้ทำการโค่นล้มรัฐบาลเฮติที่มาจากการเลือกตั้งโดยมีJean-Bertrand Aristide เป็นประธานาธิบดี และประธานาธิบดี Aristede ได้ลี้ภัยทางการเมืองการรัฐประหารในประเทศไซปรัสและประเทศเฮติมีข้อเท็จจริงที่คล้ายคลึงอย่างบังเอิญก็คือประธานาธิบดีทั้งคู่เป็นประธานาธิบดีที่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนทั้งคู่เป็นนักบวช(Jean-Bertrand Aristide เคยเป็นนักบวชนิกายโรมันแคธอลิก) ทั้งคู่เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศที่มาจากระบอบประชาธิปไตยทั้งคู่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งคู่เคยถูกลอบสังหารแต่ไม่สำเร็จและทั้งคู่ก็ขอลี้ภัยการเมืองและตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

 

รัฐบาลพลัดถิ่นและการรับรอง

การรัฐประหารของประเทศไซปรัสและเฮติมีอะไรที่คล้ายกันเช่นหลังจากที่ประธานาธิบดีถูกโค่นล้มอำนาจแล้วทั้งคู่ได้ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ต่างประเทศสำหรับปฏิกิริยาของประชาคมระหว่างประเทศนั้นก็ได้แสดงการไม่รับรองการทำรัฐประหารที่น่าแปลกใจก็คือมีเพียงวาติกัน(Vatican) เท่านั้นที่รับรองคณะรัฐประหารที่โค่นล้มประธานาธิบดี Aristid

 

ปฏิกิริยาจากประชาคมระหว่างประเทศ: บทบาทขององค์การระหว่างประเทศ

ประธานาธิบดี Makarios III ได้ใช้เวทีขององค์การระหว่างประเทศอย่างองค์การสหประชาชาติส่วนประธานาธิบดี Aristid ก็ใช้องค์การสหประชาชาติและองค์การนานารัฐอเมริกันOrganization of American States(OAS) ชี้แจงให้นานาประเทศทราบจนในท้ายที่สุดประธานาธิบดีทั้งสองก็ได้กลับมาดำรงตำแหน่งเหมือนเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่ออกข้อมติที่A/RES/46/7 ประณามการทำรัฐประหาร และเร่งรัดให้มีการฟื้นฟูรัฐบาลที่ชอบธรรมของประธานาธิบดีAristid รวมทั้ง ระบอบประชาธิปไตย หลักนิติรัฐ และสิทธิมนุษยชน ยิ่งกว่านั้น คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council) ที่อาศัยอำนาจตามหมวดเจ็ดของกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งว่าด้วย “Action with Respect to Threats to the Peace, Breaches of the Peace, and Acts of Aggression” ซึ่งคณะมนตรีได้ออกข้อมติที่ 841 (1993) เพื่อใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจ (Economic sanctions) และข้อมติที่ 940 ปี ค.ศ. 1994 ให้อำนาจในการก่อตั้งกองกำลังผสมนานาชาติ (Multinational forces) เพื่อฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยในประเทศเฮติ จะเห็นได้ว่า สหประชาชาติเริ่มให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น หลังจากที่ในอดีต การทำรัฐประหารถือว่าเป็นกิจการภายในของรัฐ ที่อยู่นอกเหนืออำนาจความรับผิดชอบของคณะมนตรีความมั่นคง

 

นอกจากนี้ OAU (Organization of African Unity)ยังได้ออกปฏิญญาว่าด้วยกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการมีปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ที่เรียกว่า “Declaration on the Framework for An OAU Response to Unconstitutional Changes of Government” เมื่อปี ค.ศ. 2000 โดยสาระสำคัญของปฏิญญานี้คือ ประณามการทำรัฐประหารในประเทศ Sierra Leone รัฐประหารเป็นเรื่องน่าเศร้าและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในทวีปแอฟริกา และรัฐสมาชิกจะปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ (unconstitutional change of government) เช่น รัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นต้น

 

จะเห็นได้ว่า เวทีระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญมากในอันที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นประสบความสำเร็จและต่อต้านรัฐประหาร โดยก่อนหน้าที่ OAU จะมีแถลงการณ์ในปี ค.ศ. 2000 ประเทศอเมริกาใต้ซึ่งประกอบด้วย กัวเตมาลา คอสตาริกา นิคารากัว ฮอนดูรัส และเอล ซัลวาดอร์ ก็ได้ทำสนธิสัญญา the Central American Treaty of Peace and Amity 1907 โดยใน Supplemental Treaty ได้กำหนดพันธกรณีแก่รัฐภาคีว่าจะต้องไม่ให้การรับรองรัฐบาลที่ได้อำนาจมาจากการทำรัฐประหาร

 

ทางปฏิบัติของประเทศไทย

นับแต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้น ประเทศไทยผ่านการทำรัฐประหารมาหลายต่อหลายครั้ง สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐประหารที่ทำสำเร็จ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ถูกโค่นล้มก็ไม่เคยจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเลย

 

อย่างไรก็ตาม ความคิดที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนี้ปรากฎขึ้นเกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรและได้ทำสนธิสัญญายอมให้ทหารญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทย นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ชวนนายทวี บุณยเกตุ ว่าควรจะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่นอกประเทศทำนองเดียวกับที่นายพล ชาลส์ เดอโกลล์ ได้ไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ประเทศอังกฤษ โดยรัฐบาลพลัดถิ่นจะประกอบด้วย ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย ม.ล. กรี เดชาวงศ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐบาลของจอมพลป. พิบูลสงคราม อันจะทำให้สามารถประกาศพระบรมราชโองการได้ แต่แผนการดังกล่าวก็ล้มเหลวเนื่องจากนายทวี บุณยเกตุมิได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร

 

จะเห็นได้ว่า ความคิดที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นของประเทศไทยในอดีตนั้นก็เคยปรากฏ เพียงแต่ความคิดที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนี้มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารแต่เพื่อต้องการกอบกู้เอกราชของประเทศไทยให้รอดพ้นจากการรุกรานของประเทศญี่ปุ่นและเป็นผู้แทนเพื่อทำหน้าที่เจรจารักษาติดต่อกับประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นฝ่ายพันธมิตรโดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย

 

6. ผลกระทบต่อความผูกพันของพันธกรณีระหว่างประเทศและการเป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศ

รัฐประหารมิได้ส่งผลกระทบในทางลบต่อความผูกพันของพันธกรณีระหว่างประเทศของรัฐบาลเดิมแต่ประการใด เนื่องจากความตกลงที่ได้ทำลงโดยรัฐบาลชุดก่อน ๆ นั้นผูกพัน “รัฐ” หาใช่ผูกพัน “รัฐบาล” ไม่ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจึงหามีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของความตกลงที่ได้ทำก่อนหน้านี้ไม่ ในประเด็นนี้จะสังเกตว่า รัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะรัฐประหารได้ออกประกาศฉบับที่ 9 ว่าคณะรัฐประหารจะปฏิบัติตามพันธกรณีในสนธิสัญญาหรือข้อตกลงที่ทำไว้กับนานาประเทศ วัตถุประสงค์ของประกาศฉบับนี้น่าจะมีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ ประการแรก เพื่อแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า คณะรัฐบาลสามารถที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศได้ อันเป็นเงื่อนไขประการหนึ่งของการรับรองรัฐบาล ประการที่สอง เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันแก่ประชาคมระหว่างประเทศว่า การรัฐประหารมิได้มีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของสนธิสัญญาที่ประเทศไทยทำไว้

 

อย่างไรก็ตามในอดีต พรรคบอลเชวิคที่ได้ทำการปฎิวัติเมื่อ ค.ศ. 1917 โค่นล้มระบอบสมบูรณญาสิทธิราชย์ของราชวงศ์โรมานอฟสำเร็จ รัฐบาลบอลเชวิคได้อ้างว่าตนเองไม่ขอผูกพันบรรดาความตกลงทั้งหลายที่ได้ทำไปในระหว่างสมัยของพระเจ้าซาร์นิโคลัส โดยอ้างหลัก clasular rebusic stantibus

 

7. ผลกระทบต่อความรับผิดชอบของรัฐในทางระหว่างประเทศ

รัฐประหารได้ก่อให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายในทางกฎหมายระหว่างประเทศว่า ในกรณีที่คนต่างด้าวได้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บหรือทรัพย์สินของคนต่างด้าวที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศที่รัฐประหารได้เกิดขึ้นนั้น ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ระหว่างรัฐบาลเดิมหรือฝ่ายกบฏที่สามารถล้มล้างรัฐบาลเดิมและจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ

 

ตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยความรับผิดชอบของรัฐ (state responsibility) นั้นได้ แยกการกระทำของฝ่ายกบฏที่ประสบความสำเร็จ (successful coup) กับการกระทำของฝ่ายกบฏที่ไม่ประสบความสำเร็จ (unsuccessful coup) ออกจากกัน กล่าวคือ หากฝ่ายกบฏหรือพวกปฏิวัติไม่ล้มเหลวในการช่วงชิงอำนาจอธิปไตยจากรัฐบาลเดิม อันเป็นผลฝ่ายต่อต้านไม่อาจจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ หากระหว่างที่มีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจนั้นได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้นแล้ว รัฐบาลเดิมไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่ก่อขึ้นโดยฝ่ายกบฏ ในทางตรงกันข้าม หากฝ่ายกบฏสามารถล้มล้างรัฐบาลได้สำเร็จและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ซึ่งรัฐบาลใหม่นี้อาจถูกรับรองว่าเป็น de facto government ก็ได้ บรรดาความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิตและทรัพย์สินของคนต่างด้าวย่อมตกเป็นพับแก่รัฐบาลใหม่นี้

 

8. ท่าทีของประชาคมระหว่างประเทศที่มีต่อรัฐประหาร

ดังที่กล่าวมาในตอนต้นแล้วว่า บทบาทขององค์การระหว่างประเทศอย่าง OSA หรือ OAU สามารถกดดันรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารให้คืนอำนาจแก่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ นอกจากนี้แล้ว ในที่ประชุมระหว่างประเทศอย่าง Moscow Meeting Human Dimension Right 1991 ยังได้แสดงท่าทีประณามรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย และสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐด้วย ดังนั้น ปัจจุบัน ประชาคมระหว่างประเทศส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่ไม่ยอมรับรัฐประหาร ในขณะเดียวกันก็สนับสนุนการปกครองแบบประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับอาเซียน (ASEAN) นั้น บทบาทตรงนี้คงคาดหวังจากอาเซียนได้ยากเนื่องจากอาเซียนมีนโยบายที่จะไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องรัฐประหารโดยประเทศสมาชิกเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนั้นเป็นกิจการภายในของรัฐ รัฐบาลที่มีท่าทีว่า รัฐประหารในวันที่ 19 กันยายนเป็นเรื่องกิจการภายในของประเทศไทยได้แก่ ประเทศลาว โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศลาว คือนาย Yong Chantalangsyกล่าวว่า "These are interior affairs of Thailand. No comment, we are following the situation very closely." No border points have been closed between the two countries. Everything is normal and flights are operating as usual.” แม้กระทั่งประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศนอกกลุ่มอาเซียน ก็ยังมีท่าทีต่อรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายนว่าเป็นปัญหาภายในของประเทศไทยและรัฐบาลจีนมีนโยบายที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง

 

บทส่งท้าย

นับตั้งแต่ที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐได้ถูกโค่นล้มโดยการทำรัฐประหารมาแล้วทั้งสิ้นหลายสิบครั้ง จนประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงในการทำรัฐประหารอยู่ในระดับกลาง (medium) เทียบเท่ากับประเทศกัมพูชา

 

น่าคิดว่า ประเทศในทวีปแอฟริกา (ซึ่งแม้ความเจริญทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีจะด้อยกว่าประเทศไทย) แต่ประเทศในทวีปแอฟริกาก็ยังมีความตื่นตัวในระบอบประชาธิปไตยและรังเกียจต่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญถึงกับออกปฏิญญาคัดค้านการทำรัฐประหาร

 

หวังว่า ประชาชนคนไทยประสงค์จะขอเลือกใช้วิถีทาง “ballot” ไม่ใช่ “bullet” สำหรับเป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง

 

 

 

 

           

 

 

 

 

 

 

*************************************

 

 

 

 

                            เหตุเกิด ณ. ที่ชุมนุม

 

 

                           
 
 
 
 
 
 
 
ณ บริเวณแยกที่ถูกปิดจัดชุมนุม

วันที่หนึ่งของการชุมนุม (วันจันทร์)

ลูก “ พ่อ เขามาชุมนุมอะไรกันครับ “

พ่อ “ อ๋อ ลุงสุเทพเขามาชุมนุมขับไล่รัฐบาลนะลูก “

แม่ “ พ่อ ออกไปร่วมกับเขาด้วยซิ หน้าบ้านเราเอง นี่น้ำท่าเรามีเอาไปช่วยเขา เขาทำเพื่อชาติ”

วันที่สองของการชุมนุม (วันอังคาร)

ลูก “ พ่อ เหนื่อยไหมครับไปร่วมชุมนุมกับเขา “

พ่อ “ ไม่เหนื่อยหรอกลูก เราทำเพื่อชาติ อีกอย่างเขามีดนตรีมีการแสดงต่างๆให้ดูด้วย“

แม่ “ ฉันรักคุณจริงๆเลย คุณเป็นสามีที่ดีมากค่ะที่รัก ”

วันที่สามของการชุมนุม (วันพุธ)

ลูก “ พ่อ เมื่อวานเขาทำอะไรกันมั่งครับ “

พ่อ “ เขาก็พูดแบบวันก่อนๆนะ เพื่อให้เรารู้สึกรักชาติยิ่งๆขึ้น แล้วก็มีดนตรีมีการแสดงต่างๆให้ดู“

แม่ “ วันนี้ฉันรู้สึกเพลียๆยังไงไม่รู้ สงสัยคงอดนอนเพราะเสียงที่เขาชุมนุม ”

วันที่สี่ของการชุมนุม (วันพฤหัส)

ลูก “ พ่อครับ ผมไม่ได้ไปโรงเรียนมา 3 วันแล้ว ทำไงดีครับพ่อ “

พ่อ “ ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวรัฐบาลก็ต้องลาออกแล้ว เราจะได้อยู่กันอย่างปรกติสุข“

แม่ “ คุณค่ะ สงสัยต้องให้คุณไปช่วยถือของแล้ว อาหารของใช้ในครัวเริ่มหมด รถก็ออกไม่ได้ ”

วันที่ห้าของการชุมนุม (วันศุกร์)

ลูก “ พ่อครับ ผมไม่ได้ไปโรงเรียนมาวันนี้ครบอาทิตย์แล้ว นี่ใกล้สอบปลายภาคแล้วนะครับพ่อ “

พ่อ “ ไม่เป็นไรหรอกลูก ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ นี้ คงจบแล้วลูก“

แม่ “ คุณค่ะ ไม่ได้ทำงานมาอาทิตย์นึง เขาหักเงินหรือเปล่าค่ะ”

วันที่หกของการชุมนุม (วันเสาร์)

ลูก “ พ่อครับ ทำไมเมื่อวานพ่อไม่ไปร่วมชุมนุมกับเขาละครับ “

พ่อ “ พ่อเหนื่อยนะลูก อีกอย่างฟังๆไปก็ซ้ำๆกับที่พูดมา แล้วก็มีดนตรีและการแสดงเสียงมันดังหนวกหูนะลูก“

แม่ “ เมื่อคืนวันศุกร์ สงสัยมีคนมาร่วมเยอะ เป่านกหวีดกันอยู่นั่นละ ”

วันที่เจ็ดของการชุมนุม (วันอาทิตย์)

เสียงจากเวทีผู้ชุมนุม “ในเมื่อรัฐบาลยังหน้าด้านไม่ยอมลาออก พวกเราก็จะอยู่กันต่อ อยู่กันจนกว่ามันจะลาออก"

ลูก “เอาไงดีครับพ่อ ผมเรียนไม่ทันเพื่อนแน่”

แม่ “ ค่ะ คุณค่ะ ทำอย่างไรดี ข้าวของก็หมดอีก อดนอนมาหลายคืน ”

พ่อถอนหายใจ “ ไป เราไปอยู่บ้านคุณยายกันลูก ขืนอยู่ต่อมีหวังได้ทะเลาะกับพวกมัน แม่งแหกปากปราศรัยซ้ำๆซากๆ

ว่าคนนั้นโกงคนนี้โกง มันไม่ได้ดูตัวเองเลย ดนตรีแม่งก็หนวกหูฉิบหาย ไอ้พวกเป่านกหวีดก็เป่ากันอยู่นั่น

ไม่แสบคอกันบ้างหรือไง ไอ้พวกมาชุมนุมนั่นจะรู้ไหมมันทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน “

แม่ “แต่คุณค่ะ เราเอารถออกไม่ได้ค่ะ”

พ่อถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ “ไอ้พวกฉิบหาย!!!”..................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

        การตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ที่ห่วยมากของอภิสิทธิ์

 

                   ฝากอนาคตไว้กับประยุทธ์ จันโอชา

 

 

 

 

                                          

 
 
 
 
การตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ของนายอภิสิทธิ์นั้น ผมถือว่าห่วยมาก โดยไม่วิเคราะห์สภาพให้ถ่องแท้ ในเกม "สงครามปี 2557 นี้" ต้องมีรัฐประหารอย่างเดียวเท่านั้น ปชป. จึงจะชนะ ดังนั้น หากไม่มีรัฐประหารเพื่อล้มรัฐธรรมนูญ การตัดสินใจบอยคอตเลือกตั้งของ ปชป. ก็จะไม่เกิดมรรคผลอะไรเลย

ปชป. คือ นายมาร์คนั้น เป็นแค่เด็กอมมือ ไม่เข้าใจ "ยุทธศาสตร์" อย่างเพียงพอ ในเมื่อเกมทั้งหมด ต้อง "ทำรัฐประหารเท่านั้น" จึงชนะ มาร์คจึงต้องฝากอนาคตของทั้งพรรค เอาไว้กับ ประยุทธ์ จันโอชาเท่านั้น หากไม่มีรัฐประหาร ก็ไม่มีทางที่ ปชป.จะชนะได้เลย

การทำรัฐประหาร "ต้องขึ้นกับการตัดสินใจของประยุทธ์ จันโอชา" ที่เขาต้องตัดสินใจบนประโยชน์อของเขาและกองทัพ ไม่ใช่ผลประโยชน์ทางการเมืองของ ปชป. เกมนี้ ปชป.จึงเสียหายอย่างหนัก

ภายใต้ "สถานการณ์ปัจจุบัน" ประยุทธ์ จันโอชา ไม่มีทางทำรัฐประหารได้ ดังนั้ัน รธน. 50 ก็จะไม่ถูกฉีก และเมื่อไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ ทุกคนต้องทำตาม รธน. โอกาสที่มาร์คจะชนะไม่มี


เมื่อไม่มีรัฐประหาร พรรคประชาธิปัตย์ก็จะถูกกันให้อยู่นอกการเข้าสู่อำนาจ และจะไม่มีส้มหล่นอะไรทั้งสิ้น ที่นายอภิสิทธิ์จะเป็นนายกฯได้ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดให้นายกฯต้องมาจากเลือกตั้งเท่านั้น

แม้การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะมีอุปสรรคอย่างไรก็ตาม แต่ทุกคนก็ต้องทำตามรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด เมื่อกฎหมายยังมีผลบังคับใช้อยู่ การไม่ปฎิบัติตามกฎหมายสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่า กกต.หรือใครก็ตาม ย่อมมีความผิดฐาน "ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่" ตาม กฎหมายอาญา ม. 157 มีโทษที่ค่อนข้างรุนแรง

ดังนั้น การเลือกตั้งในที่สุดแล้วก็ต้องผ่านไปจนได้ ไม่ว่าจะต้องเลือกตั้งซ้ำในเขตภาคใต้กี่ครั้งก็ตาม เพราะกฎหมายกำหนดขั้นตอนเอาไว้แล้ว คนมีหน้าที่ก็ต้องทำตามขั้นตอนนั้น ในที่สุดก็ต้องเปิดสภาจนได้ มีรัฐบาลจนได้ (หากไม่มี รบ.รักษาการ ก็ทำหน้าที่ต่อไป อำนาจรัฐก็ยังอยู่ในมือนายกฯปูและพรรคเพื่อไทยไม่เปลี่ยนแปลง)

เกมนี้จนกว่าจะมีเลือกตั้งใหม่ ปชป. จึงจะสามารถกลับเข้ามามีบทบาทได้อีก และอาจใช้เวลา 2-3 ปี

อีกอย่างต่อไปนี้การแก้ไข รธน.นั้น ก็ไม่มีคนป่วนสภาให้ยุ่งยากอีก

องค์กรอิสระนั้นไม่สะเด็ดน้ำ จะยุบพรรคอะไรก็ตาม ปชป. ก็จะไม่สามารถเข้ามาแทนที่ได้เหมือนปี 2551 เพราะไม่ได้มีเสียงอยู่ในสภา

เกมนี้จึงเสียหายหมดตูด จำต้องป่วนเมืองอย่างเดียว แต่คงป่วนไม่ได้ตลอดไป ก็หมดเวลา และถูกเช็คบิลในที่สุด

 

 หากเป็นหมากรุก ปชป. ก็เท่ากับตัดตาเดินของตัวเองแทบหมด ไม่มีความยืดหยุ่นอะไรที่จะเดินเกมได้อีกต่อไป นอกจากเดินเกมไปในทางที่ร้ายแรงมากขึั้นเรื่อยๆ เช่น "ปิดกรุงเทพฯ" ไม่สามารถที่จะเริ่มเกมที่สร้างสรรอะไรได้อีกเลย แต่ยิ่งเดินด้านรุนแรง ก็เสียงที่จะเป็นกลุ่มนอกกฎหมายมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ก็เรียกว่า "หักขาตัวเอง" เล่นหมากฮอส โอกาสเข้าฮอร์สนั้่นเป็นศูนย์

 

 

 

เริ่มแล้ว วันนี้มวลชนไม่เอา กปปส ไม่เอาความรุนแรง หน้าหอศิลป์สี่แยกปทุมวัน

 
 
 
ไม่เอา กปปส โว้ยยยย!
 

 

 

        

 

 

 

  

                            

 

 

"วอลสตรีทเจอร์นัล" ยกให้ "นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นบุคคลที่น่าจับตามองในปี 2014

 
โดย Hamlet
เมื่อ ศุกร์, 03/01/2014 - 18:47

 

สำนักข่าวชื่อดังระดับโลก Wall Street Journal ได้เผยแพร่บทความลงวันที่  3 มกราคม 2557 ยกให้นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยกให้เป็นบุคคลที่น่าจับตามองของเอเซีย

 

รายงานในบทความดังกล่าวได้เผยแพร่บุคคลสำคัญของเอเซียที่มีบทบาทสำคัญทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม จำนวนทั้งสิ้น 27 ท่าน และหนึ่งในนั้นที่สังคมโลกเฝ้าจับตามองคือ "นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีของไทย

โดยในบทความดังกล่าวได้กล่าวว่า เธอเป็นนายกรัฐมนตรีผู้หญิง ที่เป็นน้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกรัฐประหารจนต้องออกนอกประเทศ  และเธอกำลังถูกกดดันอย่างหนักจากม็อบภายในประเทศไทย เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้  ซึ่งแม้แต่กองทัพก็ยังนิ่งอยู่ข้างหนึ่ง 

"ชะตากรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์  ขึ้นอยู่กับว่า  ผลของการต่อสู้ในสนามรบประชาธิปไตยในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร"

 

 

 
                                       ศักดิ์ศรีเหนือทหารยศ พันเอก
 
  

 

 

 

 

************************************

 

 

 

 

                                             ไหนคุณว่าจะมา..

 

 

 

 

                                

 

 

 

 

 

....ห้วงเวลา ผ่านคล้อย ลอยล่วงลับ

 

ล่องไปกับ สายธารา ฟ้าสลัว

 

ไม่เคยหยุด ไหลนิ่ง ทิ้งให้กลัว

 

ระริกรัว ใจที่บาง ทางมืนมน

 

 

 

 

....ฉันจะอยู่ คอยตรงนี้ ที่เธอพร่ำ

 

ระทมร่ำ ช้ำเเค่ไหน ใจไม่สน

 

อยากให้รู้ ว่ายังมี ตรงนี้คน

 

หญิงหนึ่งทน ใจเเหลกยับ กับสัญญา........

 

 

 

 

 

********************

 

 

 

 

                 

 

                                                      ประวัตินกหวีด

 

 

 

เรื่องราวการ “เป่านกหวีด” ที่กำลังเกิดขึ้นมาเป็นกระแสอยู่ขณะนี้ทำให้เกิดความอยากรู้ประวัติที่มาของนกหวีดขึ้นมาเลยครับ ผมเลยไปลองหามารวบรวมให้อ่านกันครับ ในสมัยประมาณร้อยกว่าปีก่อนนั้น นกหวีดเป็นเครื่องดนตรีไม่ได้เป็นอุปกรณ์ทางการทหารการตำรวจแต่อย่างใด

 

 

SambaWhistle 400x295 นกหวีด ประวัติที่น่าสนใจ

samba whistle

 

 

ในปีคศ.1829หลังจากที่อังกฤษได้ก่อตั้งหน่วยตำรวจขึ้นมานั้น ตำรวจเค้าใช้กระพรวน (rattles) เป็นเครื่องส่งเสียงเรียกร้องความสนใจครับ ต่อมาก็เกิดความคิดในการเอานกหวีดจากวงการดนตรีมาใช้ในวงการตำรวจ และจึงให้มีการคิดค้นประดิษฐ์นกหวีดให้มีขนาดเล็กแต่เสียงดังโดยมีลักษณะตามรูปนี้คือ เป็นรูปทรงยาวและไม่มีลูกกลมๆอยู่ข้างใน เวลาเป่าออกมาจะมีระดับเสียง 2 เสียงออกมาพร้อมกันทำให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ของเสียง

 

 

1  041 metropolitan police  400x263 นกหวีด ประวัติที่น่าสนใจ

Police Whistle

 

 

แม้ทุกวันนี้เจ้านกหวีดแบบนี้ก็เริ่มลดบทบาทลง แต่มันก็เป็นอุปกรณ์อย่างนึงที่ผลิตออกมาเพื่อเป็นที่ระลึกของพิธีการโอกาสต่างๆกันอยู่

วงการกีฬานั้นเริ่มเอานกหวีดมาใช้ด้วยเหตุไม่ได้ตั้งใจครับ สมัยก่อนนั้นกรรมการผู้ตัดสินกีฬาไม่ได้ใช้นกหวีดแต่อย่างใด เค้าจะใช้การตะโกนหรือผ้าเช็ดหน้าเพื่อบอกนักกีฬาให้หยุดการแข่งขันหากมีการทำผิดกติกาเกิดขึ้น  โดยในปี 1884 กรรมการผู้ตัดสินกีฬารักบี้ที่นิวซีแลนด์ชื่อนาย William Atack ริเริ่มเอานกหวีดที่ผลิตโดยบริษัท J Hudson & Co. มาใช้เป็นครั้งแรกของโลกเลยครับ มันเป็นนกหวีดที่มีเม็ดอะไรอย่างนึงอยู่ข้างในที่เราคุ้นเคยกัน นกหวีดทรงแบบนี้มีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า Acme Thunder ครับ

 

 

image19 400x359 นกหวีด ประวัติที่น่าสนใจ

Acme Thunderer

 

 

 

หลังจากนั้นเจ้านกหวีดหน้าตาแบบนี้ก็เป็นที่แพร่หลายกันในวงการกีฬา และที่สำคัญมันเป็นอุปกรณ์อันนึงที่ใช้บนเรือ Titanic ด้วย

ต่อมามีการนำไปใช้ในวงการกีฬามากมาย นกหวีดแบบนี้มันมีปัญหาอย่างนึงคือ เจ้าเม็ดที่อยู่ข้างในเวลาโดนน้ำหรือน้ำลายหรือฝุ่นมันจะติดไม่ขยับเวลาโดนเป่าและบล็อกการเป่าทำให้การเป่าหกหวีดไม่มีเสียงที่ดังเพียงพอ   กรรมการฟุตบอลคนนึงชื่อนาย Ron Foxcroft โดนคนดูโห่ เพราะระหว่างการแข่งขัน มีการทำฟาวล์เกิดขึ้นแต่คนคิดว่าเค้าไม่เป่า เพราะเค้าเป่าแล้วเสียงนกหวีดไม่ดังออกมา เค้าเลยเกิดแรงบันดาลใจไปจ้างนักออกแบบสินค้ามาช่วยเค้าออกแบบ นกหวีดแบบที่ไม่ต้องมีเม็ดข้างใน (Pealess Whistle) ในปี 1987 นาย Ron Foxcroft ก็นำหกหวีดชนิดนี้ออกมาแนะนำ มันมีชื่อว่า Fox40 เพราะมันออกมาตอนที่นาย Ron Foxcroft อายุ 40 ปีพอดี

 

 

Fox 40 whistle 400x300 นกหวีด ประวัติที่น่าสนใจ

Fox-40-whistle

 

 

นกหวีดชนิดนี้ได้รับความนิยมมากในกลุ่มกีฬาทางน้ำ หรือ Life Guard เพราะมันไม่มีปัญหาเรื่องกันบล็อกของเจ้าเม็ดข้างในเวลาที่เปียกหรือชื้น  แม้กระทั่งฟีฟ่าก็กำหนดให้ใช้นกหวีดแบบนี้เพราะมันมีเสียงที่พิเศษดีครับ

หวังว่าบล็อกนี้คงจะช่วยเสริมประสพการณ์ “การเป่านกหวีด” ที่ระบาดไปทั่วประเทศไทยเมื่อเร็วๆนี้ได้เป็นอย่างดีนะครับ

 

จาก Trachoo.com
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
*****************************
 
 
 
 
 
 
       แค่อาการของม็อบหาทางลง ใยต้องตระหนก
 
 
 
 
 
 
 
 
 
  
 

 

ทักษิณพลาดตรงอยากได้ พรบ แต่เมือกก็พลาดตรงตี พรบ ตกแล้วไม่หยุดนี่แหละ ถ้าเอาแค่นั้นแล้วได้ขนาดนายกยุบสภา ผมว่าแค่นี้ ปชป ก็หล่อแล้ว เล่นลากยาวมาขนาดนี้ บรรลัยหมดทั้ง 2 ฝ่าย ที่บรรลัยสุดๆ ก็บ้านเมืองนี่แหละ

 

 

 
วันที่ 13 นี้ รู้สึกว่า นปช น่าจะล้อม อยู่กรุงเทพ ชั้นนอกนะครับ ถ้าข่าวไม่ผิด มันเป็นจุดที่สามารถเข้ากรุงเทพได้ ใน 1 ชม ผมคิดว่า นปชไม่ได้มา เพื่อ ค้าน มวลมหาประชาชน เดี๋ยวพอเข้าประกาศจุดรวมตัวคุณเอาแผนที่มากลางดู จะเห็นเลยว่าเขาต้องการ ล้อมกรุงเทพเอาไว้ แต่ เขาล้อมเพื่ออะไร ปิดประตู หรือ กันอะไร ต้องคิดเอา เอง ส่วน นายก จะไป นอนดูทีวีที่เชียงใหม่ ถ้าไม่ผิดพลาด ส่วนกรุงเทพ ชั้นใน จะไม่มีตำรวจ มีคดี ก็อย่างที่บอก สบายตัวไป เพราะ ยังไงสุเทพอ้างว่าตำรวจ จะไม่สามารถทำงานได้ คือไม่ให้ตำรวจทำงาน แต่ ผมคิดว่า มีอะไรมากกว่า นั้นการตัดตำรวจออกไปจากเมือง มันเป็นเหมือน ปี 49 คิดว่า ตำรวจคงไปอยู่ที่ นปช ล้อมไว้ เพราะเขาไปชั้นในไม่ได้ ถ้าถึงที่สุดก็ คงมี วีรบุรุษ วีรสตรี สักร้อย ศพ ก่อนที่ จะมี ตาอยู่มากินกลางตลอดตัว แต่ ปัญหาคือ ติด นปช กับตำรวจรอบนอก ตาอยู่จะทำไงดีละคราวนี้
 
 
ขอบคุณ
 
gold_alone
 

 

 

 

 

***************************

 

 

 

 

                                            ประวัติ12นักษัตร


 

 

 

 



 

          "นักษัตร" หมายถึงชื่อรอบเวลากำหนด 12 ปี เป็น 1 รอบ เรียกว่า 12 นักษัตร โดยกำหนดให้สัตว์ 12 ชนิด เป็นเครื่องหมายแต่ละปี เริ่มจากปีชวด-หนู, ฉลู-วัว, ขาล-เสือ, เถาะ-กระต่าย, มะโรง-งูใหญ่, มะเส็ง-งูเล็ก, มะเมีย-ม้า, มะแม-แพะ, วอก-ลิง, ระกา-ไก่, จอ-สุนัข, กุน-หมู

           ส่วนเรื่องที่ใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์แต่ละปีนั้น หาตำนานได้ยากมาก เพราะเรื่อง 12 นักษัตรเป็นเรื่องดึกดำบรรพ์นานมาก

           ตามตำนานการตั้งจุลศักราช กล่าวว่า ได้เริ่มต้นใช้จุลศักราช 1 เมื่อรุ่งเช้าวันอาทิตย์ ขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ปีกุนเอกศก ซึ่งตรงกับพุทธศักราช 1182

           การที่กล่าวว่า เริ่มจุลศักราชในปีกุนนั้นแสดงว่าปีนักษัตรมีมาก่อนจุลศักราช แต่มีเมื่อไหร่ ไม่ทราบได้ เพราะหาหลักฐานยากมาก

           สำหรับประเทศไทยได้แบบอย่างการใช้นักษัตรมาจากไหน ในหนังสือพงศาวดารไทยใหญ่ พระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

           ".. 12 นักษัตรข้างไทยสยามนั้น น่าจะเลียนนามสัตว์ประจำองค์สาขาปีมาจากเขมรอีกต่อ จึงไม่ใช้นามปีตามภาษาไทยเหมือนไทยใหญ่ กลับไปใช้ตามภาษาเขมร..ฝ่ายไทยใหญ่ก็ไพล่ไปเลียนนามปีและนามองค์สังหรณ์จากไทยลาว หาใช้นามปีของตนเองไม่ และไทยลาวน่าจะถ่ายแบบมาจากจีนอันเป็นครูเดิมอีกต่อ แต่คำจะเลือนมาอย่างไรจึงหาตรงกันแท้ไม่ เป็นแต่มีเค้ารู้ได้ว่า เลียนจีน.."

           ข้างฝ่ายจีนมูลเหตุ 12 นักษัตรก็เล่าตามนิทานว่า เกิดขึ้นเมื่อเริ่มมีมนุษย์--จากไอฟ้าและดินมากระทบกันแล้วกลายเป็นศิลากลมก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วแตกไปเป็นก้อนเล็กๆ อีก 12 ก้อน เกิดเป็นคนขึ้น 13 คน ก้อนใหญ่นั้นคือ "เทียนอ่องสี" แปลว่าเป็นเจ้าแผ่นดิน

           ครั้งนั้นยังไม่มีเดือนมีตะวัน มนุษย์พึ่งแสงสว่างด้วยรัศมีพระและเทวดามาช่วยอุปถัมภ์ ขณะนั้นก็ยังไม่มีชื่อ แซ่ แล้วต่างแยกย้ายกันไปอยู่ทุกทิศ

           อยู่มาวันหนึ่งเทียนอ่องสีเรียกน้องชายทั้ง 12 มาชุมนุมกัน แล้วว่าเราจะตั้งให้มีปี 12 ปีบรรจบเป็นหนึ่งรอบ จะให้ท่านทั้ง 12 คนเป็นชื่อปีกำกับกันทั้ง 12 ปี น้อง 12 คนได้ฟังก็มีความยินดียอมรับแล้วต่างคนต่างไปที่อยู่ของตนดังเดิม..ต่อมาบังเกิดสัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนม้ามีเกล็ด มีปีก สะพายบแดงขึ้นมาจากแม่น้ำเม่งจิ๋น มีอักษรจารึกไว้ที่บ ว่า ห้อโตลกจือ เป็นตำราโหราศาสตร์ แจ้งวัน เดือน และคืน ตลอดจนมี 12 นักษัตร มีศก แต่ยังไม่มีชื่อเรียกปี

           อย่างไรก็ตาม "สังข์ พัฒโนทัย" กล่าวไว้ในหนังสือ "จีนสมัยก่อนพุทธกาล" ว่า น่าเชื่อว่านักปราชญ์ของฮวงตี้เป็นผู้ประดิษฐ์ปีนักษัตรขึ้นตามชื่อสัตว์ต่างๆ อย่างที่เรียกกัน การที่เอาปีชวดเป็นปีแรกก็เพราะเป็นปีแรกที่ฮวงตี้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ

 นี่เป็นตำนานในเมืองจีน

           ยังมีตำนานของที่อื่นๆ อีก เช่น ตำนานของชาวไทยลื้อ ซึ่งคล้ายกับตำนานนางสงกรานต์ของไทย ที่พระพรหมมีลูกสาว 12 คน เมื่อพระพรหมถูกตัดเศียร ลูกสาวทั้ง 12 มีหน้าที่เชิญพานรองรับเศียรออกมาแห่ทุกปี โดยผลัดกันปีละคน และแต่ละคนจะมีพาหนะต่างๆ กัน เช่น นางที่ 1 ขี่หนู นางที่ 2 ขี่วัว ขี่เสือ ขี่กระต่าย ขี่พญานาค ฯลฯ พาหนะที่นางทั้ง 12 ขี่จึงถูกนำมาเรียกเป็นชื่อปี

           "โดยสรุปการเรียกชื่อปีเป็น 12 นักษัตร มีในประเทศต่างๆ คือ ไทย เขมร มอญ ญวน จาม ทิเบต ญี่ปุ่น จีน และในจารึกภาษาโบราณของตุรกี สันนิษฐานว่าจีนได้จากตุรกี เพราะเป็นตาดสาขาหนึ่ง แล้วญี่ปุ่นก็ได้จากจีน รวมทั้งเกาหลีด้วย แต่เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกเป็นภาษาของตนเอง"

 

 

ปีนักษัตร หรือ นักขัต เป็นปีตามปฏิทินสุริยคติไทยและชาติอื่นในเอเชีย เป็นต้นว่า จีน เวียดนาม และญี่ปุ่น แบ่งเป็นรอบปี รอบละสิบสองปี แต่ละปีกำหนดสัตว์เรียกเป็นชื่อเรียงกันไปดังนี้

ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ และ กุน

สัตว์ประจำปีนักษัตร

ปีนักษัตรจะมีสัตว์ประจำปี (อันเป็นความหมายของชื่อปีนั้น ๆ นั่นเอง) สัตว์ประจำปีนักษัตรที่นิยมใช้ในหมู่ชาวไทย มีดังนี้

 

ปี ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน
สัตว์ หนู วัว เสือ กระต่าย งูใหญ่ งูเล็ก ม้า แพะ ลิง ไก่ สุนัข สุกร

  • สำหรับปีกุนนั้น บางชาติใช้ช้างแทนสุกร เช่นภาคเหนือของไทย[ต้องการอ้างอิง]
  • สำหรับปีเถาะนั้น บางชาติใช้แมวแทนกระต่าย เช่นเวียดนาม[ต้องการอ้างอิง]
  • สำหรับปีฉลูนั้น บางชาติใช้กระบือแทนวัว เช่นเวียดนาม[ต้องการอ้างอิง]
  • สำหรับปีมะโรง บางชาติใช้มังกรหรือพญานาคแทนงูใหญ่ เช่น ไทย[ต้องการอ้างอิง]
  • สำหรับปีมะแมนั้น บางชาติใช้แกะแทนแพะ เช่นญี่ปุ่น[ต้องการอ้างอิง]

 

ปีนักษัตรในภาษาต่าง ๆ

อักษรจีน ภาษาจีนกลาง ภาษาจีนฮากกา[1] ภาษาจีนฮากกา[2] ชื่อนักษัตร ภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาไทยวน ภาษาไทลื้อ ภาษาไทใหญ่ ภาษาเวียดนาม
鼠 สู่ (shu3) ฉู่ ชู่ ชวด หนู มุสิก ใจ้ ใจ้ เจ้อ-อี Tí ตี๊
牛 หนิว (niu2) แหง่ว แหงว ฉลู วัว อุสุภ, อุสภ เป้า เป้า เป้า Sửu สือ-ว
虎 หู่ (hu3) ฝู่ ฟู่ ขาล เสือ พยาฆร, พยัฆะ, วยาฆร, พยคฆ ยี ยี ยี Dần เหยิ่น
兔 ทู่ (tu4) ถู้ ถู้ เถาะ กระต่าย สะสะ, สัศ เม้า เหม้า เหม้า Mạo หม่าว
龍/龙 หลง (long2) หลุง หลุง/ลยุ๋ง มะโรง งูใหญ่ มังกร, นาค, สงกา สี สี สี Thìn ถิ่น
蛇 เสอ (she2) สา สา มะเส็ง งูเล็ก สัป, สปปก ไส้ ไส้ เส้อ-อื Tị ติ
馬/马 หม่า (ma3) มา มา มะเมีย ม้า ดุรงค, อัสส, อัสดร สง้า สะงะ สีงะ Ngọ หง่อ
羊 หยาง (yang2) หยอง หยอง มะแม แพะ เอฬกะ, อัชฉะ เม็ด เม็ด โมด Mùi หมุ่ย
猴 โหว (hou2) แห็ว แห็ว วอก ลิง มกฎะ, กปิ สัน แสน สัน Thân เทิน
雞/鸡 จี (ji1) แก/ไก แก ระกา ไก่ กุกกุฎ, กุกกุฏ เล้า เล้า เฮ้า Dậu เหย่า
狗 โก่ว (gou3) แกว แก้ว จอ หมา โสณ, สุนัข เส็ด เส็ด เม็ด Tuất ต๊วด
豬/猪 จู (zhu1)

 

 

 

            ปีมะเมีย พ.ศ 2557

 

 

 

            

 

 

 

สัญลักษณ์ ม้า
ชาติภูมิ เทวดาผู้หญิง
ธาตุ ไฟ
มิ่งขวัญโชคลาภ ต้นตะเคียนหรือต้นกล้วย


ผู้เกิดปีมะเมียมักใช้สติปัญญา และแรงกายอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ นอกจากนั้นยังมีความทะเยอทะยาน และพลังงานเต็มเปี่ยม รวมทั้งขยันขันแข็งเป็นยอด

คนที่ปีมะเมียนั้นเป็นคนที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่งตัวดี และเซ็กซี่ชอบเป็นจุดสนใจ มักชอบอยู่ตามงานปาร์ตี้ คอนเสิร์ต และการแข่งขันกีฬาต่างๆ เสมอ ความที่ชอบเดินทาง และรักการแข่งขันทำให้คนเกิดปีมะเมียมักแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว ตั้งแต่อายุไม่มาก ความเป็นตัวของตัวเอง และความกบถที่มีอยู่ในตัวทำให้ชาวมะเมีย เกลียดระเบียบแบบแผนจนมักจะมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นเสมอ นอกจากนั้นยังเจ้าเล่ห์เพทุบายมากกว่าจะฉลาดหลักแหลม รวมทั้งมีแนวโน้มว่าจะขาดความมั่นใจในตัวเองที่แท้จริงอีกด้วย

เนื่องจากเป็นคนเลือดร้อน หุนหัน และไม่อดทน ชาวมะเมียจึงมีความสนใจในระยะที่สั้นมากๆ (ขี้เบื่อ หน่ายเร็วว่างั้นเถอะ) แถมบางทียังเป็นคนเห็นแก่ตัวหลงตัวเองอีกต่างหาก
คนเกิดปีมะเมียมักจะมีความขัดแย้งในตัวเองหลายอย่าง ทั้งหยิ่งแต่ก็อ่อนหวานในเวลาเดียวกัน โอ้อวดแต่ก็แสนถ่อมตัวยามมีความรัก ขี้อิจฉาแต่ก็ช่างประนีประนอม ต้องการเป็นที่ยอมรับแต่ก็ยังอยากเป็นอิสระอยู่ลึกๆ ต้องการความรักและแสวงหาความใกล้ชิด แต่ในขณะเดียวกันก็มักรู้สึกอึดอัดกดดันและจนแต้มอยู่บ่อยๆ ในเรื่องความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม คนเกิดปีมะเมียนั้นอ่อนแอ และพร้อมสละทุกอย่างเพื่อความรัก

สัญลักษณ์ประจำเดือนเกิด



เดือนห้า(๕) , ๖ , ๗ ม้ามณีกาบ ธาตุไฟฟ้า
เดือนแปด(๘) , ๙ , ๑๐ ม้าคนเลี้ยง ธาตุไฟสุมตีเหล็ก
เดือนสิบเอ็ด(๑๑) , ๑๒ , ๑ ม้ากระจอก ธาตุไฟในดิน
เดือน ๒ , ๓ , ๔ ม้าอัศวราช ธาตุไฟในแก้ว

สัญลักษณ์ประจำวันเกิด


วันอาทิตย์ ม้าคนเลี้ยง
วันจันทร์ ม้าเทวดาเลี้ยง
วันอังคาร ม้าพระยาเลี้ยง
วันพุธ ม้าสาธารณะ
วันพฤหัสบดี ม้าพระโพธิสัตว์
วันศุกร์ ม้ากำพร้า
วันเสาร์ ม้ากระจอกเปลี้ย

คู่ราศี


คู่ที่เหมาะสม : ปีจอ ปีขาล ปีมะแม ปีมะเส็ง
คู่ที่พอใช้ : ปีกุน ปีมะเมีย
คู่ที่พอเข้ากันได้ :  
คู่ไม่ถูกโฉลก : ปีชวด ปีระกา ปีเถาะ ปีฉลู ปีวอก

 

12 ปีนักษัตร กับ 12 นิสัยเฉพาะตัว
 

 

                

 ปีชวด : ปรับตัวได้เก่งในทุกสถานการณ์ คารมดี พูดจูงใจเก่งมาก ไอ.คิว.เป็นเลิศ เป็นคนทุ่มเทหมดใจหมดกระเป๋า เห็นวันนี้แสนขยัน แต่พรุ่งนี้อาจนอนขี้เกียจทั้งวัน เป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด มีความทะเยอทะยานสูง เป็นนักสะสม เป็นนักช้อปปิ้ง ชอบของลดราคา เพื่อนมาก ญาติเยอะ ชอบพึ่งพาตนเอง ดูมาดนิ่ง แต่ไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย ไม่ชอบความผูกพัน เก็บความลับเก่ง เก็บความรู้สึกก็เก่งนะ เก็บเงินได้ ใช้เงินเป็น แก้ปัญหาเก่งมาก แต่แสดงออกทางอารมณ์ไม่เก่ง ถือผลประโยชน์ตนเป็นสำคัญ ขี้หวง ขี้หึง ขี้บ่น ขี้ระแวง ช่างติ ช่างวิจารณ์ ไม่ชอบเก็บอะไรมาคิดให้รกสมอง บางครั้งก็เชื่อใจผู้อื่นง่ายเกินเหตุ ชอบสังสรรค์บันเทิง ถนัดดูแลงานท่องเที่ยวบันเทิง คิดฝันในเรื่องรักแบบซึ้งสุดใจ เน้นความสบาย ไม่ชอบเรื่องซีเรียสใดๆ ไม่ถนัดเรื่องละเอียดอ่อนนัก

 

 ปีฉลู : สุขุม มาดดี ไม่ช่างจ้อ อดทนได้อย่างสุดอัศจรรย์ คงมั่น ยากหวั่นไหว ขี้อาย เขินเก่งนักเชียว แสนจะอบอุ่นและอ่อนโยน หัวดื้อ แบบว่าดื้อเงียบ หัวเก่า หัวโบราณ หัวแข็ง เปลี่ยนแปลงยาก หัวใจไม่ง่าย รักคนยาก รักแล้ว ลืมยาก แต่ไม่ยอมเศร้า ชอบของเก่าๆ กตัญญูเป็นที่หนึ่ง มีความรับผิดชอบสูง ซื่อสัตย์ น่าเชื่อถือ มีความหยิ่งทระนง ถือศักดิ์ศรี รักษาสัญญาสุดฤทธิ์ ไม่สนใจความคิดผู้อื่น ไม่เจ้าเล่ห์แสนกล ใน 5 ปี อาจมีอาละวาดสัก 1 ครั้ง ขยันขันแข็ง ไม่ค่อยถนัดเรื่องยั่วเย้าเคล้าคลอ เลือกแฟนที่จิตใจ มิใช่หน้าตา รักครอบครัวมาก รักบ้าน รักครอบครัว ไม่ชอบออกไปเที่ยวเฮฮาปาร์ตี้ ยากจะเอ่ยปากให้ใครช่วยเหลือ คบเพื่อนน้อย เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เน้นเกียรติยศมากกว่าเงินทอง ปากตรงกับใจ แต่มักจะปากหนัก ชอบคิดมากกว่า

 

 ปีขาล : มีความนับถือตัวเองสูง รักงาน จริงใจใสซื่อ กล้าทำในสิ่งแตกต่าง มาดดี มีแต่คนอยากคบ เป็นนักปฏิวัติ ไม่กลัวความล้มเหลว หงุดหงิดง่าย แต่ไม่งอนใครนาน ชอบแสวงหาความแปลกใหม่ ท้าทาย บางครั้งก็ดันทุรังสูง รักเด็ก อยากรู้อยากเห็น เรียนรู้เร็ว วู่วาม แต่ก็มีความอ่อนโยน มากด้วยน้ำใจไมตรี มีอารมณ์ละไม ชอบศิลปะ สนุกกับโชคชะตา ไม่กลัวล้มเหลว ชอบเล่นกีฬา ชอบผจญภัย มักรีบด่วนตัดสินใจ สนุกกับเรื่องท้าทายได้ทุกเมื่อ รักอิสระ แต่ก็มีวินัยในการดำรงชีวิต ยามโกรธ โทสะแรง แก้ปัญหาได้เอง มักเสียใจลึก แต่ก็ฟื้นตัวได้เร็ว ไม่ชอบงอมืองอเท้าพึ่งพาใคร ทะเยอทะยานสูง ใจบุญสุนทาน ขี้หวงขี้หึง รักง่าย รักร้อนแรง

 

12 ปีนักษัตร กับ 12 นิสัยเฉพาะตัว

              

 ปีเถาะ : ปัญญาดี มีไหวพริบ เป็นนักเจรจา คารมเป็นเลิศ ใจดี ใจกว้าง ใจละเมอ หวาดหวั่นขวัญเสียง่าย เสน่ห์แรง เพื่อนฝูงติดหนึบ เฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ได้ แต่ก็ชอบชีวิตสงบๆ เงียบๆ มีคุณธรรมสูง อ่อนโยน แต่ก็เจ้าอารมณ์ไม่เบา รสนิยมดี ชอบความเก๋ไก๋ ดูเหมือนหัวอ่อนว่าง่าย แต่ดื้อเงียบ ไม่ค่อยกระตือรือร้นนัก มีอารมณ์ติสต์ อ่อนไหวสูง ปฏิเสธการต่อสู้ การเสี่ยงทุกรูปแบบ รักสวยรักงามตลอด ชอบการคลอเคล้าพะเน้าพะนอ รักแรง เกลียดแรง เกลียดความก้าวร้าว รุนแรง ยากที่ใครจะอ่านใจได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ชอบกฏระเบียบ เป็นกระต่ายน้อยผู้เสียสละ ช่างสังเกตเป็นที่สุด บ่อยครั้งที่จุกจิกจู้จี้เกินเหตุ มีความห่วงใยเอื้ออาทร เป็นนักจับผิดตัวยง ยากที่จะคิดไม่ซื้อหรือเอาเปรียบใคร รักอาชีพการงานของตน- โอ้อวดตนได้อย่างแนบเนียน เข้าใจและยอมรับข้อด้อยของคนอื่นได้ มักภาคภูมิใจในตนเอง

              

 ปีมะโรง : ปลื้มความเนี้ยบทุกอย่างต้องเพอร์เฟคต์ บุคลิกน่าเกรงอกเกรงใจ มีวาสนา บารมีสูง มีเสน่ห์ มักเป็นดาวเด่นเสมอ มีหัวใจแกร่ง และกล้าหาญ รับผิดชอบสูง เป็นหัวหน้าคนได้สบาย ฉลาดปราดเปรื่อง มีเพื่อนฝูงติดสอยห้อยตามเพียบ มีความรู้กว้างขวางมาก ชอบคนง่าย แต่เลือกมาเป็นคู่ยากมาก บ่อยครั้งเผด็จการ ชอบควบคุมผู้อื่ ประสบความสำเร็จเร็ว รักเกียรติรักศักดิ์ศรีมาก หน้าใหญ่ ใจกว้าง รักอิสระ แต่ก็มีระเบียบแบบแผน ชอบท่องเที่ยว ผจญภัย เจ้าอารมณ์ ชอบรักษาฟอร์ม ภาพพจน์ต้องดูดีเสมอ อ่อนไหว ขี้เหงา เศร้าเก่ง ไม่ชอบพึ่งพาผู้อื่น ชอบช่วยเหลือผู้คน ยุ่งเรื่องส่วนตัวผู้อื่นมากไปนิด ปลื้มคนที่ความสามารถมากกว่าคนมีเงิน สนใจใคร่รู้ในทุกเรื่อง เรียกร้องความรักอย่างสูงสุด แสวงหาความชื่นชอบยอมรับจากคนรอบข้าง แต่ไม่ค่อยทุ่มเทความรักตอบแทนไป ยิ่งมีอายุ ยิ่งดูเด็กลง หลงตัวเองเหมือนกันนะ

               

ปีมะเส็ง : เซ็กซี่ มีความเร้าใจ ฉลาดลึกล้ำ อยู่ในโลกของความจริงมากกว่าเพ้อฝัน ความจำเป็นเลิศ ใจแข็ง ใจเด็ด อารมณ์ขันน่ะมี แต่ฝืดเล็กน้อย ช่างสังเกต ช่างระแวดระวัง มีความมุ่งมั่นสูง เป็นเจ้าของโครงการในฝันนับร้อย เยือกเย็นแต่โมโหร้าย ไม่ชอบเปิดเผย ไม่ชอบวุ่นวายกับใคร มีลางสังหรณ์ ความรู้สึกไว เจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมารยา ชอบเรียนรู้ หัวไว รักจริงหวังแต่ง แสดงออกทางอารมณ์ไม่เก่งนัก ไม่ชอบนินทาใคร ไม่เห็นว่าเงินเป็นพระเจ้า กระตือรือร้นน้อยมาก เชื่อความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ชอบแสดงความเป็นเจ้าของ- รักเพื่อน แต่มีเพื่อนซี้น้อย จริงใจ แต่ทำตัวเหมือนไม่เปิดกว้างนัก ชอบสบายกับทางลักมากกว่าทางตรง ชอบช่วยคนด้วยหวังดี แต่มักผิดหวัง ทุ่มเทมุ่งมั่นได้แค่ช่วงสั้นๆ ไม่กลัวลำบาก บางครั้งก็ชอบคิดในแง่ลบก่อนแง่บวก ถ้าโกรธ ไม่เย็นเหมือนบุคลิกหรอก

 

12 ปีนักษัตร กับ 12 นิสัยเฉพาะตัว

               

ปีมะเมีย : เปิดเผย ไม่เคยมีความลับ มีหัวใจเสรี มีมุขฮาๆ มาโชว์เสมอ นิยมความเลิศหรู ดูโดดเด่น สดชื่น รื่นเริงตลอดปี จัดการเรื่องเงินเก่งมาก ฉลาดเฉลียว เอาตัวรอดเก่า เป็นหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมได้ดี มีความทะเยอทะยานสูง ชอบให้ยกยอปอปั้น ชอบการแสดงออกสุดฤทธิ์ มีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ เหนื่อยยาก ขี้เบื่อ สมาธิสั้นมาก อดทนน้อย อดกลั้นไม่เก่ง โกรธใครเป็นต้องทำหน้าหงิกทันที รักการเดินทาง ผจญภัย สนุกกับชีวิตมากกว่าจะเอาจริงเอาจัง รู้จักรอมชอม ไม่ก้าวร้าว ตามใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง ชอบเคลื่อนไหว ไม่อยู่นิ่ง ฉุนใครเป็นต้องโต้ตอบ ไม่ยอมให้ตัวเองทุกข์ เศร้าบ้าง บางครั้งก็ถอดใจ ยอมแพ้ได้อย่างคาดไม่ถึง กล้ารัก กล้าเลิก มีมิตรสหายเป็นแสน แต่มีคนชังเพราะปากตัวเอง ไม่หวั่น แม้ยิ่งสูงยิ่งหนาว หาญกล้า บ้าบิ่น

                

ปีมะแม : มีกำลังใจเข้มแข็ง สุภาพ สุขุม ลุ่มลึกละเมียดละไม จริงใจสุดฤทธิ์ ชอบบริหารสเน่ห์เป็นงานหลัก ขี้สงสาร ขี้เหงา ขี้อาย ตัดสินใจช้ามาก บ่นเก่งไม่เบา เป็นคุณนาย(หรือคุณชาย) สายเสมอ ใจกว้าง พร้อมจะให้อภัยเสมอ มักเสียสละเพื่อผู้อื่น มักเป็นห่วงเป็นกังวล ไม่มีความดันทุรังสูง อดทนอดกลั้น สุดอัศจรรย์ เจ้าเล่ห์เจ้ากลแนบเนียนมาก สนใจเรื่องเร้นลับ ปฏิเสธความก้าวร้าวและความรุนแรง ร้อยวันพันปีมีโมโหน้อยครั้ง ไม่ชอบการแข่งขันทุกรูปแบบ ปลอบโยนเก่ง ให้คำแนะนำได้ซึ้งมาก โรแมนติกสุดหัวใจ บุคลิกอ่อนโยน แต่ใจเด็ดมาก ยอมเหนื่อยทางตรงมากกว่าสนทางลัด เน้นหลักช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม รู้จักปรับตัวในทุกสถานการณ์ ไม่ขี้เหนียว แต่ก็ไม่สุรุ่ยสุร่าย แคร์คนรอบข้างเสมอ แต่ไม่ค่อยปลื้มกับความเปลี่ยนแปลงใดๆ ยึดมั่นในความรักและความผูกพัน เป็นนักเจรจาต่อรองที่ดีเลิศ ไม่เคยหวั่นแม้วันเจอมรสุมชีวิต

               

 ปีวอก : แก้ปัญหาเก่งไหวพริบดี มีไอเดียสร้างสรรค์ มีเสน่ห์ ชวนให้ติดตาม ฉลาดแกมโกง เป็นนักพนัน นักเที่ยว และนักรัก ขี้เล่น อารมณ์ดี ยิ้มตลอด ปรับตัวเก่ง เข้ากับผู้คนง่าย มีหัวใจอบอุ่น เป็นหัวหน้าฝ่ายเอนเตอร์เทนได้สบาย เชื่อมั่นในตัวเองไม่น้อยเลย บางครั้งดูเหลวใหล แต่มีเป้าหมายชีวิต คิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว ตกหลุมรักง่าย หน่ายเร็ว รอบรู้ สนอกสนใจทุกเรื่อง ไม่แคร์คำติติงวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ปลื้มคนเฉื่อบชาเชื่องช้า เป็นผู้นำกลุ่มได้ เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย คารมดี ช่างฉอเลาะ แต่ก็รับผิดชอบการงานดีนะ ลุยได้เสมอ แต่ไม่ชอบงานหนัก แต่บางคราวก็วู่วามไร้เหตุผล ยากจะจัดระเบียบให้ชีวิตตัวเอง ชอบให้คนสนใจ เน้นรักสนุกมากกว่าคิดทะเยอทะยานสูง เจ้าชู้ สนใจแต่เรื่องเพศตรงข้าม แต่จีบไม่ค่อยเป็นหรอก โรแมนติกไม่เบา ติดเพื่อน ดวงดี ไม่ค่อยมีวันลำบาก

 

12 ปีนักษัตร กับ 12 นิสัยเฉพาะตัว

               

ปีระกา : จิตใจเอื้ออารี หาญกล้า มีลูกบ้าในตัว ตรงต่อเวลา ใจคิดอะไร ปากว่าอย่างนั้น มาดเท่ตลอดปี เป็นลูกคุณนาย นามสกุลประณีต หยิ่งทระนง ไม่แคร์ใคร แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น ควบคุมผู้อื่นได้อย่างแนบเนียน ไม่รอมชอม ผิดก็ว่าผิด อยากเป็นคนเด่นดังในสังคม รักอิสระ แต่มีกฏระเบียบสูง ดื้อดึง ก้าวร้าวเงียบๆ แต่มองโลกในแง่ดี และก็มีอารมณ์เพ้อฝันไม่น้อยเลยนะ สนุกกับการโต้เถียงปะทะคารม ช่างสังเกต ช่างจับผิด มีน้ำใจ ไม่ทิ้งเพื่อน เจ้าชู้ รักคนง่าย ใจซื่อ มือสะอาด หงุดหงิดง่าย แต่ก็ควบคุมอารมณ์ได้ เป็นนักต่อสู้ รู้จักคิดและมองการณ์ไกล เชื่อถือได้เสมอ มีความสามารถในทางศิลปะ รักสวยรักงาม ชมได้ แต่อย่ามาติกันนะ ช่างคิด ช่างสะเทือนใจ หวังให้แฟนเป็นดั่งใจทุกอย่าง บางครั้งก็ดูเรื่องมากกว่าเพื่อนๆ

               

ปีจอ : ช่างสังเกตเป็นเลิศ ปากกับใจตรงกัน ไม่ทันคิด จนบางครั้งดูไม่ให้เกียรติคนอื่น บางครั้งทำอะไรก็อารมณ์เป็นหลัก มีอารมณ์ขันเหมือนกันนะ รู้ชนะ รู้อภัย มองคนเก่ง อ่านคนเป็น ชอบโอ้อวดตนเล็กๆ เพื่อนพ้องต้องมาเป็นอันดับ 1 บางครั้งก็เอะอะโวยวายไม่เบา สนใจใฝ่รู้เกินเหตุ มักเดือดร้อนแทนเพื่อน โกรธง่าย หายเร็วมาก เปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน รอบคอบ ไม่ประมาท ปลื้มความหรูหราเลอเลิศ ชอบเคลียเคล้าพะเน้าพะนอ ขี้สงสัย ขี้ระแวง บางครั้งก็เชื่อคนง่ายเกินไป มักเขม่นผู้อื่นง่าย ขี้บ่นไม่เบาเหมือนกัน ปลอบเพื่อนได้เก่ง แต่อย่าไปเล่าความลับให้ชาวจอรู้นะ รักง่าย หลายใจแต่ รักเดียว แต่ก็คิดอยากจะนอกใจแฟนบ้างเป็นบางครั้ง เหมือนเด็กดื้อ อารมณ์เสียง่าย เอาแต่ใจ จนบ้างครั้งดูเป็นเด็ก รักถิ่นฐาน ชอบผจญภัย

                 

ปีกุน : อบอุ่น จริงใจ คิดอย่างไร พูดอย่างนั้น มีเสน่ห์ที่ความเรียบง่ายสบายๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ใสซื่อตลอด แต่บ่อยครั้ง ไม่ค่อยยืดหยุ่นบ้าง เป็นศิลปินได้ดีกว่าเป็นนักธุรกิจ อารมณ์ดี ชอบเฮฮาปาร์ตี้ เข้ากับผู้คนง่าย ใจเย็น ยากจะเห็นหมูอาละวาด ใจอ่อน ใจดี ใจบุญ ชอบทำงาน หาเงินเก่ง ไม่เคยถือโทษโกรธใคร ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใคร ยากจะท้อถอย ไม่ทะเยอทะยานนัก มีความสามารถในการรอคอยสูงมาก อ่อนไหว แต่ไม่ชอบเศร้า เข้าใจผู้คนได้ลึกซึ้ง เป็นคนบูชารัก เป็นนักชิม อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ มีความซื่อตรงมาก พลังใจเด็ดเดี่ยวแข็งกล้า บางครั้งก็หัวแข็งไม่ฟังใคร มีหัวใจของนักสู้ รักจริง หวังแต่ง ช่างเอาอกเอาใจ ไม่โรแมนติกนักหรอก ทุ่มเทให้ครอบครัวเสมอ เป็นผู้นำได้ดี

 

 

 

 

 

             

 

 

 

 

 

 

************************

 

 

 

 

.................. ไอ่นี่นกรู้ซิ่งหนีลาบวชประกาศวางมือคนแรก ....................

เรียน เพื่อนๆร่วมอุดมการณ์
การโค่นล้มระบอบทักษิณและรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม ผมกับผู้กองปูเค็ม ได้เริ่มการต่อสู้โดยการจัดตั้งกองทัพนิรนามตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมและจัดตั้งด้วยการสถาปนากองพันนิรนามไปแล้ว 18 กองพันทั่วประเทศ ทั้ง 4 ภูมิภาคใช้ระยะในการจัดตั้งเป็นเวลา 6 เดือนมาแล้ว มาถึงวันนี้ เรามี กองทัพประชาชน นำโดย พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ, คปท. นำโดย ทนายนกเขา และ กปปส. นำโดย กำนันสุเทพ
ผมเองจะขอวางมือจากทางโลกไปสู่ทางธรรมต่อไป ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป/เสธ.อู๊ด
พลเอก กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ
ประธานคณะเสนาธิการร่วม
กองทัพนิรนาม
31 ธันวาคม 2556.

 

 

 

 

 

................. นายกปู พบ เปรม แฝงนัยยะเทือกตายเดียว ....................

โดย ประปา
เมื่อ พุธ, 01/01/2014 - 15:21

 

1. มีการเลือกตั้งแน่นอน

2. เทือกต้องหาทางลงภายใน 10 วัน

3. หลังเลือกตั้งให้บรรหารเป็นนายก 1 ปี

4. ไม่มีการเช็คบิลจาก กกต. ปปช. ศาลนวย ในคดีที่วิตกกันอยู่

5. ให้สภาใหม่เป็นผู้แก้ไขกฎหมายสำคัญตามที่บางคนต้องการ

6. กฎหมายปรองดองและกฎหมายรัฐธรรมนูญบททั่วไปให้ทำแค่ครึ่งซอย

7. ครบทุกอย่างแล้วไปเลือกตั้งกันใหม่ภายใน 1 ปี

                 

 

 

นายกคนใหม่เป็นระยะสั้น ๆ ให้คนตัวสั้นเป็นชั่วคราวลดแรงเสียดทาน เพื่อไทยรอเป็นครั้งหน้าสบายกว่ากันเยอะ พรรคที่ได้อันดับหนึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนายกเสมอไปในเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ

................. นายกให้คนตัวสั้นไปพร้อมกระทรวงเกษตรและ รมช.อีก 2-4 ตำแหน่ง (ตามสัดส่วน ส.ส.ที่ได้) ส่วนตำแหน่งหลักกระทรวงสำคัญ ๆ ที่พรรคเพื่อไทยเคยคุมอยู่ก็คุมเหมือนเดิมและต้องเร่งนโยบายที่ค้างไว้ทำให้บรรลุเช่นโครงการน้ำ โครงการรถไฟฟ้า และ ดำเนินนโยบายใหม่ในการหาเสียงครั้งนี้ให้สำเร็จให้มากที่สุด หลังครบ 1 ปี เลือกตั้งครั้งหน้ากวาด ส.ส. เกือบเต็มเข่ง

 

*************************************

 

guest
ArjanPong

Post : 2013-12-25 19:44:27.0     Forum: Live : เฟสบุ๊ค สถานที่จริง  >  วิธีดูผู้ชายเจ้าชู้ ก่อนคบหา

 

 

 

                    วิธีดูผู้ชายเจ้าชู้ให้เป็น........ก่อนคบหา

 

 

                                 

 

 

1 สำรวจตัวคุณก่อน ประเมิณให้ได้ว่าคุณน่ะสวยระดับไหน นึกถึงบรรดาผู้ชายทั้งหมดที่เคยเข้ามาจีบแล้วหาค่าเฉลี่ยความหน้าตาดีและนิสัยของผู้ชายเหล่านั้น
จนได้ค่ามาตรฐานของตัว

แล้วเมื่อไหร่ที่มีผู้ชายซึ่งมาตรฐานสูงกว่าที่เราเคยหาค่าไว้
เมื่อนั้นก็ให้สังวรณ์ไว้เลยว่า ไอ้นี่มาไม่ดี แต่ยังไม่ต้องปักใจ100%ค่ะ ต้องใช้อีกหลายข้อพิจารณา

2.เจอผู้ชายที่เที่ยว 90% เจ้าชู้ทั้งนั้น อย่าพยายามเข้าข้างว่าผู้ชายที่คุณเจอจะเป็น 10% ที่เหลือ เพราะคุณจะเข้าข้างเขาเกินไปจนไม่ได้พิจารณาให้ถี่ถ้วน

3.ผู้ชายที่หน้าตาดี ต้องระวังเป็นพิเศษสุดๆ พวกหน้าตาดีแล้วไม่เจ้าชู้ เกิดมาดิฉันไม่เคยเจอค่ะ ไม่เคยจริงๆสาบานได้ เพราะผู้หญิงย่อมติดพันเขาตั้งแต่เด็กๆ และสั่งสมความกะล่อนมาเนิ่นนาน จนสุดท้ายความเจ้าชู้ก็ติดเข้ากระดูกดำ

พวกนี้ เนียนนัก ระวังไว้ ยิ่งมีตำแหน่งดาวเดือนคณะ ผ่านเวทีประกวดรั้งท้าย ทำใจไว้เลย เจ้าชู้แน่ๆ

4. ผู้ชายเจ้าชู้มักจะแต่งตัวเนี้ยบ เนี้ยบมากกกกกกก เสื้อไม่มียับ เนคไทด์ไม่กระดิก ผมไม่ชี้ฟูสักเส้น เข้าสมัยอยางที่สุด ดูดีทุกมุม ปากไม่แตกลอก ผิวพรรณดีไม่แห้ง เล็บตัดสั้นสะอาด

นิสัยจะเจ้าระเบียบ เห็นได้อย่างชัดเจน สังเกตเวลาไปกินข้าวกัน เขาจะไม่ทิ้งกระดาษหกเลอะ ถ้ามีน้ำนองที่ก้นแก้ว ก็จะหากระดาษมาเช็ด กวาดจานเก็บช้อนส้อมเรียบร้อย

คำเตือน....ระวังสับสนกับพวกแอบนะ พวกแอบก็จะมีอาการนี้เช่นกัน

5.ถ้าเขาพูดเพราะ ระวังไว้....ผู้ชายโดยธรรมชาติจะไม่พูดเพราะ อย่างมากก็สุภาพ แต่ไม่พูดเพราะถึงขั้นคะขา เมื่อไหร่เขามาพูด "คะ,นะคะ,ขา" กับเรา ให้ถามไปทันทีว่า

"เธอมีพี่น้องเป็นผู้หญิงปะ"

ถ้าเขาตอบว่าไม่มี ก็จงรู้ไว้เลยว่า เขาฝึกพูดนะคะกับผู้หญิงคนอื่นมา ผู้ชายที่มีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวพันเยอะหรือเกี่ยวพันกันเป็นเวลานานเท่านั้น ถึงจะติดนิสัยพูดคะมาได้

ถ้าเขาตอบว่ามี ข้อนี้ก็อาจจะตกไป

7.การวางตัว ผู้ชายเจ้าชู้จะค่อนข้างมีมนุษย์สัมพันธ์ดี เพื่อนเยอะแน่ๆ เวลาอยู่กับกลุ่มเพื่อน เขาจะไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น แต่จะเป็นคนที่นั่งเงียบอยู่ในซอกหลืบของกลุ่ม ถึงจะเงียบแต่ก็เป็นคนที่กลุ่มขาดไม่ได้

6.ผู้ชายเจ้าชู้จะเป็นชายมารยาทงาม เทคแคร์ดีเลิศประเสิฐศรี จนโอเวอร์ ถ้าน้ำเราพร่องไปจากแก้ว เขาจะเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นและเติมให้ทันที จะถามตลอดว่าเราอยากได้ อยากกินอะไร

ผู้หญิงเราอย่าหลงดีใจไปว่าเขาเป็นคนดี แต่ควรสงสัยไว้ว่า เขาไปเรียนรู้วิธีบริการผู้หญิงมาจากไหนวะ?

7.เจ้าชู้มักคู่กับปลาหมึก มีงูบนหัวแล้วต้องมีปลาหมึกที่มือ แต่อาการนี้ไม่เสมอไป ผู้ชายบางคนที่เจอแรกๆ จะไม่ปลาหมึก แต่จะมาออกอาการเอาตอนช่วงกลางๆที่คบกัน หรือมั่นใจแล้วว่า การที่เขาเป็นปลาหมึก จะไม่ทำให้เรารู้สึกรังเกียจหนีไปเสียก่อน

แต่จากที่เคยเจอมา เจ้าชู้ 5 คน จะปลาหมึกไปแล้ว 4

8.มักแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเราอย่างรวดเร็ว
เพราะต้องการประกาศให้โลกรู้ว่า ข้าจีบผู้หญิงคนนี้ติดแล้ว
พวกนี้จะไม่ค่อยเกรงใจผู้หญิงในการประกาศศักดา จะทำแต้มเข้าว่า

ดังนั้นจะไม่มีคำว่า "รอดูไปก่อนแล้วค่อยบอกทุกคนว่าเราคบกัน" จากปากผู้ชายประเภทนี้ ผู้หญิงจึงหลงกลได้เร็วยิ่งนัก เพราะคิดว่าเขาดูจริงจังจังเลย

9. คำว่า....รัก.....หลุดจากปากเขาบ่อยกว่าคำว่า หิว เสียอีกและบอกรักเราเร็วซะด้วย

ถ้าเจออาการนี้ตั้งแต่วันแรกๆที่เจอกัน ฟันธง 100% ไอ้นี่หัวงู

มันจะมารักอะไรฉันวะ หน้าฉันเธอจำได้ยังฮะ มาบอกว่ารักเนี่ย เดี๋ยวปัดตบหัวหลุดเลย

ผู้ชายพวกนี้มักจะตอบที่ผู้หญิงถามว่า

"รักเราจริงเหรอ"

"จริงสิจ๊ะ"

"เราเพิ่งเจอกันนะ"

"ทำไมล่ะ ทำไมเพิ่งเจอจะรักไม่ได้ เรารู้ตัวเราเองดี เราไม่เคยโกหก"

มันจะมาเป็นแพทเทิร์นครับ...ไอ้คำพูดแบบนี้

10.เป็นผู้ชายโรแมนติกมาก ประเภทซื้อดอกไม้ให้ตั้งแต่วันแรกที่เจอ พยายามถามและจำวันเกิดเราให้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกัน พยายามทำให้เราประทับใจ พยายามทำว่าตัวเองแมน พยายาม....พยายาม...และพยายามอีกมากมาย จนเราต้องคิดในใจ

มันจะเวอร์ไปไหนเนี่ย

11.ผู้ชายเจ้าชู้ จะตอบคำถามได้โดนใจเราสุดๆ ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าเราจะถาม และเตรียมคำตอบไว้อย่างหวานซึ้งหยดย้อย เป็นคำตอบที่เราอยากฟังเหลือเกิ๊นนนนนน

ผู้ชายบื้อๆ จีบผู้หญิงไม่เป็น จะไม่มีเซ็นส์ในการตอบคำถามผู้หญิงเท่าไหร่

เวลาผู้หญิงถามอะไร มักจะถามไม่ตรงกับใจ
ถ้าผู้ชายดีๆบื้อๆ จะตอบไม่ตรงกับใจเราหรอก เพราะเขาไม่เชี่ยวด้านจีบหญิง

แต่พวกเจ้าชู้ จะตอบมาเป็นฉากๆ แต่ละคำพูดช่างกัดกินหัวใจเสียนี่กระไร เช่น

คำถาม "มาชอบเราได้ไงฮะ เพิ่งเจอกันครั้งแรก แน่ใจแล้วเหรอว่าชอบ"

ผู้ชายดีๆ "ไม่รู้สิ ก็ชอบอะ อยากลองคบกันดู อยากรู้ว่าจะเข้ากันได้หรือเปล่า"

ผู้ชายเจ้าชู้ "ชอบเพราะเธอน่ารัก เวลายิ้มเราชอบมากๆเลย ไม่รู้เหรอ ว่าแอบมองมาตั้งนานแล้ว"

คำถาม "มีแฟนหรือยัง มาจีบเราแบบนี้แฟนไม่ว่าเหรอ"

ผู้ชายดีๆ "เพิ่งเลิกไปอะ" , "ไม่มีแฟน จีบผู้หญิงไม่ค่อยเป็น เลยไม่เคยจีบติด"

ผู้ชายเจ้าชู้ "ถ้ามีเราจะมาจีบเหรอ" , "เราไม่มีแฟน" , "เลิกไปนานมากแล้ว ที่ผ่านมามีเคยแฟน....คน(จะจำนวนไม่เกิน3คน)"
สังเกตว่า พวกเจ้าชู้จะตอบคำถามนี้เป็น negative ทันที จะไม่มีคำว่า เพิ่งเลิก หรือบอกจำนวนแฟนที่เยอะกว่าสามแน่นอน มันดูไม่ดี และเสี่ยงต่อการให้ผู้หญิงสงสัยมากเกินไป

ย้ำอีกครั้ง....ผู้ชายที่พูดจาเข้าหูน่าฟัง ตอบคำถามแบบหวานซึ้งหยดย้อย โดนใจ เล่นเอาเราตัวแทบลอย เจ้าชู้100%
เพราะคนพวกนี้คบผู้หญิงมามากพอ จนรู้ว่า ผู้หญิงต้องการอะไร

12.ตาเป็นประกาย รอยยิ้มเยือกเย็น....
มันเป็นลักษณะเฉพาะของผู้ชายเจ้าชู้จริงๆ เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองมี แต่ถ้าเราสังเกตดีๆ ผู้ชายพวกนี้จะมีแววตาและรอยยิ้มต่างจากผู้ชายไม่เจ้าชู้

ไม่รู้จะบรรยายยังไง เอาเป็นว่า เขาจะจ้องเราด้วยดวงตาวาววับ สังเกตตาของเด็กที่เดินอยู่ในแผนกของเล่นสิ สายตาแบบนั้นเลย พยายามจ้องจนเราเก้อเขินได้ และจ้องอย่างไม่หลบสายตา ไม่อายเราด้วย พอเราหันไปสบตากลับ เขาก็จะยิ่งจ้องๆๆๆๆๆ

รอยยิ้มจะเป็นยิ้มมุมปาก ทำหน้าแบบยิ้มน้อยๆตลอดเวลา จะไม่ฉีกยิ้มเห็นฟันนะคะ รอยยิ้มนั้นจะเหมือนกำลังยิ้มเยาะอยู่ในที....ว่ายัยนี่เสร็จข้าแน่

ทั้งสายตาและรอยยิ้มนั้น ทำให้ผู้หญิงละลายมานักต่อนักแล้ว


ขอบคุณที่มา : bloggang.com

 

   

 

 

       ดูผู้ชายให้ดูที่"นิ้ว" หนุ่มแบบไหนเหมาะเป็นผู้นำครอบครัว

 

 

 

 

 

                          ดูผู้ชายให้ดูที่นิ้ว หนุ่มแบบไหนเหมาะเป็นผู้นำครอบครัว 

 

 

 

อีกครั้งกับอ.สุวิมล พันธุ์วิชาติกุล ผู้อำนวยการสถาบันศาสตร์แห่งชีวิต ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์โหงวเฮ้ง (ภรรยาของอ.ภานุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ซินแสชื่อดังผู้เชี่ยวชาญการดูฮวงจุ้ย) ซึ่งวันนี้อ.มาให้ข้อมูลสาวๆ ถึงเทคนิคการดูผู้ชายจาก “นิ้ว” ว่าเขาเป็นคนอย่างไร เอาการเอางานมั้ย อยู่ติดบ้านติดช่องรึเปล่า ใส่ใจคนข้างกายมากน้อยขนาดไหน ฯลฯ
       
       
เพียงคุณหลอกให้เขาหงายมือออก แล้วสำรวจลักษณะการเอียงของนิ้ว และตีความตามนี้เลยค่ะ ทั้งนี้กำชับเสมอว่า โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ

นิ้วชี้เอนเข้าหานิ้วกลาง
       : ว้าว! แฟมิลี่แมนสุดๆ
       
       
หนุ่มแบบนี้น่าคบหา แฟมิลี่แมนเป็นที่สุดค่ะ เพราะเขาเป็นคนที่ชอบอยู่กับครอบครัว ชอบอยู่กับญาติพี่น้อง หรือชอบช่วยเหลือคน ดังนั้นก็มีแนวโน้มว่า ถ้ามาก่อร่างสร้างครอบครัวกับเราแล้ว จะอยู่ติดบ้าน ไม่ไปไหนไกลตา
       
       
นิ้วชี้เบนออกไปจากนิ้วกลาง
       : หนุ่มขี้รำคาญ
       
       
พวกนี้เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง ไม่ค่อยชอบอยู่กับครอบครัว ขี้รำคาญ อ.สุวิมลเตือนว่า หากสาวใด เจอๆ หนุ่มแบบนี้ต้องคิดเยอะ เพราะเกิดแต่งงานไปแล้ว ไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน ไม่ติดเรา แย่เลยง่ะ

นิ้วกลางกับนิ้วนางชิดติดกัน
       : เหมาะทำสามี!
       
       
ส่วนมากพบในหมู่ชายเอเชียค่ะ เป็นลักษณะของคนที่รักพ่อแม่ รักพี่น้อง และคนในครอบครัวของตัวเอง มักจะใส่ใจคนในครอบครัวเป็นอย่างดี ถือว่าผู้ชายแบบนี้มีจิตใจอ่อนโยน รักครอบครัว ดังนั้นแนวโน้มในที่จะรักผู้หญิงที่เป็นแม่ของลูกอีกสักคน คงไม่ยากเท่าไหร่
       
       
นิ้วก้อยเบนออกจากนิ้วอื่นๆ 
  : หนักไม่เอา เบาก็ยังอู้
       
       
แบบนี้เป็นลักษณะของคนเบื่องานง่ายค่ะ ความอดทนน้อย เจองานอะไรที่หนักหน่อย หรือทำแล้วไม่สำเร็จก็อยากเลิกแล้วซะแล้ว อ.สุวิมลเผยว่า ผู้ชายแบบนี้เข้าทำนองหนักไม่เอา เบาก็ยังอู้ ดังนั้นเจอหนุ่มแบบนี้คงต้องคิดหนักเชียวค่ะ

 

 

 

ดูผู้ชายให้ดูที่นิ้ว หนุ่มแบบไหนเหมาะเป็นผู้นำครอบครัว
       

 


       
       
กางมืออกแล้ว แต่ละนิ้วยังกอดกันแน่น
       : สุภาพบุรุษขี้กลัว!
       
       
คนลักษณะนี้จะเป็นคนค่อนข้างขี้กลัวค่ะ จะไม่ค่อยกล้าแสดงออก อ.สุวิมลบอกว่า ถ้าสาวใดไปตกหลุมรักหนุ่มที่เป็นเจ้าของนิ้วลักษณะนี้ อย่าหวังรอให้เขามาจีบเลยค่ะ...ยาก คุณต้องเป็นฝ่ายจู่โจม หามุกลุยจีบเอง ทันใจกว่า
       
       
กางมืออกแล้ว นิ้วโป้งเบนออกจากมือมากๆ
       : ชายใจกว้าง น้ำใจเกิน
       
       
เป็นลักษณะของพ่อหนุ่มใจกว้างค่ะ มีน้ำใจไปหมด เหมาะนักเชียวที่จะเป็นนักการเมือง ผู้แทนประชาชน ซึ่งหากได้หนุ่มแบบนี้มาครอบครอง คุณสาวๆ คงต้องดูแลสมดุลสักนิดส์ว่า จะทำอย่างไรให้เขาใจกว้างแต่พอเหมาะ อย่าไปใจกว้างใจดีกับสาวอื่นเกินควร

 

 

 

************************

    

 

 

 

 

[Image: D4i5B3.jpg] 

 

 

 

เรื่องปฎิวัติถ้าจะยาก ถึง ยากมากๆ

 

-กองกำลังแปซิฟิค และ ท่านทูต คริสตี้ บอกแล้วว่าอย่า

-อาเซียน บอกแล้วว่าอย่ามาทำให้ภูมิภาคเสียหาย

-หุ้นลงไม่ต่ำกว่าอีก 100 จุด cp true jas bland เจ๊งหมด

-โรเบิตร์ อามสเตอร์ ดัม ยื่น สมาพันธ์อะไรซักอย่างไว้แล้ว

 

-ครั้งนี้ รัฐบาลพลัดถิ่นแน่นอน สถาบันจะลำบาก ใครออกไปนอกประเทศไม่ได้เลย เพราะเขารับรอง รัฐบาลนี้อยู่แล้ว

-นปช สปป นับแสน ออกมาชุมนุมแน่นอน คาดว่าเป็นเสาร์แรกหลังการปฎิวัติ และ เอาไม่อยู่หรอกเพราะไม่มีความชอบธรรม ยิ่งกว่าอาฟริกาอีก ถ้ามีการปราบปราม

-ทหารฝ่าย แตงโม เตรียมจังหวะสอง และ มีความชอบธรรมด้วย

-ท้ายสุด เชื่อผม สักครั้งซิ ถ้า ปฎิวัติ ครั้งนี้ไม่มีใครกล้าเป็นนายก ไม่มีใครกล้าทำเนียนอีกแล้ว วันเวลามันผ่านไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 เขาเห็นกันหมดทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว มัวแต่เป่านกหวีดจนไม่ลืมหูลืมตาหรือไง

 

 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. ยืนยัน ไม่มีผู้ชุมนุมฯ ขัดขวางการขนย้าย ตร.ที่บาดเจ็บขึ้น ฮ. เพราะพื้นที่ทั้งหมดมี ตร.คุม #voicelive pic.twitter.com/8zTt7GnSt2
 
 

[Image: BcjvQ-vCMAAx6zx.jpg]

 

 

 

 ก่อนจะพูดอะไร แหกตาดูหน่อยนะ

 

 

 

  

 
คลิปล่างนี้ดูที่นาทีที่ 23.30 เป็นต้นไป

 

 

 

 


ช่วงวินาทีท้ายๆก่อนจบคลิปจะมีเสียงคนพูดขึ้นว่า "เฮ้ย มันยิงมาเมื่อกี้ มันยิง ฮ.น่ะ"
Andrew Spooner @andrewspoooner
Thai fascists shot at this medical helicopter as it attempted to rescue injured police officers
http://twitpic.com/dq1hom
(กลุ่มฟาสซิสต์ไทยยิงเฮลิคอปเตอร์พยาบาลที่พยายามจะเข้าไปช่วยตำรวจที่บาดเจ็บ)

 


[Image: 829799878.jpg?1388049289]

 

 

 

 

             " กองเกียรติยศ.....ทำความเคารพตำรวจผู้กล้า.....ตรงหน้าระวั้ง.......วันทะยา.....วุธ"

 

             

 

 

 

 

 

**************************************

 

 

 

 

   รู้ทันโรคที่มากับหน้าหนาว

 

 

 

 

                            

 

 

 

 

นพ.ศรายุธ อุตตมางคพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า จากการพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าปีนี้จะหนาวเย็น โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอาจจะหนาวกว่าปีที่แล้ว และหนาวไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ลานิญา ส่วนในภาคจะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างบ้านเราจะหนาวเย็นเช่นกัน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เพราะไม่ใช่จะมีแต่ปัญหาจากอุณหภูมิที่ลดต่ำลงเท่านั้น อากาศที่หนาวเย็นยังนำโรคหลายประการติดมาด้วย

 

   จากข้อมูลของประกาศกรมควบคุมโรค เรื่อง การป้องกันโรคที่เกิดในฤดูหนาว ระบุว่า อากาศที่เปลี่ยนแปลงนั้น หากร่างกายปรับตัวไม่ทันอาจทำให้เกิดโรคต่างๆ ขึ้นได้ โรคที่เกิดในฤดูหนาวมักจะเกิดกับเด็กและผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัดเยอรมัน สุกใสและอุจจาระร่วง นอกจากนี้ยังพบโรคอีสุกอีใส โรคหัด สำหรับโรคไข้หวัดนกนั้น ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้อย่างดี แม้จะมีการย้ายถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของนกก็ตาม ส่วนโรคอื่น ๆ อาทิ โรคผิวหนัง ผิวแห้ง ในส่วนนี้ก็อาจจะใช้ครีมทาผิว ทาเพื่อไม่ให้ผิวแห้งเป็นขุยได้

 

       นพ.ศรายุธ กล่าวอีกว่า สำหรับโรคอุจจาระร่วงในฤดูหนาว ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า โรต้าไวรัส (Rotavirus) มักจะเกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ติดต่อโดยการดื่มน้ำหรือกินอาหารที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนเข้าไป โดยเด็กจะถ่ายอุจจาระเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง แต่เด็กบางคนอาจขาดน้ำรุนแรง หากมีเด็กในบ้านถ่ายเหลว ควรให้กินอาหารเหลวบ่อย ๆ เช่น น้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด  แต่วิธีการป้องกันโรคอุจจาระร่วงในเด็กเล็ก ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งสะอาด ปลอดภัย เด็กมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ดี ผู้ที่ดูแลเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนเตรียมอาหารและหลังเข้าห้อง น้ำ ให้เด็กกินอาหารที่สุกใหม่ ๆ และดื่มน้ำต้มสุก โดยให้เด็กที่ป่วยถ่ายอุจจาระลงในภาชนะที่รองรับมิดชิด แล้วนำไปกำจัดในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจาย



นพ.ศรายุธ แนะวิธีการป้องกันดูแลรักษาร่างกายให้ห่างจากโรคว่า กรมควบคุมโรคได้ออกคำเตือนภัยแก่ประชาชนในการป้องกันภัยหนาวครั้งนี้ โดยแนะนำ 4 สิ่งควรทำและ 5 สิ่งที่ต้องเลี่ยง คือ สิ่งที่ควรทำ ได้แก่ 1. รักษาความอบอุ่นของร่างกาย เช่น ใส่เครื่องนุ่งห่มให้ความอบอุ่น  2. รับประทานอาหารมีประโยชน์และเพิ่มพลังงาน เช่น แป้ง ไขมัน รวมทั้งน้ำดื่มอุ่น ๆ  3. ออกกำลังการ พอเหมาะสม่ำเสมอ  4. เจ็บป่วย ไม่สบาย รีบพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข     ส่วนสิ่งที่ต้องเลี่ยง ได้แก่ 1. การดื่มสุราเพื่อแก้หนาว  2. การผิงไฟในที่อับอากาศ  3. นอนในที่ลมโกรก โดยไม่มีเครื่องป้องกัน  4. ผู้ปกครองอย่านำเด็กเล็กเข้าใกล้ควันไฟ หรือห่มผ้าคลุมศีรษะจนหมด  5. อย่าคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ



 “นอก จากนี้ ขอเตือนผู้ที่ชอบซื้อเสื้อกันหนาวมือสองมาสวมใส่ ควรระมัดระวังในเรื่องของการติดเชื้อ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรซักให้สะอาดและตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรค”
 
กรมควบคุมโรค รู้ก่อน รู้ทัน ป้องกันได้ 

 

 

กินมะเขือเทศกันอัมพฤกษ์อัมพาต อย่างน้อยหลีกเลี่ยงลงได้ครึ่งต่อครึ่ง

 

 

              

นักวิจัยฟินแลนด์ศึกษาพบว่า ผู้ที่มีปริมาณของไลโคปินอันเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ในมะเขือเทศอย่างอุดมในเลือดสูง จะสามารถหลบเลี่ยงการเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตมากถึงครึ่งต่อครึ่ง

อย่าง เช่นพบว่า ผู้ที่มีสารนี้ในเลือดมากที่สุด จะหนีพ้นโรคร้ายนี้ เมื่อเทียบกับผู้ที่มีในตัวน้อยกว่าเพื่อนมากกว่ากันถึงร้อยละ 55 นักวิจัยศึกษากับผู้ชายชาติเดียวกันเรือนพัน ที่มีอายุระหว่าง 46-63 ปี โดยวัดปริมาณไลโคปิน ตอนต้นการศึกษา ซึ่งใช้เวลาถึง 12 ปี สาเหตุส่วนใหญ่ของการเป็นลมอัมพาต เนื่องจากเลือดอุดตัน

ผลการศึกษาแสดงว่า ผู้ที่มีปริมาณของไลโคปินในเลือดสูงที่สุด จะมีโอกาสเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตน้อยกว่าเพื่อนที่มีน้อยที่สุด ร้อยละ 59.

 

 

 **********************************

 

 

 

 

 

 
 
 
 
 
        วีดีโอชัดๆว่าใครมีอาวุธ
 
 
 
 
 

 

 

เป็นของสำนักข่าวต่างประเทศ ถาพคมชัดมาก นาทีท้ายๆนะครับ

ขอให้จับพวกชั่วนี่ได้เร็วๆ ขอให้แกนนำโดนกรรมสนองภายในปีนี้ด้วยเทอญ

ชักทนไม่ไหวกับพวกห่านนี่จริงๆแล้วครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ด้วยความเคารพ ผมไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตำรวจในคลิปนี้เลยครับ...

 

ตร.แค้นรุมตะโกนด่า 40 ส.ว.ลงตรวจพื้นที่สนามกีฬาไทย - ซัดต้นเหตุทำประชาชนฆ่ากัน
 
 
 
 
 

 

 

คือตำรวจไม่ควรไปโห่พวกมันเลยครับ แต่ควรเอากระบองฟาดให้แม่งหน้าแหกไปเลย...

หรือไม่ก็กระโดดเตะให้แม่งตัวหัก แล้วรุมกระทืบแม่งไปเลยดีกว่า...

ตำรวจปฏิบัติกับพวกมันดีเกินไปครับ... พวกสวะเผด็จการพวกนี้ไม่สมควรเก็บไว้ทำพันธุ์แม้ซักนิดเดียว...

 

 

 

 

 

 

 

 

 

        -- เฮ๊ยย อะไรกันหว่า วันเดียว ได้ประกันแล้ว --

 
 
 
 


 
 
 
เส้นเขาใหญ่จริง ม๊อบเทพประทานมา ได้ประกันตัวทุกคนแล้วครับยินดีด้วย

ข้อหาเดียวกันกับคนเสื้อแดงเลย แต่คนเสื้อแดงไม่ได้ประกันตัวติดคุกไปแล้วสามปีก็ยังมี

เส้นเขาใหญ่จริงม๊อบเทพประทานมา ...

 

 

 

 

        น้ำตาลูกผู้ชาย ที่ชื่อสุเทพ เทือกสุบรรณ

 




 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                    ชัดเจนดี ว่าใครเป็นใครที่ถ่วง

 

 

 

 นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รักษาการรองนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีแถลงการณ์ในวันนี้ แสดงจุดยืนต่อสังคมในเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมบริเวณอาคารกีฬาเวสน์ 2 ดินแดง และคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งจะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ด้วยความสงบเรียบร้อย และคณะกรรมการการเลือกตั้งคงไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้เกิดความสุจริตและเที่ยงธรรม จึงขอให้รัฐบาล คู่ขัดแย้ง และทุกภาคส่วนในสังคม ทำความเข้าใจและสร้างข้อตกลงร่วมกัน เพื่อความสงบสุขในสังคม คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้รัฐบาลพิจารณาเลื่อนการเลือกตั้งออกไป จนกว่าจะมีข้อตกลงร่วมกันดังกล่าว โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งพร้อมทำหน้าที่คนกลางในการหาข้อยุติร่วมกันนั้น รัฐบาลขอกราบเรียนชี้แจงต่อพี่น้องประชาชนว่า เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ต้องมีการเลือกตั้งภายในเวลา 60 วัน นับแต่วันยุบสภา เพื่อให้มีสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่โดยเร็ว กลไกลในการบริหารจัดการประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนจะได้ดำเนินไปอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ

 
        กำหนดวันเลือกตั้ง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นวันที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกายุบสภา และไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายใด ที่ให้อำนาจรัฐบาลในการเลื่อนวันเลือกตั้งดังกล่าว คงมีแต่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 78 ที่ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดวันลงคะแนนใหม่ เฉพาะในหน่วยเลือกตั้งแห่งใดที่ไม่สามารถลงคะแนนเลือกตั้งได้ เนื่องจากเกิดการจลาจล เหตุสุดวิสัย หรือเหตุจำเป็นอย่างอื่น โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่เหตุดังกล่าวสิ้นสุดลง
        กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งระบุว่า ปรากฏการณ์ความรุนแรงยิ่งจะทวีความรุนแรงขึ้น หากเดินหน้าจัดการเลือกตั้งต่อไปนั้น การเลื่อนการเลือกตั้งออกไปกลับยิ่งจะทำให้เกิดความวุ่นวายและมีความรุนแรงมากกว่า และในเวลาที่นานกว่า เพราะเมื่อมีการเลือกตั้ง ได้สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ การแก้ไขปัญหาต่างๆ และการปฏิรูปประเทศจะได้ดำเนินไปโดยผู้ที่ได้รับอาณัติจากพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และมีโอกาสได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชนมากกว่า
        เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่บริเวณอาคารกีฬาเวสน์ 2 ดินแดง ในวันนี้ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิงเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บจากกระสุนปืนและวัตถุระเบิดอีก 25 นาย และผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่งนั้น ไม่ควรจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่รับสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งเมื่อวานนี้ วันที่ 25 ธันวาคม 2556 มีการประสานงานจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อขอให้เตรียมลงในราชกิจจานุเบกษา ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานที่รับสมัครเลือกตั้ง แต่ก็น่าเสียดาย เพราะในที่สุดมีการแจ้งยกเลิก ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่มีมติให้เปลี่ยนแปลงสถานที่รับสมัครดังกล่าว
        คณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายในการจัดการเลือกตั้ง รัฐบาลได้แจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า พร้อมจะสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้งอย่างเต็มที่ การที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอให้รัฐบาล คู่ขัดแย้ง และทุกภาคส่วนในสังคม ทำความเข้าใจและสร้างข้อตกลงร่วมกันเพื่อความสงบสุขในสังคมนั้น รัฐบาลได้พยายามแล้วที่จะเปิดเวทีให้ ทุกภาคส่วนมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และหาข้อสรุปร่วมกันมาหลายครั้ง แต่ก็มีบางฝ่ายที่ไม่เข้ามาร่วมในเวทีดังกล่าว หากคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอตนเป็นคนกลางในการเชิญทุกฝ่ายเข้ามาหารือ คณะกรรมการการเลือกตั้งก็สามารถกระทำได้ โดยสามารถเริ่มต้นเชิญฝ่ายผู้ชุมนุมมาหารือได้ทันที กระบวนการหารือนี้สามารถทำไปได้พร้อมๆ กับการเลือกตั้ง

 

 

 

 

 

 

ขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุด

ขอจิตวิญญาณของดาบฯณรงค์ เข้าสู่สุขคติภพ

ปชช.ขอบคุณในการปฏิบัติปกป้อง ปชต ของท่านด้วยชีวิต

รวมทั้งเพื่อนตำรวจอย่างยิ่ง

 

 

นี่คือ ชุดเครื่องแบบของ ดต.ณรงค์ ปีติสิทธิ์ แห่งสน.บางยี่เรือผู้เสียชีวิต

ตำรวจที่เสียชีวิต คือ นายดาบฯ ณรงค์ จากสน.บางยี่เรือ...

เพราะถูกยิงที่บริเวณหน้าอก..กระสุนฝังที่ปอด..

โดยแพทย์พยายามยื้อชีวิตแล้วไม่สำเร็จ..

ผู้บาดเจ็บได้เสียชีวิตลงแล้ว เมื่อเวลา16 น.เศษ...

smileysmiley  

 

Top
  •  

 

 

ลูกชายเพ่ิง 5 ขวบ

 

อาณาจักร ไบกอน


ภรรยาและลูก
ด.ต.ณรงค์ ปิติสิทธิ ผบ.หมู่ สน.ตลาดพลู
ที่ถูกยิงเสียชีวิตกลางหน้าอก ขณะวิ่งหนีมือเปล่า

ถึงรพ.ตำรวจร่ำไห้พูดคำเดียวว่า

#กลับมาๆ

 

 

 

 

  

 **************************

    

 

      ค้นพบศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' สลายโรคร้าย

 

 

 

 

 

ค้นพบศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' สลายโรคร้าย
เสียสละเวลาอ่านสัก 15-20 นาที
ใช้วิถีธรรมชาติขจัด 6 โรคร้ายใน 4 เดือน
 

จากหนุ่มใหญ่วัยใกล้เกษียณที่ถูกโรคร้ายรุมเร้าถึง 6 โรค ทั้งโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ตับอักเสบรุนแรง และปริมาณ เม็ดเลือดแดงมากเกินไป ซึ่งจากประสบการณ์ทางแพทย์ที่สั่งสมมา ทำให้เขารู้ว่า โรคร้ายเหล่านี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงกินยาเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น

แต่เมื่อเขานำศาสตร์ในการดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการค้นคว้าและทดลองปฏิบัติด้วยตัวเองมาใช้ ‘นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์’ กรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลราชธานี โรงพยาบาลชื่อดังของจังหวัดอยุธยา และประธานกรรมการบริหารเวลเนสซิตี้ กรุ๊ป ก็ต้องพบกับความอัศจรรย์ว่า เขาสามารถขจัดโรคร้ายทั้ง 6 โรคได้ภายในระยะเวลาแค่ 4 เดือน

• 6 โรคร้ายรุมเร้าจนต้องลุกขึ้นมาหาวิธีปฏิวัติตัวเอง


คุณหมอบุญชัยเล่าว่า ด้วยการใช้ชีวิตแบบคนเมืองที่เต็มด้วยความเร่งรีบ ความเครียดที่เกิดจากการทำงานและการกินอาหารตามความเคยชิน ส่งผลให้สุขภาพของเขาเริ่มมีปัญหา และสั่งสมเรื่อยมาจนกลายเป็นโรคร้ายถึง 6 โรคด้วยกัน

น้ำหนักของเขาขึ้นไปถึง 113 กิโลกรัม ระดับน้ำตาลในเลือดสูงถึง 294 ขณะที่ความดัน ตัวบนอยู่ที่ 170 ตัวล่าง 110 อีกทั้งไขมันในเลือดยังผิดปกติ!!

แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แม้เขาจะเป็นหมอที่ช่วยชีวิตคนไข้มามากมาย แต่เขากลับไม่สามารถรักษาโรคเหล่านี้ของตัวเองให้หายขาดได้

ในทางกลับกันโรคที่เป็นอยู่กำลังเป็นสะพานที่นำไปสู่โรคภัยที่ร้ายแรงขึ้น จุดนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้คุณหมอหันมาศึกษาค้นคว้า เพื่อหาทางแก้ไขและลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองอย่างจริงจัง

“ความจริงหลายๆโรคที่เป็นเนี่ยะ เราก็รู้มาก่อนอยู่แล้ว อย่างโรคอ้วน โรคเม็ดเลือดแดงมากเกินไป โรคตับอักเสบเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง แต่สาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนชีวิตตัวเองก็คือ เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ปี 53 ผมตรวจร่างกาย พบว่า เป็นเบาหวานและน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งโรคเบาหวานมันเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคต่างๆตามมาอีกเยอะ เช่น โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองตีบ ตาบอดเพราะเบาหวานขึ้นตา

โรคเบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงรักษาตามอาการ กินยาเพื่อรักษาระดับน้ำตาล ซึ่งต้องกินยาตลอดชีวิต แต่การกินยามากๆ จะทำให้เกิดผลข้างเคียงคือ ทำให้ตับเสื่อมและไตวาย ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมมองหาวิธีการใหม่ที่จะมีโอกาสหายจากโรคเบาหวานหลากหลาย วิธีการ

วิธีการที่ผมใช้เริ่มจากพื้นฐานความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ และอาศัยความรู้หลายอย่างประกอบกัน ทั้งความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ความรู้เรื่องการเจริญของโลก ความรู้เรื่องมานุษยวิทยา ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต ซึ่งเราก็เอาหลายๆอย่างมาผสมผสานกัน เพื่อหารากเหง้าความเป็นมาว่า มนุษย์เรามีความเป็นมาอย่างไร คือคนในปัจจุบันไม่ได้ดำรงอยู่ตามธรรมชาติ เพราะเราสั่งสมวัฒนธรรมความรู้เพื่อจะทำให้เราดำรงชีวิตอย่างสะดวกสบาย ซึ่งการที่เราใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ เป็นสาเหตุที่ทำให้เราป่วย ดังนั้น การที่เราจะหายป่วยได้ เราก็ต้องไปหาว่า การใช้ชีวิตตามธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร” นพ.บุญชัย เล่าย้อนให้ฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง

• ค้นพบศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' สลายโรคร้าย


จากการศึกษาวิเคราะห์ศาสตร์ต่างๆ ทำให้คุณหมอบุญชัยได้ข้อสรุปว่า อาหารที่คนเรานิยมบริโภคอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติและความต้องการของร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องแก้ที่ต้นเหตุคือ ปรับเปลี่ยนวิธีการกินและการดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ จึงเกิดเป็นศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' ที่คุณหมอค้นพบด้วยตัวเอง

การค้นพบครั้งนี้ได้สร้างความอัศจรรย์ให้แก่วงการแพทย์อย่างยิ่ง เพราะหลังจากที่คุณหมอนำศาสตร์ดังกล่าวมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็ปรากฏว่า โรคร้ายที่คุณหมอบุญชัยเป็นอยู่ถึง 6 โรคนั้นได้อันตรธานหายไปภายระยะเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้น

“จากการศึกษาทำให้เราพบว่า จริงๆแล้วมนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ซึ่งอยู่ในตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตระกูลเดียวกับลิง สมัยดึกดำบรรพ์เรากินผักและผลไม้เป็นหลัก ซึ่งผักผลไม้ที่เรากินจะเป็นพวกใบอ่อน ย่อยง่าย และก็กินพวกเนื้อสัตว์บ้าง กินไข่ กินดินโป่งเป็นอาหารเสริม แต่ปัจจุบันเราไม่ได้กินแบบนี้อีกแล้ว วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้อาหารการกินของเราเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าเราบริโภคสิ่งที่ไม่เหมาะกับร่างกายของมนุษย์ ผมก็มานั่งคิดว่า ถ้าเราจะใช้ชีวิตตามธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ เราจะทำยังไง จะปรับได้ขนาดไหน

ผมจึงออกแบบชีวิตในปัจจุบันให้ปลอดภัยในระดับที่สามารถรักษาโรคที่เกิดจาก การใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้ชีวิตในการทำงานแบบคนเมืองได้ คือต้องสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตตามกฎธรรมชาติและการใช้ชีวิตแบบคนเมือง เราก็ใช้วิธีการทดลอง ดูจากตำรา ดูจากงานวิจัย และการทดลองปฏิบัติ ทำให้ได้ข้อสรุปของวิธีดำเนินชีวิตตามกฎธรรมชาติ

สรุปออกมาเป็นข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ และสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ 5 ข้อ ซึ่งเรียกสั้นๆว่า กฎห้าม 5 ต้อง 5” นพ.บุญชัย พูดถึงศาสตร์การคืนสู่วิถีธรรมชาติที่เขาค้นพบ




ก่อนปฏิบัติ

หลังปฏิบัติ


• มหัศจรรย์แห่งวิถีธรรมชาติ
โรคร้ายหายเป็นปลิดทิ้ง


หลังจากที่คุณหมอบุญชัยปฏิบัติตามกฎ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' เขาก็พบกับความมหัศจรรย์แห่งวิถีธรรมชาติ เพราะสุขภาพของเขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และโรคร้ายที่เป็นอยู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง

“ผมเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตมาตั้งแต่ปี 2553 ถึงตอนนี้ก็ 2 ปีกว่าแล้ว ซึ่งหลังจากเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตแค่เดือนก็เห็นผลแล้ว พอถึงเดือนที่ 4ปรากฎว่า 6 โรคที่เป็นหายหมดเลย ยกเว้นไขมันในหลอดเลือดยังลดลงไม่ถึงระดับ คือโรคอ้วนก็หาย จากเดิมน้ำหนัก 114 กก. ลดลงเหลือ 89 กก. น้ำหนักผมลดลงไป 25 กก.

ตอนนี้โรคต่างๆหายหมดแล้ว เบาหวานก็หาย น้ำตาลในเลือดที่เคยขึ้นไปถึง 294 ปัจจุบันเหลือ 90 มันลดลงเอง ไม่ต้องใช้ยาเลย ความดันผมลดลงจาก ตัวบน 170 เหลือ 105 ตัวล่างจาก 110 เหลือ 70 เส้นเลือดที่เคยแข็ง เส้นเลือดที่อุดตัน ก็เปลี่ยนเป็นเหนียว ยืดหยุ่นดี

คือมันเป็นวิธีที่ง่ายมากๆ เหมือนเส้นผมบังภูเขา แต่เรามองไม่ออก คือการใช้ยานอกจากจะแค่รักษาตามอาการ ไม่หายขาดแล้ว ยังมีผลข้างเคียงด้วย แล้วถ้าใช้ยาเราก็จะไม่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต เพราะเราคิดว่ายาช่วยเราได้ คืออวัยวะที่มันเสื่อมไปเนี่ยะมันฟื้นไม่ได้

อย่างเช่นโรคเบาหวาน เกิดขึ้นเพราะตับอ่อนเสื่อมจึงผลิตอินซูลินได้ไม่ดี แต่ร่างกายต้องใช้อินซูลินในการควบคุมน้ำตาล เมื่อผลิตอินซูลินได้น้อยน้ำตาลในเลือดก็ขึ้น พอเราปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ร่างกายดีขึ้น ตับอ่อนฟื้นตัวขึ้นก็ผลิตอินซูลินได้ดี เมื่อมีอินซูลินมาควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด น้ำตาลในเลือดก็ลดลงโดยไม่ต้องใช้ยาเลย” นพ.บุญชัย กล่าวถึงชีวิตใหม่ที่เขาได้รับหลังจากกลับมาสู่วิถีธรรมชาติ

• เดินหน้าเผยแพร่แนวคิดพิชิตโรค


เมื่อค้นพบวิธีที่สามารถทำให้หายจากโรคร้าย ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งนอกจากจะเป็นวิธีที่ง่าย และประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเห็นผลอย่างรวดเร็ว

ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นหมอที่อยากเห็นคนไข้หายป่วยและกลับมามีสุขภาพที่ดี คุณหมอบุญชัยจึงตั้งใจที่จะเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวให้แก่คนไข้และบุคคลทั่ว ไป ทั้งโดยการบรรยายให้แก่หน่วยงานและโรงพยาบาลต่างๆ และการเขียนหนังสือเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้แบบง่ายให้ผู้ที่สนใจนำไปปฏิบัติ

“ปกติผมจะมีคอร์สบรรยายเรื่องการรักษาโรคโดยไม่ต้องใช้ยา แต่ใช้วิธีปรับการใช้ชีวิต ผมจัดเป็นหลักสูตร แล้วก็เอาหลักสูตรที่ได้มาเขียนลงหนังสือ เอาความรู้ที่ได้มาสอนคนอื่นต่อ ก็มีองค์กรใหญ่ๆติดต่อเข้ามาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารออมสิน การประปานครหลวง บริษัทปูนซิเมนไทย บริษัทการบินไทย ผมอบรมไปเกือบหมื่นคนแล้ว ผมไปบรรยายตามโรงพยาบาลที่ต้องการให้จำนวนคนไข้ลดลง เช่น ที่โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศูนย์สระบุรี โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี

คนไข้ที่ปฏิบัติตามแนวทางของผมแล้วมีเยอะมาก คือถ้าปฏิบัติจริงจังต้องเห็นผลทุกราย จากสถิติคนที่ผ่านการอบรมในคอร์สของผมเนี่ย สามารถปฏิบัติอย่างจริงจังและได้ผลเต็มที่ประมาณ 30 % ปฏิบัติได้พอประมาณและได้ผลดี ประมาณ 40% ส่วนที่เหลืออีก 30% ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เลยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร คือหลักสูตรของผมนั้นไม่ใช่ว่าเอายาลูกกลอนไปกิน 10 หม้อแล้วหาย แต่มันคือหลักสูตรการเปลี่ยนชีวิตคน” นพ.บุญชัยกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

• ขอเพียงมีศรัทธาต่อชีวิต โรคร้ายก็หายได้

คุณหมอบุญชัยยังได้กล่าวตบท้ายให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยทุกคนว่า ขอเพียงมีศรัทธาก็สามารถหายจากโรคร้ายและกลับมามีชีวิตใหม่ได้แน่นอน

“ถ้าไม่เป็นโรค เราก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ผมโชคดีที่ผมเป็นโรคที่เราวัดได้ว่าเปลี่ยนแปลงตัวเอง 10 ข้อแล้วเห็นผล มันก็เกิดกำลังใจ เกิดการเรียนรู้ เกิดการค้นคว้าจนได้คำตอบ

ผมจึงอยากให้ผู้ป่วยทุกคนมีศรัทธาต่อชีวิต มีความหวัง โรคทุกโรคเนี่ยะถ้าเรามีความเชื่อว่าเราจะหาย มีพลัง มีความมุ่งมั่น เราก็มีโอกาสหาย และถ้าเราปฏิบัติตามวิธีที่ถูกต้องเราก็สามารถหายได้

เพราะว่าร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางธรรมชาติที่วิเศษที่สุด เพราะมันฟื้นฟูตัวเองได้ มันแก้ไขอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตัวเอง ขอเพียงแต่อย่าเอาจิตเราไปขวางมัน เราเพียงแต่เติมเต็มสิ่งที่จะเสริมสร้างร่างกายเรา เช่น อาหาร น้ำ อากาศ อย่างถูกต้อง พวกนี้ก็จะเป็นวัตถุดิบที่จะไปสร้างร่างกายเรา ขบวนการซ่อมตัวเองจะเกิดขึ้น”

• ข้อห้ามปฏิบัติ 5 ข้อ


1. ห้ามจินตนาการเชิงลบ
 เนื่องจากจิตใต้สำนึกเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ดังนั้น ไม่ว่าคิดบวกหรือคิดลบก็ล้วนมีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราจินตนาการเชิงลบจะก่อให้เกิดความเครียด อารมณ์ร้าย ซึ่งจะเป็นผลลบต่อร่างกาย

2. ห้ามอ้วน
 เนื่องจากความอ้วนเป็นบ่อเกิดแห่งโรค ซึ่งเราจะพบว่า คนสมัยก่อนนั้นใช้ชีวิตตามป่าเขา หากินตามวิถีธรรมชาติ มีโอกาสได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงไม่อ้วนเหมือนผู้คนในปัจจุบัน ทำให้คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรค

3. ห้ามรับประทานน้ำตาล รวมถึงขนมและอาหารที่ใส่น้ำตาล
 เนื่องจากความจริงแล้วอาหารที่เราได้จากธรรมชาตินั้นมีแป้งและน้ำตาลอยู่ แล้ว ซึ่งน้ำตาลตามธรรมชาตินั้นมีสัดส่วนที่พอดีและเหมาะกับร่างกาย แต่ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ติดหวาน เพราะเคยชินกับการเติมน้ำตาลในอาหารมาก จึงทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา

4. ห้ามรับประทาน Trans Fat หรือไขมันที่ผ่านความร้อน
 เพราะเมื่อไขมันผ่านความร้อน ไอน้ำในอากาศจะแตกตัว ทำให้ไฮโดรเจนในโมเลกุลของไอน้ำเข้าไปฝังตัวอยู่ในคาร์บอนของไขมันชนิดที่ ไม่อิ่มตัวและดึงไขมันอิ่มตัวขึ้นมา ซึ่งไขมันอิ่มตัวนี้เรียกว่า Trans Fat มักอยู่ในของทอด โดยคนที่กินอาหารทอดมากๆ มักเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

5. ห้ามรับประทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
 เช่น หมู วัว แพะ แกะ ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ใหญ่ เนื่องจากหากศึกษาจากโครงสร้างจะพบว่ามนุษย์เป็นสัตว์กินพืช โดยฟันของมนุษย์เป็นฟันแบบตัดซึ่งเหมาะกับการบดเคี้ยวพืช แต่เนื้อสัตว์ใหญ่จะมีลักษณะเหนียวเกินกว่าฟันมนุษย์จะบดเคี้ยวได้

นอกจากนั้น ลำไส้ของมนุษย์ยังมีลักษณะยาวมาก ทำให้เนื้อที่เหนียวและต้องใช้เวลาย่อยหลายวันไปเน่าอยู่ในลำไส้ จึงเกิดเชื้อแบคทีเรียและสารพิษตามมา

• ข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ


1. เน้นการกินพืชผักผลไม้
 ซึ่งเป็นอาหารตามวิถีดั่งเดิมของมนุษย์ ในปริมาณครึ่งหนึ่งในแต่ละมื้ออาหาร โดยเน้นผักผลไม้ที่ไม่หวานจัด และไม่ผ่านความร้อนหรือการปรุงสุก เนื่องความร้อนจะไปทำลายวิตามิน เอนไซม์ และสารต่างๆที่มีลักษณะเป็นยา หากทำได้ทุกมื้อก็จะเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ

2. กินข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีและยังมีจมูกข้าวเหลืออยู่
 เพราะจะทำให้ได้สารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรลดปริมาณข้าวและคาร์โบไฮเดตลงตามลำดับ เนื่องจากจริงๆข้าวและคาร์โบไฮเดตไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แต่วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้เราหันมาบริโภคข้าวและคาร์โบไฮเดตจนเกิดความ เคยชิน และกลายเป็นการบริโภคเกินความจำเป็น

3. ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง
 โดยออกกำลังกายในระดับที่เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง ได้หอบหายใจ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายขับพิษออกหลายๆทาง ระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองจะทำงาน ซึ่งระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองนั้นเป็นระบบป้องกันโรคที่สำคัญของมนุษย์

นอกจากนั้น ขณะที่หอบหายใจนั้น ร่างกายจะเอาอากาศออกจากปอดได้ทั้งหมด ทำให้อากาศที่อยู่ในปอดสะอาดและมีปริมาณออกซิเจนสูง

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
 โดยช่วงการนอนหลับที่ดีที่สุดคือช่วง 22.00-02.00 น. เนื่องจากช่วงดังกล่าวร่างกายจะผลิตเมลาโพนินฮอร์โมนออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เราง่วง พอหลับสนิทร่างกายก็จะหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เด็กเจริญเติบโต ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เกิดการซ่อมสร้างในเวลาที่รวดเร็ว

5. การมีจินตนาการเชิงบวก
 คือการจะให้ร่างการมีสุขภาพดี เราจะต้องมีจินตนาการเชิงบวกต่อสุขภาพ ทำให้ชีวิตเรามีความสุข สุขภาพดี แข็งแรง ร่างกายจะเป็นไปตามที่เราคิด ถ้าเราเครียดร่างกายเราก็จะอ่อนแอ จิตใต้สำนึกมันส่งผลต่อร่างกาย 

แหล่งที่มา :

องค์กรสร้างสรรค์เพื่อสังคม iCARE 

 

 

 

*****************************************

 

 

 

        ดร.พิชิตฟันแสกหน้า สมชัย

 

 

 

1/8

"พิชิต"ฝากไปถึงคุณสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.หน้าใหม่ในฐานะ

คนรุ่น 6ตุลาฯ19ที่เผชิญผลของเผด็จการมาเหมือนกัน

 

ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์

กล่าวว่า...(สมชัย)..วันนี้คุณมาเป็นกกต.แล้ว คุณได้ตำแหน่งนี้

เพราะเหตุใดก็แล้วแต่ คนไทยวันนี้ไม่โง่แล้ว และเขาจำได้ว่า

ใครเป็นใคร ทำอะไรมาก่อน และกำลังทำอะไร เพื่อใคร?

 

 

 

 

 
 

2/8

 

คุณเป็นคนรุ่น 6 ตุลาฯ19 เหมือนผม เผชิญกับเหตุการณ์เลวร้าย

อันเป็นผลของเผด็จการมาเหมือนกัน จึงน่าจะได้รับบทเรียนอะไร

มาบ้าง

- คุณร่วมบอยคอตการเลือกตั้ง 2 เม.ย.49 เพื่อขับไล่รัฐบาล

   ไทยรักไทย

- คุณไม่ได้คัดค้านรัฐประหาร 19 กันยายน 49 และยังแสดง

  ท่าทีเห็นด้วยเป็นนัยๆ คุณอาศัยชื่อ "องค์กรกลาง" และ"พีเน็ต"

  เคลื่อนไหวมายาวนาน สร้างชื่อในสื่อ

- ผู้คนจำได้ว่า การเคลื่อนไหวของคุณนั้นสอดประสานกับขบวน

  การที่ขับไล่รัฐบาลไทยรักไทย รัฐบาลพลังประชาชนและรัฐบาล

  เพื่อไทยมาโดยตลอด

 

 

 

 

 

3/8

ตอนที่คดี ม.112 กำลังแพร่ระบาด คุณก็ออกมาร่วมเรียกร้องให้

จัดการขั้นเด็ดขาดกับคนที่คุณเชื่อว่า "ผู้ที่ละเมิดสถาบันกษัตริย์"

ซึ่งในความเห็นของผมก็คือ ผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองแล้วถูกใส่

 ร้ายด้วยข้อหาร้ายแรงต่างหาก

 

4/8

มาวันนี้ คุณมานั่งในตำแหน่งกกต.อันทรงเกียรติ นับแต่วันแรกๆ

คุณก็แสดงบทบาทที่ไม่เป็นกลางอย่างโจ่งแจ้ง สอดประสานกับ

กลุ่มกปปส. ที่มุ่งจะล้มการเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 ด้วยวิธีการรุนแรง

 ละเมิดสิทธิ์ ผิดกฎหมาย

 

 

 

 

5/8

คุณแสดงทัศนะสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกปปส.ที่ขัดขวาง

การเลือกตั้ง บอกว่า"เป็นสิทธิ์ตามรธน." แต่กลับไม่เห็นว่า

การขัดขวางของกปปส.ก็ละเมิดสิทธิ์ตามรธน.ของผู้คนนับพัน

คนที่ต้องการลงสมัครรับเลือกตั้ง และก็ละเมิดสิทธิ์ตามรธน.

ของคนไทยส่วนใหญ่ที่ต้องการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันที่

2 ก.พ. 57

 

6/8

สำหรับคุณ สิทธิ์ของ กปปส.สำคัญกว่าสิทธิ์ของประชาชน

ส่วนใหญ่อย่างนั้นหรือ??

 ตั้งแต่วันแรก คุณก็ตั้งธงเด่นชัดมาแต่ไกล เอาแต่เสนอให้

รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งท่าเดียวด้วยอ้างเหตุสารพัด

การดำเนินงานของกกต.เต็มไปด้วยความล่าช้า และ

ไม่มีประสิทธิภาพ จนทำให้ผู้คนสงสัยไปทั่วว่าคุณและ

กกต.ไม่ทำหน้าที่ตามกฎหมายของตน แต่กำลังจงใจ

 บ่อนทำลายการเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 หรืออย่างไร?

 

 

 

 

 

 

7/8

บางคนถึงกับเสนอว่า คุณสมชัย น่าจะลาออกไป

เคลื่อนไหวร่วมกับกปปส.ต่อต้านการเลือกตั้ง

 อย่างเปิดเผยเลยดีกว่ามั้ง?

 

8/8

"คุณสมชัย ผมย้ำอีกทีว่า คุณมาเป็นกกต.ได้ด้วยเหตุใด

ก็แล้วแต่ ประชาชนจะจำคุณได้ตลอดไปว่า คุณสามารถ

จัดการเลือกตั้งได้อย่างเป็นธรรม และมีส่วนในการแก้ไข

วิกฤติในครั้งนี้ หรือคุณมีส่วนสำคัญในการทำลายการ

เลือกตั้ง 2 ก.พ.57 แล้วนำไปสู่สงครามกลางเมือง

และการนองเลือดครั้งใหญ่!!! ความรับผิดชอบและผลกรรม

ที่ตามมา ขึ้นอยู่กับคุณเอง!!!" นายพิชิต กล่าวย้ำ

 

 

 

 

 

     สนามไทย-ญี่ปุ่น วันนี้ครับ

 

 

 

 

 ภาพลิงค์ที่แปะไว้

 

 

ตำรวจไทยในสถานการณ์เช่นนี้ ที่มีมวลชนมากดดัน เกียรติยศและศักดิ์ศรี เราต้องยอมเสีย เขาถูกฝึกมาให้อดทนอดกลั้น คนไทยด้วยกัน เกียรติยศและศักดิ์ศรี สามารถกู้คืนมาได้ แต่การกระทำจะเป็นตัวชี้วัดทั้งผู้กระทำและถูกกระทำ ให้กำลังใจตำรวจไทย

 ลูกผู้ชาย เท่านั้นที่สามารถ อดทนต่อสภาวะกดดันนี้ได้ กรุณาอย่าหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นคน

 เหนื่อยและสงสาร ตำรวจเป็นที่สุด  ...เกียรติและศักดิ์ศรีไม่เหลือแล้ว      ผมยังจำได้สมัยม็อบ พธม. บุกยึดดอนเมือง  สมัยนายกสมชาย...มีการถุยน้ำลายรดหัวนายตำรวจท่านหนึ่ง....ซึ่งไม่เข้าใจจริงๆว่าพวกระยำพวกนี้ ...มันทำได้ยังไง...

         

 

 

 

 

               1267053702 stfu01 10 Animated gifs that hurt your funny bone

 

 

 

*************************************

 

 

 

처음 이전 ... 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 ... 다음 끝
หน้าหลัก | รายชื่อสมาชิก | วิธีการชำระเงิน | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อเรา

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

COPYRIGHT 2009 RAN4U ขายของออนไลน์ ALLRIGHTS RESERVED.